เมื่อหลายปีก่อนได้รู้จัก"ดานัง"เป็นครั้งแรกเพราะภาพของ Bana Hills สะดุดตากับความสวยงามของสถานที่แบบเมืองยุโรป ที่ไม่คาดคิดว่าจะอยู่ใกล้ๆแค่ประเทศเวียดนาม พออ่านเรื่องราวจบก็ตั้งใจว่าจะต้องไปให้ถึงสักวัน เพราะไม่ได้ไกลจากไทยมากนัก


จนกระทั่งแอร์เอเชียเปิดเที่ยวตรงกรุงเทพฯ-ดานังเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา โปรโมชั่นตั๋วดึงดูดใจมากมาย สุดท้ายเลยได้ไปสมใจ แถมไปแบบเร่งรีบซะด้วยสิ ช่วงที่เดินทางมีโอกาสเจอฝนบ้าง แต่ด้วยเพราะอยากไปมานาน จะเจอฝนก็ช่าง ไม่อยากจะรอข้ามปีอีกแล้ว

สภาพภูมิอากาศ
ไหนๆแล้ว ขอกล่าวถึงสภาพอากาศโดยทั่วไปของดานังด้วยละกันค่ะ ช่วงที่เราไปคือปลายเดือนกรกฏาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนก่อนจะเข้าฤดูฝนทำให้อาจเจอฝนตกได้บ้างเล็กน้อย (ก็ไม่น้อยนะ วันที่ 2 นี่คือตกทั้งวัน T^T)
* อุณหภูมิสูงสุด ช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม อุณหภูมิเฉลี่ย 28-30 องศาเซลเซียส
* อุณหภูมิตำสุด ช่วงเดือนธัวาคม - กุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ย 18-23 องศาเซลเซียส
* ฝนตกค่อนข้างหนัก ช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน

ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมถือเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดก่อนจะเข้าฝน มีโอกาสเจอฝนบ้างก่อนเปลี่ยนฤดู แต่ยังไม่ตกหนักเท่าเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ... ส่วนช่วงที่อากาศดีสุดคือ ธันวาคม-กุมภาพันธ์

เที่ยวบินตรง
กรุงเทพฯ-ดานังใช้เวลาบินเพียงแค่ 1.20 ชม.เท่าๆกับกรุงเทพฯ-ภูเก็ตเลยค่ะ ใกล้กว่าบินไปโฮจิมินต์หรือฮานอยซะอีก เวลาเที่ยวบินก็ถือว่าดีถึงแม้จะมีเพียงแค่วันละ 1 เที่ยวบิน ไปถึงตอนสายๆและกลับตอนเที่ยง ไม่เช้าหรือดึกเกินไปนัก
FD636 DMK/DAD 1010/1130
FD637 DAD/DMK 1200/1320

สนามบินดานังถึงแม้จะเล็กๆ แต่ใหม่และดูทันสมัยมาก ... รับกระเป๋าเสร็จแล้วใครอยากซื้อ sim card ใกล้ๆกับสายพานรับกระเป๋ามีหลายเจ้าเลย นี่ก็จ่ายไป VND 100,000 เพื่อความสบายใจ ถึงแม้ที่ดานังจะมี free wifi ให้หลายจุด (เหตุผลส่วนตัว เอาไว้เปิด google maps ระหว่างนั่ง taxi ด้วย จะได้รู้ว่าเขาแอบโกงพาขับอ้อมหรือไม่??)

วิธีคิดอัตราแลกเปลี่ยน
วิธีคำนวณค่าเงิน VND (แลกเงินมา VND 1,000 = THB 1.49) ก็แค่ตัดศูนย์ 3 ตัวหลังออกแล้วคูณด้วย 1.49 เพื่อคิดเป็นเงินบาท … ส่วนตัวแล้วเลือกที่จะแลกเงิน VND จากไทยไปเลย สะดวกดี


TAXI
ออกมาหน้าอาคารข้ามถนนมาเกาะกลาง จะมีคิวรถแท๊กซี่จอดรออยู่ มีเจ้าหน้าที่ที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้คอยอำนวยความสะดวกให้ ... ตอนแรกกลัวๆเรื่อง taxi แอบโกงมิเตอร์หรือขับพาอ้อม เลยหาข้อมูลราคาแบบเหมาจ่ายมาบ้าง ซึ่งจะมีรถแท๊กซี่ของ airporttaxidanang.com เป็นแบบเหมาจ่าย และต้องจองล่วงหน้าผ่านเว๊บ

ยกตัวอย่าง ราคาจากสนามบินดานังไปบาน่าฮิลล์ USD 17.-

จริงๆมีคนแนะนำรถแท๊กซี่ของ Vina Sun แต่ถึงตรงจุดนั้นมีของเจ้าไหนเขาจัดให้ก็ต้องตามนั้นค่ะ แต่ดีว่าคิดราคาตามมิเตอร์ ไม่มีมาบวกค่าบริการเพิ่มเหมือนสนามบินบ้านเรา

เดินทางสู่ Bana Hills
ระยะทางไปบาน่าฮิลล์ไม่ได้ไกลมาก แต่รถที่นี่ขับช้าเพราะเขาจำกัดความเร็ว(ที่แอบสังเกตประมาณ 60 กม./ชม.) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ราคามิเตอร์อยู่ที่ VND 360,000 ... แล้วก็โดนโกงไปรอบแรก เพราะแลกเงินไปจากเมืองไทยไม่มีธนบัตรย่อย เลยให้ไป VND 400,000 แต่คนข้บไม่ทอนให้จ้า !!! (หลังจากนั้นรู้ทัน เก็บธนบัตรย่อยไว้จ่ายค่าแท๊กซี่ตลอด เพราะไม่ว่าคันไหน ไม่มีใครทอนให้เลย) จ่ายเกินราคามิเตอร์ไปประมาณ 60.-บาท ... เอาน่ะ !! คิดซะว่าขึ้นแท๊กซี่สนามบินบ้านเราก็โดนบวกประมาณนี้แหละ

มาถึงสถานีกระเช้าขึ้นบาน่าฮิลล์กันล่ะ ที่ด้านล่างนี้จะมี 2 สถานีค่ะ คือ
* สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป (Suoi Mo Station) และ
* สถานีของโรงแรม Mercure Danang French Village Bana Hills (Toc Tien Station) โดยเฉพาะ


ซึ่งคืนแรกนี้เราเลือกที่จะไปพักบนเขา เลยต้องไปที่สถานีของโรงแรม ทำการเช็คอินที่นี่ได้เลยค่ะ พร้อมกับจ่ายค่าขึ้น cable car ... กระเช้าของฝั่งโรงแรมนี้จะวิ่งตรงถึง Bana Hills French Village แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่แขกของโรงแรม หากขึ้นกระเช้าอีกสถานีนึงจะต้องเปลี่ยนระหว่างทางค่ะ (อ้างอิงตามภาพประกอบ)

ค่ากระเช้ารวมค่าเข้าสถานที่ต่างๆ (ยกเว้น wax musuem) และกิจกรรม-เครื่องเล่นใน Bana Hills Fantasy Park ราคาปกติอยู่ที่คนละ
* ผู้ใหญ่ VND 650,000
* เด็ก VND 550,000
อ้างอิง >> http://banahills.sunworld.vn/en/tickets/

แต่ถ้าหากเป็นแขกที่เข้าพักโรงแรม Mercure Danang French Village Bana Hills มีโปรโมชั่นเหลือคนละ VND 400,000 เท่านั้นค่ะ

ทิวทัศน์ระหว่างการนั่งกระเช้าจะผ่านน้ำตกใหญ่ เห็นเมฆหมอกลอยคลอเคลียทิวเขา ยิ่งสูงอากาศยิ่งดีและสามารถมองเห็นทะเลได้ไกลๆ



================================


ระหว่างนั่งกระเช้านี้ เรามาทำความรู้จัก "Ba Na Hils" กันนิดนึงค่ะ ^^
Cr. http://www.culturedcreatures.co/vietnam-ba-na-hill-cable-c…/

* บาน่าฮิลล์อยู่ห่างจากเมืองดานังประมาณ 40 กิโลเมตร เป็นเมืองตากอากาศของเวียดนามตอนกลางมากว่าร้อยปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่เวียดนามยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
* ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ. 1894 ข้าหลวงฝรั่งเศสมีแนวคิดริเริ่มที่จะสร้างสถานที่พักผ่อนบนเขาให้กับชาวฝรั่งเศสรวมทั้งทหารที่ประจำการอยู่ที่นั่น จนปี ค.ศ. 1901 จึงค้นพบและเลือกภูเขาบานาแห่งนี้ เพื่อสร้างเป็นที่พักตากอากาศสำหรับชาวฝรั่งเศส เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศดี และอากาศเย็นสดชื่น จึงเริ่มมีการพัฒนาตัดถนนขึ้นสู่ยอดเขาจนเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1919
* เนื่องจากขณะนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ชาวฝรั่งเศสไม่สามารถเดินทางกลับประเทศตนเองได้ จึงเริ่มมีการสร้างวิลล่าขึ้นมาเป็นครั้งแรก ตามด้วยโรงแรม รีสอร์ต และสาธารณูปโภคที่ทันสมัย จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในสมัยนั้น จนถึงปี ค.ศ. 1945 เมื่อทหารฝรั่งเศสพ่ายแพ้สงคราม และถอนตัวออกจากเวียดนาม ชาวท้องถิ่นเวียดนามที่เคยทำงานตามรีสอร์ตและโรงแรมบนเขา ต่างอพยพกลับภูมิลำเนา ทำให้เมืองท่องเที่ยวที่สวยสดงดงามแห่งนี้ถูกทิ้งร้าง
* หลังสงครามเวียดนามอันโหดร้ายผ่านพ้นไปไม่กี่สิบปี เวียดนามก็เริ่มพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า ซึ่งรวมถึงด้านการท่องเที่ยว บานาฮิลล์ จึงได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จากเดิมที่คนต้องนั่งรถขึ้นสู่ยอดเขาโดยถนนแคบๆ ลมแรง และใช้เวลานานถึง 55 นาที ก็มีการสร้างกระเช้าไฟฟ้าซึ่งใช้เวลาจากตีนเขาสู่ยอดเขาเพียง 15 นาที
* Bà Nà Hills Cable Car เริ่มเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2009 สร้างขึ้นตามมาตราฐานยุโรปโดยบริษัทที่มีชื่อเสียงจากออสเตรเลีย เครื่องมือและเครื่องจักรนำเข้าจากยุโรป ตลอดเส้นทางประกอบไปด้วยเสา 24 ต้น มีทั้งหมด 94 เคบิน ซึ่งมีทั้งแบบ open air และแบบห้องกระจก แต่ละเคบินจะบรรทุกผู้โดยสารได้ 10 คน และภายในหนึ่งชั่วโมง สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 1,500 คน


กระเช้าไฟฟ้าขึ้นบาน่าฮิลล์ได้รับการบันทึกในกินเนสส์บุ๊คว่า"เป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ยาวที่สุดในโลกแบบไม่มีการหยุดแวะ" ด้วยความยาว 5,801 เมตร (ใช้เวลานั่งกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขา 15-20 นาทีได้ค่ะ)



================================

Bana Hills French Village


มาถึงด้านบนเขากันแล้ว นอกจาก French Village ที่นี่ยังมีสวนสนุก Fantasy Park, ร้านอาหาร-ร้านกาแฟราคาไม่แรงมากนัก หากเดินไปด้านหลังจะมีบันไดเดินขึ้นไปยังโรงน้ำชาและวัดจีน (เป็นที่น่าเสียดายว่า วันที่ 2 ฝนตกตลอดทั้งวัน ทำให้เราไปไม่ถึงที่นี่)

แต่ร้านที่อยากแนะนำคือ "Morin Restaurant" เดินขึ้นบันไดไปบนตึกที่เป็นสถานีขึ้น-ลงกระเช้า (Morin Station) ไม่ต้องทานอาหารก็ได้แค่สั่งเครื่องดื่มมานั่งจิบชมวิว ชมบรรยากาศ เพราะที่ร้านมีส่วนที่นั่งบริเวณระเบียง สามารถรับลมชมวิวในมุมสูงได้แบบ panorama





ที่นี่มีโบสถ์ที่จำลองมาจากโบสถ์ Notre-Dame ในกรุงปารีส สวยงามโดดเด่นอยู่ติดกับลานน้ำพุด้านหน้า … ช่วงกลางวันที่ French Village แห่งนี้ มีกิจกรรมแสดงโชว์บริเวณลานกลางแจ้ง (อดดูเช่นกันเพราะฝนตก TT) แต่เอารอบเวลามาฝากตามรูปภาพ เผื่อใครจะไป จะได้แพลนกันได้




ถึงแม้ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมจะเป็นช่วงที่อากาศร้อนสุดของดานัง แต่อุณหภูมิบนเขา Bana Hills กำลังเย็นสบายเลยค่ะ อยู่ที่ประมาณ 18 องศาเซลเซียส

คำแนะนำอื่นๆ :
* หากไปช่วงที่อาจเจอฝน แนะนำให้เตรียมเสื้อกันฝนไปด้วย จะสะดวกกว่า เพราะบนเขาลมแรง บางทีลมตีจนร่มกลายเป็นจานดาวเทียม
* ฤดูหนาว อากาศบนเขาจะเย็นมาก (นี่ไปฤดูร้อนยัง 18 องศา) อย่าลืมเตรียมเสื้อหนาวหนาๆไปนะคะ





((To be continued ... ))



Nina's Journey

 วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 22.33 น.

ความคิดเห็น