ทริปนี้ขอเที่ยวข้ามภาคกันบ้าง จากภาคกลางข้ามไปยังภาคใต้ โดยเลือกปักหมุดที่นครศรีธรรมราชครับ มาดูกันครับว่า ตลอด 3 วัน 2 คืน ผมไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง

จุดหมายแรกผมปักหมุดที่ อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง เขตรอยต่อ จ.นครศรีธรรมราชครับ

กิจกรรมแรกของผมอยู่ที่การล่องแก่งหนานมดแดงครับ จริงๆ แล้วมีผู้ประกอบการกิจกรรมล่องแก่งอยู่หลายแห่ง แต่ผมเลือกที่จะมาล่องแก่งที่หนานมดแดง เนื่องจากที่นี่เป็นผู้นำร่องกิจกรรมล่องแก่งและยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่างเช่น สไลด์เดอร์บนยอดไม้ อีกทั้งยังมีที่พักและศูนย์สัมมนาอีกด้วยครับ


ตู้สำหรับฝากสิ่งของ


หากใครไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามา ที่หนานมดแดงก็มีจำหน่าย ราคาไม่แพง จะซื้อใส่เลยหรือจะเป็นของฝากก็ไม่ผิดกติกาครับ


ก่อนที่จะออกล่องแก่ง จะมีการแนะนำให้ความรู้ถึงวิธีการล่องแก่งว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร ตรวจเช็คความพร้อมของอุปกรณ์ทั้งเสื้อชูชีพและหมวกกันน็อกครับ จากที่ตั้งของหนานมดแดง เราจะต้องนั่งรถเพื่อไปยังท้ายอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการล่องแก่งครับ


การล่องแก่งที่นี่ค่อนข้างปลอดภัย สามารถล่องแก่งได้ทั้งปี เนื่องจากมีอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใสเป็นตัวควบคุมปริมาณน้ำ และหมดห่วงเรื่องน้ำป่าไหลหลากกรณีมาล่องแก่งช่วงฤดูฝนครับ ตลอดเส้นทางการล่องแก่งจะมีหนาน (แก่ง) ประมาณ 40 หนาน แต่จะมี 5 หนาน ที่เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดของนักท่องเที่ยวได้มากที่สุด เช่น หนานลุงจวน หนานสองพี่น้อง หนานมดแดง หนานยาว และหนานไม้ไผ่ รวมระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร ใช้เวลาในการล่องประมาณ 2 ชั่วโมงครับ

บรรยากาศสองข้างทางค่อนข้างร่มรื่น ยังเห็นความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติเป็นอย่างมาก บางจุดน้ำใสจนมองเห็นปลาและสาหร่าย หากใครที่อยากจะพายเรือคายัคเองก็สามารถครับ หรือใครไม่ชำนาญ จะให้เจ้าหน้าที่พายให้ก็ได้ครับ สำหรับผมพายเอง ช่วงแรกก็สนุกดี แต่พอพายไปเรื่อยๆ ชักไม่ตรงเส้นทาง ชอบจะแวะซ้ายบ้าง แวะขวาบ้าง ทำให้แขนหมดแรงกันไปเลย ตอนแรกก็ยังเกาะกลุ่มอยู่ดีๆ แต่ตอนหลังนี่รั้งท้ายเลย ดีที่ยังมีเรือของสมาชิกคนอื่นอยู่อีก 1 ลำซึ่งมีเจ้าหน้าที่พายให้ และเป็นเรือที่คอยดูแลปิดท้ายขบวน ผมเลยต้องอาศัยเกาะเรือเขามาด้วย ไม่งั้นคงใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง กว่าจะกลับมาถึงที่หนานมดแดงเป็นแน่ครับ

หลังจากเหนื่อยล้ากันมากๆ ขอมาอบสมุนไพรต่อสักนิด ที่นี่มีห้องสมุนไพรให้บริการฟรีครับ

ห้องน้ำห้องท่าสำหรับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว สำหรับค่าบริการในการล่องแก่งครั้งนี้ เพียง 200 บาทเอง ผมว่ามันคุ้มค่ามากๆ เลยครับกับการได้สัมผัสกับธรรมชาติกันแบบใกล้ชิดอย่างนี้ แถมยังได้ความสนุกเร้าใจกว่า 2 ชั่วโมงครับ

จบจากกิจกรรมล่องแก่งแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่ อ.ปากพนัง เพื่อตามหา ตามชิม ของดีเมืองคอน นั่นคือส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม แห่งบ้านแสงวิมานครับ

ส้มโอพันธุ์ทับทิมสยามนับเป็นของดีของเด่นของปากพนังเลยครับ ทับทิมสยามได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์จากส้มโอพันธุ์ขาวพวง ที่มีเนื้อสีชมพูค่อนข้างแดง รสชม ใช้เวลาปรับปรุงสายพันธุ์แบบภูมิปัญญาท้องถิ่นอยู่หลายปี จนในที่สุดก็ได้ส้มโอพันธุ์เนื้อสีแดงเข้มแบบสีทับทิม รสชาติหวาน หอม นุ่ม ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของส้มโอทับทิมสยาม ขอแนะนำเลยว่าไม่ควรพลาดครับ สามารถแวะชิมแวะซื้อได้ตามข้างทางถนนสายปากพนัง-นครศรีฯ ช่วงบ้านแสงวิมาน ราคาขายต่อลูกประมาณ 150-400 บาท ตามขนาดของส้มโอครับ

สำหรับคืนแรกนี้ ผมเข้าพักที่ The Peak Boutique Hotel ครับ

ทำเลที่ตั้งของ The Peak Boutique Hotel ถือว่าใช้ได้เลย อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง แถมยังอยู่ใกล้โรบินสันด้วย บริเวณโรงแรมมีที่จอดรถค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว

Lobby แบบเปิดโล่ง ดูไม่อึดอัด ให้ความรู้สึกสบายๆ ครับ


มีสระว่ายน้ำให้ด้วยนะเออ


ฝั่งตรงข้าม Lobby จัดเป็นพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนครับ


ห้องพักตกแต่งแนวดิบๆ เน้นปูนเปลือย ถึงแม้ห้องจะไม่กว้างขวางใหญ่โต แต่ก็ไม่ให้ความรู้สึกอัดอัดครับ มีระเบียงเล็กๆ ให้ออกไปสูดอากาศด้านนอกได้ด้วย สำหรับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกนั้นมีตามมาตรฐานของโรงแรมทั่วไป ผมว่าค่าห้องพักคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายจริงๆ เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของผู้ที่ชอบที่พักหลักร้อย แต่พร้อมสรรพทุกอย่าง แถมมีอาหารเช้าให้อีกด้วยครับ

จริงๆ ที่พักที่ผมพักรวมอาหารเช้าด้วย แต่เช้านี้ขอพิเศษหน่อย ผมอยากไปชิมติ่มซำร้านตังเกี๋ย แต่เตี้ยม ร้านที่เพื่อนเมืองคอนแนะนำว่าไม่ควรพลาด เพราะร้านตังเกี๋ย แต่เตี้ยม ถือเป็นอีก 1 ร้านเด็ดร้านดังของเมืองคอนกันเลยทีเดียวครับ

ร้านตังเกี๋ย แต่เตี้ยม อยู่บริเวณหมู่บ้านเมืองทอง บรรยากาศในร้านค่อนข้างคึกคัก เพราะมีลูกค้าค่อนข้างมาก ทำให้อาจจะต้องรอคิวกันสักเล็กน้อย สำหรับเมนูติ่มซำมีให้เลือกหลากหลายเมนูเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีบะกุ๊ดเต๋อีกด้วย รสชาติโดยรวมถือว่าโอเคครับ

สำหรับวันที่สองนี้ ผมมีโปรแกรมไปสูดโอโซนที่บ้านคีรีวง เขตพื้นที่ของอำเภอลานสกาครับ

บ้านคีรีวง หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดของขุนเขา มีคลองท่าดี ที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดสายสำคัญที่คอยหล่อเลี้ยงชุมชนแห่งนี้ ทำให้ที่นี่เป็นพื้นที่ที่มีอากาศดีที่สุดของประเทศไทย

ผมว่าสะพานแห่งนี้ เปรียบเสมือนห้องรับแขกของบ้านคีรีวง ใครที่มาเที่ยวที่คีรีวงคงไม่มีใครไม่มาหยุดถ่ายภาพคู่กับสะพานแห่งนี้อย่างแน่นอน ช่วงที่ผมไปมีสายรุ้งออกมาต้อนรับด้วยครับ


ถ้าใครที่ชอบความสดชื่น ชอบป่าเขา ชอบลำธาร ชอบท่องเที่ยวแบบ Slow life ผมว่าที่นี่ตอบโจทย์ได้ทุกข้อเลยครับ


อีกหนึ่งไฮไลท์ของคีรีวง ผมว่าน่าจะเป็นสะพานแขวนแห่งนี้แหล่ะครับ


เที่ยวกันจนเหนื่อย เลยแวะนั่งพักจิบเครื่องดื่มเย็นๆ กันที่ครัวลำงา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสะพานแขวนครับ ครัวลำงาเป็นห้องอาหารของคีรีวง ริเวอร์วิว ต้องบอกเลยว่าบรรยากาศดีมากๆ จากห้องอาหารสามารถชมวิวมุมสูงของคลองท่าดีได้อย่างชัดเจนเลยครับ

ถ้าหากใครมาจังหวะดีๆ แบบผม จะได้ทานทั้งมังคุดลูกโตๆ ทั้งทุเรียนที่มีให้เลือกทั้งทุเรียนบ้านหรือจะเป็นทุเรียนหมอนทอง รวมถึงเงาะ นอกจากนี้ยังมีสะตอที่เก็บมาจากต้นสดๆ ใหม่ๆ ด้วยครับ ผมเห็นทุเรียนแล้วอดใจไม่ไหวจริงๆ จัดไปคนเดียวเกือบ 1 ลูก แถมยังได้ทุเรียนกวนกลับไปฝากที่บ้านอีกด้วยครับ

นอกจากจะได้ทุเรียนกวนกลับไปฝากทางบ้านแล้ว ผมยังได้ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติกลับไปฝากเพื่อนๆ ที่ทำงานอีกด้วย ผ้ามัดย้อมที่บ้านคีรีวงจะใช้เปลือกไม้ ใบไม้ มังคุด สะตอ ลูกเนียง มาเป็นสีย้อมผ้า จากผ้าที่ถูกย้อมสีธรรมชาติแล้วจะมีการออกแบบทำให้ผ้าธรรมดากลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่าขึ้นมาอีก ผลิตภัณฑ์ที่ผมว่ามีทั้งเสื้อ กางเกง กล่องดินสอ ซองใส่โทรศัพท์ ถุงผ้า เป้ เรียกได้ว่าละลานตาไปหมด อันนั้นก็ชอบ แบบนี้ก็ใช่ เลยจัดไปหลายชิ้นเลยครับ

จากอำเภอลานสกา ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอขนอม ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองคอนครับ ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมงเหมือนกัน จุดหมายแรกของผมอยู่ที่จัสมินรีสอร์ท ซึ่งเป็นที่พักของผมในคืนนี้ครับ

จัสมินรีสอร์ทเพิ่งจะเปิดบริการช่วงกลางปี 2558 รีสอร์ทนี้ไม่ได้อยู่ติดทะเลนะครับ แต่อยู่ห่างจากทะเลขนอมประมาณ 350 เมตรครับ

หากจอดรถที่ด้านหน้ารีสอร์ท เดินขึ้นบันไดมา จะเป็นห้องอาหาร ซึ่งสามารถเดินทะลุไปยัง Lobby ได้ครับ


หรือถ้าจอดรถด้านในรีสอร์ท ก็สามารถเดินเลาะด้านข้างของห้องอาหารเพื่อเข้ามายัง Lobby ได้เช่นกัน จากลานจอดรถเราไม่สามารถเดินเข้าไปยังโซนที่พักได้นะครับ การเข้าไปยังโซนที่พักจะต้องเดินผ่านทางด้านหน้า Lobby และใช้การ์ดสำหรับเปิดประตูเข้าไปยังโซนที่พักครับ


บริเวณ Lobby จะอยู่ในห้องนี้ครับ ผมเรียกว่าโซนสารพัดประโยชน์ เพราะห้องนี้ใช้ทั้งเป็น Lobby, ห้องอาหาร รวมถึงมุมกาแฟครับ ตอน Check in ทางรีสอร์ทจะขอเก็บเงินมัดจำการ์ดสำหรับเข้าในโซนที่พัก เป็นเงิน 500 บาทครับ


เมื่อเข้ามายังโซนที่พัก ต้องสะดุดตากับสระว่ายน้ำเป็นจุดแรก ในพื้นที่ของห้องพักส่วนแรก จะมีห้องพัก 10 ห้อง โดยเป็นห้อง Superior pool 6 ห้อง สามารถเปิดประตูห้องแล้วเดินลงสระว่ายน้ำได้เลย


วันที่ผมเข้าพักทั้ง 6 ห้องนี้เต็มหมด แต่ตอนที่ผมไปถึง มี 1 ห้องที่แขกยังไม่ได้เข้าพัก ผมเลยขออนุญาตทางรีสอร์ทเพื่อขอถ่ายรูปบรรยากาศในห้องพักมาฝากครับ พื้นที่ภายในห้องค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว มีทั้งโซฟาและมุมโต๊ะอาหารเล็กๆ เตรียมไว้ให้ด้วย ห้องพักที่นี่จะปูด้วยกระเบื้อง อย่างที่บอกครับ หากเปิดประตูบานเลื่อนก็สามารถเดินลงสระว่ายน้ำได้เลย


พื้นที่ภายในห้องน้ำก็กว้างขวางเช่นกันครับ สนนราคาห้องนี้อยู่ที่ 2,500 บาทครับ

สำหรับอีก 4 ห้องที่เหลือในโซนที่พักส่วนแรกนี้เป็นห้อง Standard จะมีอยู่ 2 ห้องที่อยู่ติดกับสระว่ายน้ำ และอีก 2 ห้องซึ่งอยู่ทางปีกฝั่งซ้ายและขวาจะไม่ติดสระว่ายน้ำ ผมเองได้เข้าพักที่ห้องริมครับ

ถึงแม้ห้องปีกทางซ้ายและขวาจะไม่ติดสระว่ายน้ำ ก็ไม่ถือว่าอาภัพอะไรมากมาย เพราะออกจากห้องพักแล้วเดินเพียงไม่กี่ก้าว ก็ถึงสระว่ายน้ำแล้วครับ

ขนาดของห้องพักจะเล็กกว่าห้องแบบแรกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดูอึดอัดอะไรเลย อาจเป็นเพราะห้องพักเป็นกระจกเกือบครึ่งห้อง ทำให้ห้องดูโปร่ง โล่ง สบาย ดูไม่อึดอัดครับ


สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตามมาตรฐานของโรงแรมทั่วไป สิ่งที่ผมชอบมากๆ คือ ภายในห้องพักมีปลั๊กไฟจำนวนมาก ผมว่าอาจจะมากเกินความจำเป็นซะด้วยซ้ำครับ


ห้องน้ำก็กว้างขวางเช่นกัน แยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยผ้าม่าน สนนราคาต่อห้อง 2,000 บาทครับ

พื้นที่ในส่วนที่สอง ต้องออกแรงเดินขึ้นเนินนิดหน่อย ซึ่งครอบครัวของพี่ไปได้ด้วยกับผมนอนในโซนนี้ครับ

ห้องนี้เป็นห้องแบบ Sea view สามารถเข้าพักได้ 3 คน โซนนี้จะอยู่บนเนินเขา พื้นที่ใช้สอยค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว ถ้าอยากจะเล่นน้ำสามารถเดินมาเล่นที่สระด้านล่างได้ครับ ห้องในโซนนี้ เมื่อมองออกไปจะเห็นวิวทะเลขนอมด้วยครับ

ต้องยอมรับเลยว่า พื้นที่ภายในห้องน้ำของจัสมินมีขนาดกว้างขวางดีจริงๆ สนนราคาห้องนี้อยู่ที่ 2,500 บาทครับ


เดินขึ้นเนินไปอีกหน่อย ยังมีห้องพักอีก 2 ห้องอยู่ด้านบนสุดของเนิน สองห้องนี้เป็น Sea view เช่นกัน แต่พิเศษตรงที่จะมีสระว่ายน้ำส่วนตัว เพราะสระว่ายน้ำนี้ใช้ร่วมกันเพียง 2 ห้องเท่านั้น แถมว่ายน้ำไปยังมองเห็นวิวมุมสูงของทะเลขนอมแบบไกลๆ ได้อีกด้วย ห้องพัก 1 ห้องสามารถเข้าพักได้ 5 คน เหมาะกับการเข้าพักแบบครอบครัวหรือหมู่เพื่อนครับ เนื่องจากมีแขกเข้าพักแล้วทั้ง 2 ห้อง ผมเลยไม่สามารถเก็บบรรยากาศด้านในมาฝากได้นะครับ สำหรับห้องพัก Sea view จะอยู่บนเนินเขา ซึ่งจะต้องเดินขึ้นบันไดที่ค่อนข้างชัน อาจไม่สะดวกกับผู้สูงอายุสักเท่าไรครับ

หลังจากพักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว ถึงเวลาไปเติมพลังในช่วงมื้อเย็นแล้วครับ เย็นนี้ผมตามรีวิวของหลายๆ คนเพื่อไปยังครัวตังเกครับ

บรรยากาศถือว่าดีเลยครับ อยู่ติดริมน้ำ

เมนูแนะนำต้องจานนี้เลยครับ เมี่ยงปลาสำลี ขอยกให้เป็นที่หนึ่งในใจเลย สนนราคาจานละ 350 บาทครับ



คั่วกลิ้งปลาอินทรีย์ รสชาติจัดจ้าน เผ็ดกำลังดี เมนูนี้ดีต่อใจจริงๆ สนนราคา 280 บาทครับ


กุ้งราดซอสมะขาม รสชาติเปรี้ยวนำ หวานตาม ทานดับเผ็ดจากคั่วกลิ้งปลาอินทรีย์ สุดๆ ครับ จานนี้ 350 บาทครับ


ปลาเก๋าสามรส รสชาติกำลังดี ปลาตัวใหญ่พอสมควร เนื้อปลาทอดมากำลังดี จานนี้ 450 บาทครับ


มาภาคใต้แล้วคงขาดไม่ได้ที่จะสั่งใบเหรียงผัดไข่ จานนี้ 100 บาทครับ

รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าอร่อยเลยครับ แต่ราคาอาจจะสูงไปสักนิด แต่ถ้าเทียบกับคุณภาพและรสชาติก็รับได้ครับ

ครัวตังเก เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในอนาวิลล่า ถือว่าเป็นอีกหนึ่งที่พักที่น่าสนใจครับ

หลังมื้อเย็น ผมตรงกลับที่พักเลย คืนนี้คงต้องรีบพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ผมมีนัดกับโลมาสีชมพูครับ

สำหรับมื้อเช้า ทางรีสอร์ทจะบริการมื้อเช้าแบบเป็นอาหารชุดให้เลือก ระหว่าง ABF หรือ ข้าวต้ม แต่ทุกเมนูจะได้ขนมปัง กาแฟ และน้ำส้มครับ ห้องอาหารเช้าจะให้บริการตั้งแต่เวลา 08.30 – 10.30 น.

เช้านี้ผมมีนัดกับเรือเพื่อไปดูโลมาช่วงเวลา 08.30 น. ซึ่งถ้าหากรอเวลาห้องอาหารเปิดก็คงไปไม่ทันนัด เลยขอให้ทางรีสอร์ทจัดเตรียมอาหารเช้าให้กับคณะของผมก่อน ทางรีสอร์ทก็ดีมากๆ เลยครับ สอบถามว่าผมจะทานมื้อเช้าที่รีสอร์ทหรือจะให้แพคใส่กล่องให้ แต่ด้วยความสะดวกผมเลยขอทานที่รีสอร์ทให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง แต่ทางรีสอร์ทขอให้บริการในเวลา 08.00 น. ซึ่งผมพยายามต่อรองว่าถ้าหากทานตอน 08.00 น. อาจไปไม่ทันเวลานัด น้องพนักงานเลยไปประสานกับแม่ครัวให้ จนแม่ครัวสามารถให้บริการกับผมได้ในเวลา 07.30 น. ครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมประสานไว้ล่วงหน้า หลังจากที่ผม Check in เรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับจัสมินรีสอร์ท โดยรวมแล้วผมโอเคเลยครับ ที่พักใหม่ สะอาด พนักงานบริการดีครับ

หลังอาหารเช้าผมมีโปรแกรมไปล่องเรือเพื่อชมโลมา สำหรับการล่องเรือชมโลมา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไปขึ้นเรือที่แหลมประทับ แต่สำหรับผมเลือกไปขึ้นเรือที่ท่าเรืออ่าวเตล็ดครับ อยากรู้ว่าทำไมผมถึงเลือกไปขึ้นเรือที่อ่าวเตล็ด ค่อยๆ ตามผมมา แล้วจะรู้ว่าทำไมถึงควรมาขึ้นเรือที่อ่าวเตล็ดครับ

ท่าเรือของอ่าวเตล็ด นอกจากจะทำหน้าที่เป็นท่าเรือแล้ว ผมว่าเป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปที่สวยงามเลยทีเดียว ชาวอ่าวเตล็ดช่วยกันร่วมแรงร่วมใจรวมถึงร่วมระดมทุนในการสร้างสะพานไม้แห่งนี้ขึ้นมา และได้ตั้งชื่อสะพานไม้แห่งนี้ว่า สะพานสำเหร็ดครับ

ผมนั่งเรือออกมาจากอ่าวเตล็ดได้ไม่ถึง 5 นาที ก็เห็นเรือของนักท่องเที่ยวมาจอดอออยู่เต็มไปหมด เดาได้ทันทีเลยว่าจุดนี้เป็นจุดชมโลมา และเพียงไม่นานผมก็เห็นครีบหลังโลมาผุดขึ้นมา 3-4 ครั้งแล้วก็หายไปเลย แอบผิดหวังนิดๆ โลมาที่เห็นเป็นโลมาสีดำ จริงๆ แล้ว โลมาสีชมพูคือโลมาที่มีอายุมากๆ .. มากขนาดไหน? มากประมาณ 40-50 ปีครับ ยิ่งอายุมากสีของผิวหนังจะจางลงเรื่อยๆ ครับ

โลมาที่ขนอมมีมากถึง 50 ตัว หากใครที่ต้องการมาชมโลมาขอแนะนำให้มากันแต่เช้า ยิ่งเช้าเท่าไรยิ่งดี เพราะถ้าอากาศร้อน โลมาจะไม่ขึ้นมาให้เห็นครับ ขนาดผมมา 08.30 น. ยังถือว่าสายเลยครับ

จากนั้นคุณทิพย์พานั่งเรือกันต่อสู่เกาะนุ้ยนอก อีกหนึ่งเกาะสำคัญที่อยู่ไม่ไกลจากอ่าวเตล็ดครับ

บนเกาะนุ้ยนอก มีสิ่งมหัศจรรย์อยู่สิ่งหนึ่ง นั่นคือบ่อน้ำจืดกลางทะเลครับ

ลักษณะของบ่อน้ำจืดมีลักษณะคล้ายกับรอยเท้า ซึ่งจะมองเห็นได้ในช่วงน้ำทะเลลดเท่านั้น ถ้าเป็นช่วงน้ำขึ้น บ่อน้ำแห่งนี้จะถูกน้ำทะเลท่วมครับ เชื่อกันว่าบ่อน้ำจืดบ่อนี้เป็นตำนาน “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ที่เล่าต่อๆ กันมาว่าหลวงปู่ทวดได้โดยสารเรือสำเภาจากสงขลาเพื่อไปศึกษาพระธรรมที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อไปถึงกลางทะเลปรากฏว่าเกิดพายุมืดฟ้ามัวดิน คลื่นคะนองอย่างบ้าคลั่ง เรือแล่นต่อไม่ได้จึงลดใบทอดสมอสู้คลื่นลมอยู่ 3 วัน 3 คืน จนพายุร้ายสงบเป็นปกติ แต่เหตุการณ์บนเรือสำเภาเกิดความเดือดร้อนมาก น้ำจืดที่ลำเลียงมาหมดลง คนเรือไม่มีน้ำจืดดื่มกิน เจ้าของเรือเป็นเดือดเป็นแค้น หาว่าหลวงปู่ที่อาศัยเรือมาเป็นกาลกิณี ทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้น จึงได้ไล่หลวงปู่ทวดลงเรือเล็กเพื่อให้ลูกเรือนำหลวงปู่ขึ้นฝั่ง หมายจะปล่อยให้ท่านไปตามยถากรรม ในขณะที่หลวงปู่ทวดลงนั่งอยู่ในเรือเล็ก ท่านได้ยื่นเท้าลงเหยียบน้ำทะเล แล้วบอกให้ลูกเรือคนนั้นตักน้ำขึ้นดื่มดู ปรากฏว่าน้ำบริเวณนั้นเป็นน้ำจืดอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ จนทำให้ท่านเป็นที่เคารพสักการะของผู้คนบนเรือครับ แต่สำหรับเรื่องจริง ตามหลักวิชาการณ์ นักธรณีวิทยาอธิบายว่าบ่อน้ำจืดนี้เป็นช่องเปิดที่ต่อเนื่องกับรอยแตกในชั้นหินใต้ผิวโลก และรอยแตกได้เชื่อมต่อกับสายน้ำใต้ดินที่ซึมลงใต้ดินจากพื้นแผ่นดินบนฝั่ง เมื่อระดับน้ำทะเลลดต่ำลง น้ำจืดข้างล่างก็จะดันน้ำเค็มออกหมด กลายเป็นบ่อน้ำจืดอยู่กลางทะเลแบบนี้ครับ




ด้านบนสุดของเกาะนุ้ยนอกเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของหลวงปู่ทวด ถ้าหากเพื่อนๆ มาเที่ยวที่เกาะนุ้ยนอก อย่าลืมเดินขึ้นมาสักการะรูปหล่อหลวงปู่ทวดเพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัวด้วยนะครับ


จากนั้นเดินทางกันต่อสู่จุดหมายต่อไป ระหว่างทางแอบเห็นโลมาขึ้นมาทักทายด้วย แต่ก็ยังคงเป็นโลมาตัวสีดำอีกตามเคย นอกจากนี้ยังเห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอีกอย่าง นั่นคือเกาะที่มีลักษณะทางธรณีวิทยาคล้ายๆ กับการพับผ้าเลยครับ


โชคดีหน่อยที่วันนี้ผมนั่งเรือเล็กมา ทำให้สามารถแวะเที่ยวระหว่างเส้นทางได้ คุณทิพย์พาผมแวะเที่ยวที่จุดนี้ครับ ด้านซ้ายมือคือเขาหินพับผ้า หรือ Pancake Rock ส่วนด้านขวามือเป็นเวทีพุ่มพวงครับ



หินพับผ้าเป็นปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา มีลักษณะคล้ายแผ่นหินที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ เกิดจากการตกตะกอนในท้องทะเลที่มีส่วนประกอบที่แตกต่างกันกลายเป็นชั้นหิน เมื่อเปลือกโลกเปลี่ยนแปลง เกิดการกัดกร่อนจนกลายเป็นชั้นหินเรียงเป็นชั้นๆ ดูไม่ต่างอะไรกับผ้าที่ถูกพับเป็นชั้นๆ กลายเป็นที่มาของ “หินพับผ้า” หินพับผ้าไม่ได้มีเรียงเฉพาะแนวนอนเท่านั้น บางจุดชั้นของหินจะเอียงไปตามความลาดเอียงของการกำเนิดครับ



ความหนาของหินแต่ละชั้น หนาขนาดไหน ลองเทียบกับตัวผมดูนะครับ ผมว่าตัวผมใหญ่แล้ว พอไปยืน ไปนั่งตรงชั้นหินแล้ว ดูตัวเล็กลงไปเลยครับ


บริเวณนี้จะเป็นลานหินกว้าง ดูไม่ต่างอะไรกับลานเวที จนมีการตั้งชื่อลานแห่งนี้ว่า “เวทีพุ่มพวง” หากใครอยากจะแวะขึ้นไปเที่ยวที่ 2 จุดนี้ ต้องระบุกับคนเรือก่อนนะครับว่าต้องการจะแวะตรงนี้ เพราะคนเรือจะได้เตรียมเรือลำเล็กไว้ให้ เนื่องจากเรือลำเล็กสามารถเข้าไปจอดที่ชายหาดเล็กๆ ได้ครับ


จากนั้นนั่งเรือชมวิวกันต่อครับ


บริเวณนี้เรียกว่า “ช่องรูเล็ด” ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อของ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช และ อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี สำหรับมุมที่ผมถ่ายมาให้ดูคือพื้นที่ อ.ดอนสักครับ



ช่วงที่เรือผ่านเข้ามายังช่องรูเล็ด รู้สึกได้เลยว่าคลื่นลมทะเลค่อนข้างสงบมากๆ ทำให้บริเวณดังกล่าวใช้เป็นที่หลบคลื่นลมของเรือเล็กครับ โดยรอบเกาะจะเห็นเพิงเล็กๆ ปลูกติดอยู่ริมผาเพิงเหล่านี้เป็นที่อาศัยของชาวประมงครับ


คุณทิพย์พาคณะของผมล่องเรือเข้าไปชมพื้นที่ที่อนุรักษ์หญ้าทะเล พื้นที่บริเวณนี้จะมีหลักไม้ไผ่เล็กๆ ปักอยู่ห่างกันพอสมควร แต่ละหลักผูกติดกันด้วยเชือกและมีเศษจีวรผูกไว้โดยรอบ นับเป็นการบวชหญ้าทะเล เสียดายที่วันนี้น้ำขุ่นเลยมองไม่เห็นหญ้าทะเลครับ พื้นที่ส่วนนี้เองที่เป็นจุดดึงดูดให้โลมารวมถึงพยูนมาหากินอยู่ใกล้ๆ กับอ่าวเตล็ดครับ


บริเวณที่เห็นนี้มีธงแดงปัก แสดงให้รู้ว่าเขตนี้เป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลาและสัตว์ทะเลวัยอ่อนหรือเรียกง่ายๆ ว่าบ้านปลาครับ ทำขึ้นเพื่อให้ปลามาวางไข่ เป็นเขตห้ามทำการประมง เมื่อปลาโตขึ้นก็จะว่ายออกไปนอกเขตหวงห้าม ชาวประมงสามารถจับปลาเหล่านั้นได้มากขึ้น การทำแบบนี้เป็นการสร้างความอุดมสมบูรณ์ทางทะเลให้คนในชุมชนมีแหล่งอาหารทะเลที่อุดมสมบูรณ์และยั่งยืนครับ

ผมใช้เวลาในการล่องเรือราว 2 ชั่วโมง มันเป็น 2 ชั่วโมงที่ผ่านไปเร็วมากๆ เสียดายที่วันนี้ไม่เห็นโลมาสีชมพู แต่การที่ได้เห็นโลมาสีดำรวมถึงได้ไปแอ๊คติ้งถ่ายภาพเท่ห์ๆ บนหินพับผ้าก็ทำให้สมาชิกในทริปนี้มีรอยยิ้มกลับไป ก็ถือว่าคุ้มสุดคุ้มแล้วครับ

อ่าวเตล็ดเป็นอ่าวที่มีคลื่นลมค่อนข้างสงบ มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางธรรมชาติ มีทั้งหญ้าทะเล ปลาเล็กปลาน้อยอย่างปลากด ปลาดุกทะเล ซึ่งถือเป็นอาหารที่ชื่นชอบของโลมา ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นสาเหตุให้โลมามักจะมาหากินและอยู่อาศัยที่อ่าวเตล็ดครับ และอีกหนึ่งจุดแข็งของการชมโลมาที่อ่าวเตล็ดนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์หญ้าทะเลได้อย่างใกล้ชิดครับ

คุณทิพย์ยังเล่าให้ฟังอีกว่า บริเวณท่าเรืออ่าวเตล็ดยังมีพรายน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก ช่วงค่ำๆ จะเห็นแสงเรืองรองอยู่เต็มไปหมด อันนี้ผมยังไม่ได้มาพิสูจน์นะครับ ไว้ผมมาพิสูจน์เมื่อไรจะมาเล่าให้ฟังครับ แต่ถ้าหากใครอยากจะรู้ว่าที่นี่มีพรายน้ำจริงหรือเปล่า สามารถมาพักค้างคืนแถวอ่าวเตล็ดได้นะครับ เพราะอ่าวเตล็ดมีโฮมสเตย์ไว้คอยบริการด้วยครับ

ขึ้นจากสะพานสำเร็ด คุณทิพย์พาผมไปกราบรูปหล่อของหลวงปู่แดง ติสโส ในถ้ำติสโสคูหาเทวาธรรมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสะพานสำเร็ดครับ

ถ้ำนี้ได้รับความร่วมแรงร่วมใจจากชาวอ่าวเตล็ดที่ช่วยกันพัฒนาทำทางเดินขึ้นไปยังถ้ำ มีการปูกระเบื้องภายในถ้ำด้วย เลยทำให้ถ้ำดูสะอาด



ที่ผนังถ้ำมีรูขนาดใหญ่ คุณทิพย์เล่าว่าหากช่วงเวลาบ่ายๆ จะมีแสงส่องเป็นลำลงมาภายในถ้ำด้วย ข้างๆ รูขนาดใหญ่มีหินงอกหินย้อยให้ชมกันเล็กน้อย บางจุดมองเหมือนใบเลื่อยเล็กๆ ตอนแรกผมคิดว่าถ้ำนี้เป็นถ้ำตาย เนื่องจากดูสภาพของหินงอกหินย้อยแล้วดูแห้งๆ แต่ที่ไหนได้ หินบางก้อนยังเป็นหินเป็นอยู่ครับ เพราะยังมีหยดน้ำหยดลงมาเรื่อยๆ

สำหรับการเดินทางมาอ่าวเตล็ด หากไม่รู้เส้นทางแนะนำจับพิกัด GPS มายังวัดธารทอง ท่าเรืออ่าวเตล็ดจะอยู่เลยวัดธารทองมานิดหน่อย คือขับรถไปเรื่อยๆ จนสุดถนนเลยครับ ท่าเรือจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ บริเวณท่าเรืออาจจะสังเกตเห็นยากสักนิด เพราะเป็นท่าเรือที่เพิ่งจะเปิดให้บริการได้ไม่นาน และจะไม่มีเรือมาจอดรอนักท่องเที่ยวเหมือนท่าเรืออื่นๆ แต่เราจะต้องโทรติดต่อจองเรือให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินทางไปถึงครับ โดยสามารถติดต่อเรือได้ที่คุณทิพย์ (098-4683842 และ 061-6576284 ) สำหรับค่าเหมาเรือ อยู่ที่ 1,000 บาท สามารถนั่งได้ 7 คน คุณทิพย์เป็นผู้ประสานงานให้กับกลุ่มท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อ่าวเตล็ด สามารถสอบถามทั้งเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว การเหมาเรือชมโลมาสีชมพู รวมถึงการเข้าพักที่โฮมสเตย์จากคุณทิพย์ได้เลยครับ

ใกล้ๆ อ่าวเตล็ด ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอย่างอื่นด้วย นั่นคือ สปาปลาสวนลุงวิญญ์-ป้าผ่องครับ

สองข้างทางของถนนสายเล็กๆ ที่จะพาเราไปยังสปาปลา เต็มไปด้วยต้นปาล์มขนาดใหญ่ ดูร่มครึ้ม ให้ความรู้สึกสดชื่น เลยทีเดียว



ลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่านสวนของลุงวิญญ์และป้าผ่อง และลำธารสายนี้เองที่เป็นพระเอกของที่นี่ครับ บรรยากาศด้านในค่อนข้างร่มรื่นเลยทีเดียว มีบริการเช่าเรือคายัคด้วย ค่าเช่าเรือลำละ 100 บาท/ชั่วโมงครับ


เพียงแค่จุ่มเท้าแป๊บเดียว ปลาก็มารุมตอดเท้าเราแล้วครับ



ภายในพื้นที่ของสวนลุงวิญญ์และป้าผ่อง ได้ทำเป็นซุ้มๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มานั่งพักผ่อน สามารถหิ้วอาหารมาปิกนิก หรือจะมาอุดหนุนร้านค้าที่มาเปิดขายในสวนลุงวิญญ์และป้าผ่องก็ได้ครับ


ถ้าหากเดินเข้าไปชมสวนปาล์ม ด้านในสุดจะมีฝายน้ำล้นด้วยครับ


นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาพักผ่อนในสวน ลุงวิญญ์และป้าผ่องขอเก็บค่าบำรุงสถานที่คนละ 20 บาทครับ หรือถ้าใครอยากจะมากางเต้นท์นอนที่สวนแห่งนี้ก็ได้ คิดค่าบริการ 300 บาท/เต้นท์/8 คนครับ (ไม่มีเครื่องนอนให้) หรือถ้าใครจะนำเต้นท์มาเองก็ได้ หากใครสนใจลองโทรสอบถามได้ที่ 089-7251836 ครับ

ไม่ไกลจากสวนลุงวิญญ์และป้าผ่องมากนัก เป็นที่ตั้งของเจดีย์ปะการัง โบราณสถานเก่าแก่เมืองขนอมครับ



เจดีย์ปะการังนี้ ตั้งอยู่บนยอดเขาธาตุ ในวัดจันทน์ธาตุทาราม เชื่อกันว่าองค์เจดีย์นี้มีอายุประมาณ 600-700 ปี สร้างขึ้นโดยการนำหินปะการังมาเรียงเป็นองค์เจดีย์ แต่องค์เจดีย์ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ แต่ก็ยังคงเค้าโครงเดิมอยู่ ด้านล่างขององค์เจดีย์ยังเห็นร่องรอยของหินปะการังอยู่บ้าง ส่วนบริเวณยอดของเจดีย์ดูเหมือนจะเป็นการสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดครับ จากที่ตั้งของเจดีย์ปะการังนี้ สามารถชมทิวทัศน์ของอ่าวท้องเนียนได้ด้วยครับ

ถึงเวลาคงต้องอำลาเมืองคอนแล้ว ไว้คราวหน้าคงได้มาป๊ะกันอีกรอบ หลายแห่งที่อยากจะกลับมาพิสูจน์ในสิ่งที่ยังไม่ได้เห็น อย่างโลมาสีชมพู พรายน้ำที่อ่าวเตล็ด รวมถึงการเข้าพักที่โฮมสเตย์อ่าวเตล็ดครับ

ผมว่าภาคใต้ไม่ได้มีทีแค่ทะเล แต่ความอุดมสมบูรณ์ของป่าเขาทำให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจ หลายสถานที่ที่ผมยังไม่ได้ไปเที่ยวในนครศรีธรรมราช อย่างน้ำตกกรุงชิง อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า อุทยานแห่งชาติน้ำตกสีขีด และอีกหลายๆ ที่ที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาทำให้ไม่สามารถไปสัมผัสได้ครบทุกที่ แต่ทุกสถานที่ที่ผมไปในทริปนี้ บอกได้เลยว่า “สุขกสุดๆ ที่เมืองคอน" จริงๆ ครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันพฤหัสที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 15.07 น.

ความคิดเห็น