เพราะ เอาแต่ใจไปย่าติง หลังจากที่แวะเที่ยวเมืองรายทางแบบค่ำไหนนอนนั่น พร้อมกับปรับสภาพร่างกาย ตามถนนหมายเลข G318 ด้วยเวลา 3 วัน 3 คืน พวกเราก็มาถึงถึงเมือง Riwa หรือปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Shangri-La ซึ่งเมืองนี้อยู่ห่างจากอุทยานย่าติง 40 กิโลเมตร พักเมืองนี้ละจะได้เดินเที่ยวในเมืองได้ด้วย คนขับรถพาไปเลือกโรงแรม ถ้าเราพอใจราคาและความสะอาดก็เลือกเลยค่ะ เมืองนี้โรงแรมเยอะมากจริงๆ มีที่กำลังก่อสร้างใหม่อีกเพียบ เราพักที่เมืองนี้ 3 คืน ไม่เรื่องมากค่ะ คนขับเลือกมาเป็นอย่างดีเพราะเค้าโทรถามเพื่อนแล้ว ราคาห้องละ 150หยวน สะอาด ห้องน้ำดี อยู่ริมถนนที่รถบัสเข้าย่าติงผ่าน ขากลับเราแวะลงที่โรงแรมได้เลย
ใครยังไม่อ่านตอนแรกก่อนจะมาถึงย่าติง คลิกอ่านได้นะคะ ธารน้ำแข็งไห่โหลวโกว (Hailuogou Glacier Park) https://th.readme.me/p/10673
เส้นทางของทริปนี้
Chengdu - Ya'-an - Luding - Moxi - Hailuogou - Kanding - Xinduqiaozhen - Litang - Daocheng - Riwa, Shangri-La - Yading
เดินเที่ยวในเมือง Riwa เป็นการซ้อมเดินก่อนจะเดินในย่าติง :)
มีเด็กให้เล่นน่ารักๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ
เมื่อเจอร้านขายของชำ ก็ชอบเลยค่ะ ซื้อของกิน ของใช้ อะไรแปลกใหม่ก็ซื้อ ตุนของกินไว้กินด้วย
โยเกิร์ตนมจามรีที่นี่อร่อยมาก ซื้อกินทุกเช้าเย็นเลยค่ะ ขวดนี้ราคา 5หยวน
และไอศครีมสตอเบอร์รี่นี้ ก็อร่อย ถึงแม้จะหนาวก็ใช้หนามยอกเอาหนามบ่ง กลัวร่างกายจะขาดน้ำตาล อิอิ
ต้องไม่ลืมกินปิ้งย่างแบบนี้ และเครื่องเทศหม่าร่า มาถึงถิ่นก็ต้องได้ลองนะคะ (ภาษาจีน หม่า=ชา , ร่า = เผ็ด)
ได้เวลาสนุกแล้วค่ะ การจะเข้าไปเที่ยวในอุทยานย่าติง จะมีรถบัสโดยสารของอุทยานจากเมือง Riwa เป็นสถานีเลยนะคะ ค่ารถบัส 120 หยวน ค่าเข้าอุทยานย่าติง 150 หยวน (ซื้อแบบเข้า 2 วัน) ด้วยระยะทาง 40 กิโลเมตร นั่งไต่เขารถประมาณ 1 ชั่วโมง
ระหว่างคนขับก็จะจอดจุดชมวิวนี้ให้แวะถ่ายรูป 10 นาที รีบลงไปกดชัตเตอร์แบบเร่งรีบ
ถ้าไม่พักในเมือง ก็สามารถพักที่หมู่บ้านระหว่างทางนี้ได้ค่ะ จะใกล้ย่าติง
มาถึงทางเข้าอุทยานย่าติงแล้วค่ะ ลืมบอก ย่าติง อยู่บนที่สูงระดับ 4,000 เมตร จุดที่สูงที่สุดเราจะเดินไปถึง สูง 4,700 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวมาเดินที่นี่เพื่อให้ตัวเองรอดปลอดภัยก็สำคัญมากค่ะ พวกเราแวะพักตามเมืองต่างๆ เพื่อปรับร่างกายเพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ชินกับที่สูง จะได้ไม่มีอาการแพ้ที่สูง ถ้าไม่มั่นใจว่าจะแพ้ที่สูงมั้ย ก็พกยาไดอะม๊อกซ์มากินด้วยนะคะ
สิ่งที่ต้องเตรียม
- เสื้อกันหนาว กันลม กันแดด กันฝน จัดไปให้ครบ และพร้อมจะถอดได้ตลอดเวลา เพราะอากาศที่นี่เปลี่ยนแปลงบ่อย
- หมวก แว่นกันแดด ร่ม ผ้าบัฟ ผ้าพันคอ แล้วแต่สะดวก
- รองเท้า Trekking สำหรับเดินป่าเดินเขา ต้องใช้รองเท้าที่เหมาะสม
- ไม้เท้า ไว้ช่วยค้ำตอนเดินขึ้นและลงทางชัน ช่วยบรรเทาให้เข่าทำงานน้อยลง
- ของกินที่ให้พลังงาน และที่มีน้ำตาล อย่างที่พวกเราเตรียมมาด้วย คือ อินทผาลัม กล้วยตาก ช๊อคโกแล็ต ลูกอม ขนมปัง (แอบหยิบตอนอาหารเช้าที่โรงแรม) ไข่ต้ม (สำคัญเพราะคืออาหารกลางวัน ในย่าติงไม่มีขายของกิน) ซีเรียลบาร์เพื่อให้อิ่มท้อง
- น้ำเปล่า น้ำจับเลี้ยง (ของชอบพวกเราเลย) หรือจะพกน้ำหวานที่ชอบกิน
- ยาสามัญประจำตัว ต้องห้ามลืมนะ ไม่ว่าจะ ยาแก้ปวด ยาหม่อง ยาลม ยาดม พลาสเตอร์ติดแผล
แผนที่ภายในอุทยานย่าติง พอจะเขียนเป็นไทยได้ประมาณนี้ จะบอกแต่ละจุดว่ามีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลเท่าไหร่ เรามีเวลาเที่ยวย่าติง 2 วัน จะมีเดินระยะสั้นกับระยะยาว วันแรกเราเลือกเดินระยะยาวก่อน ด้วยระยะทางไปกลับประมาณ 12 กิโลเมตร จุดที่สูงที่สุดที่เราจะเดินไปถึงสูง 4,700 เมตร คือ ทะเลสาบห้าสี แต่ไฮไลท์ของเส้นนี้คือทะเลสาบน้ำนม ที่อยู่สูง 4,600 เมตร ที่เราเลือกเดินระยะไกลในวันแรกนี้ก่อน เพราะเห็นท้องฟ้าโล่งโปร่งใส จะทำให้เห็นวิวได้สวย อีกทั้งให้เดินหนักในวันแรกก่อน วันที่สองจะได้สบายๆ ชิวๆ
จากจุดลงรถบัส เดินขึ้นมานิดนึง จะถึงจุดที่นั่งรถเข้าไปจุดเริ่มเดินระยะยาว นั่งรถเล็ก ค่ารถไปกลับ 80 หยวน ระยะทางเกือบ 7 กิโลเมตร
เจอฟ้าใสแบบนี้สู้ตายเลยค่ะ ลุยยยยยยย เริ่มเดินประมาณ 10 โมงกว่า มาดูว่าเราจะใช้เวลาเดินกี่ชั่วโมง
เดินเรื่อยๆ ห้ามซ่าห้ามซน ทำอะไรช้าๆ เพื่อความปลอดภัย
เป็นเอกลักษณ์เลยค่ะ ภูเขายอดนี้ที่ย่าติง
เดินวันนี้ด้วยสัมภาระเป้ใบนี้หนักประมาณ 5-6 กิโลกรัมได้นะคะ เลือกเป้สะพายก็เลือกให้เหมาะสมกับขนาดตัว เบา และให้มีตัวรัดสะโพกเพื่อกระจายน้ำหนัก จะได้ไม่หนักที่หลังอย่างเดียว
ไม่ทันไร กระโดดซะแล้ว เตือนไม่ฟังๆ
ทางราบสลับทางชัน เหนื่อยก็พัก ถ้ารู้สึกตัวว่า หายใจเร็ว ก็ให้หยุดพัก แล้วหายใจลึกๆ ยาวๆ อย่าฝืน เพราะยิ่งสูงอ๊อกซิเจนจะน้อย
คนเสื้อแดงนี้เท่าที่ได้คุยด้วย อายุประมาณ 60 กว่าปี ที่เจอนี้คือเค้าเดินจะไม่ไหว แต่ก็จะพยายามเดินไปให้ถึงทะเลสาบน้ำนม มีคนคอยช่วยพยุง นับถือใจแกเลยอ่า
มาถึงแว้ววววว ทะเลสาบน้ำนม สมคำร่ำลือ มันจะขาว เนียน สวยมาก
เข้าใกล้ทุกที น้ำเป็นน้ำแข็ง
ลั๊ลล๊า ลืมเหนื่อย
บอกว่าไม่ให้กระโดด แต่ทำไงได้นะคะ อดใจไม่ไหวจริงๆ ฮาๆ
น้ำเป็นน้ำแข็ง ลงไปเดินได้
นี่คือเหล่าผู้กล้าที่เดินทางมาถึงก่อน คนที่เหลือคาดว่าจะกลับตัวไปแล้ว เพราะบางคนสภาพร่างกายอาจจะไม่ไหว ถ้ารู้ตัวว่าไม่ไหวก็กลับตัวทันนะคะ
รู้จักมิตรภาพระหว่างเดินทาง เจอคนไทย 2 คนนี้ ทักทายหรือพูดคุยอะไรกันมากไปกว่า คำว่า เป็นยังไงบ้าง ไหวมั้ย เป็นอะไรหรือป่าว กินลูกอมมั้ย อินทผาลัมเราก็มีเยอะ สู้ๆ นะ ^_^ ผลัดกันถ่ายรูปให้ กลับมาลืมขอ Line ไว้ติดต่อ ถ้าผ่านมาเจอก็ทักทายได้นะคะ
มื้อเที่ยงของเราที่ทะเลสาบน้ำนม ไข่ต้ม 1 ฟอง (มือแอบเหี่ยว อิอิ)
เดินขึ้นไปอีกนิดส์นึง ทะเลสาบห้าสี จุดนี้ถือว่าเหนื่อยมาก เพราะเดินขึ้นเขา แต่ด้วยพลังไข่ต้ม สู้ไหวๆ
ทะเลสาบห้าสี ไม่รู้ห้าสียังไงอ่า หรือว่าเพราะน้ำน้อย สีเลยหายไปบ้าง ^_^
กลับลงมาเจอ ทะเลสาบน้ำนม มุมนี้สวยกว่า
จุดที่จะเดินกลับนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมง เราต้องลงไปให้ถึงรถบัสก่อนเวลา 6 โมงเย็น ดังนั้นต้องเดินลงอย่างเดียวเลย ห้ามแวะรายทางถ่ายรูป แต่ว่า ระหว่างที่เดินลง เจอเพื่อนในกลุ่มอีก 2 คนเพิ่งเดินขึ้นมาถึง เพื่อนบอกว่า เจอฝรั่งระหว่างทางบอกว่าอีกไม่ไกล ทะเลสาบน้ำนมมันสวยมาก ต้องไปให้ได้นะ มาแล้วต้องไปให้ถึง แล้ว 2 คนนี้ก็ต้องพยายามมาให้ถึง เราก็เลยต้องส่งน้องอีก 2 คนคอยอยู่ช่วยกัน แล้วที่เหลือเดินลงไปก่อนพร้อมแบกเป้ของเพื่อนลงไปด้วย กลัวเพื่อนจะหนัก :) ระหว่างเดินลง เจอกลุ่มคนไทยด้วยกันบางคนจะวูบไม่ไหว ก็ต้องช่วยกัน แบ่งอินทผาลัมและขนมให้กิน เป็นการลดภาระของเราเองด้วย อิอิ
ใกล้จะถึงจุดขึ้นรถ พวกเรามาถึงก็ 5 โมงเย็นแล้วค่ะ มองย้อนกลับไปข้างหลังท้องฟ้าแปรปรวนมืดมาเชียว จู่ๆ หิมะก็โปรยปรายลงมา แล้ว 4 คนที่ตามหลังละ ต้องเจอพายุหิมะนี้แน่นอน เริ่มเป็นห่วง แต่เราก็ต้องลงไปเพื่อแจ้งรถบัสว่ายังเหลืออีกกลุ่มคนไทย 4 คนที่ยังลงมาไม่ถึง ตอนแรกคนขับรถบัสจะไม่รอ เราต้องอ้อนวอนขอร้อง เพราะเราไม่รู้ว่าเค้าจะเป็นอะไรบ้างมั้ย
กระวนกระวายด้วยความเป็นห่วง อากาศก็หนาวเย็น และก็เริ่มจะมืด ถามคนที่ลงมาถึงท้ายๆ เค้าก็บอกว่าไม่เจอใครแล้วนะ ยังไงดีละเนี่ย จะเป็นอะไรมั้ย แต่สุดท้าย ก็มาถึงด้วยอาการอิดโรย ด้วยอากาศเบาบาง หนาว และเห็นว่ามีอาการวูบด้วย แต่น้องที่เราให้อยู่คอยช่วยเหลือ ได้เรียนหลักสูตร Rescue หรือการกู้ภัยช่วยชีวิต ทำให้รู้วิธีช่วยเหลือ และลงมาด้วยความปลอดภัย จบทริปนี้เค้าทั้งสองจะกลายเป็นคนที่แข็งแรงมากขึ้นทั้งกายและใจ ที่สามารถพาตัวเองเดินขึ้นไปที่ระดับความสูง 4,600 เมตรจากระดับน้ำทะเลและลงมาด้วยความปลอดภัย ถึงแม้จะช้าแต่ก็ถึง :)
แล้วอีกวัน ดูข่าวทีวีท้องถิ่น ได้ยินแว่วๆ ว่า มีข่าวคนไทยติดอยู่ในอุทยานย่าติง อิอิ เข้าไปอีกวัน เจ้าหน้าที่ต้องจำหน้าพวกเราได้แน่นอน
เช้าอีกวันต้องเข้าย่าติง เพื่อไปเดินระยะสั้น คลายกรด คลายเมื่อย จากที่เดินหนักเมื่อวาน เข้าย่าติงครั้งที่สอง ค่ารถบัสจะลดเหลือ 60 หยวน แต่ต้องโชว์บัตรเก่าของเมื่อวานให้เจ้าหน้าที่ขายตั๋วดูด้วยนะ รอบสั้นนี้ไม่ต้องนั่งรถเล็กละ ลงรถบัสก็เดินไปได้เลย จากแผนที่รูปเดิมข้างบนเราจะไปทางฝั่งขวานะคะ ระยะทางไปกลับประมาณ 3 กิโลเมตร ชิวๆ
วัดชงกู่
วันนี้มีเวลานาน ถ่ายรูปเพลินๆ
รูปแบบทางเดินจะทางราบสลับทางขึ้นบันได ก็หอบเหนื่อยอยู่นะ
เดินไปหาเขา
นั่งมองเขา
ทะเลสาบจั๋วหม่าลาชั่ว ลืมคำแปลเป็นไทย ^^
ใกล้ชิดเขา
ลงมาแวะไหว้พระที่วัดชงกู่
สถาปัตยกรรมแบบธิเบต
แรงงานสาว ถ้าใครคิดว่าตัวเองทำงานงานหนัก ต้องเจอพวกเค้า ดูสิ่งที่เธอแบกซิค่ะ ก้อนหินเพื่อนำไปสร้างโบสถ์ในวัดนี้ ยังมีคนทำงานหนักและลำบากกว่าเรา อย่าท้อๆ
แบ่งขนมที่เรามีให้พวกเธอ คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก แต่รับรู้ว่า พวกเค้ายินดีและยิ้มให้ด้วยความเต็มใจ คนให้ก็ปลื้มใจ
เจอเด็กมาให้เล่นด้วยอีกล่ะ แบ่งขนมลูกอมหมดตัวแล้วจริงๆ สั่งให้ทำท่าอะไรก็ทำ เด็กที่นี่น่ารักแบบริสุทธิ์ แก้มแดงจากอากาศที่หนาวเย็น เห็นแล้วก็อยากบอกน้องว่า อย่ายิ้มมากกลัวแก้มจะแตก อิอิ
จบทริปที่ย่าติง 2 วัน 3 คืน ได้อะไรมากกว่าที่เราคิด :) และก็ได้เวลากลับเฉิงตูเพื่อกลับเมืองไทย จากนี้ไปก็แวะพักอีก 2 เมือง คือ Litang และ Luding
เราออกเดินทางจากเมือง Riwa สายๆ หน่อย ก็ 9 โมงกว่า ระหว่างทางแวะเที่ยวยืดเส้น เข้าห้องน้ำ
วัดนี้ก่อนจะถึงเมือง Litang จำชื่อไม่ได้ แต่อยู่ริมถนนทางผ่าน
คืนนี้หาโรงแรมนอนที่เมือง Litang มีเวลาได้เดินเที่ยวในเมืองอยู่บ้าง เมืองนี้อากาศหนาวมากกกก เรายังไม่พ้นเขตหนาว เช้าก็ออกเดินทางไปเมือง Luding
ระหว่างทางแวะวัดได้อีก เจอจุดไหนน่าสนใจก็บอกให้คนขับจอด คนขับใจดีนะ แต่วัดนี้ก็จำชื่อไม่ได้อีกนั่นละ อิอิ
มีดอกซากุระ สวยๆ
เจอเด็กน้อยแววตาใส
แบ่งขนมให้เด็ก เค้าจะนิ่งมาก ขอถ่ายรูปก็นิ่ง
ชอบๆ เด็กคนนี้
ที่วัดนี้ก็มีเรื่องอีกแล้ว อีกกลุ่มเข้าไปไหว้พระที่โบสถ์นี้ แล้วลามะไม่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างในก็ปิดประตูโบสถ์แบบล๊อคกลอนเลยนะ ประตูที่นี่ก็อย่างหนา พวกเราถ่ายรูปอยู่ข้างนอก ก็ไม่ได้ยินเสียง คิดว่าก็คงจะไหว้พระอยู่ข้างใน อาจจะขอพรนานหน่อย ที่ไหนได้ โดนขังมืด อิอิ แต่พวกเขาก็หาวิธีเปิดประตูออกมาจนได้ รอดไป ^_^
ไปต่อๆ เมือง Luding
ได้ที่พักติดถนนใหญ่ใกล้กับชุมชนแหล่งท่องเที่ยว
เช้าๆ มีเวลาก็มาเดินเล่น
ได้เวลากลับเข้าเมืองเฉิงตู จาก Luding ไปถึง น่าจะประมาณบ่ายสาม แต่เราบินกลับ ตี 3 แล้วรถก็ส่งจบงานแค่สนามบิน (คนขับไม่สามารถพาเข้าเมืองได้ ห้ามออกนอกเส้นทาง ในรถมี GPS) เวลาเหลืออีกนานเอาไงดี ตกลงกันว่าจะเข้าเมืองเฉิงตูไปเดินเล่นช้อปปิ้งที่ถนนคนเดินฉุนซีลู่ ก่อนอื่นหาจุดฝากกระเป๋า จุดที่รับฝากอยู่ชั้นขาออกชั้น 2 นะคะ ฝากได้ถึงเวลา 5 ทุ่ม แล้วพวกเรานั่งรถบัสสาย A1 จากสนามบินไปลงสุดสาย ซึ่งใกล้กับถนนคนเดินฉุนซีลู่นี้ มีเวลาเดินเที่ยวได้ถึงแค่ 3 ทุ่มครึ่งนะ เพราะรถบัสรอบสุดท้ายหมด 4 ทุ่ม จากนั้นแยกย้ายกันเดิน ถนนคนเดินฉุนซีลู่นี้จะคล้ายโซนสยามแถวบ้านเรา แต่ที่นี่บริเวณกว้างขวางกว่ามาก มีหลากหลายสิ่งให้เลือกสรร
เฮ้อ ! ถอนหายใจ รู้สึกว่าทริปนี้ยาวนาน แต่ได้อะไรกลับไปเยอะ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ขอบคุณทุกคนที่ร่วมเดินทางและสร้างประสบการณ์การเดินทางที่แปลกใหม่ร่วมกัน หลังจากจบทริปนี้พวกเราจะแข็งแรงแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน ^_^ เพราะ ก้าวแรกไม่สำคัญ แต่ก้าวไปด้วยกันสำคัญกว่า
The secret of getting ahead is getting started
เคล็ดลับของ การก้าวไปข้างหน้า คือ การลงมือทำ
Impossible คือ I'm possible .... เราไม่รู้หรอกว่าเราทำได้ไหม หรือทำได้แค่ไหน ถ้าไม่ลองทำ แล้วเราจะพบขีดความสามารถของตัวเอง ว่าเราทำได้ :)
และนี่คือสิ่งที่เรียนรู้จากทริป #เอาแต่ใจไปย่าติง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ตามไปพูดคุยกันได้ที่ Fanpage เที่ยวแล้วยัง : www.facebook.com/welikejourney
ติดตามรีวิวอื่นๆ ได้ที่ https://th.readme.me/id/lingple
#welikejourney #เที่ยวแล้วยัง #เที่ยวแล้วyoung
Email : [email protected]
IG : lingple
เที่ยวแล้วยัง
วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 00.04 น.