'คะน้าน้อย' สวัสดีค่าาา ^O^

ไปๆ มาๆ ก็บล็อคที่สิบสองแล้วเหรอเนี่ยยย ดีใจจัง 55555 รู้สึกได้เที่ยวเยอะดี

เอาล่ะ! ทริปนี้ก็ตามชื่อเลยค่ะ ทริปสั้นๆ เขย่าสติ ทริปนี้เราไปเดินเล่นวันหยุดเสาร์-ทิตย์

ณ เวียดนามใต้


ทริปนี้ "ชายอาม" เป็นผู้นำพาสามอิสตรีแสนสวยไปผจญภัยในต่างแดน


ตามมาด้วย "คะน้า" เอง ถ้าไม่มาด้วย จะเขียนรีวิวได้เยี่ยงไร 5555


และขอเสียงปรบมือต้อนรับสองสมาชิกใหม่ ณ บ้านคะน้าด้วยค่าาาาา

"น้องซิง" สาวหน้าหมวยสวยสุดซอย...ซอยตันด้วย บอกเลย!!


และน้องแอ่นแอนแอ๊นท์ (บางทีน้องเขาก็อยากจะชื่อแอ๊นท์เฉยๆ มั้ย)

สาวตาโตที่ยิ้มแป้นทุกครั้งเมื่อเดินผ่านหมู่มวลดอกไฮเดรนเยีย

ทริปนี้นางบรรลุความฝันสูงสุด คือการมีรูปคู่กับดอกไฮเดรนเยียแล้วค่ะ 55555


พวกเราออกเดินทางออกจากประเทศไทยอันเป็นที่รัก เวลาประมาณ 13:50 น.

และมาเป็นต่างด้าวไทยในดินแดนโฮจิมินห์ เวลาประมาณ 15:20 น. พอดิบพอดี


แลนด์ดิ้งปุ๊บ ต่างด้าวปั๊บ!!

ติดต่อใครไม่ได้ โลกจะมืดบอดไปชั่วขณะหนึ่ง 55555

พวกเราจึงจำเป็นต้องจ่ายคนละ 10$ เพื่อซื้อซิมมือถือ ใช้ WiFi ตลอดการเดินทาง

แต่...คะน้าไม่ได้ซื้อนะคะ อาศัยให้น้องซิง Share Hotspot ให้ตลอดทริป

กราบความกรุณาของน้อง มา ณ ที่นี้ด้วย เหตุผลคือ คะน้าซื้อ Roaming แล้วหมดไป

ภายใน 30 นาทีแรกที่เท้าแตะดินแดนโฮจิมินห์ ในราคาแพงกว่าซิม นี่กรุจะซื้อเพื่อออออ!!??

ส่วนเหตุผลที่สองคือ...ไปเที่ยวอ่ะ จับมือถือก็แค่ตอบงานเป็นพักๆ ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่


เมื่อได้ซิมและสามารถติดต่อโลกทั้งใบได้อีกครั้ง

เราก็ตระหนักได้ว่า...เราติดต่อใครก็ได้ แต่เราจะยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้ TOT

เราต้องจองรถไปส่งเข้าเมืองด้วย อ๊ะ! ร้านซิมมือถือ มีบริการจองรถด้วย เยี่ยม!!


โลกแห่งการผจญภัยได้เริ่มขึ้นแล้ว ตั้งแต่บนรถคันนี้เลยเจ้าค่ะ

ระหว่างนั่งรถ คะน้าก็นั่งรถชมเมืองไปตลอดทาง และรู้สึกว่าทำไมเหมือนรถทุกคัน

มันพร้อมจะพุ่งมาชนรถที่เรานั่งตลอดเวลา!!

นึกขึ้นได้ อ่อ...ถนนบ้านเมืองนี้เขาขับกันคนละเลนกับประเทศไทย

วิสัยทัศน์บนท้องถนนที่เราคุ้นชิน มันเลยเปลี่ยนไป เหมือนรถจะชนกันตลอดเวลา 5555


จากสนามบิน เข้ามายังในเมือง เมือง...เอ่อ...เมืองจริงๆ ค่ะ

และนี่คือประชาชนคนเวียดนาม ณ โฮจิมินห์ กับฝูงมอเตอร์ไซค์ในตำนาน

เห็นด้วยตาตัวเองแล้ววันนี้ เออ! อลังสมคำเล่าลือมากจริงๆ ณ จุดนี้


ฝ่าฟันรถติดมาได้ราวๆ สี่สิบนาที (หรืออาจมากกว่านั้น จำไม่ได้ แหะๆ!)

รถแท็กซี่ก็มาส่งเราถึงปลายทาง ตามที่เรา Request ไว้ นั่นก็คือ...The Sihn Tourist

เราจะมาจองตั๋วรถบัสนอน เพื่อเดินทางไป "ดาลัต" ในค่ำคืนนี้ค่ะ

เวลาออกเดินทางคือ สี่ทุ่ม และเราต้องมาขึ้นรถที่นี่ตอนสามทุ่มครึ่ง (Check in)

เพราะงั้นระหว่างนี้เรามีเวลาราวๆ สองชั่วโมง อย่านิ่งดูดาย ไปหาอะไรทานสิคะ ลุยยย!!


รวดเร็วอย่างกะวาร์ปมา แน่ล่ะสิ ร้านนี้อยู่ตรงข้ามกับสถานีรถบัส แค่ 2 นาทีเท่านั้น!



ข้อดีคือ...หน้าตาเมนูอาหารหน้าทาน และเป็นร้านแนะนำใน TripAdvisor


แต่ข้อเสียคือ...สั่งอะไรก็หมด 55555 เลยถามพนักงานว่า "เหลืออะไรให้กินบ้างคะขุ่นเพ่"


และนี่คือจานเด็ดเจ็ดย่านน้ำที่เราสั่งมาลิ้มลอง ข้าวผัดของคะน้ารสชาติ Minimal ทั่วไป


ก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ชิม แต่เห็นทานกันหมดแปลว่าใช้ได้


และมาถึงจานรวมอย่าง...แหนมเนือง ไม่พูดถึงไม่ได้อ่ะ 5555

บอกเลยต้องลอง!! คะน้าฟาดไปคำนึง ต้องรีบบอกให้ทุกคนทานด้วยกันให้หมด

คนละคำอย่าได้น้อยหน้ากัน!! เพราะจะได้รับรสชาติอึมครึมเป็นเพื่อนกันไง วะฮะฮ่าาา!


ท้องอิ่มก็มีเรี่ยวแรงเดินต่อ...เดินต่อไปร้านข้างๆ เนี่ยแหละ ไม่ได้ไหนไปไกล 5555


Starbucks ร้านกาแฟยอดฮิตติดว้าวกันทั่วโลก


เรานั่งหาอะไรดื่ม คุยกันเม้ามอย ถือว่านั่งพักร่างเนี่ยแหละ

รอไปจนกว่าจะถึงเวลาไป Check in รถบัส


ใกล้ถึงเวลา Check in เข้าไปทุกที เราก็ยังป้วนเปี้ยนกันอยู่แต่ในสถานที่แบบเนี้ย 55555


และแล้วก็ถึงเวลาขึ้นรถเพื่อเดินทางไป "ดาลัต" แล้วนะคะคุณผู้โช้มมมม!!

ทว่า...เอ่อ! นี่มัน...บัสนอน มันนอนจริงๆ วุ้ย 5555 คือต้องขอบอกก่อนว่า...

คะน้าเนี่ย เวลาไปเที่ยวไหน คือจะไปเพราะเพื่อนชวนตลอดนะ ไม่เคยเป็นหัวเรือนำทีมเอง

พอเพื่อนชวน เราว่าง เราก็ไป และบอกเสมอว่า "จะไปไหนก็พาไปด้วยละกัน"

คือคะน้าจะไม่สนใจเลยว่าประเทศ หรือเมือง หรือแม้กระทั่งจังหวัดในประเทศไทยสักที่หนึ่ง

มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง ไม่เคยเปิด Google ไม่เคยอยากรู้ว่ากำลังจะไปเจออะไรทั้งสิ้น

ไปตามเพื่อนตลอดๆ จนตอนที่คุยกับเพื่อนๆ ว่าอยากจะเปิดเพจของตัวเอง

เอาไว้เป็นไดอารี่ ก็เลยตั้งชื่อเพจว่า "ตามกันไป" เพราะคะน้าผู้ตามจริงๆ 5555

ซึ่งเจ้ารถบัสนอนนี่ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเป็นเบาะนอนๆ แบบเนี้ย 5555 ก็อึ้งๆ ไปหน่อยนึง


ณ ดาลัต

ตอนตีสี่ ใกล้รุ่งเช้าของวันเสาร์

หมอกหนาเป็นละอองขาวแน่นราวกับก้อนเมฆ จนมองเห็นได้ชัดแม้ว่าท้องฟ้ายังคงมืดสนิท


เราลงจากรถบัสในสภาพคนเพิ่งตื่นนอน (จริงๆ คือกึ่งหลับกึ่งตื่นตลอดทางบนรถบัส)

เราเดินเท้าลากกระเป๋าไปตาม Google Map เพื่อไปที่โรงแรมที่อามจองไว้ให้ตั้งแต่อยู่ไทย



เราเดินเท้ากันไป คุยกันไป จากที่งัวเงียก็ตื่นเต็มตา ด้วยอากาศที่หนาวตอนเช้ามืด

ทำให้แข้งขาพวกเราแข็งไปบ้าง แต่ก็ดี...ถือว่าอากาศดี ดีกว่าร้อนอ่ะ 55555


เรามาถึงโรงแรม เราก็งงอีกนิดหน่อย ที่ทำไม Lobby ปิดไฟสนิทขนาดนี้ ???

(ในรูปคือเวลาประมาณตีห้าใกล้จะหกโมงแล้วค่ะ รูปตอนมืดไม่ได้ถ่ายมาด้วย มัวแต่งง)

ยืนงงในดงหมอกอยู่ได้ไม่นานนัก ก็มีคุณป้าท่านนึงกวักมือเรียกเราเข้าไปด้านใน


Lobby ไม่มีพนักงานต้อนรับ หมายถึง ยังไม่เปิดทำการนั่นเอง

เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงก่อนเวลาทำการเช่นเราๆ ก็ต้องนั่งรอกันตรงนี้

ซึ่งไม่ได้แค่มีกลุ่มเรานะคะ โซฟาถูกจับจองเป็นเตียงนอนไปหมดแล้ว


จนกระทั่ง...หกโมงเช้า พนักงานสาวสวยก็เดินทางมาทำงานด้วยหน้าตาสดใส

พวกเราก็รอคิว Check in และขึ้นห้องไปอาบน้ำแต่งตัว เพื่อออกเที่ยวในวันนี้นั่นเองงง!


นี่คือบรรยากาศในห้องนอนของเราค่ะ กว้างมากกกก! ตอนแรกดูแค่ภายนอก

จนเข้ามานั่งรอใน Lobby คิดว่าห้องนอนต้องเล็กๆ แน่เลย ที่ไหนได้ เบ้อเริ่มมากกกก!!


ห้องน้ำนี่กว้างขวา เตียงก็ใหญ่ นอนดิ้นสบายๆ เลยค่ะ (เข้าทาง) 55555


เราสี่คนนัดกันออกจากห้องนอนมาเจอกันที่ Lobby ตอนแปดโมงเช้าค่ะ

คะน้าแจ้งทาง Lobby ขอเช่ารถมอเตอร์ไซค์สองคัน สำหรับขี่เที่ยวในวันนี้


ระหว่างรอทางโรงแรมหารถมาให้ เราก็มานั่งทานอาหารเช้ากันก่อน

เลือกร้านตรงข้ามโรงแรมนี่แหละ ตึกสีแดงคือร้านขนาดใหญ่ค่ะ (มุมนี้ถ่ายมาจากห้องนอน)

ภายในมีอาหารตั้งแต่ ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เบอร์เกอร์ และเครื่องดื่ม เรียกว่าอิ่มครบในจบเดียว


นี่คือน้ำชามะนาว ที่อามกับคะน้าสั่งมาคนละแก้ว ก่อนจะหันมองหน้ากัน

เมื่อกลืนอึกแรกลงคอไปแล้ว สุดท้าย...ไปจบที่น้ำเปล่า 55555 โอ้ยยยยย


เครื่องดื่มไม่ถูกปาก แต่อาหารถูกใจมากกกกก อร่อยมากกกก


รสชาติดีงาม ถือเป็นมื้ออาหารดีๆ สักมื้อนึงที่เกิดขึ้นกับปากท้องของพวกเราค่ะ เย้ๆ!


เดี๋ยวๆ นี่มายืนทำอะไรตรงเน้!!


นั่นง่ะ!! ผลงานการคีบ ยก วาง เผลอแป็บเดียว...น้องบอก ไปเจ้! คิดตังค์!


และนี่คือบรรยากาศบนท้องถนน ประมาณเก้าโมงเช้าได้ค่ะ

ตึกด้านหลังคือโรงแรมที่เรากำลังจะเดินข้ามถนนกลับไป เพื่อไปรับมอเตอร์ไซค์ที่เราเช่าไว้ค่ะ


"Con Ga Church" หรือที่มักจะเรียกกันง่ายๆ ว่า "โบสถ์ไก่"

เนื้อที่รอบโบสถ์ค่อนข้างกว้างขวาง วันที่ไปคนไม่เยอะค่ะ ถ่ายรูปสบายเลย

ประวัติโบสถ์นี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1931 เป็นการออกแบบดีไซน์แบบโรมัน เหมือนในยุโรป

ใช้เวลาการสร้างทั้งหมด 11 ปีค่ะ เรียกว่ายาวนาน สวยงามคงทน และสงบดีต่อใจมากๆ


เมื่อเดินเล่นมาเรื่อยๆ ถึงด้านหลังโบสถ์นะคะ จะเห็นวิวใจกลางเมืองดาลัดแบบนี้เลย

ของจริงวิวดีมากกกก! สีสันพาสเทล ดู Art มากค่ะ คะน้านี่ยืนหมุนกล้องอยู่ตรงนี้นานเลยแหละ


เดินต่อมาอีก เราก็จะเจออาคารแบบนี้ค่ะ เงียบสงบ อากาศดีด้วยค่ะ

ถ้าเป็นชาวบ้านแถวๆ นี้ จะมานั่งเล่น อ่านหนังสือนิยายให้ฟินไปเลย


เอาล่ะ! เดินชมบรรยากาศรอบๆ แล้ว เราไปที่อื่นกันต่อเลยค่ะ


เราขับรถขึ้นเขามาตาม Google Map เรื่อยๆ ปลายทางของเราคือ "วัดตั๊กลัม" นะคะ

แต่ไม่รู้มาทางไหน ขึ้นเขามาเรื่อยๆ เจอร้านกาแฟ ชวนกันแวะเฉยเลย ชิลเกิ๊น! 555555



แก้วนี้เป็นโกโก้ร้อนค่ะ คะน้าไม่ได้อยากทานกาแฟเท่าไหร่

ทว่า!! ดูดไปปรื๊ดแรก แม่เจ้าาาา!! ก้นแก้วเป็นลัมจ้า แอลกอฮอร์แสบคอม๊ากกกก!!

คือไม่อยากดื่มคาเฟอีน แต่ก็ไม่ได้จะหันเหมาดื่มแอลกอฮอร์ตั้งแต่หัววันขนาดนี้นะ 5555

ไม่ถงไม่ถามสุขภาพสักคำ T^T เป็นอีกหนึ่งแก้วที่ดื่มไม่หมด...อีกแล้ว


มาถึงแล้วค่าาาาา!! Cable Car ที่วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda)

ราคาตามบัตรเลยค่ะ ที่นี่เราจะมานั่งกินลมชมวิวเมืองดาลัตแบบ 4 มิติกันค่ะ (อันนี้พูดเอง) 5555



ขึ้นมาแล้วค่าาา เข้าใจว่าระยะทางไม่น่าจะยาวมาก แต่มันยาวมากค่ะ โอยยยยย!!

สายเดินป่า สายชอบสีเขียวแบบอามกับคะน้า ฟินแบบแดดิ้นตายกันไปเลย

กดชัตเตอร์กันรัวมาก คือวิวดีตลอดระยะทางที่นั่งกระเช้าเลยจริงๆ



จากบนกระเช้า เมื่อเราหันมาขวา

เราจะสดชื่นไปกับความเขียวเวอร์ชั่น Panorama แบบนี้เลย


และพอหันคอเบาๆ ระวังจะเคล็ด มาทางซ้าย

เราก็จะเห็นเมืองดาลัตเวอร์ชั่นสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น

เห็นมะบอกแล้ว ป่า เขา น้ำ เมือง 4 มิติป่ะล่ะ 5555


ที่นี่เป็นป่าสนค่ะ ยิ่งใหญ่อลังการ

คะน้าประทับใจวิว Cable Car ที่นี่มาก เขียวสะใจดี ^O^


ลงจากกระเช้ามา มีรถเข็นขายลูกชิ้น ของแห้ง เครื่องดื่ม (เหมือนวัดที่บ้านเราเลยค่ะ)

อดไม่ได้จะไปหาอะไรแปลกๆ มาชิมซะหน่อย ไปเล็งได้ขนมเบื้อง (เรียกเอง) ดูน่าทานดี


หน้าตาแบบนี้ น้องซิงไม่ได้ฟินนะคะ แป้งมันแข็ง 55555555555

ขนมอะไรไม่รู้ กลิ่นกุ้งแห้งคลุ้งมาก หวานน้อยๆ แป้งเกินกรอบไปถึงเลเวลแข็งแล้วอ่ะ


เมื่อเดินออกจาก Cable Car

เราก็มาไหว้พระกันที่ วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda) ค่ะ


วัดนี้ภายในห้ามถ่ายรูป แต่บรรยากาศรอบๆ วัดนี่โอเคมากๆ จัดสวนแบบ Tropical

คือไม่มากไป และไม่น้อยจนแห้งแล้ง มีที่ให้นั่งพักผ่อน คนไม่พลุกพล่านด้วยค่ะ


ดอกอะไรไม่รู้ อามถ่ายมา สวยอ่าาาาา



ขับออกจากวัดมาได้ระยะหนึ่ง อามก็พามาแวะที่นี่ค่ะ เหมือนเขื่อน หรือบึงอะไรสักอย่าง

ลมแรงมาก มีคนมาเที่ยวถ่ายรูปพอสมควร มายืนถ่ายรูปโปรไฟล์ใหม่อยู่สักพัก

เราก็ไปต่อกันเถอะ 5555


ขับรถต่อมาสักพักราวๆ สิบห้านาที (ไม่รวมหลงทาง 55555) เราก็มาถึงที่นี่ค่ะ

น้ำตกดาตันลา (Datanla Waterfalls) และที่นี่ก็มี Roller Coaster ให้เล่นด้วยยย >O<


ที่นี่ต้องซื้อตั๋วเข้ามานะคะ ราคาตามหน้าบัตรโลดดดด


คนอื่นเดินเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ แต่คะน้ามาเหนือ ขออยู่ในทุ่งไฮเดรนเยียก็แล้วกัน 55555

ที่ดาลัตนี่ เราจะเห็นดอกไฮเดรนเยียบานไปทั้งเมืองเลยนะคะ สวยมาก เพิ่งเคยได้ชมใกล้ๆ ชอบบบบ


ตอนนี้เรากำลังต่อคิวรอเข้าไปเล่น Roller Coaster นะคะ

ซึ่งจะเห็นว่ามีน้ำตกอยู่ไกลๆ เดี๋ยวขาไปน้ำตก เราจะไปด้วย Roller นั่นเองค่ะ

และจะกลับขึ้นมาอีกครั้ง ด้วย Roller เช่นกัน หรือหากใครจะเดินเล่นแทน ก็ทำได้เหมือนกัน


"สวนดอกไม้เมืองหนาว (Dalat Flower Gardens)"

อันนี้เราไม่ได้เข้าไปชมกันนะคะ จริงๆ จะเข้าไปแล้ว แต่พอเดินไปถึงตรงทางเข้า

เราว่าเราไปต่อดีกว่า เพราะอากาศเริ่มอึมครึมกลัวว่าฝนจะตกซะก่อน


แล้วเราก็วาร์ปมาร้านปิ้งย่างกันแบบหน้าตาเฉย 555555

ร้านนี้เป็นร้านที่อยู่ใกล้กับโรงแรมเราพอดีค่ะ เลยเลือกร้านนี้ด้วยเหตุผลง่ายๆ


และนี่คือผลของความเหนื่อย ที่พวกเราลุยกันมาตลอดทั้งวันค่ะ

สั่งกันยับ ทานกันหมดเกลี้ยง ร้านนี้อร่อยมาก ข้าวสวยนิ่มลิ้น น้ำจิ้มโอเคมาก

แต่ละชุดที่สั่งมาให้เยอะด้วยนะคะ เป็นมื้อดีๆ ที่เกิดกับปากท้องของพวกเราไปอีกมื้อ ปิติมากกก


ทุกคนกำลังจะคิดว่า คะน้าหนังท้องตึงแล้วหนังตาหย่อนกันแน่เลยอ่ะ 555555

ไม่จริงงงง!! คะน้าป่วยยยย และนี่คือไม่พกยาแก้ไข้ติดตัวไปเลยไง T^T

คะน้าเลยต้องอาศัยดื่มน้ำอุ่นให้หายเจ็บคอไปพลางๆ แล้วนอนซะ

(ปกติเวลาเที่ยวต่างประเทศจะทำประกัน PA พร้อมพกยาสามัญตลอดนะคะ แต่ทริปนี้ลืมจริงๆ)

อามเลยต้องทำหน้าที่พี่เลี้ยงเพียงลำพัง พาน้องสาวสองคนไปเดินเล่นที่ตลาดกลางคืน

(ถ้าคะน้าไปด้วย มีหวังกายหยาบพังพินาศ ไปเที่ยวเราไม่ควรฝืนนะคะ

ถึงเวลาพักต้องพัก ไม่งั้นอาการหนักขึ้นมา จะเป็นภาระเพื่อนร่วมทริป)



และนี่คือบรรยากาศที่อามและน้องๆ ผู้น่ารักเก็บภาพมาฝาก

บางทีอาจจะถ่ายมาเยาะเย้ยนั่นแหละ แต่เราก็จะพยายามโลกสวยไม่รู้ไม่ชี้ แงงง้! TOT


สวัสดีวันอาทิตย์...โปรแกรมของวันนี้คือการนั่งรถไป...

"มุยเน่ Mui Ne" ค่าาาาา!!

เราติดต่อให้ทางโรงแรมซื้อตั๋วรถบัส (บัสนั่งปกติ) จากดาลัต ไปมุยเน่

ซึ่งนัดขึ้นรถตู้ที่หน้าโรงแรมตอน 7 โมงเช้าค่ะ แต่เพราะคะน้าเริ่มไม่สบายจริงๆ แล้ว

คะน้าเลยไปขอยาที่ Lobby คิดว่าพาราสักเม็ดก็ยังดี จะได้บรรเทาไข้ได้บ้าง


และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น หลังทานยาที่ได้รับมาจาก Front เพียงแค่ 15 นาที

หมอบพับลงไปเลยค่ะ 5555 น้องซิงกับน้องแอ๊นท์ช่วยกันหิ้วปีกขึ้นรถตู้จากหน้าโรงแรม

มาต่อรถบัสที่สถานีรถบัสอีกที ระหว่างจากดาลัตไปมุยเน่ของคะน้าก็คือการหลับไม่รู้เรื่องเลย



และนี่คือภาพที่น้องๆ และอามนั่งถ่ายกันมาตลอดทาง ตลกมากตรงที่ว่า...

ถนนหนทางขรุขระ ตกหลุม เหวี่ยงโค้ง ทางลาดลงเขา

แซงแหลกตลอดทาง หรือแม้แต่ตอนเบรกหน้าทิ่ม

คะน้าหลับสนิท 4 ชั่วโมง ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นยามเจ็บป่วยก็แล้วกัน 5555


ถึงแล้วค่าาาา นี่คือโรงแรมที่เราเข้าพักกันที่มุยเน่นะคะ

รถบัสที่มาส่งได้ส่งเราลงที่สถานีรถบัส ซึ่งอยู่ถัดไปจากโรงแรมที่เราจองไว้

ประมาณ 5 นาทีเองค่ะ เราลงรถบัสและเช่ารถมอเตอร์ไซค์จากที่นั่นเลย

ก่อนจะขับกลับมาที่โรงแรม เพื่อเก็บสัมภาระ และเตรียมออกเที่ยวกันต่อ

(คะน้าตื่นแล้วนะคะ งัวเงียจากยาเล็กน้อย แต่ก็ไหวอยู่ค่ะ)


เรื่องขับมอเตอร์ไซค์ที่มุยเน่ อย่าให้เหลา เดี๋ยวจะแหลมนะคะ 55555

เขาห้ามขับความเร็วเกิน 40 (ตลอดทริปเวียดนาม คะน้าขับให้น้องแอ๊นท์ซ้อน

และอามขับให้น้องซิงซ้อนค่ะ) ซึ่งตอนแรกพี่ที่ร้านเติมน้ำมันเตือนเราแล้วแหละ

ว่าอย่าขับเร็วนะ ตำรวจจับ เราก็ไม่รู้ไง ก็ขับแบบแว๊นซ์เลย 55555

สุดท้ายโดนตำรวจจราจรจับจริงๆ!!! ดักจับเหมือนที่ประเทศไทยเลยค่ะ

โดยค่าปรับไปหนักเอาเรื่อง ตั้ง 50$ ตอนแรกตร.จะปรับ 150$ เลยนะคะ

แต่คะน้าก็ยืนยันว่า เราไม่มีเงินมากขนาดนั้น เรามีเท่านี้แหละค่ะคุณตำรวจจจ TOT

เพราะงั้น คะน้าแนะนำว่า ใครที่จะมามุยเน่และอยากเที่ยวทะเลทราย ให้เช่ารถจิ๊บเลยค่ะ

ถ้าหารค่าเช่าต่อคนแล้ว พอๆ กับเช่ารถมอเตอร์ไซค์เนี่ยแหละ สบายกว่าด้วยค่ะ


ถึงแล้วววววว!! "ทะเลทราย The Sand Dunes of Mui Ne"

ขับรถกินชมวิวผ่านทะเลเวิ้งว้าง จนมาถึงทะเลทราย ร่วมชั่วโมง!! โอ้ยยยย!!

ถึงจะไกลแต่พอมาถึงแล้ว ความสวยของที่นี่ก็หักลบกลบหนี้ไปหมดเลยยยยย


ตั้งท่าขนาดนี้ รูปเป็นล้านแน่นวลลลล!!


รูปมันเองเนี่ยแหละ!!!! เป็นล้าน โอ้ยยยย!!

จริงๆ ทริปทะเลทรายนี่ ฟินที่สุดคือคะน้าเอง เพราะเป็นที่เดียวที่ตั้งใจมาเลย

คะน้าอยากมาทะเลทรายมากกกกก สมใจแล้ว ยิ้มแป้นแก้มแตกขั้นสุด 55555

เราเดินเล่นจนทรายเข้ารองเท้าประมาณ 8 คิวได้ เราควรกลับค่ะ เพราะฝนทำท่าจะตกอีกแล้ว


และแล้วความครึ้มของฟ้าฝนก็มาจริงๆ

ขากลับนี่เราขับมอเตอร์ไซค์ลุยฝนกลับโรงแรมกันเลยค่ะ

ไม่ใช่ฝนเบาๆ ด้วยนะคะ ตกแรงมาก!! TOT โฮฮฮฮฮฮ



ขับรถลุยฝนกันมาถึงห้อง พวกเราก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน

นี่คือบรรยากาศภายในห้องพักของเราที่มุยเน่ค่ะ จริงๆ เราเลือกห้องพักเล็กๆ ก็พอ

เพราะว่าเราจะใช้ห้องแค่สำหรับเก็บสัมภาระ ตอนเราไปเที่ยว และอาบน้ำเท่านั้น

เพราะคืนนี้เราออกเดินกลับโฮจิมินห์ โดยรถบัสนอนจะมารับเราตอนห้าทุ่มที่หน้าโรงแรม


หลังจากที่เราอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งเสื้อผ้าที่เปียก เราใช้ไดร์เป่าผมเป่าเสื้อผ้า รองเท้า รวมถึงผมด้วยนะคะ

นั่งเป่ากันอยู่เป็นชั่วโมงๆ เลยกว่าจะแห้ง ไม่งั้นไม่มีรองเท้าใส่กันแน่ๆ

ก่อนจะจบทริปมุยเน่สั้นๆ ที่มื้อ Dinner ในห้องอาหารของโรงแรมนี่แหละค่ะ

โรงแรมนี้ติดทะเลนะคะ เสียดายมากที่ไม่ได้ไปเดินเก็บภาพที่ชายหาดริมทะเลสวยๆ

ไม่เป็นไรเนอะ เดี๋ยวมาใหม่ ประเทศเพื่อนบ้านบินง่ายเหมือนไปบ้านเพื่อน 55555


และแล้วเวลากลับก็มาถึง รถบัสนอนคันนี้เราจองไว้ที่สถานีรถบัสมุยเน่

ตั้งแต่เมื่อตอนเที่ยง ที่เรามาถึงแล้วค่ะ พนักงานบอกว่าให้แจ้งชื่อโรงแรมไว้

แล้วรถบัสจะมารับถึงที่เลย คือมันเจ๋งมากจริงๆ อารมณ์เหมือนนอน Box Hostel เลยนะ

(คือบัสนอนรอบแรกที่นอนมาดาลัต ไม่ใหม่เหมือนคันนี้นะคะ คะน้าชอบคันนี้มากกว่า)


เวลาประมาณตีห้า พวกเราก็กลับมาถึงเมืองโฮจิมินห์กันแล้วววว

อรุณสวัสดิ์ เช้าวันจันทร์ ณ โฮจิมินห์ซิตี้

และนี่คือป้ายหน้าสถานีรถบัสที่จอดส่งเราค่ะ คะน้าถ่ายป้ายเก็บไว้

เผื่อรอบหน้าจะไปมุยเน่ใหม่ จะได้ขึ้นรถของบริษัทนี้ สะดวกสบาย รถใหม่ดีด้วยค่ะ

และในป้ายเราจะเห็นคำว่า "ไซง่อน ไป มุยเน่" นั่นหมายถึงเมืองโฮจิมินห์นี่แหละค่ะ

เป็นชื่อเดิมที่คนไทยมักเรียกว่า “ไซ่ง่อน” (Saigon) เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเวียดนามใต้

เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ทำให้เรามักจะเห็นสถาปัตยกรรมที่นี่ คล้ายๆ ยุโรปอยู่บ้าง


ด้วยความที่พวกเรามาถึงตอนประมาณตีห้ากว่าๆ พระอาทิยต์ยังไม่ตื่นนอนเลย

เราเลยเดินหาร้านแมคโดนัล 24 hr เพื่อมานั่งรอเวลา และหาอะไรรองท้องกันไปด้วย


ซึ่งสำหรับ Concept การเดินเที่ยวของเราวันนี้คือ เดินชมเมืองเล่นๆ ค่ะ

มีอะไรให้แวะเราก็จะแวะไปเรื่อยๆ



เรารอเวลากันจนประมาณแปดโมงกว่าน่าจะได้นะคะ อามก็จัดการเดินนำพาเราไปยัง...

"พิพิธภัณฑ์สงคราม (War Remnants Museum)"




ที่พิพิธภัณฑ์สงครามนี้นะคะ ภายในเป็นอาคารสามชั้น ขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ แต่ละชั้นก็จะแยกโซนด้วย

มีทั้งห้องแอร์ฯ และห้องโถงปกติค่ะ ที่นี่เป็นการจัดแสดงภาพถ่ายเหตุการณ์ในสงคราม

ภาพถ่ายพลทหารทั้งเวียดนาม อเมริกา ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศที่เกี่ยวข้องในสงครามเวียดนาม

เครื่องมืออาวุธ กระสุนปืน ระเบิดขนาดต่างๆ ถูกจัดแสดงให้เห็นได้ในระยะใกล้ๆ

ภาพถ่ายเด็กๆ ที่พิการจากสารเคมีในสมัยนั้น รวมถึงเครื่องแต่งกายทหาร กล้องถ่ายรูปเก่าๆ

ตอนเข้าไปก็เฉยๆ นะ แต่ยิ่งเดินยิ่งตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็นไปหมดเลย น่าสนใจมาก แต่ก็แอบหดหู่




เดินออกจากพิพิธภัณฑ์มาเรื่อยๆ ราวสิบห้านาที

เราก็จะเจอกับ "มหาวิหารนอร์เธอดาม (Notre Dame Cathedral)"

ที่นี่เห็นใครมาเวียดนามก็ต้องมาถ่ายรูป พวกเราก็เช่นกัน 555555555


เดินข้ามถนนจากโบส์นอร์ธมาฝั่งตรงข้าม...จะเป็นไปรษณีย์ค่ะ

"อาคารไปรษณีย์กลาง (Saigon Post Office)"

ไปรษณีย์ที่ถือว่าสวยที่สุดในโฮจิมินห์ ใครๆ ก็มากัน ภายในเป็นโถงกว้างขวาง

มีของที่ระลึกขายเยอะแยะมาก แต่สินค้าไม่หลากหลายเท่าไหร่ค่ะ แค่จำนวนร้านเยอะเฉยๆ


เดินเล่นต่อมาเรื่อยๆ ก็มาถึงที่นี่ไม่รู้ตัว 5555 อามบอกว่าที่นี่คุ้นๆ จังเลย

ที่นี่ก็คือ "ทำเนียบอิสรภาพ (Independence Palace)" นั่นเองงงง

มางงๆ ไปงงๆ เนอะ 55555



อันนี้จัดว่าเด็ด!! มะพร้าวน้ำหอมแก้ร้อน...พ่อค้า Friendly จนน่าตกใจ

กวักมือเรียกพวกเราถ่ายรูปเล่น ก่อนเฉาะมะพร้าวให้เราคนละลูก

ก่อนเรียกเก็บเงินเราในราคาเทียบเท่ากับน้ำมะพร้าวในสตาร์บัคส์ สะดุ้งหน่อยๆ 55555


ได้น้ำมะพร้าวเติมพลังซู่ซ่าแล้ว กลับมาเดินกันเร็วปรู๊ดดดด!

เดินต่อมาอีกหน่อย เราก็มาเจอกับ Land mark ของเมืองค่ะ


"จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue)"

ลานน้ำพุกว้างที่มีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ อยู่ด้านหน้าศาลาว่าการเมือง

ในสไตล์ฝรั่งเศสอีกแล้ว และแน่นอนว่าเมืองโฮจิมินห์ ได้ถูกเปลี่ยนชื่อตามชื่อของท่านนั่นเอง

ที่นี่เป็นใจกลางเมืองเลยก็ว่าได้ค่ะ มองไปรอบๆ จะเห็นแต่ตึกสูง ทันสมัย แต่รถไม่เยอะมาก

ตรงนี้เป็นจุดสุดท้ายที่เรามาเดินถ่ายรูปเล่นแล้วค่ะ เดี๋ยวจะเรียกรถแท็กซี่ไปสนามบินกันเลยเนอะ


รถแท็กซี่โบกแล้วเขาก็จอดอยู่ฝั่งนี้...จะวิ่งข้ามฝั่งไปเพื่อ??

กลับม๊าาาาา!!! 5555555


ถึงแล้วจ้า...สนามบินโฮจิมินห์ แต่ยังไม่ถึงเวลา Check in ทำอะไรดี??


ก็...กินสิครับผมมมมม!!

ครั้งแรกกับเบอร์เกอร์เวียดนาม อร่อยดีนะคะ

แป้งเหมือนซาลาเปา แต่แข็งกว่านิดๆ รวมๆ คือดีงาม


เฮ้ออออออออ!! หมดเวลาเที่ยวแล้วววว T^T

มาถึงตอนนี้...คะน้าขอบคุณทุกคนที่ไม่รู้ว่าทนอ่านมาได้ยังไงถึงตรงนี้ สาระก็หามีไม่ 55555

เอาเป็นว่าที่นี่คือไดอารี่ของคะน้า ถ้าเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังจะแพลนเที่ยว

หรือแม้แต่ไม่มีอะไรจะทำ แล้วมาหาอะไรอ่านเพื่อความบันเทิงในบล็อคนี้

คะน้าก็ดีใจมากทั้งนั้นค่ะ ^_^

แล้วสำหรับทริปหน้า คะน้าจะเดินงงๆ ที่ไหนต่อ ฝากบล๊อคคะน้าด้วยนะคะ

แอบฝากเพจ "ตามกันไป" ด้วยน้า จิ้มๆ >> https://www.facebook.com/KanaBlog/


# เก็บตกท้ายทริป!! #

  1. ทริปนี้เราใช้เงินไทยไปทั้งสิ้นคนละ 8,000 บาท (หนักตรงกิน และไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)
  2. ทริปนี้เราเดินทางไกล และใช้มอเตอร์ไซค์เป็นหลัก แนะนำให้ใส่ Mask ปิดจมูก ฝุ่นเยอะมาก!!
  3. อาหารการกินอร่อยดี แต่เครื่องดื่มแนะนำอย่าสั่งพิสดาร ง่ายๆ เช่นน้ำกระป๋องไปรอดสุด
  4. การเดินเที่ยว หรือนั่งรถโดยสารใดๆ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ตอนแรก
  5. คนเวียดนามทั้งสามเมืองน่ารัก พูดเพราะ บางคนไม่ค่อยยิ้ม แต่ก็ไม่ได้แย่
  6. มิจฉาชีพไม่เจอ แท็กซี่ก็ไม่โกง เจอแต่พ่อค้ามะพร้าว Friendly ที่มะพร้าวแพงนั่นแหละ
  7. การข้ามถนนคือวิบากกรรมอย่างนึง ควรระวังในระวังในระวังอีกที การจราจรน่ากลัวมากจริงๆ
  8. ชาเขียวสตาร์บัคส์เราชอบที่ไทยมากกว่าอ่ะ (คือรสนี้อาจจะอร่อยสำหรับคนเวียดนาม)
  9. ภาษาอังกฤษใช้ได้ คุยง่ายกันทั้งบ้านทั้งเมือง
  10. ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ รักจังเลย ง่อวววว!


"ขอบคุณค่า"

เพจ >> https://web.facebook.com/TheLocationKana จิ้มๆ เลย >///<


คะน้าน้อย

 วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.08 น.

ความคิดเห็น