ทริปพม่าเกิดขึ้นเพราะอยากไปบากันหรือที่หลายคนรู้จักในชื่อพุกาม และไม่อยากไปกับทัวร์ ไม่ชอบวุ่นวายกับคนหมู่มาก ชอบซึมซับทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ได้สัมผัสชีวิตของผู้คนและวิถีปกติในที่ต่างๆ แต่ทริปนี้ก็ไม่พลาดที่ดังๆ ทั้งในเมืองเก่าบากัน พระธาตุอินทร์แขวน และย่างกุ้ง 5 วันเต็มที่พม่าตามมาเสพกั (13-17 ตุลาคม 2557) ทริปนี้ใช้รูปเล่าเรื่อง


วันที่ 13 ตุลาคม 2557 รอบนี้ไปกับนกแอร์ DD4230 ออกจากดอนเมือง 6:20

ออกจากบ้านแถวพุทธมณฑลสาย 2 4:38 เจอแท็กซี่ขับแบบตีนผีมากมาถึงดอนเมือง 5:06 ใช้เวลา 28 นาทีเท่านั้น เริ่มลุ้นตั้งแต่ออกเดินทางเลยสินะ มาต่อคิวสแกนกระเป๋า คนเยอะมาก แล้วเราก็ใบเล็กสุดในบรรดาผู้คนที่โหลดกระเป๋า พอเรามาต่อแถวเพื่อรอ check-in ก็เจอกรุ๊ปทัวร์ 3 กลุ่ม ยืนรอไม่นานมากก็ได้ที่นั่งริมหน้าต่างตามที่เราร้องขอ ถึงเวลาขึ้นเครื่องจะชื่นชมวิวกระจกน้องนกลำนี้ก็แตกลายงาซะอีก แต่ก็ไม่นานก็ได้ลง เราที่ไม่มีสัมภาระก็รีบลงก่อน หนีกรุ๊ปทัวร์ให้ได้ สุดท้ายก็ต้องมาเสียเวลาเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองอยู่ดี ได้กระเป๋าเราก็พุ่งมาแลกเงินเลย และจากนั้นก็หาแท็กซี่ไปสถานีขนส่งไปซื้อตั๋วสำหรับไปบากันคืนนี้เลย (ตอนแรกตั้งใจจะเที่ยวกลางวันแล้วกลางคืนก็นอนบนรถเปลี่ยนเมืองเที่ยวไปเรื่อยๆ แต่พอดีมีคนทักว่าแล้วจะอาบน้ำที่ไหน แผนเลยต้องพับไป) ต่อลองลุงแท็กซี่อยู่นานก็ได้ที่ 5$ แถมยังออกเลยไม่ต้องรอแจมกับใคร จากสนามบินไปสถานีขนส่งใช้เวลาประมาณ 45 นาทีได้ ย่างกุ้งรถติดเอาเรื่องเหมือนกันนะ แท็กซี่พาเรามาซื้อตั๋วที่ Bagan Minn Thar Express ราคาตั๋ว 13,000 Kyats รอบเวลา 1 ทุ่ม เราฝากกระเป๋าเป้ไว้ที่นี่ด้วย จากนั้นก็ไปกับแท็กซี่คันเดิมเข้าเมืองให้มาส่งเราที่ Sule Pagoda ในราคา 5$ ต่อแล้วต่ออีกสุดท้ายก็ยอม แถมแท็กซี่ใจดีให้น้ำ 1 ขวดและขนม 1 ชิ้นด้วย

รอบนี้รถเริ่มติดมากขึ้น รถแต่ละคันก็บีบแตรกันลั่นเลย น่าเวียนหัวมาก พอมาส่งเราที่เจดีย์สุเล ก็เริ่มต้นทริปเดินซนกัน วันนี้เราดันใส่ยีนส์กับรองเท้าผ้าใบมาก็ต้องถอดทั้งรองเท้าและถุงเท้าทุกวัดที่ไป (ครั้งแรกไม่รู้อะไรมากนักใส่มาให้เรียบร้อยและเดินสบาย)


สุเลเจดีย์ (Sule Pagoda) สุเลเจดีย์มีอายุกว่า 2,000 ปีเป็นสถูปทรงแปดเหลี่ยม ที่มีทรวดทรงงดงาม สูง 157 ฟุต ชาวพม่านับถือสุเลเจดีย์ว่าเป็น “หัวใจ” ของเมืองหลวงย่างกุ้ง ในขณะที่เจดีย์ชเวดากอง เป็น “จิตวิญญาณ” ของชาวพม่าและมอญ เสียค่าธรรมเนียม 2$ และค่าฝากรองเท้าตามแต่เราจะยอดตู้

ด้านนอกก่อนเสียค่าเข้า

ด้านในหลังจากเสียค่าเข้าและฝากรองเท้า

ออกจากสุเลเจดีย์ก็เดินไปซนที่สวนสาธารณะ Mahabandoola เป็นที่ตั้งของ Independent Monument

หลังจากเดินครบรอบก็เริ่มออกมาซนด้านนอก ชมสถาปัตยกรรมรอบๆ เมืองย่างกุ้งกัน

เดินมาเจอร้านชาข้างถนนเห็นคนพม่ากินกันเยอะก็เลยแวะชิมสักหน่อย ชาหอมดี แต่เขาชงหวานไป

จากนั้นเข้าตลาดขอดูวิถีชีวิตของคนที่นี่สักหน่อย เขาวางกับพื้นจริงๆ นะ ถ้ารถจะผ่านก็ขับค่อมกระจาดไปเลย ตื่นตากับตลาดมาก

เดินจากตลาดสด ตลาดผ้า ตลาดเครื่องใช้ต่างๆ ตอนนี้ก็บ่ายโมงเริ่มหิวละ มองหาร้านอาหารพื้นเมืองง่ายๆ แถวตลาดนี่แหละ หน้าตาประมาณขนมจีนบ้านเรา อร่อยดี

มื้อนี้พร้อมโค้กและน้ำชาอยู่ที่ 1,000 kyats อิ่มแล้วก็เดินเข้าห้างที่อยู่ใกล้ๆ ขอตากแอร์และเข้าห้องน้ำสะอาดๆ สักหน่อย


จากนั้นเริ่มซนต่อเราเปลี่ยนซิมใช้ ooredo ใช้ดาต้าอย่างเดียว 7 วัน 5,000 kyats เดินตามถนนแวะเข้าซอยโน้นบ้างซอยนี่บ้าง จนกระทั่งเดินมาเจอวัดก็รีบวิ่งข้ามถนนเลย (ไม่รู้ชื่อวัดจริงๆ นะ ไม่ได้เตรียมตัวจะเที่ยวย่างกุ้งเลย) ชอบที่ซุ้มประตูทางเข้าเป็นพิเศษ

เจดีย์ภายในวัดสะท้อนแสงอาทิตย์สวยงามมาก

ด้านในเจดีย์จะมีพระพุทธรูปโดยรอบ

ออกจากวัดมุ่งหน้าสู่จุดหมายของวันนี้ คือ มหาเจดีย์ชเวดากอง ก็ยังซนเข้าซอยไปเรื่อยๆ หลงกันต่อไป แต่ก็สนุกมาก ได้เห็นบ้านเมืองของย่างกุ้งในอีกมุม

เดินจากเจดีย์สุเลมาชเวดากองประมาณ 2 กิโลเมตรเอง แต่ด้วยความซุกซนเราเดินไป 3.5 กิโลเมตร (รวมหลงแล้ว) แล้วก็มาหยุดถ่ายรูปนี้ก่อนไปต่อ

เดินต่อมาอีกนิดก็ถึงทางขึ้นชเวดากอง 2 ข้างทางมีร้านขายของมากมาย แต่ที่นี่ไม่ค่อยวุ่นวายกับนักท่องเที่ยวมากนัก พอถึงจุดตรวจเราต้องวางกระเป๋าผ่านเครื่องและเราก็เดินผ่านเครื่องตรวจ พอเรียบร้อยก็เดินขึ้นมาถึงจุดชำระค่าเข้า 8$ เขาจะติดสติกเกอร์ให้เราพร้อมให้แผนที่มาด้วย ครั้งแรกที่เห็นชเวดากองก็ประทับใจนะ ขนาดซ่อมอยู่ยังสวยเลย

เดินยังไม่ทันถึงไหนเลยก็มีไกด์เถื่อนมาแนะนำให้เราถ่ายโน้นถ่ายนี่ตามที่เขาบอก ปฏิเสธแล้วก็ไม่ยอมไป ปกติเป็นคนไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายอยู่แล้วด้วยมาเจออย่างนี้ยิ่งน่าเบื่อหน่ายมากๆ ทุกคนจะมาลักษณะเดียวกันเลยคือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษแล้วจะมาที่นี่ช่วงเลิกสอนหรือวันหยุด เราเสียค่าโง่ไปด้วยกับตาลุงไกด์เถื่อนนี้ แถมยังพาเราเดินไปแต่จุดขึ้นชื่อ ไม่ได้ซึมซับความสวยงามเลย พาเราจบแบบไม่สวยนัก



หลังจากออกจากชเวดากองก็ข้ามฝั่งถนนมาเจอเจดีย์อีกจุด สวยดีเหมือนกัน

จากนั้นมาเรียกแท็กซี่ไปวัดพระตาหวาน และรอ พร้อมไปส่งที่สถานีขนส่งซึ่งอยู่อีกมุมเมืองในราคา 9,000 kyat

แท็กซี่ที่มาส่งเราก็น่ารักมาก เอาตั๋วที่เราจองไปดูแล้วก็ถามทางไปส่งเราถึงหน้าที่ขายตั๋วเลย (เราจำไม่ได้ด้วย เมื่อเช้ายังมึนงงอยู่) มาถึง 5 โมงกว่าๆ ก็เลยออกมาหาอะไรกินก่อน มื้อที่ 2 ที่ย่างกุ้ง เราสั่งข้าวผัด (อย่าบอกว่าสั่งต้องบอกว่าชี้มากกว่า) น่าตาใช้ได้แต่มันมาก แถมหมูยังเป็นสามชั้นอีก เหนียวเชียว

อิ่มแล้วก็กลับมานั่งรอเวลาขึ้นรถ นั่งรอสักพักคนพม่าก็ชวนคุย สนุกดีนะ เรียนรู้การสื่อสารแบบคนละภาษา คนขับบอกขึ้นไปนั่งรอบนรถก็ได้นะแอร์เย็นๆ หน้าตารถก็ใหม่เอี่ยมเลยนะ

พอขึ้นรถมาได้เราก็เปลี่ยนกางเกงเป็นขาสั้นโดยใช้โสร่งให้เกิดประโยชน์ คนพม่าก็งงสิ ไอ้นี่มันจะทำอะไร พอเสร็จก็เปลี่ยนรองเท้า กำลังจะเปลี่ยนเสื้อคนนั่งข้างเราก็มาก็เลยไม่ได้เปลี่ยน บนรถมีน้ำให้ 1 ลิตร ผ้าเย็นพร้อมชุดแปรงสีฟัน และถุงคายหมาก รถออกตรงเวลามาก ก่อนรถออกคนขับจะเปิดบทสวดมนต์ก่อนเสมอ หลังจากนั้นจะเป็นละครพม่า ขนาดฟังไม่ออกแต่เราก็หัวเราะสนุกไปด้วย

รถก็ขับเร็ว-ช้าสลับกันไปตามเส้นทางมีแวะพักที่ศูนย์อาหาร Pioneer ก็ไม่ได้กินอะไรมันง่วงมากกว่า ลงมาเข้าห้องน้ำแล้วรอเวลารถออก รถมาถึงสถานีขนส่งของบากัน (พุกาม) เป็นสถานีใหม่อยู่นอกเมืองมาเกือบ 10 กิโลเมตร พอลงมาก็โดนรุมด้วยบรรดาแท็กซี่ สามล้อ มอเตอร์ไซค์ เราก็ปลีกตัวออกมา ก็ยังมีคนเดินตามมาอีกจนได้ น่าจะเป็นนายหน้าให้พวกรถรับจ้างทั้งหลาย เราบอกว่าจะซื้อตั๋วไว้ก่อน ยังไม่ตัดสินใจไปไหน เขาก็พาเราไปซื้อตั๋วขากลับที่เจ้าเดิมที่มาแต่มันเต็ม เขาเลยพาไปอีกบริษัทเป็นของคนท้องถิ่นใช้กัน ราคา 13,000 kyat เท่ากันแต่มาบริการรับมาที่สถานีด้วย สุดท้ายเราก็ต้องโดนฟันจากการใช้แท็กซี่จนได้จากสถานีขนส่งมา eden hotel 8,000 kyat แต่ก็ต้องยอมเพราะไม่งั้นจะไปยังไงแถมฝนตกอีกด้วย


ก่อนเข้าเขตเมืองเก่าต้องเสียค่าเข้า 15$ และแท็กซี่ก็พาไปส่งที่ eden hotel พอมาถึงเขาก็ให้เราดูห้องก่อนตัดสินใจที่นี่มีแบบห้องนอนรวมกับห้องนอนเดี่ยว เขาพาไปดูห้องเดี่ยวก็ใช้ได้นะเลยเอาห้องเดี่ยวแล้วกัน ตอนแรกจะนอนห้องรวม แต่เขาไม่อยากให้เรานอนรวม ตกลงราคากันที่ 15$ รวมอาหารเช้า


เข้าห้องได้ก็งีบเลย ตื่นมาอีกที 9 โมงแล้ว รีบออกไปเดินหาของกินก่อน เราเดินไปที่ตลาดอูเนียง เห็นร้านนึงคนเยอะน่ากินดี แถมเมนูยังมีรูปให้ดูด้วย free wifi ไม่รู้จะสั่งอะไรก็ข้าวผัดอีกละ ร้านนี้ออกมาดูน่ากินมาก อร่อยด้วย กาแฟที่นี่เป็น 3 in 1 นะ แถมเป็นยี่ห้อมาจากบ้านเราทั้งนั้นเลย มื้อนี้โดนไป 2,000 kyat

อิ่มแล้วขอเดินย่อยอาหารก่อน ก็เดินชมตลาดทั้งตลาดสดและตลาดขายของที่ระลึก เห็นตุ๊กตาหุ่นชักแบบพม่า เราอยากได้มานานแล้ว ก็เลยถามราคา ตอนแรกเปิดมาตัวใหญ่ 10,000 กลาง 8,000 และเล็ก 6,000 kyat ก็เริ่มต่อราคาไซส์กลางได้ 7,500 เราซื้อ 4 ตัวสรุปปิดที่ 20,000 kyat

ได้ของถูกใจในราคาถูกใจก็เดินกลับที่พัก เอาของมาเก็บ ลงมาเช่าจักรยานเพื่อลุยไปเมืองเก่าบากันสักที ตอนนี้เวลา 10 โมงนิดๆ ค่าเช่า 1,000 kyat จากนั้นก็ลุยเลย จากที่พักออกไปทางตลาดอูเนียง แต่เลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าเขตเมืองเก่า จุดแรกก็เจอเจดีย์ชเวซีโก่ง หาที่จอดร่มๆ ลงมาตรงทางเข้าหยิบโสร่งมานุ่ง คนพม่าก็นั่งดูเราใส่ พอผูกเสร็จ เขาก็ส่งเสียงคุยกันพร้อมยิ้มให้เรา (ถ้าไม่คุยกันว่าใส่ผิดก็คงแปลกใจที่เราผูกเป็น) จะบอกว่าเราให้พนักงานที่โรงแรมสอนมาแล้วเลยพอผูกได้แต่ไม่สวยเท่านั้นเอง ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม ก็เดินลุยไปเรื่อยๆ มีคนพยายามจะขายดอกไม้เรา แต่เราก็ปฏิเสธจนยัดใส่มือในแขนเราเลย ยื่นคืนไปบอกว่า no พร้อมหน้ายักษ์ด้วย แต่สุดท้ายก็ใจอ่อนเสียไป 3 กำใหญ่ 1,000 kyat เดินชมรอบๆ ก็มีเด็กมาเดินตามแอบดูเราถ่ายรูป เราก็ให้ลูกอมคาราเมลไป สักพักก็มาอีก เราวางกล้องไว้ เด็กก็หยิบไปถ่ายรูป เหมือนอยากจะถ่ายให้เราด้วย ยื่นให้เด็กเป็นค่าขนมไป 200 kyat เด็กก็ดีใจวิ่งไปเลย (ดีนะน้องไม่ไปตามพวกมา)

ลงมาถามทางไปเมืองเก่าบากันได้ความว่าปั่นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอเอง ปั่นท่ามกลางแสงแดดที่สดใสมาก เลยจุดที่เป็นโรงแรม guest house ร้านอาหารมาก็เจอแล้วเจดีย์เก่า


ยิ่งปั่นไปเรื่อยๆ ก็เจอทุ่งทะเลเจดีย์มากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มสนุกละ อันไหนปีนขึ้นไปได้ก็ปีน อันไหนไม่ได้ก็ไม่ขึ้น

ปั่นไปจนอาทิตย์ตกเลย ทุ่งทะเลเจดีย์เหล่านี้ดึงดูดเรามาก

ถึงเวลาต้องกลับแล้วลืมติดไฟฉายมาด้วยสิ ก็รีบปั่นออกมาจากทุ่งเจดีย์ มีหลงอยู่ในไร่ของชาวบ้านที่นั่นอีกกว่าจะออกมาถึงถนนใหญ่ได้นี่มืดมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมกลับอีก แวะวัดก่อนเห็นคนพม่าเข้าวัดนี้กันเยอะ

ปั่นกลับมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ คืนจักรยาน บอกว่าพรุ่งนี้ขอ e-bike เขาบอกได้เลย มารับได้ตอนตี 5 เราก็ขึ้นไปอาบน้ำ เตรียมออกไปลุยตลาดหาของกินแบบคนพื้นเมือง และแล้วเราก็ได้ชิมบะหมี่ที่นี่ ราคา 500 kyat อร่อยดี นั่งร่วมกับคนพม่า เรามองเขาปรุงแต่ก็ไม่ได้ปรุงตาม

อิ่มแล้วก็เดินหาร้านกาแฟสักหน่อยแต่มันปิดไปหมดแล้ว กลับห้องนอนตอน 3 ทุ่มครึ่ง นอนเอาแรง เพราะทีวีที่นี่ฟังไม่ออก

เช้าวันที่ 3 ตื่นมา 4:45 ได้แค่ล้างหน้าแปรงฟันนะ จากนั้นก็ลงมา อ้าว...ประตูโรงแรมยังไม่เปิดแถมพนักงานยังหลับอยู่อีก เอาไงดีจะปลุกดีไหมนะ สักพักเราก็เดินไปดูที่ประตูมันแค่เอากลอนลงแล้วก็เปิดได้เลย ออกมาร้านที่เช่า e-bike บอกว่าจะเอารถมาคืน 4 โมงกว่าๆ จ่ายค่าเช่า 5,000 kyat รอบนี้สบายแล้วบิดอย่างเดียว แต่อย่าคาดหวังนะว่ามันจะเร็ว เร็วกว่าจักรยานหน่อยเดียว แค่ไม่ต้องปั่นเท่านั้น เป้าหมายเช้านี้จะไป เจดีย์บูเลดี ดูอาทิตย์ขึ้นพร้อมดูสายหมอกอ่อนๆ ในทุ่งทะเลเจดีย์

วันนี้โชคดีที่บอลลูนขึ้นหลายลูกก็เลยได้รูปมาด้วย

พอแดดเริ่มมากขึ้นเราก็ลงไปลุยทุ่งเจดีย์ต่อด้วยน้อง e-bike คันนี้

เจอวัดนี้บูรณะจนใหม่มาก หมดสภาพความเก่าแก่ไปเลย บูรณะโดยประเทศหนึ่งที่ไม่คิดว่าเขาจะเข้าใจความงดงามของโบราณสถาน

ท้องร้องประท้วงแล้วก็แว้นซ์กลับมาโรงแรมกินมื้อเช้าที่เขาจัดให้ ดูน้อยๆ แบบนี้จะบอกว่าอิ่มมาก เราไม่ชอบกินกล้วยก็เลยคืนเขาไป

อิ่มแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำเก็บกระเป๋าลงมาฝากข้างล่าง แว้นซ์มาที่วัดติโลมินโล

วัด Sulamani

วัด Ananda

วัด Shwegugy

วัด Mya Zedi

รถม้าที่เป็นเสน่ห์ของบากัน แต่เราไม่ได้นั่ง

ถึงเวลาเอารถกลับมาคืน พร้อมทั้งขออาบน้ำ นั่งรอรถมารับไปสถานีขนส่ง นั่งรอนานมาก สุดท้ายก็มีคนขี่มอเตอร์ไซค์มารับ ชี้หน้าเราว่ารับคนนี้คนเดียว บริการถือกระเป๋าให้บอกว่าจะได้ไม่หนัก ขี่กันไปแบบสบายอารมณ์มากๆ ไม่รีบไม่ร้อนคุยกันไปด้วย พอไปถึงก็รอเวลารถออก สภาพเราตอนนี้เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ เพราะมันร้อนมากๆๆๆๆๆๆ พอถึงเวลารถก็ออกตรงเวลามากๆ แต่รอบนี้สิมีเก้าอี้เสริมตรงกลางอีกแถว ส่วนเราได้นั่งที่นั่งปกติ ขากลับนี่แปลกมากไม่แวะศูนย์อาหาร Pioneer แต่แวะอีกจุดดูธรรมดากว่าแต่ห้องน้ำสะอาดกว่า 4 ทุ่มแล้วก็เลยลองโรตีกับชานมสักหน่อย มาพร้อมซอสถั่วก็อร่อยดี

ขึ้นรถได้ก็หลับต่อ มาตื่นอีกทีเพราะเขาจอดให้ยิงกระต่ายข้างทางเลย แต่ละคนก็ส่องกันใหญ่ เราก็ด้วย ส่วนผู้หญิงแยกไปอีกมุมนั่งเก็บดอกไม้กันไป รถมาถึงสถานีขนส่งที่ย่างกุ้ง ตี 5 วันนี้เราตั้งใจจะไปไจ๊ทีโย หรือพระธาตุอินทร์แขวนต่อเลย ก็ถามหารถที่จะไปจากคนแถวนั้น เดินไปเดินมาไกลเหมือนกัน เพราะคิวรถนี้อยู่ด้านหน้าอีกด้านของสถานีเลย พอไปถึงได้ตั๋วรอบ 7 โมง เราก็ฝากกระเป๋าเดินออกหาของกินก่อนเดินทางต่อ กลายเป็นอาหารชี้พร้อมกาแฟ มื้อนี้แพงอะ 2,400 kyat แถมไม่ปลื้มเลย

ถึงเวลารถออกตรงเวลา นั่งชมวิวไปสักพักก็หลับต่อไป

พอถึงคินปุนแคมป์ก็คือจุดที่เราตรงลงต่อรถเพื่อขึ้นไปไจ๊ทีโย ลงรถปุ๊บก็ซื้อตั๋วกลับปั๊บ จากนั้นเราก็เดินไปจุดขึ้นรถ ที่หลายๆคนเรียกรถขนหมู เราไปมันมีป้ายบอกชัดเจนเป็นตัวเลข 1,500 kyat กับ 2,500 kyat นอกนั้นเป็นภาษาพม่า ก็เดินตรงไปรถคันที่มีคนเต็มแล้วขอเบียดไปด้วยอีกคน เด็กรถถาม 2,500 OK? เราก็ตอบโอเค แล้วเขาก็พูดภาษาพม่ากันสุดท้ายเขาบอกว่าให้เรานั่งตรงกลาง ส่วนกระเป๋าเราเขาเอาไปไว้ด้านหลังให้ ทุกคนบนรถเป็นมอญหมด แซวเราสนุกสนานเลยเชียว (ฟังไม่ออกนะ งงมาก) เราก็แค่หันไปยิ้มให้ แล้วรถก็ออก กลายเป็นว่าทั้งรถสนุกสนานมาก เราก็เล่นกับเด็กไม่น่าจะถึง 2 ขวบข้างๆเรา แล้วก็ถึงจุดจอดรอให้รถสวนลงก่อน ทั้งรถก็สนุกกันใหญ่ถ่ายรูปกัน แล้วก็ให้เราร่วมเหตุการณ์ของเขาด้วย มีหรือเราจะอาย เราก็ยิ้มแล้วชูนิ้วไปด้วยทุกกล้องจนครบ หลังจากนั้นบรรยากาศยิ่งเป็นกันเองมากขึ้น จนถึงด้านบนของไจ๊ทีโย อ้าว...ที่อ่านมาต้องเดินต่ออีกเยอะเลยหนิ แล้วทำไมเดินแค่นิดเดียวเองก็ถึงจุดเก็บค่าเข้าแล้ว จ่ายไป 6$ แล้วก็เดินออกมาหาโรงแรมเพื่อจะนอนที่นี่สักคืน ถามที่แรก 150$ โห...โหดมากเดินออกเลย เจอคนที่ขึ้นรถคันเดียวกันเราก็เลยถามเขาว่ามีที่พักถูกๆ ไหม อยากนอนบนนี้สักคืน เขาพาเรามาที่ Yoe Yoe Lay guest house เจ้าของพาเราไปดูห้องเองเลย เปิดห้องให้ดูก็มีเตียง ทีวี พัดลม น้ำอุ่น 20,000 kyat เราก็เลยตกลงนอนนี่ก็ได้ เพราะคิดว่าเราก็แค่มีที่อาบน้ำก็พอ จ่ายเงินเสร็จก็อาบน้ำเลย ออกมาก็ถือโสร่งไปให้พนักงานผูกให้อีก รอบนี้เขาผูกสวยมาก เรายังชอบเลย จากนั้นก็ถึงเวลาสักการะพระธาตุอินทร์แขวนก็เดินลุยขึ้นไป บริเวณลานด้านบนของไจ๊ทีโย

พระธาตุอินทร์แขวนในมุมต่าง ๆ

ออกเดินซนไปเรื่อยลงไปทางบันไดอีก 2 ด้านด้วย และแล้วเราก็เจอจุดที่คนจ่าย 1,500 kyat ลงแล้ว บอกเลยว่าทางขึ้นเขาโหดมาก ยอมจ่าย 2,500 kyat เถอะ สะดวกและง่ายกว่า เล่นเอาเกือบไม่ไหวเหมือนกันนะ จากนั้นก็เดินกลับขึ้นมาด้านบน เดินวนจุดต่างๆ รอบๆไจ๊ทีโย

แล้วเราก็กลับมานั่งนิ่งๆ ดูความศรัทธาของชาวมอญที่มีต่อไจ๊ทีโยตั้งแต่บ่าย 4 ยัน 1 ทุ่ม คนมอญเวลาที่เขาเข้าวัดจะตั้งใจสวดมนต์ ทำสมาธิมากๆ

ตั้งแต่เรานั่งดูวิถีความเชื่อของเขาจนกระทั่งเกือบ 6 โมง ทัวร์คนไทยกลุ่มใหญ่ ๆ 4 กลุ่มก็มา แล้วก็มาพร้อมเสียงดังมาก เรายังตกใจเลย คนมอญที่เขากำลังทำสมาธิสวดมนต์อยู่ก็หยุดหันมามองนะ เรานี่หน้าชาเลย อายมาก พูดไม่ออก ขอนั่งนิ่งๆ แล้วกัน ทั้ง 4 กลุ่มนั้นมาถึงก็เริ่มต้นความวุ่นวายทันที ถ่ายรูป ส่งเสียงตะโกนเรียกกันเหมือนโลกนี้มีแค่กลุ่มพวกเขา แถมท้ายด้วยการเข้าไปในส่วนที่มีป้ายผู้หญิงห้ามขึ้น เราบอกเขาว่ามีป้ายบอกไว้ผู้หญิงห้ามขึ้นครับ แล้วเราก็เดินออกมาเลย อายมากที่คนกลุ่มพวกนี้ไม่รักษากติกาของสถานที่ที่ไปเที่ยวเลย เขาวุ่นวายกันแค่ช่วงสั้นๆ 30 นาที แต่เป็น 30 นาทีที่สุดๆ มาก พอกรุ๊ปทัวร์ไปก็ถึงเวลาสงบและสวยงามของไจ๊ทีโยแล้ว

เรานั่งดูผู้คนแล้วก็ช่วยถ่ายรูปให้กับคนที่อยากถ่าย แค่เห็นรอยยิ้มของคนที่ได้รูปถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้างเราก็ยิ้มออกแล้ว แต่ภาพที่ฟินที่สุดแล้วทำให้หัวใจพองโตมากคือ ลุงกับป้าคู่หนึ่งมาให้ไกด์ที่เป็นคนมอญถ่ายรูปให้ พอแกเห็นรูปแกยิ้มมีความสุขมาก

ความศรัทธาของชาวมอญหลังอาทิตย์ตกดินมีการสวดมนต์เหมือนทำวัตรเย็นบ้านเรา แล้วก็จะจุดเทียนเพิ่มความสว่างไสวให้กับชีวิตด้วย (ถามคนแถวนั้นแล้วได้คำตอบประมาณนี้)

หลังจากนั้นเราก็เข้าห้องไปนอน เพราะตั้งใจจะออกมาอีกทีช่วงเที่ยงคืน แต่ไม่ตื่นตื่นมาอีกทีตี 3 แล้วก็เลยรีบออกมา พอเปิดประตูปุ๊บก็ต้องปิดทันทีแล้วก็หยิบเสื้อหนาวมาใส่ ดีนะที่ติดมาด้วย 1 ตัวไม่งั้นคงไม่ได้ออกมา เดินมาถึงลานด้านบนเงียบมาก สงบสุดๆ เห็นคนมอญนอนกันเป็นจุดๆ ห่มผ้ากันหนาเชียว เราก็เดินวนถ่ายรูปอีกครั้งในช่วงไร้ผู้คน

พอตี 5 ก็มีร้านมาขายของกินเลยอุดหนุน 1 จานในราคา 200 kyat อร่อยใช้ได้เชียวแต่มันอีกแล้ว

6 โมงกว่า อาทิตย์ขึ้นแล้ว

จากนั้นก็ไปจัดมื้อเช้าง่ายๆ สบายท้อง

ระหว่างนั่งจิบกาแฟคนมอญที่เมื่อวานขึ้นรถคันเดียวกันก็เดินมาทักทายบอกว่าไปก่อนนะ โชคดีและปลอดภัยในการเที่ยวพม่านะ ดีใจที่เขามอบไมตรีให้เรา


กลับเข้าห้องเก็บของเพราะเปลี่ยนใจแล้วจะลงเช้านี้เลย เพราะ คนไทยก็ตามมาเสียงดังต่อตอนเช้าอีก ก่อนลงเราก็ไปปิดทองพระธาตุอีกครั้ง บริเวณพระธาตุก็ห้ามผู้หญิงเข้า หากใครอยากปิดทองก็ให้ฝากผู้ชายติดได้ และบริเวณด้านในห้ามถ่ายภาพใดๆทั้งสิ้น

ขาลงก็เหมือนเดิม เราเลือกขึ้นคันที่คนเยอะจะได้ออกก่อน รอบนี้ออกพร้อมกัน 2 คันเลย เต็มทั้ง 2 คัน ขาลงก็เร็วกว่าขาขึ้นหน่อย เกือบลืมก่อนไปเราก็อ่านหลายๆ กระทู้มีแต่บอกว่าทางโหดมาก โหดกว่าเขาคิฌชกูฎอีก เราว่าเกินจริงไปนะ ทางดีมากๆ แค่ที่นี่รถมันใหญ่กว่า ความรู้สึกมันเลยน่ากลัวกว่ามั้งนะ ชิลล์มากแทบไม่ต้องจับเลย ส่วนที่คิฌชกูฎไม่จับก็ตกนะ พอลงมาถึง 10 โมงแล้วก็รีบวิ่งไปที่ท่ารถเลยขอเปลี่ยนตั๋วจากบ่าย 2 เป็น 10 โมง พอดีมีที่นั่งว่างเขาเลยให้เปลี่ยน ขากลับมาย่างกุ้งติดเที่ยงพอดีรถจอดให้กินเที่ยงก่อนด้วยนะ เป็นห่วงสุขภาพผู้โดยสารจริงๆ พอรถมาถึงสถานีขนส่งย่างกุ้ง เราก็เดินหากาแฟกินก่อนไปลุยชเวดากองอีกครั้ง


เราได้ร้านกาแฟใกล้ๆ กับท่ารถนั่นแหละเห็นคนเยอะดี เห็นเขามีขายข้าวแกงด้วยในหนังสือที่เราพกมาบอกว่าข้าวแกงอร่อย เราก็อยากลองบ้างสั่งแกงเนื้อกับมัสมั่นไก่ ปรากฏว่ามันมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ไหวจริงๆ และที่ร้านนี้เขาเอาลูกมาช่วยเสิร์ฟไม่น่าจะเกิน 12 ขวบ น้องมันมองหน้าเราตลอดเวลาพร้อมกับยิ้มให้ เราก็งงสิ ทำอะไรผิดป่าวนี่ นั่งพักจนหายเหนื่อยแล้วก็ถึงเวลาต่อรองกับแท็กซี่อีกแล้ว รอบนี้ส่งอย่างเดียวที่ชเวดากอง 5,000 kyat ก็พอรับได้นะ ไกลอยู่เหมือนกัน พอไปถึงเราถามว่าจากที่นี่ไปสนามบินราคาที่เหมาะสมเท่าไหร่ เขาก็บอก 5,000 kyat หึหึ มีแนวแล้ว ไม่โดนฟันแน่


การกลับมาชเวดากองรอบนี้ตั้งใจจะเดินให้ทั่วมากขึ้น และอยู่รอจนชเวดากองเปิดไฟ รอบนี้มาพร้อมสัมภาระแถมใส่ขาสั้นอีกด้วยก็เลยต้องค้นโสร่งออกมาให้เจ้าหน้าที่ผูกให้อีก เราเลยฝากสัมภาระของเราไว้ที่ตู้เก็บค่าเข้าเลย สบายละเดินตัวปลิวเลย เรามาถึงชเวดากองบ่าย 3 ก็เดินไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบก็มีไกด์เถื่อนมาเสนอตัวแบบเดิมเลย (คิดในใจเสียค่าโง่ได้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ)

และแล้วก็เปิดไฟแล้ว อาทิตย์ตกไปแล้ว

มองดูเวลาแล้วสมควรต้องไปนั่งรอที่สนามบินได้แล้ว ก็รีบกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ ขาลงรอบนี้ขอใช้ลิฟท์แล้วกันนะเพื่อประหยัดเวลา เดินออกมาหาแท็กซี่บอกไปสนามบินโดนเรียกที่ 8,000 เลยก็บอกว่าขามายังแค่ 5,000 เอง (เพราะแอบถามแท็กซี่คันก่อนหน้ามาแล้ว) สุดท้ายตกลงกันที่ 5,000 kyat รถติดเอาเรื่องอยู่นะ เราออกมาจากชเวดากอง 1 ทุ่มนิดๆ แอบเปลี่ยนเสื้อในแท็กซี่อีกแล้ว รอบบนี้ใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ แถมด้วยถือถุงพลาสติกใสใส่ของที่ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีก มาถึงสนามบิน 2 ทุ่มครึ่ง เราก็ตรงไป check-in ทันที ขากลับเราก็ใช้บริการนกแอร์อีกครั้ง ป้ายด้านบนเคาน์เตอร์แยกประเภทไว้เป็นกรุ๊ปทัวร์ กับ economy ซึ่งเปิดไว้ 3 ช่อง กรุ๊ปทัวร์ก็เนียนมาเข้าแทรกกับผู้โดยสารปกติด้วย เราเลยย้ายแถวไปแถวที่สั้นกว่า พอถึงเราพนักงานที่บอกให้ต่อแถว กรุ๊ปทัวร์ที่คนแน่นๆ แล้วก็เรียกผู้โดยสารที่แต่งตัวดีมา check-in ตอนนั้นปรี๊ดเลยนะ ทำงานบริการแล้วเลือกให้บริการลูกค้าหรอ หรือว่าเราแต่งตัวเหมือนมาขอตั๋วฟรีเลยไม่อยากบริการ แถมที่นั่งที่จัดให้ก็ให้เราไปอยู่ในดงกรุ๊ปทัวร์ที่คุยกันเสียงดังแบบไม่มีความเกรงใจเลย ทริปนี้เราไม่ประทับใจพนักงานภาคพื้นที่สนามบินย่างกุ้งมาก เดี๋ยวเดือนหน้าไปใหม่เราได้ตั๋วของแอร์เอเชียละ ขอทดสอบด้วยสภาพเดียวกันอีกทีว่าจะเลือกปฏิบัติไหม


ก่อนจากสนามบินย่างกุ้งมาก็เก็บภาพเรือการเวกในสนามบินมาด้วย

สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริปนี้ 7,590 บาท มีของติดไม้ติดมือกลับบ้านมากมาย ทั้งตุ๊กตาหุ่นเชิดพม่า ภาพวาดพ่นทราย โสร่ง ทานาคา


ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่

เพจ : ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

IG : prapat / ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว


ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

 วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.49 น.

ความคิดเห็น