สวัสดีครับ ทริปนี้พวกเรา เพจ เดี๋ยวพาไป - Deawpapai  จะพาเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ออกเดินทางท่องเที่ยวเเนว BackPack ด้วยการนั่งรถไฟถ่ายรูปเก็บบรรยากาศสุดชิค 2วัน3คืน กับวิวสุดชิว กับ 15 สถานที่ท่องเที่ยวสุด Unseen ของอุทยานเเห่งชาติขุนตาน-ลำปาง สำหรับใครที่อยากออกไปท่องเที่ยวแต่ยังไม่มีข้อมูลทริปนี้อาจจะเป็นตัวเลือกหนึ่งของการเดินทางที่จะทำให้รู้ว่าการท่องเที่ยวครบไม่ต้องใช้งบเยอะเสมอไป "ไปกับเราเที่ยวครบใช้งบไม่เยอะ"

ที่นี่ หัวลำโพง อาจจะเป็นจุดหมายสำหรับใครหลายๆคน เเต่ที่นี่คือจุดเริ่มต้นของเรา การเดินทางของเราทริปนี้เริ่มต้นขึ้นที่นี่ครับ

เนื่องจากเป็นวันศุกร์ด้วยนักเดินทางเลยเยอะเป็นพิเศษครับ เราได้ทำการจองตั๋วรถไฟล่วงหน้า 15วันครับ รถไฟที่เราจะเดินทางไป คือขบวนรถด่วนที่ 51 ต้นทาง กรุงเทพ-เชียงใหม่ ออกจากสถานีกรุงเทพเวลา 22.00 ถึงสถานีขุนตาลในเวลา 11.05น.เราเดินทางกันด้วยรถนอนชั้น2พัดลมเพราะสามารถถ่ายรูปวิวสวยๆสองข้างทางได้ (ถ้ารถแอร์กระจกจะเป็นฝ้าครับ)

โฉมหน้าผู้ร่วมทริปครับ เราจะมีอีก1สมาชิคมาเพิ่มที่ลำปางครับ

21.40 น.รถไฟเข้าจอดเทียบชานชลา พวกเราก็ได้เวลาเดินขึ้นรถกันเเล้วครับ

ภายในรถนอนชั้น2 หลังจากที่พนักงานรถนอนจัดการเปลี่ยนจากที่นั่งกลายเป็นเตียงนอน

นั่งคุยกันมาเรื่อยๆก็ถึงสถานีอยุธยา นั่งกันได้สักพักก็เเบตหมดกันทั้งกลุ่ม เเยกย้ายกันนอน

ตื่นมาอีกทีก็สถานีอุตรดิษย์เลย😁😁 หลังจากสถานีนี้เส้นทางรถไฟจะเริ่มไต่ภูเขาขึ้นไปจนถึงสถานีรถไฟขุนตานครับ ซึ่งระหว่างเส้นทางนี้วิว2ข้างทางจะสวยงามมาก

สักพักก็ถึงสถานีเด่นชัยซึ่งในอนาคตที่นี่จะกลายเป็นสถานีชุมทางเพื่อเเยกไป จ.เชียงรายครับ

ร ะ ห ว่ า ง ท า ง มั น เ พ ลิ น จ น ลื ม

ว่ า ร ะ ย ะ ท า ง มั น ไ ก ล เ เ ต่ ไ ห น

รถไฟกำลังวิ่งลอดอุโมงค์"เขาพลึง"

บรรยากาศระหว่างสองข้างทางรถไฟยากที่จะได้พบเห็นในการเดินทางเเบบอื่น

กำลังลอดอุโมงค์"ปางตูบขอบ"

บรรยากาศชิล ชิล สบาย สบาย ภายในรถไฟครับ

หนึ่งในไฮไลท์ของเส้นทางรถไฟสายเหนือ"เเก่งหลวง" รถไฟจะวิ่งเลาะภูเขาอีกด้านหนึ่งจะขนานกับลำน้ำยมในเขตจังหวัดเเพร่

ถ้าใครหิวก็สามารถเดินไปตู้เสบียงเพื่อสั่งเมนูอาหารกินได้นะครับ

รถไฟกำลังวิ่งลอดอุโมงค์"ห้วยเเม่ลาน"

ลงมาต้อนรับสถาชิกอีก1ชีวิตที่จะเป็นไกด์นำเที่ยวให้เราตลอดทริปที่สถานีรถไฟลำปางครับ

ธรรมชาติจะเขียวไปไหน.... อีกสักพักเราก็จะถึงสถานีขุนตานสถานีปลายทางของเราเเล้วครับ

ผ่านสะพานสองหอครับเป็นหนึ่งในสามสะพานข้ามเหวสูงในรถไฟสายเหนือ

รถไฟกำลังลอดอุโมงค์รถไฟขุนตาลเเสดงว่าเราจะต้องลงเเล้วละครับ เเบบนี้สินะที่เรียกว่าเเสงสว่างปลายอุโมงค์ 🤣🤣

เวลา11.10น.ช้ากว่ากำหนดเวลาไป5นาที ใครว่ารถไฟไทยเสียเวลาจนน่าเบื่อ เเละเเล้วพวกเราก็ถึงเเล้วครับ @ที่นี่สถานีขุนตาน สถานีขุนตาลเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในประเทศไทยครับอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 573 เมตร เเล้วที่นี่ยังมีอุโมงค์ขุนตาลลอดเขาขุนตาลมีความยาวถึง 1352.10 เมตรครับ

ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกกันสักหน่อย 🤣🤣

ใกล้ๆสถานีรถไฟจะมีทางเดินขึ้นไปยังอุทยานเเห่งชาติขุนตานด้วยนะครับ

เริ่มต้นด้วยการสักการะขอพรเจ้าพ่อขุนตาลขอให้ทริปนี้ราบรื่นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

มุมมองย้อนไปทางสถานีรถไฟขุนตาน

ถ่ายรูปเก็บภาพประทับใจกันได้สักพักเราก็ขึ้นไปด้านบนของอุโมงค์เพื่อถ่ายรูปมุมสูงกันครับ

ด้านบนอุโมงค์สวยม๊ากกกกก.....จนไม่อยากจะลง

ผู้ร่วมทริปยิงชัตเตอร์ถ่ายรูปกันจนจุใจ เราก็ไปกินส้มตำข้างๆสถานีครับบอกเลยว่าที่นี่เด็ดมากกก !!

ขอบคุณที่ติดตามครับจะรีบทยอยอัพนะครับกับ15สถานที่ท่องเที่ยว

ทริปที่2เรากำลังเดินทางไป @สะพานรถไฟทาชมภู เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ สะพานบ้านทาชมภูเป็นสะพานที่สวยงามอยู่ในบริเวณภูมิทัศน์ที่โดดเด่นของอำเภอ แม่ทาจังหวัดลำพูน

ระยะทางไม่ไกลมากครับ 11 กิโลเท่านั้น

ถึงเเล้วครับ บอกเลยว่าบรรยากาศดีม๊ากกกกก

อยากจะบอกว่าสถานที่จริงมันสวยมาก ต้นไม้สีเขียว ภูเขาล้อมรอบ เมฆลอยไปมา กลางคืนที่สะพานทาชมภูมีนักท่องเที่ยวเเนว BackPack มากางเต้นท์นอนดูดาวกันที่นี่ด้วยนะครับ😀😀

เหมือนเเดดจะร้อนเเต่ที่จริงเย็นสบายมากครับ ตรงนี้

หลังจากซุ่มยิงเก็บภาพต่างๆเสร็จเเล้วก็ถ่ายรูปหมู่กัน ก่อนที่เราจะเดินทางไปทริปที่3ต่อไปครับ

****วีดีโอรีวิว ep1.ทริปขุนตาน-สะพานทาชมภูครับ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=125002208085165&id=100017261599333 *****

ทริปที่3เราเดินทางต่อไปที่ @อุทยานเเห่งชาติขุนตานจากสะพานทาชมภูไม่ไกล 12 กิโลเท่านั้นครับ

มาถึงต้องเสียค่าเข้าอุทยานคนละ20บาทนะครับ รถยนต์4ล้อคันละ30บาท

เเดดจะร้อนไปไหน......!!

เดินขึ้นไปถ่ายรูปบนจุดชมวิวของอุทยานซึ่งไม่ไกลครับ

เก็บรูปเป็นที่ระลึกซะหน่อย

ป้ายบอกเห็นทางรถไฟลอดอุโมงค์ขุนตานด้วย

Zoommmmmmm เข้าไปเห็นจริงๆด้วย ทางรถไฟลอดอุโมงค์

ไฮไลท์คือจุดเเบ่งเขตลำปาง-ลำพูนครับ

ทิ้งท้ายทริปที่3ด้วยภาพสวยๆภาพนี้ครับ

มาต่อกันที่ @ทริปที่4กันครับ เราจะเดินทางกับไปถ่ายรูปที่สะพานรถไฟข้ามเหวที่สูงที่สุดในประเทศไทยกันครับ ซึ่งน้อยคนครับที่จะมาที่นี่ได้

ระยะทางจากอุทยานเเห่งชาติขุนตานไปสะพานรถไฟคอมโพสิต ระยะทางประมาณ8กิโลครับไม่ไกล

ไกด์นำเที่ยวของเราทำหน้าที่พาพวกเรานำเที่ยวได้อย่างดี ^^

ถึงเเล้วครับ เราจอดรถกันไว้ริมถนน บรรยากาศบอกเลยว่าร่มรื่นมาก

เราต้องเดินลุยป่าเข้าไปประมาณ150เมตรครับ ถึงจะถึงจุดถ่ายรูป

ถึงเเล้วครับ สะพานคอมโพสิต เป็นสะพานสำหรับรถไฟ 1 ใน 3 แห่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมทางรถไฟข้ามหุบเขาบนเส้นทางรถไฟสายเหนือ ระหว่างสถานีรถไฟแม่ตานน้อย กับสถานีรถไฟขุนตาน บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 676.754 เป็นสะพานคอมโพสิตแห่งแรกของการรถไฟแห่งประเทศไทย

ถ่ายรูปเก็บวิวเก็บบรรยากาศสุดจะชุ่มชื้น ^^

ด้านบนสะพานจะเป็นวิวเเบบนี้ครับ

มาทั้งทีก็ต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อยครับ อยู่ที่สะพานคอมโพสิตถ่ายรูปจนจุใจเเล้ว เราก็มุ่งหน้าไปต่อกันที่ทริปที่5กันต่อไปครับ

ทริปต่อไปทริปที่5 เราจะไปสักการะเจ้าพ่อขุนตาน(พญาเบิก)กันครับ

ระยะทางจากสะพานคอมโพสิต 19กิโลครับ

ขับรถมาได้สักพักเราก็ถึงทางเข้าเเล้วครับ @อุทยานประวัติศาสตร์เจ้าพ่อขุนตาน(พญาเบิก) สำหรับพญาเบิกนั้น วีรกรรมความกล้าหาญและความกตัญญูของพระองค์ที่นำทัพสู้ศึกเพื่อช่วยพระบิดาชิงเมืองกลับคืน จนต้องสิ้นพระชนม์นั้น ทำให้ชนรุ่นหลังเล่าขานเรื่องราวของพระองค์สืบมาและขนานนามให้พระองค์เป็น เจ้าพ่อขุนตาน ซึ่งในปัจจุบันมีศาลอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ที่ปากถ้ำขุนตาน ใกล้กับสถานีรถไฟขุนตานครับ

บรรยากาศถึงจะร้อนเเต่รู้สึกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูกครับ

ประวัติของท่านครับ

เก็บภาพไปเรื่อยๆครับ ตอนที่เรามาบางส่วนยอยู่ระหว่างการปรับปรุงนะครับ

ทิ้งท้ายด้วยการถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนที่เราจะเดินทางไป ทริปที่ 6 กันครับ

ทริปที่6เราจะไปกันที่ @วัดพระธาตุลำปางหลวง ดูจากกูเกิลไม่ไกลมากครับ 19 กิโล

ขับมาไม่นานก็ถึงเเล้วครับ

ใหญ่โตเเล้วก็อลังการงานสร้างมากครับ วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นโบราณสถานสำคัญ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณซากเมืองโบราณลัมพกัปปะนคร ตามประวัติพระนางจามเทวีเคยเสด็จมานมัสการ และทำการบูรณะซ่อมแซมอยู่เสมอ นับว่าเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณกาล มีความสวยงาม และมีความยอดเยี่ยมทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรม เป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วดอนเต้า ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวลำปาง และชาวพุทธทั่วไป

เก็บภาพมุมกว้างบริเวณหน้าทางเข้าวัดเพื่อเป็นความทรงจำก่อนครับว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราก็เคยมาที่นี่นะ

เดินขึ้นมาบริเวณด้านในวัดครับ จะมีน้ำดื่มบริการนะครับ น้ำเย็นสดชื่นมาก

เจดีย์ใหญ่โตเเลดูมีมนต์ขลังมาก ^^

เดินสำรวจรอบๆพระอุโบสถครับ ที่นี่ส่วนใหญ่จะมีทั้งนักท่องเที่ยวเเละชาวพื้นเมืองมานมัสการกันไม่ขาดสาย ถ้าผู้หญิงที่นุ่งกระโปรงสั้นหรือกางเกงขาสั้นมาจะต้องไปเปลี่ยนผ้าถุงที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ก่อนนะครับที่ทางเข้าวัดด้านล่าง

ที่วัดนี้จะมีพระธาตุเล็กๆตั้งอยู่ด้านข้างของเจดีย์ใหญ่ เเต่สิ่งที่ Unseen อยู่ที่ข้างในพระธาตุองค์เล็กครับ

ทางขึ้นจะมีป้ายบอกว่า "ผู้หญิงห้ามเข้า"นะครับ

ในพระธาตุจะมืดมากครับ พอเข้ามาเเล้วเราปิดประตูทางเข้าของพระธาตุเราจะเห็นผนังสีขาวค่อยๆมีการหักเหของเเสงที่ลอดเข้ามาในพระธาตุ

รอสักพักเราจะเห็นภาพเงาของพระธาตุที่เกิดจากการหักเหของเเสงปรากฎรูปเจดีย์กลับหัวครับ 😁😁

เก็บภาพด้านในวัดอีกสักครั้งเพื่อเป็นสิริมงคลเเก่ชีวิตครับ

งดงามมาก ^^

ใกช้ๆกันมีการจำลองหุ่นขี้ผึ้งของพระเกจิอาจารย์ด้วยนะครับ

มาที่วัดลำปางหลวงเเล้วอย่าลืมเเวะมายกช้างเสี่ยงทายด้วยนะครับ เค้าว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์มากครับ

ช้างทองเหลืองสูงประมาณ 5 นิ้วตั้งอยู่พร้อมข้อความเขียนถึงรายละเอียด การยกช้างอธิษฐาน โดยให้นั่งคุกเข่าข้างหน้าเสมอช้าง และด้านข้างขนานกับช้าง ครั้งแรกอธิษฐานในเรื่องที่คิดหวัง แล้วยกช้างซึ่งหลังช้างมีหูเกี่ยว ผู้หญิงใช้นิ้วนาง ผู้ชายใช้นิ้วก้อย หากยกช้างขึ้นแสดงว่าเรื่องที่อธิษฐานประสบความสำเร็จ คราวนี้ตั้งจิตอธิษฐานอีกครั้งในเรื่องเดิม ยกช้างอีกครั้ง ซึ่งหากสำเร็จจะไม่สามารถยกช้างขึ้นได้

ทิ้งท้ายทริปที่6ด้วยภาพสวยๆภาพนี้ครับ

จากจุดนี้เราจะเดินทางไปวัดพระธาตุดอยพระฌานกับครับจากเเผนที่ห่างไปราวๆ 25กิโลครับ สู้ๆลุยย !!

สถานที่ที่7 @วัดพระธาตุดอยพระฌาน เป็นวัดที่มีพระธาตุเก่าแก่มีมาแต่โบราณ แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ตั้งอยู่บริเวณแนวภูเขาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเทศบาลตำบลป่าตันนาครัว อยู่ในเขตพื้นที่ หมู่ 5 ตำบลป่าตัน อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ซึ่งมีเขตติดต่อระหว่าง อำเภอแม่ทะ อำเภอเกาะคา และอำเภอสบปราบ บริเวณโดยรอบมีทัศนียภาพที่สวยงามและมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของอำเภอแม่ทะที่หาดูได้ยาก เป็นสถานที่ที่มีความสงบและร่มเย็น

บรรยากาศร่มรื่นมาก ถึงเเม้เราจะมาถึงกันเป็นช่วงเวลาเย็นเเล้วก็ตาม

ลองเดินสำรวจบริเวณวัดกันหน่อย...วัดนี้ถ้าเรามาตอนเช้าๆจะเจอทะเลหมอกด้วยนะครับ

ไฮไลท์อยู่ที่หลังอุโบสถที่เห็นวิวไกลๆนั่นเเหละครับ ตามมาเลยครับ

เย็นๆยังสวยขนาดนี้เเล้วถ้ามาตอนเช้าๆเเล้วได้เห็นทะเลหมอกจะสวยขนาดไหนเนี่ย ^^

มีบันไดให้เดินลงไปข้างล่างด้วยนะครับ เเต่เราไม่ได้เดินลงไป T___T

มาเหนื่อยๆเห็นวิวรอบๆเเบบนี้หายเหนื่อยเลย ไม่ธรรมดาจริงๆ

หลังจากเก็บภาพหมู่กันเเล้วเราก็เดินสำรวจกันอีกนิดหน่อยเพราะเเสงใกล้หมดเต็มทีครับ

ทิ้งท้ายทริปที่7ด้วยภาพนี้ครับ

รับชมวีดีโอรีวิว ep.2 ศาลเจ้าพ่อขุนตาล-วัดพระธาตุดอยพระฌาน https://youtu.be/tk4b_kaXKQY

😀หลังจากจบทริปที่7เราก็ไปโรงเเรมที่เราจองไว้ครับอยู่ใกล้สถานีรถไฟลำปางประมาณ500 เมตรครับ

@อินหลงโฮม"ที่พักหลักร้อยวิวหลักล้าน"คืนละ 490 บาทครับเป็นห้องเเอร์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น มีจักรยานให้ปั่นกันฟรีๆด้วยนะครับ มีกาเเฟ โอวันติน บริการฟรีเช่นกัน สามารถติดต่อเช่ารถมอเตอร์ไซรได้กับทางอินหลงโฮมได้ครับวันละ 200 เท่านั้น

https://www.facebook.com/InLhongHomeResort/

ทริปที8

@ถนนคนเดินกาดกองต้า ติด1ใน10ของถนนคนเดินที่ดีที่สุดในประเทศไทย หลังจากอาบน้ำพักผ่อนกันเเล้วไกด์ใจดีก็พาเราไปเดินเล่นชมวิวกันที่ตลาดกาดกองต้าจากที่พักอินหลงโฮมเพียง3กิโลนิดๆเองครับ

คนเยอะมากครับวันนี้โชคดีฝนไม่ตกเลยเดินกันสบายๆ

มีเด็กๆมาเล่นดนตรีไทยให้ฟังด้วย นักท่องเที่ยวใจดีบางครั้งก็มอบค่าขนมเล็กๆน้อยๆให้เด็กๆ

ของกินที่นี่ถูกมากครับ อย่างเช่นไอติมเเท่งๆมี่ใส่น้ำโค๊กหรือน้ำเขียวน้ำเเดงน้ำส้มเเบบนี้ถ้า กทม.เเถวจตุจักรเเท่งละ5บาทนะ ที่นี่3เเท่ง10บาทซื้อเยอะเเม่ค้าใจดีมีเเถมให้เราอีกนะ ^^ รักจังกาดกองต้า

ส่วนใหญก็จะเป็นสินค้าประจำท้องถิ่นกับอาหารพื้นบ้าน ^^

เชื่อสิว่าเดินไปกินไปเป็นอะไรที่มันสุดยอดมากๆ

หลังจากเดินกันจนเมื่อยเเล้วเรานัดเจอกับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานถึง7ปีทางเพื่อนรู้ว่าทีมงาน Trip All Thai จะมาเที่ยวลำปางก็อาสาขอเลี้ยงอาหารให้กับทีมงาน เราก็มากินอาหารกันที่ร้าน"รุ่งยำเเซ่บ"อยากบอกว่าอาหารร้านนี้อร่อยมากรสชาตินี่สุดๆบอกเลย นอกจากอิ่มท้องเเล้วยังอิ่มอกอิ่มใจกับคำว่า"เพื่อน"คำว่า"มิตรภาพไม่มีพรหมเเดนจริงๆ"

**ร้านรุ่งยำเเซ่บ อยู่ซอยหลิ่งจันหมัน ตลาดกาดกองต้าอยากไปกินอาหารอร่อยนี่เลย 0931365546 ^^

กินอิ่มก็ตั้งใจจะกลับโรงเเรมกันเเต่เห็นว่า"สะพานรัษฎาภิเศก"อยู่ใกล้ๆก็ลยเเวะไปถ่ายรูปกันสักหน่อย

ประดับไฟสวยงาม

มันออกจะหลอนๆหน่อย 🤣🤣🤣

ทิ้งท้ายทริปสุดท้ายของวันนี้ด้วยภาพหมู่กับ"สะพานรัษฎาภิเศก"

ทริปที่ 9 กราบไหว้สักการะ @หลวงพ่อเกษม เขมโก เราออกเดินทางจากที่พักในเวลา 05.30น.จากที่พักดูจากกูเกิลใกล้จากตัวเมืองเพียง6กิโลเท่านั่นครับ "หลวงพ่อเกษม เขมโก หรือ ครูบาเจ้าเกษม เขมโก (นามเดิม เจ้าเกษม ณ ลำปาง) เป็นพระเถระและเกจิอาจารย์ ผู้เคร่งครัดในธุดงควัตร ปลีกวิเวก พุทธศาสนิกชนในจังหวัดลำปางและชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นพระเถราจารย์ปูชนียบุคคลรูปหนึ่งของประเทศไทย และมีผู้มีความเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน อีกทั้งท่านยังเป็นเจ้านายในราชวงศ์ทิพย์จักร ที่ออกผนวชอีกด้วย"

เรามาถึงที่นี่กันตอน 06.00น.ซึ่งยังเช้าอยู่มากจึงไม่สามารถเข้าไปในอุโบสถเพื่อสักการะร่างของท่านไก้จึงทำได้เเค่ถ่ายรูปเก็บบรรยกาศภายนอกเท่านั้นครับ

ลองเข้าไปสำรวจภายในวัดกันครับ ^^

เก็บภาพเป็นที่ระลึกสำหรับสถานที่ที่9ของทริปนี้

สถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันคือสถานที่10 @วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ (หรือนักท่องเที่ยวชอบเรียกกันว่าวัดหลวงพี่เเจ๊ส)สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระราชสมภพครบ 200 ปี (18 ตุลาคม 2547) จากแผนที่กูเกิลไกลพอสมควรครับ 58กิโลเมตร เอ้า !! ตามเรามาเลยครับ

วัดนี้จะเเบ่งเป็น3ชั้นครับ คือชั้นล่างหรือชั้นที่1จะเป็นวัดมีพระจำพรรษาอยู่ ชั้นที่2จะเป็นลานจอดรถมีร้านค้า มีห้องน้ำบริการ ชั้นที่3จะเป็นยอดเจดีย์ครับ พอถึงวัดเเล้วเราต้องจอดรถไว้ที่วัดชั้นที่1นะครับเพื่อต่อรถที่ทางวัดจัดไว้ให้เป็นรถยกสูง 4X4 ไปชั้น2ของวัด เนื่องจากทางนับตั้งเเต่นี้ไปค่อนข้างโหดครับค่ารถไปกลับคนละ 100 บาทครับ รถจะรอคนเต็มถึงออก

บรรยากาศภายในรถที่จะพาเราไปสู่ชั้นที่2ของวัด 😁😁

วีดีโอรีวิวทางขึ้นครับ https://youtu.be/zPZqxzoOLZg

ทางขึ้นเขาประมาณ3กิโลโหดพอๆกับเขาคิชณกูฏครับเเต่ที่นี่รถจะวิ่งสวนกันไม่ได้นะครับ ที่นี่จะมีคนปล่อยคิวรถไม่ให้สวนกันถ้ารถขึ้นก็จะขึ้นจนสุดทางรถที่จะลงถึงจะลงได้ครับ**ขึ้นเเล้วควรหาที่เกาะนะครับเตือนว่าโหดจริงทางขึ้น

เรามาถึงที่วัดเช้ามากครับเป็นกลุ่มเเรกๆของวันกันเลยทีเดียว ข้างๆจะมีห้องน้ำบริการนะครับใครจะทำธุระต้องทำที่ชั้นนี้เท่านั้นเพราะข้างบนที่เราจะเดินเท้าขึ้นไปไม่มีห้องน้ำบริการนะครับ

ก่อนถึงทางเดินขึ้นชั้นที่3ของวัดจะมีถ้ำจำลองอยู่ด้วยนะ ^^

จุดๆนี้จะมีร้านค้าเเห่งเดียวของที่นี้ เเนะนำให้ซื้อน้ำติดไปคนละ1ขวดนะครับเพราะด้านบนจะไม่มีน้ำขายหรือบริการนะครับ

จะมีทางเดินหลอกให้เราตายใจสัก300เมตรนะครับ ของจริงต้องหลังจากนี้ครับ🤣🤣🤣

ทางเดินจะตีเเผ่นเหล็กเป็นทางเดินสลับกับบันไดสำหรับเดินขึ้นเเน่นหนามากครับเดินได้สบายๆ

1ในทีมงาน Trip All Thai ขยันมากถ่ายวีดีโอสำหรับลงช่อง Trip All Thai ใน Youtube ด้วย

เดินกันต่อไปชิลๆครับ เดินไปถ่ายรูปไป

ไม่เหนื่อยสักนิด เเต่ยืนพักเอาเเรงเฉยๆๆ🤣🤣

เดินกันต่อไป จขกท.เริ่มเหนื่อยครับ 55 !!

หนทางยังอีกยาวไกลเราต้องเดินไปถึงยอดเขาเลยครับ

มีป้ายบอกอีกนิดเดียวก็ถึงเเล้ว

มันออกจะหอบๆหน่อย ^^

ใกล้ถึงเเล้วครับ

ทีมงานเราฟิตมากกกกก !!

ถึงเเล้วครับสวยงามมากกกเราใช้เวลาเดินขึ้นกันประมาณ30นาที เบื้องหน้าเป็นฉากที่คุ้นตาในหนังหลวงพี่เเจ๊ส

มีระฆังให้ตีด้วยนะ

เดินไปสำรวจรอบๆกันครับ

ถึงจะเริ่มมีเเดดเเต่อากาศเย็นสบายเลยนะบอกเลย

มุมมองด้านบนของพระธาตุครับ

วิวสวย...ลมเย็น...ภูเขาสีเขียวสุดลูกหูลูกตา...จุดบนพระธาตุถ้ามองลงไปข้างล่างค่อนข้างเสียงเลยนะครับ เเต่มีราวเหล็กกันไว้สบายใจได้เรื่องความปลอดภัย

สักการะขอพรพระพุทธรูปบนศาลากันสักหน่อยเพื่อเป็นสิริมงคลเเก่ชีวิต

ถูพื้นกันสักนิด ^^

เก็บภาพเป็นที่ระทึก !! เอ้ยระลึกกันสักหน่อย นั่งพักกันจนหายเหนื่อเราก็ได้เวลาลงจากวัดกันครับ

ตอนลงนี่เฮฮากันเลยเพราะลงง่าย 55

เดินไปถ่ายรูปกันไป ^^

ตอนลงเราใช้เวลากัน15นาทีเท่านั้น ร้านน้ำเปิดพอดีเราเลยจัดการเติมพลังงานให้ตัวเองก่อนที่จะเดินทางไปสถานที่ที่11 กันต่อไป

วีดีโอรีวิว ep.3 หลวงพ่อเกษม เขมโก-วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์

https://youtu.be/PyT3pfZo6Uw

จากแผนที่กูเกิล เราต้องขับรถไปอีก 21 กิโลครับ

บับรถมาประมาณ30นาทีก็ถึงครับ ค่าเข้าอุทยานคนละ40บาทนะครับ รถมอไซร์10บาท รถยนต์4ล้อ 30 บาทครับ

ลงจากรถสิ่งเเรกที่ทำคือ "กิน" ครับ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง

ร้านนี้มีไข่สำหรับต้มขายด้วยนะ อาหารที่นี่ราคาธรรมดาไม่เเพงครับ สามารถนั่งกินที่ร้านหรือไปนั่งกินข้างล่างเเถวน้ำตกได้ครับ ทางร้านจะมาส่งให้ครับ

สั่งอาหารเสร็จ้ราก็เดินสำรวจรอบๆกันครับ พร้อมกับหาทำเลสำหรับนั่งกินมื้อเช้ากัน

เดินมาตรงบ่อน้ำร้อนกันครับ ไอร้อนนี่ระอุกันเลยทีเดียว

น้ำที่นี่ร้อนสุด 82องศาครับ

ไม่ลืมที่จะเซลฟี่เพื่อเก็บเป็นภาพความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาที่นี่กันครับ

หลังจากกินข้าวกันเสร็จก็เก็บบรรยากาศกัน อยากบอกว่าที่นี่มันสวยเวอร์มากกกก

น้าใส.....

ไหลเย็น....

เห็นตัวปลา.....

หลังจากถ่ายรูปกันจนจุใจเเล้วเราก็ไปอาบน้ำเเร่ออกเซ็นกันครับ

ภายในสถานที่ที่อาบน้ำเเร่ออนเซ็นครับ

หลังจากขึ้นจากอาบน้ำเเร่ออนเซ็นเเล้วเราเดินขึ้นมายังน้ำตกกันครับ คนเริ่มเยอะ เเต่ก็ยังสวยสุดๆ

ทิ้งท้ายทริปที่11ด้วยภาพนี้ครับ

ทริปที่12 @กินลมชมวิวเขื่อนกิ่วลม

ระยะทางจากเเปนที่กูเกิลค่อนข้างไกลหน่อยครับ 53 กิโลเมตรวิวสันเขื่อนจะสวยเเค่ไหนตามเรามาเลยครับ

ขับเรื่อยๆกินลมชมวิวสองข้างทาง

ขับรถมาประมาณ50นาทีก็ถึงจุดถ่ายรูปบริเวณสันเขื่อนเเล้วครับ อากาศร้อนกำลังดี

อีกฝั่งของสันเขื่อน มองไปไกลๆเเล้วรู้สึกสดชื่นดีจริงๆ

งานถ่ายรูปหมู่ก็มา

มุมถ่ายรูปสวยๆก็มี

เราใช้เวลาอยู่ที่สันเขื่อนกันประมาณ40นาทีครับเพราะอากาศค่อนข้างร้อนครับ

ทิ้งท้ายทริปที่12ด้วยภาพนี้ครับ

สถานที่ต่อไปที่เราจะเดินทางกันคือสถานที่13 @ถ้ำผาไปเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานเเห่งชาติถ้ำผาไท

จากเเผนที่ห่างจากเขื่อนกิ่วลมประมาณ 59กิโลเมตรครับ เริ่มเดินทางมากับเราได้เลยยยยยย !!

หลังจากขับรถมาประมาณ1ชั่วโมงก็ถึงเเล้วครับ @จุดท่องเที่ยวที่13@ถ้ำผาไท ถ้ำแห่งนี้ ภายในถ้ำเป็นโถงขนาดใหญ่เกิดจากภูเขาหินปูนอายุไม่น้อยกว่าเก้าล้านปี ความลึกจากปากถ้ำเข้าไปประมาณ 1,150 เมตร ตลอดเส้นทางอุทยานฯ ได้ติดตั้งไฟฟ้าเพื่อให้สะดวกในการเดินชมหินงอกหินย้อยที่มีอยู่มากมายในถ้ำ นอกจากนี้ภายในถ้ำยังปรากฏมีเถ้าภูเขาไฟอายุ 15 ล้านปี แน่นอนว่านี่คือ ‘หนึ่งเดียวในสยาม' ที่ถ้ำผาไทแห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เคยเสด็จประพาสเมื่อ พ.ศ. 2469 ดังปรากฏหลักฐาน พระปรมาภิไธยย่อ ปปร. ภายในถ้ำ นอกจากนี้ยังมีค้างคาวจำนวนมากอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้ และในบริเวณใกล้เคียงมีถ้ำโจรและถ้ำเสือที่มีประวัติเก่าแก่ สามารถเดินถึงได้จากถ้ำผาไท การเดินทางเข้าไปชมภ้ำผาไทต้องอาศัยเดินเท้าขึ้นไปนะครับ อ้อลืมบอกไปอีกอย่าง การที่จะเข้าไปเที่ยวชมถ้ำผาไท ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่นำทางก่อน ทางอุทยานจะปั่นไฟส่องสว่างในถ้ำให้ ถ้าไม่แจ้งจะไม่เปิดไฟให้ ซึ่งคงจะเดินเที่ยวชมกันลำบาก เจ้าหน้าที่นำทางให้เราโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าหากเปิดเป็นอุทยานแห่งชาติอย่างเป็นทางการก็คงจะมีการเก็บค่าบริการกันเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จะมีไฟฉายไว้ให้บริการเราอยู่แล้วจึงไม่ต้องกังวล

หนทางช่างยาวไกล ^^

ตามเรามากันเลยครับ

เดิน...

เเล้วก็เดิน........

เหนื่ยก็พัก...เเล้วก็เดินต่อ.......

มองย้อนไปข้างล่างที่เดินขึ้นมา บรรยากาศชื้นๆเย็นๆครับตอนนี้เนื่องจากเรามากันก็ราวๆบ่าย3โมงกว่าๆเเล้ว

ถึงเเล้วครับ เหนื่อยเเต่ก็ไม่ถึงกับหอบนะ ^^

อื้อหือ บรรยากาศวังเวงมากกกกกก อากาศเย็น....เงียบ....มีเเต่เสียงร้องของจิ้งรีด..เสียงกบร้อง...เสียงนกร้อง...กับลมพัดมาเบาๆ...การเดินขึ้นถ้ำผาไทบันไดเพียงไม่กี่ร้อยขั้นที่เป็นทางเข้าถ้ำก็ไม่ได้สูงชันมากนักแต่ก็เหนื่อยได้เหมือนกัน เดินมาถึงครึ่งทางก็จะหอบหน่อยๆ

หน่วยกล้าตายเราลงไปเเล้ว ตามไปสิรอะไรครับ

ความรู้สึกเเรกที่ลงไปถึงรู้สึกได้ถึงความขลัง ความอลังการ ความยื่งใหญ่ของถ้ำเเห่งนี้ ทั้งเงียบสงบ ทั้งสวยงาม

มาถึงที่ทั้งทีมีหรือที่ทีมงาน Trip All Thai จะไม่เก็บภาพหมู่เป็นื่ระลึก 😁😁

ขณะที่ จขกท.กำลังตะลึงกับความงดงามเเละความยิ่งใหญ่ของถ้ำยังไม่ทันจะอะไรเลยมองไปอีกทีทีมงานเราก็ลงไปข้างล่างของโถงถ้ำซะเเล้ว เอ๊าาา รอตรูด้วยยยยย !!

ภายในถ้ำเย็นเเละเงียบมาก

หินรูปสิงโต

มีพระปรมาภิไธยย่อ ป.ป.ร.ถ้ำผาไทเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ห้วรัชกาลที่ ๗ เคยเสด็จประพาสในปี พ.ศ. 2469

มีพระพุทธรูปตั้งอยู่หน้าปากทางเข้าถ้ำก็ไหว้สักการะขอพรกันก่อนที่จะเข้าไปสำรวจด้านในของถ้ำครับ พระพุทธรูปในถ้ำเป็นพระพุทธรูปปางปฐมมรรค ลักษณะคล้ายปางสมาธิแต่พระหัตถ์ขวามีลักษณะคล้ายการจีบนิ้วตั้งขึ้น เชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปปางปฐมมรรคเพียงองค์เดียวในประเทศไทย ประดิษฐานอยู่ปากถ้ำผาไท ชาวบ้านเดินทางมากราบไหว้อยู่เนืองๆ ถ้าหากมาเพื่อไหว้พระเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้เข้ามาในถ้ำได้โดยไม่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง ประวัติการสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ก็ยังไม่ชัดเจน

เสาหินเก้าล้านปีเป็นเสาหินที่อยู่ด้านหลังองค์พระพุทธรูป จากข้อมูลที่เจ้าหน้าที่บรรยายให้ความรู้ก็เลยรู้ว่าเสาหินต้นนี้มีอายุประมาณ 9 ล้านปี ปกติหินงอกหินย้อยในถ้ำมีอัตราการเจริญเติบโตประมาณปีละ1มิลถึงครึ่งเซนติเมตร ความสูงของเสาต้นนี้ใช้เวลาไม่ถึง 9 ล้านปีในการเติบโตจนเป็นเสาสูงถึงเพดานถ้ำ แต่มีการส่งตัวอย่างหินและดินที่พบในบริเวณเสาต้นนี้ส่งไปเข้าแลบในต่างประเทศจนรู้ว่าเสาต้นนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 9 ล้านปีมาแล้ว

บนเพดานถ้ำจะเห็นเเสงสว่างลอดเข้ามาจากเพดานถ้ำถึงพื้นถ้ำ ถ้ามาตอนเช้าๆหรือเที่ยงๆเเสงน่าจะสวยกว่านี้มากครับ

มองย้อนกลับไปทางปากถ้ำครับ ยิ่งเข้ามาลึกยิ่งมืดครับ

เราได้พี่เจ้าหน้าที่อุทยานมาเป็นไกด์นำทางพร้อมเเนะนำความรู้ต่างๆให้ครับ

ตามทางจะมีไฟส่องสว่างให้เป็นระยะๆนะครับ ทางเดินภายในถ้ำผาไทถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่มีโถงกว้างขวางหลายแห่ง เพดานค่อนข้างสูงแม้จะมีความลึกถึง 405 เมตร แต่ก็มีอากาศหายใจได้สะดวกมีโพรงที่เพดานอยู่ 2 จุดทางเดินบางช่วงค่อนข้างแคบต้องเดินผ่านซอกหินงอกไป ผู้ชายหุ่นธรรมดาๆไม่อ้วนก็ยังผ่านไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ถ้าหากว่าหุ่นไม่ดีจริงคงจะผ่านไปไม่ได้ 🤣🤣

เดินมาสักพักก็เจอป้าย"ถ้ำอิดคอยหาย"เป็นทางเเยกของถ้ำเเต่เจ้าหน้าที่ปิดไม่ให้เข้าไปเหตุผลเพราะว่าหนทางอันตรายเเละมีงูเยอะนะครับ

น้ำเกาะที่ปลายหินทำให้เกิดหินงอกหินย้อยได้ครับ

เดินมาสักพักเจ้าหน้าที่นำทางชี้ให้ดูหินงอกจากพื้นดินครับ เป็นหินที่กำลังเจริญเติบโต

เดินกันต่อไป.....ข้างในมีค้างคาวเดาะตามเพดานถ้ำเยอะมากครับเหม็นขี้ค้างคาวบ้างเป็นระยะๆ

หินย้อยสีขาว การเกิดขึ้นของหินย้อยมาจากรอยแตกร้าว รอยรั่วของเพดานและผนังของถ้ำ ทำให้น้ำและกรดกรัดเซาะเอาแร่ธาตุในดินมาตกตะกอนรวมกัน ถ้าจุดไหนของเพดานถ้ำมีรอยร้าวขนาดใหญ่เราจะเห็นหินย้อยขนาดใหญ่ แต่ถ้าเป็นรอยเล็กๆ เราก็จะเห็นหินย้อยเป็นสายเล็กๆ ยาวลงมาเรื่อยๆ สีของหินย้อยที่เป็นอยู่จะค่อนข้างขาว หรืออาจจะมีสีอื่นตามแร่ธาตุที่ไหลลงมาแต่สีจะต่างกับผนังถ้ำที่เกิดขึ้นมานานแล้วอย่างชัดเจน

สร้อยอโนดาษ เป็นการเกิดหินย้อยแบบคล้ายน้ำตก ด้านบนเป็นแอ่งกว้าง น้ำที่ไหลลงมาจากเพดานถ้ำมาขังอยู่ในแอ่งในฤดูฝน ชาวบ้านจะมาตักเอาไปกินกันเพราะเชื่อว่าเป็นน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ น้ำที่ล้นออกจากแอ่งทีละนิดๆ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดหินย้อยรอบๆ แอ่งน้ำเป็นความสวยงามยิ่งเมื่อได้เห็น

เดินกันต่อไป ยิ่งลึกอากาศเริ่มเบาบางลง ทางบางช่วงจะเป็นช่องเเคบๆเดินต้องระมัดระวังกันด้วยนะครับ

หินย้อยตาย เป็นตัวอย่างของหินตาย หินย้อยเหล่านี้ได้หยุดการเจริญเติบโตไปแล้ว เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า มีคนค้นพบถ้ำนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน แล้วคงจะหักเอาปลายหินย้อยไปเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง หินย้อยก็เลยมีรูปร่างแปลกๆ เหมือนหินด้วน หลังจากนั้นการเติบโตของหินย้อยจุดนี้ก็หยุดลง

สุดทางถ้ำผาไท จบระยะการเดินทางเที่ยวชมถ้ำผาไทที่จุดนี้ระยะทาง 405 เมตรของความลึกของถ้ำซึ่ง จขกท.ก็เดินมาจนถึงสุดทางแล้ว เจ้าหน้าที่เล่าว่า ที่จริงแล้วถ้ำแห่งนี้มีความลึกประมาณ1กิโลเมตร แต่ทางเดินนับจากจุดนี้ไปเป็นทางเดินที่ลำบาก มีโพรงแคบๆหลายจุดที่ต้องลอดเข้าไป บางช่วงค่อนข้างอันตรายและลื่น เจ้าหน้าที่จึงเปิดให้เข้าชมได้เพียงครึ่งเดียวของความลึกทั้งหมด อีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรจะให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้นำทางเที่ยวถ้ำผาไทก็คือ ในถ้ำแห่งนี้มีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และมีงูบางชนิดที่อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้เป็นสัตว์ประจำถิ่น เจ้าหน้าที่บอกว่างูในถ้ำส่วนใหญ่ไม่มีพิษ เจ้าหน้าที่นำทางจะดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวได้ด้วย

ไหนๆก็สุดทางเเล้วจะเข้ามาก็ไม่ใช่ง่ายๆทีมงานก็ไม่ลืมที่จะเก็บภาพเป็นที่ระทึก !! เอ้ยระลึกกันที่ @ถ้ำผาไท

หลังจากสุดทางเราก็เดินทางกลับกันครับเพราะยังเหลืออีก2สถานที่ที่เราต้องไปให้ครบให้ได้ ^^

เก็บภาพสุดท้ายของถ้ำผาไทที่ป้ายประเพณีของที่นี่

วีดีโอรีวิว ep.4 อุทยานเเห่งชาติเจ้ซ้อน-ถ้ำผาไท

https://youtu.be/SnqXhCxb23U

สถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันคือ วัดจองคำเป็นสถานที่14ของเราในทริปนี้ครับ

พิกัดจากถ้ำผาไทไปวัดจองคำไม่ไกลครับเพียง8กิโลเมตร

ขับรถมาสักพักก็ถึงครับ สถาพโดยรวมเหมือนว่กำลังสร้างหรือปรับปรุงบางอย่างอยู่ครับ

มาถึงขึ้นเเรกต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันก่อนครับเเต่ถ่ายยากมากเพราะเจดีย์สูงมากกล้องเลนส์กว้างไม่พอครับที่จะเก็บให้หมดเฟรม

เบื้องหลังการถ่ายทำครับ ลงทุนม๊ากกก !!

พยายามจะถ่ายมุมกว้างให้ได้มากที่สุดเเต่กว้างได้เเค่นี้จริงๆครับ เพราะพระมหาเจดีย์พุทธคยาใหม่โตมากจริงๆ

วัดจองคำ พระอารามหลวง ตั้งอยู่บนทางหลวงลำปาง-งาว (ทางหลวงหมายเลข 1 หรือพหลโยธิน) หากเดินทางมาจากจังหวัดตากหรือกรุงเทพฯ วัดจองคำจะอยู่ซ้ายมือ ด้วยซุ้มประตูสีทองสลักลวดลายสวยงาม กำแพงหินเป็นแนวยาวกว่า 200 เมตร จึงทำให้วัดจองคำเป็นที่สะดุดตาของผู้ที่สัญจรไปมา

พุทธคยา ประเทศอินเดีย แต่ จขกท.อยู่ที่พุทธคยา วัดจองคำพระอารามหลวง อำเภองาว จังหวัดลำปาง เป็นพุทธคยาที่ถอดแบบมาจากประเทอินเดีย เหมือนทุกตารางนิ้ว ทั้งแต่ทิศที่ตั้งไปจนถึงสถาปัตยกรรม จะต่างเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ พุทธคยาแห่งนี้ สร้างสูงกว่าประเทศอินเดีย 1เมตร คือสูงถึง 53 เมตร ฐานกว้าง 26 คูณ 29 เมตร เท่ากับพุทธคยาของอินเดีย ใช้งบผู้มีจิตศรัทธาก่อสร้างกว่า 100 ล้านบาทเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน หลวงปูเจ้าอาวาสพร้อมคณะต้องเดินทางไปอินเดียไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งเพื่อเก็บรายละเอียดทุกตารางนิ้ว ถอดแบบให้เหมือนทุกจุด

ข้างในสะอาดสะอ้านมากเเอร์เย็นผิดกับอากาศด้านนอกอย่างสิ้นเชิง เหมาะกับการนั่งวิปัสสนาเป็นอย่างมาก ^^

บรรยากาศภายใน

ทางทีมงานได้ใช้เวลาสักพักเพื่อนั่งสมาธิกับนั่งสวดมนต์กับพระอาจารย์ของที่วัดจองคำด้วยนะครับ 😅😅 หลังจากนี้เราก็จะเดินทางไปยังสถานที่สุดท้ายเเละสุด Unseen ของทริปนี้ครับ

หลังจากออกมาจากพุทธคยาเเล้วเราก็จะเดินทางไปที่ @หล่มภูเขียวสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สุด Unseen ของจังหวัดลำปางกันครับ

จากพุทธคยาระยะทาง20กิโลครับ ต้องรีบกันหน่อยเพราะเริ่มเย็นเเล้วเดี๋ยวเเสงหมดจะอดสวยกัน เอ๊าลุยกันเลยครับ

16กิโลเเรกยังเป็นถนนลาดยางขับชิลๆครับเเต่4กิโลหลังจะเป็นทางดินนะครับ

เริ่มเข้าสู่ทางลูกรังเเล้วนะครับถ้าหน้าฝนถนนจะลื่นมากขับใช้ความระมัดระวังกันด้วยนะครับ

ถนนหนทางเริ่มเข้าป่าลึกขึ้นมากเรื่อยๆครับ

เส้นทางนี้แต่เดิมมีเพียงรถแทรกเตอร์ของชาวไร่ชาวสวนเท่านั้นที่สัญจรไปมา หลังจากมีการปรับปรุงพื้นที่เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของลำปาง เมืองต้องห้าม...พลาด ก็มีการปรับสภาพผิวถนนดินให้เรียบจนรถเข้าถึงได้สะดวกมากขึ้น ยกเว้นรถตู้ที่จะไปติดตรงลำห้วย 200 เมตรสุดท้ายก่อนถึงหล่มภูเขียว ลงเนินจากตรงนี้ไปจะเจอทางน้ำไหลหรือห้วยเล็กๆเเต่เรามาหน้าร้อนน้ำเลยเเห้งขับข้ามได้สบายๆครับ เเต่ถ้าเป็นหน้าฝนจะมีทางน้ำไหลถ้ามามอเตอร์ไซร์อาจจะข้ามไม่ได้นะครับ

ขับมาได้สัก30นาทีก็ถึงลานจอดรถครับเเต่เนื่องจากเรามาตอนเย็นผู้คนเลยไม่คึกคัก

หล่มภูเขียวตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 32 กิโลเมตร โดยใช้เส้นทางลำปาง - งาว ขึ้นไป 19 กิโลเมตรมีทางแยกซ้ายมือเข้าไปอีก 13 กิโลเมตร ช่วง 4 กิโลเมตรสุดท้ายเป็นทางดิน

ทางขึ้นหล่มภูเขียว จากลานจอดรถต้องเดินเท้าขึ้นเนินเขาสั้นๆระยะทาง 150 เมตรก็จะถึงแอ่งน้ำใสของเราแล้ว ช่วงแรกจะเป็นทางขึ้นแล้วจากนั้นก็เดินลงอย่างเดียวยาวๆเลยครับ

เดินขึ้นมาสักพักมีที่นั่งสำหรับพักเอาเเรงด้วยนะครับ

เจอทางลงเเล้วครับ

สุดทางเดินจะเป็นศาลเจ้าพ่อหล่มภูเขียว ก่อนจะลงไปก็ควรจะไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหล่มภูเขียวกันก่อนเพราะเป็นตำนานสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของหล่มภูเขียวนะครับ

ขวามือของศาลจะเป็นทางลงไปสู่แอ่งน้ำครับ

พอมาถึงตรงนี้มองลงไปก็จะเห็นแอ่งน้ำกลมๆ ใสๆ สีฟ้าอมเขียว น้ำที่นี่นิ่งสนิทจนมองเห็นภาพสะท้อนของผาหินที่สูงล้อมรอบแอ่งน้ำเอาไว้ เหมือนปล่องภูเขาไฟจริงๆ เพื่อความสะดวก อุทยานสร้างบันไดไว้ให้ ลักษณะเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่มีความลึกมากจนเป็นสีเขียว ความลึกยังไม่สามารถระบุได้ สันนิษฐานว่าเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกในสมัยดึกดำบรรพ์ ต่อมาชาวบ้านได้เดินป่าเข้ามาค้นพบแหล่งน้ำสีเขียวมรกตอยู่ภายใต้หุบเขาดังกล่าวจึงเรียกชื่อว่า "หล่มภูเขียว" และมีหุบเขาอีกแห่งหนึ่งอยู่ตรงข้ามกันแต่ไม่มีน้ำ จึงเรียกว่า "หล่มแล้ง" ชาวบ้านเชื่อว่าหล่มภูเขียวเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีพญางูใหญ่อาศัยอยู่ จึงได้ทำพิธีบูชาน้ำเป็นประจำทุกปี มีเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่า สมัยก่อนชาวบ้านจะนำขันข้าวพร้อมดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา โดยนำไปวางบนขอนไม้และลอยไปกลางน้ำ เพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้เกิดปรากฏการณ์ขอนไม้จมลงไปใต้น้ำ แล้วลอยขึ้นมาโดยที่เทียนยังไม่ดับ จึงสร้างความเชื่อว่าเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น ชาวบ้านจึงนำน้ำจากหล่มภูเขียวมาดื่มกินอธิษฐานให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และนำไปใช้ในพิธีศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านตามความเชื่อสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน หากมาเที่ยวชมความสวยงามของธรรมชาติ ต้องให้ความเคารพต่อสถานที่ ไม่ทิ้งขยะ ไม่นำปลามาปล่อย ไม่แช่เท้า ไม่ให้อาหารปลา เนื่องจากน้ำในแอ่งเป็นน้ำขังไม่ไหลเวียนจะเกิดเน่าเสียได้

น้ำใสมากกกกก ใสจนเห็นตัวปลา เเต่ จขกท.ไม่เเน่ใจว่าคือปลาอะไรนะครับ ปลาพวกนี้เป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติแต่ไม่มีใครรู้ว่ามาอยู่กันได้ยังไง มีชาวบ้านเล่าว่าเคยมีคนเอาเบ็ดมาตกปลา เกิดเหตุอัศจรรย์ฝนตั้งเค้าเมฆดำทะมึนสายฝนเทลงมาอย่างหนัก จนคนตกปลากลับออกจากหล่มภูเขียวไม่ได้ สุดท้ายก็ปล่อยปลานั้นลงน้ำ แล้วก็กลับออกมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ปลาในนี้หลายตัวมองไม่ออกว่าคือปลาอะไร ที่เห็นแล้วจำได้ก็คือปลาดุกขนาดตัวใหญ่มากๆ ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล ไม่ให้คนเอาอาหารมาให้ปลา หรือแม้แต่จะเอาขาจุ่มน้ำก็จะมีคนคอยเตือนอยู่ตลอด ชาวบ้านเคารพแอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มาก

มาถึงที่หล่มภูเขียวทั้งทีจะพลาดเซลฟี่กลุ่มได้อย่างไร

วีดีโอรีวิวบรรยากาศ หล่มภูเขียวครับ https://youtu.be/pYxD4pwB9Vg

ทีมงานเเยกย้ายกันเก็บภาพบรรยากาศอันประทับใจเป็นอันจบทริปอย่างสมบูรณ์ตามเเผนที่วางไว้ ก่อนที่จะเดินทางกลับเพราะที่นี่เริ่มจะมืดครับ

พิกัดระยะทางจากหลุ่มภูเขียวไปสถานีรถไฟนครลำปางประมาณ 100 กิโลครับขากลับต้องทำเวลาครับเพราะรถไฟที่เราจะกลับจะออกจากสถานีนครลำปางในเวลา20.17น.ครับ

เรามาถึงสถานีรถไฟนครลำปางกันในเวลา 20.05น.ซึ่งรถไฟจะออกในเวลา 20.17 น.เราจองตั๋วรถไฟขากลับเป็นขบวนรถไฟขบวนใหม่ล่าสุดของประเทศไทย ขบวนรถด่วนพิเศษที่10 "อุตราวิถี"เชียงใหม่-กรุงเทพ ชั้น2นั่งเเละนอนปรับอากาศ ออกนครลำปาง 20.17 น.ถึง กรุงเทพ 06.50 น.

ยังพอมีเวลาเก็บภาพที่สถานีรถไฟลำปางได้อีกนิดหน่อยครับ

ตารางเวลาเดินรถไฟที่สถานีรถไฟนครลำปาง

ใกล้เวลารถไฟเข้าสู่สถานีรถไฟลำปางเต็มทีเราก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปหมู่ทีมงาน Trip All Thai เป็นที่ระลึกในความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาออกทริปที่ไม่น่าจะเป็นไปได้กับเวลาเเค่2วันกับสถานที่ท่องเที่ยวถึง 15สถานที่กับระยะทาง800กว่ากิโล ทางทีมงานต้องขอบคุณ "พี่แป๋ง"หนึ่งในสมาชิก Trip All Thai ทั้งๆที่บางคนไม่เคยเจอกันมาก่อนเเต่กลับประทับใจซึ่งกันเเละกัน พี่เเป๋งเป็นไกด์เเละเป็นคนขับรถพาทีมงานของเราเที่ยวเป็นระยะทาง800กว่ากิโล พาพวกเราเที่ยวตามแผนที่พวกเราได้วางไว้ได้สำเร็จเสร็จสมบูรณ์ "มิตรภาพไร้พรหมเเดน"คำนี้ใช้ได้จริง ขอบคุณครับพี่

สิ้นเสียงประกาศ รถไฟเข้าเทียบชานชลาถึงเวลาต้องจากลากันเเล้ว อยากบอกว่าหลงรักที่นี่ หลงรักมิตรภาพ หลงรักลำปางเข้าเเล้วถ้ามีโอกาส จขกท.จะกลับมาใหม่ @ที่นี่ลำปาง

ขึ้นมาบนขบวนรถก็จะเจอประตูระบบสัมผัสนะครับให้อารมณ์เเนวหนังยานอาวกาศได้ดีจริงๆ(ขอบอกเเอร์เย็นม๊ากกก)

ที่นั่งก่อนที่จะกลายสภาพเป็นเตียงนอน

สภาพที่นั่งหลังจากเจ้าหน้าที่ปูเตียงกลายเป็นที่นอนครับ

มีน้ำบริการที่นั่งละ1ขวด

มีไฟส่องสว่างสำหรับอ่านหนังสือเเละปลักไฟ 220 v.ทุกที่นั่ง

มีจอมอนิเตอร์สำหรับบอกข้อมูลสถานะปัจจุบันว่าขบวนรถอยู่ที่สถานีไหน สถานีข้างหน้าคือสถานีอะไร ,ขบวนรถวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่,อุณหภูมิในรถไฟอุณหภูมิเท่าไหร่ภายนอกขบวนรถเท่าไหร่,บอกเวลาว่าขบวนรถเสียเวลาหรือตามเวลา เราว่าบอกได้ละเอียดดีนะ😁😁

มีประตูระบบไฮดรอริกสำหรับยกรถเข็นผู้พิการขึ้นมาสู่ขบวนรถครับ

มีตู้โดยสารสำหรับผู้พิการโดยเฉพาะ1ตู้ครับ

ห้องน้ำจะเป็นระบบสูญญากาศระบบเดียวกับเครื่องบินนะครับ

หลังจากจัดการเก็บสัมภาระเรียบร้อยเเล้วเราก็เดินไปตู้เสบียงเพื่อประชุมกันครับ

สภาพทางเดินหลังจากที่หลายๆคนเริ่มนอนกันเเล้วเเต่พวกเรายังตาสว่างอยู่ อิอิ

บรรยากาศภายในตู้เสบียง

ตู้เสบียงมีฟรีไวฟายด้วยนะครับ

หือ !! บนรถไฟยังไม่เว้นที่จะเซลฟี่กลุ่ม 😁😁😁

เวลานอนทางเจ้าหน้าทีาจะหรี่ไฟให้นะครับ จะได้นอนหลับสบายหลังจากนี้เราก็หลับกันจนถึงรังสิต Zzzzzzzz........

ตอนเช้าเจ้าหน้าที่มาเก็บเตียงให้กลายเป็นที่นั่ง

06.25น.รถไฟถึงสถานีชุมทางบางซื่อตามเวลา

วีดีโอรีวิว ep.5 หล่มภูเขียว-กรุงเทพ ครับ

https://youtu.be/zQWjjdE-q_Y

ถือเป็นการจบทริปที่สมบูรณ์ครับ ^^

สรุปค่าใช้จ่าย นับเฉพาะค่ารถไฟไป-กลับ/ค่ารถ/ค่าน้ำมัน/ค่าที่พัก/ค่าเข้าอุทยาน **ไม่รวมค่ากินของเเต่ละคนนะครับ**

ขอบอบคุณที่ติดตามการเดินทางของพวกเรา เพจ เดี๋ยวพาไป - Deawpapai ตั้งเเต่ต้นจนจบ รีวิวนี้จัดทำขึ้นไม่ได้หวังผลประโยชน์อื่นใดนอกจากหวังเพียงเเค่เป็นข้อมูลให้นักเดินทางหลายๆท่านที่อยากไปเเต่ยังไม่มีข้อมูล หวังว่ารีวิวของพวกเราจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ขอบคุณครับ




Taeremix

 วันพฤหัสที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 17.16 น.

ความคิดเห็น