แม้จะอยู่ใกล้ แต่กว่าเราจะหาทางเข้าสู่มหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon) ก็เดินหลงไปไกลพอดู ซึ่งนั่นทำให้แทนที่เราจะเข้าสู่องค์เจดีย์ทางทิศใต้ ซึ่งเป็นทางเข้าหลัก ที่มีบันไดเลื่อนสำหรับขึ้นไปยังองค์เจดีย์ที่ตั้งอยู่บนเนิน (อีกทั้งยังมีโต๊ะเก็บเงินสำหรับชาวต่างชาติ) เรากลับเข้าทางทิศตะวันออก ทำให้การเข้านมัสการมหาเจดีย์ชเวดากองของเราจึงไม่ต้องเสียค่าเข้าจำนวน 5 เหรียญสหรัฐ

เราเดินขึ้นไปตามบันไดที่เพดานและเสาแต่ละต้นนั้นประดับลวดลายไว้อย่างวิจิตร เมื่อบันไดขั้นสุดท้ายถูกเราข้ามผ่าน มหาเจดีย์ชเวดากองก็ปรากฏให้เราเห็นแบบเต็มๆ แม้ในวันนี้องค์เจดีย์จะอยู่ระหว่างการบูรณะ โดยมีไม้ไผ่ตีเป็นตาข่ายจากกลางองค์เจดีย์จนถึงยอด แต่ความงดงามขององค์เจดีย์สีทองยามต้องแสงตะวันก็ยังคงฉายชัด นั่นเป็นเพราะ สีทองขององค์เจดีย์นั้นเกิดจากทองคำแท้ที่ถูกตีเป็นแผ่น และการบูรณะที่เกิดขึ้นในช่วงที่เรามานี้ ก็เพื่อนำแผ่นทองคำที่หุ้มองค์เจดีย์มาขัดล้าง เพื่อให้มหาเจดีย์ชเวดากองยังคงงามผุดผ่องไปนานเท่านาน

พูดถึงแผ่นทองคำที่หุ้มมหาเจดีย์ชเวดากอง ข้อมูลของประเทศพม่าระบุว่ามีถึง 9272 แผ่น แต่ละแผ่นมีขนาด 1 ตารางฟุต รวมน้ำหนักแล้วมากถึง 5004 ออนซ์ จึงทำให้คนไทยหลายคนชวนคิดว่า ส่วนหนึ่งของทองคำเหล่านั้นจะใช่ทองคำที่ถูกหลอมมาจากปราสาทราชวังและพระพุทธรูปคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 หรือไม่

เรื่องนี้อาจไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจน เพราะตั้งแต่ครั้งอดีต กษัตริย์ทั้งพม่าและมอญ ถือเป็นราชประเพณีที่ต้องบูรณะต่อเติมให้มหาเจดีย์องค์นี้มีความยิ่งใหญ่ และงดงามขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในราชประเพณีนั้นคือการบริจาคทองคำ โดยเริ่มจากสมัยพระนางชินสอบู กษัตรีย์ชาวมอญ ที่ครองกรุงหงสาวดี ในช่วงปีพ.ศ.1996-2015 ได้บริจาคทองคำเท่ากับน้ำหนักของตนเอง ส่วนพระเจ้าธรรมเจดีย์ ผู้ที่ครองราชย์ต่อมา ได้บริจาคทองคำมากถึง 4 เท่าของน้ำหนักพระองค์ และประเพณีการบริจาคทองคำนั้นก็ยังคงสืบต่อมาเรื่อยๆ ไม่ว่ากษัตริย์ผู้ครองแผ่นดินนี้ จะเป็นชาวมอญ หรือ ชาวพม่าก็ตาม ระยะเวลาที่ผ่านมานับร้อยๆปี แรงแห่งศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้หล่อหลอมทองคำเหล่านั้น ซึ่งไม่ว่าจะมาจากแหล่งใดก็ตามให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

เราเดินผ่านเจดีย์สีทององค์เล็กองค์น้อยที่มีมากถึง 68 องค์ที่สร้างเรียงรายรอบฐานมหาเจดีย์ชเวดากอง เจดีย์แต่ละองค์ล้วนมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ มองเจดีย์องค์เล็กองค์น้อยเหล่านี้แล้วอดคิดถึงเมื่อครั้งแรกสร้างชเวดากองไม่ได้ เพราะเมื่อราวสองพันปีก่อน มหาเจดีย์องค์นี้มีขนาดเล็กมาก โดยมีความสูงเพียง 8 เมตรเท่านั้น ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเวลาที่ผ่านมา จะทำให้เจดีย์องค์เล็กนี้ กลายเป็นมหาเจดีย์ที่สูงใหญ่ถึง 98 เมตร อีกทั้งบนยอดเจดีย์ยังประดับด้วยเพชรพลอยและอัญมณีเป็นจำนวนมาก ซึ่งอัญมณีเหล่านี้มิได้เกิดจากการบริจาคของกษัตริย์เท่านั้น หากแต่เกิดจากแรงศรัทธาของประชาชน ที่นำเพชรพลอยมาบริจาคคนละเล็กคนละน้อย จนทำให้บนยอดชเวดากองมีเพชรพลอยและอัญมณีรวมแล้วกว่า 7 พันเม็ด หนึ่งในนั้นคือเพชรที่มีน้ำหนักถึง 76.6 กะรัต

บนลานกว้างทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมหาเจดีย์ชเวดากอง เต็มไปด้วยชาวพม่านับสิบนับร้อยคน บ้างก็นั่งสมาธิ บ้างก็สวดมนต์อธิษฐานต่อมหาเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งเป็นดั่งศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณของพวกเขา ซึ่งเชื่อกันว่า หากอธิษฐานสิ่งใดบนลานนี้ คำอธิษฐานนั้นจะสัมฤทธิ์ผล ยิ่งเวลาเคลื่อนตัวจากยามเย็นเข้าสู่ยามค่ำ แทนที่ผู้คนบนลานนี้จะลดน้อยลง แต่กลับเพิ่มมากขึ้น

คนต่างถิ่นอย่างผม คงไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่า ชาวพม่าอธิษฐานสิ่งใด แต่หากคำอธิษฐานนั้น คือการขอให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ท่ามกลางการเรียกร้องประชาธิปไตยยังคงโหมกระหน่ำอยู่ตลอดเวลา ผมก็ขอให้คำอธิษฐานนั้นเป็นจริง และขอให้วันฟ้าใส ได้หวนคืนกลับมาสู่ผู้คนบนดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง

เราเดินออกจากลานอธิษฐาน ในเวลาที่มหาเจดีย์ชเวดากองถูกอาบไล้ไปด้วยแสงไฟ จนแผ่นทองคำที่หุ้มองค์เจดีย์สุกปลั่งจนเหลืองอร่ามท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด แต่อีกไม่นานพระอาทิตย์จะหวนคืนกลับมาในเช้าวันใหม่ เช้าวันที่ท้องฟ้าจะกลับมาสดใสอีกครั้ง แต่ในชีวิตจริง จะต้องใช้เวลาอีกนานสักเท่าไหร่ ที่ท้องฟ้าแห่งชีวิตจะกลับมาสดใสอีกหน

หมอกหนาแผ่ตัวปกคลุมสนามบินมิงกะลาดง จนภาพที่มองจากกระจกแผ่นใหญ่ของห้องพักผู้โดยสาร มีเพียงสีขาว เสียงประกาศจากสนามบินดังเป็นครั้งที่ 3 เพื่อแจ้งถึงการเลื่อนเวลาบิน ของทุกๆเที่ยวบินที่มีกำหนดออกในช่วงเวลานี้ เมื่อไหร่นะ สายหมอกขาวจะจางหายไป เผยให้เห็นท้องฟ้าสดใส ที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง เมื่อไหร่นะ การเดินทางที่เฝ้าคอยจะเริ่มขึ้น ...

 ในระหว่างที่นั่งรอการประกาศขึ้นเครื่อง แท่งถามผมว่า ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ผมทำได้อย่างไร ที่ยังคงตะลอนท่องไปในเมืองพม่าได้ ทั้งๆที่เป็นไข้หนักขนาดนี้


ผมได้แต่ยิ้ม โดยไม่มีคำตอบ แต่หากการเดินทางครั้งนี้ ทำให้ผมได้รู้ว่า ร่างกายของคนเรานั้นอ่อนแอแค่ไหน ในขณะที่จิตใจของคนนั้นเข้มแข็งเพียงใด และคำตอบสำหรับคำถามนี้ คงเป็นคำตอบเดียวกันกับหลายคำถาม ที่ผมเฝ้าถามตัวเองตลอดการเดินทางว่า สิ่งใดทำให้สิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทะเลเจดีย์อันกว้างใหญ่ของอาณาจักรพุกาม การล้างพระพักตร์ของพระมหามัยมุนีที่สืบต่อกันมานับร้อยปี การดั้นด้นเดินทางผ่านป่าเขาของผู้คนในอดีตเพื่อไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวน หรือแม้แต่การอดทนเฝ้ารอวันฟ้าใหม่ ที่จะสดใสกว่าอดีตที่ผ่านมาของผู้คนในดินแดนแห่งนี้


จิตวิญญาณ คือ คำตอบของคำถามเหล่านั้น เพราะหากจิตวิญญาณหมายถึง ตัวตนที่แท้จริง ซึ่งซ่อนอยู่ในจิตใจของมนุษย์ สิ่งต่างๆอันเป็นที่มาของคำถามเหล่านั้นก็ล้วนมาจากจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา ที่ซ้อนอยู่ในจิตใจและฝังรากลึกอยู่กับผู้คนบนดินแดนแห่งนี้ มานานนับพันปี
และจิตวิญญาณในการเดินทางที่ซ่อนอยู่ในตัวผมนี้เอง ที่ผลักดันให้ผมสามารถเดินทางต่อได้จนถึงวันสุดท้ายในแผ่นดินพม่า แม้ว่าร่างกายจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอเพียงใดก็ตาม
สายหมอกค่อยๆจางหายไป เผยให้เห็นท้องฟ้าที่สดใส พร้อมๆกับเสียงประกาศภายในสนามบิน แจ้งว่าเครื่องบินที่จะเดินทางสู่ประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะทะยานสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ...


ผมหยิบเป้ขึ้นสะพายหลังอีกครั้งพร้อมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด และค่อยๆคลายลมหายใจออกอย่างแผ่วเบา เพื่อชะล้างความเหนื่อยล้าจากการเดินทางในช่วงหลายวันที่ผ่านมา การเดินทางครั้งสำคัญ ที่ทำให้ผมได้รับรู้ว่า ในหัวใจดวงน้อยๆนี้ มีบางสิ่งที่มีกำลังมากกว่าที่คาดคิด ซ้อนอยู่ในนั้น

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 11.36 น.

ความคิดเห็น