ผมมีโอกาสได้ไปลิ้มลองรสชาติติ่มซำของห้องอาหาร China Table ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 3 ของโรงแรม Radisson Blu Plaza Bangkok สำหรับการเดินทางมาที่นี่ก็ไม่ยากครับ ผมเลือกเดินทางโดยรถไฟฟ้า BTS โดยลงที่สถานีอโศก จากนั้นเดินเท้าอีกประมาณ 5 นาที ไปตาม Sky walk จนสุดเส้นทางเดิน จากนั้นให้ลงบันไดด้านซ้าย เพื่อมุ่งหน้าไปทางสถานีพร้อมพงษ์ ให้สังเกตป้ายบอกซอยสุขุมวิท 27 ไว้นะครับ โรงแรมจะตั้งอยู่ใกล้ๆ ปากซอยเลยครับ
เห็นป้ายแบบนี้ แปลว่าถึงแล้วครับ เดินเข้าไปด้านในเลยครับ
เดินขึ้นลิฟต์ต่อไปยังชั้น 3 ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องอาหาร China Table กันเลยครับ
ห้องอาหาร China Table เป็นห้องอาหารสไตล์จีนกวางตุ้งครับ เมื่อลิฟต์เปิดออกมาก็จะพบกับห้องอาหารอยู่ทางด้านซ้ายมือ ส่วนขวามือจะเป็นห้องจัดเลี้ยงและสัมมนาครับ
ในวันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี China Table จะเปิดให้บริการในช่วงกลางวันตั้งแต่เวลา 11.30 – 14.30 น. และช่วงเย็นตั้งแต่เวลา 18.30 – 22.30 น. สำหรับวัน ศุกร์-เสาร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ช่วงกลางวันจะเปิดตั้งแต่เวลา 11.30-15.30 น. ส่วนช่วงเย็นตั้งแต่เวลา 18.30 – 22.30 น.
ดูบรรยากาศด้านนอกไปแล้ว เข้าไปดูบรรยากาศด้านในกันบ้างดีกว่าครับ
เดินเข้าประตูไป ด้านซ้ายมือจะเป็นโต๊ะยาว ซึ่งนั่งได้ถึง 12 ท่าน โซนนี้ตกแต่งด้วยเก้าอี้ทรงสูงสีเหลืองครับ
ผมว่าพื้นที่ส่วนนี้อาจไม่เป็นส่วนตัวสักเท่าไร เพราะอยู่ตรงทางเข้า-ออก และอยู่ตรงข้ามของห้องสัมมนาครับ
ส่วนด้านขวามือ จะเป็นพื้นที่ของโต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งทานโต๊ะละ 2 ท่าน และยังมีห้องสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวอยู่อีก 4 ห้องครับ
พื้นที่ส่วนนี้ตั้งอยู่ติดกับทางเข้าห้องอาหารครับ
พื้นที่ส่วนนี้จะอยู่ติดกับชั้นวางของที่ทางห้องอาหารได้นำเอาเครื่องลายครามที่บ่งบอกความเป็นจีน มาประดับไว้อย่างสวยงาม ผมว่ามุมนี้อาจไม่ค่อยจะส่วนตัวสักเท่าไร กรณีที่มาทานในวันที่ห้องสัมมนาฝั่งตรงข้ามมีการใช้งานครับ
พื้นที่อีกฝั่งผมว่าจะเป็นส่วนตัวกว่า ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของโต๊ะยาว 12 ที่
โซนนี้สามารถมองออกไปเห็นวิวด้านนอกได้ครับ แต่ก็ยังได้วิวที่ไม่เปิดกว้างสักเท่าไร เนื่องจากห้องอาหารอยู่ในระดับเดียวกับเส้นทางของรถไฟฟ้าครับ
ติดกับพื้นที่โซนที่เห็นวิวด้านนอก จะเป็นเก้าอี้แบบโซฟา เสริมความสดใสด้วยหมอนสีสดๆ ฝาผนังประดับด้วยภาพวาดสไตล์จีน ส่วนเพดานตกแต่งด้วยฝ้าลายเมฆครับ ผมเองก็เลือกนั่งบริเวณนี้แหล่ะครับ
มาดูพื้นที่ห้องแบบส่วนตัวกันบ้างครับ
จะเป็นห้องแบบโต๊ะกลม สามารถนั่งทานได้ 10 ท่าน จัดเตรียมไว้ทั้งหมด 2 ห้องครับ
อีก 1 ห้องที่ China Table ได้จัดเตรียมไว้
มาดูห้องส่วนตัวอีกแบบกันครับ
ห้องนี้โต๊ะจะเป็นแบบสี่เหลี่ยม นั่งได้โต๊ะละ 6 ท่าน มีทั้งหมด 2 ห้อง แต่ 2 ห้องโต๊ะสี่เหลี่ยมนี้สามารถเปิดผนังทะลุถึงกันได้ครับ
มาดูของตกแต่งกันบ้างดีกว่าครับ
มีเครื่องลายครามมากมาย รวมถึงหยกแกะสลักสวยๆ ถ้าใครนิยมชมชอบของเก่าสไตล์จีน มาที่นี่รับรองต้องเพลิดเพลินกับของที่ทางห้องอาหารได้นำมาตกแต่งอย่างแน่นอนครับ
มาดูในส่วนของอาหารกันบ้างดีกว่าครับ ที่นี่จะให้บริการ 2 แบบ คือแบบ A La Carte ซึ่งสามารถเลือกสั่งได้ตามเมนู และอีกแบบคือ Buffet ครับ
สำหรับเมนูอาหารที่นี่ก็ทันสมัยไม่เบา สามารถเลือกชมหน้าตาอาหารแต่ละชนิดรวมถึงราคาอาหารแต่ละเมนูจาก iPad ครับ
เมื่อคนพร้อม โต๊ะพร้อม อาหารก็เริ่มทยอยมาครับ
ติ่มซำที่ China Table จะแบ่งเป็นหมวด ๆ นะครับ ผมขอเริ่มที่หมวดแรกก่อนเลยครับ หมวดนี้เป็นคอนเซปติ่มซำจากแผ่นดิน (Dim Sum from the land) วัตถุดิบหลักๆ จะเน้นสัตว์สี่เท้า เช่น หมู ครับ
เริ่มที่ขนมจีบ (Steamed Pork & Shrimp Dumpling) เป็นขนมจีบหมูเนื้อแน่น ขนาดพอดีคำ ที่ตกแต่งหน้าขนมจีบด้วยแครอท ผักชี และเห็ดหอมครับ
ตามมาด้วย เผือกทอดหมูแดง (Deep-fried taro with roasted pork) ตัวแป้งที่นำมาห่อเผือกกรอบและนุ่มปากมากๆ ครับ ไส้ด้านในมีทั้งเผือกกวนและหมูแดง รสชาติทั้งสองเข้ากันได้ดีทีเดียว
ต่อด้วย ซี่โครงหมูนึ่งเต้าซี่ (Steamed pork spare rib with black bean sauce) ซี่โครงหมูนำมาหมักกับซอสเต้าซี่แล้วนำมานึ่ง รสชาติของเต้าซี่จะเข้าไปในเนื้อของซี่โครงหมู รสชาติเค็มกำลังดีครับ
ตามด้วย กุ้ยช่ายทอดไส้หมู (Pan-fried pork & green chive dumpling) ไส้ของกุ้ยช่าย นอกจากจะมีผักกุ้ยช่ายแล้ว ยังผสมเนื้อหมูลงไปด้วย จากนั้น chef จะนำกุ้ยช่ายไปทอดให้กรอบกำลังดีครับ ได้ทั้งความกรอบและความนุ่มของแป้งไปพร้อมๆ กัน
พายหมูแดง (Barbecued pork puff) แป้งพายทั้งนุ่มและกรอบ ห่อหุ้มด้วยไส้หมูแดง รสชาติเข้มข้นดีครับ
ขนมผักกาด (Deep fried radish cake) กรอบนอกนุ่มในอีกเช่นกัน แป้งเนื้อนุ่มมากๆ ทานกับน้ำจิ้มหวาน อร่อยเชียวครับ
จริงๆ แล้วในหมวดของติ่มซำจากแผ่นดินยังมีอีก 2 เมนูที่ผมไม่ได้ชิม คือ ซาลาเปาเซี่ยงไฮ้(Shanghai dumpling) และ ซาลาเปาหมูแดง (Barbecued pork bun) ครับ
หมวดต่อไปเป็นแบบ ติ่มซำจากฟากฟ้า (Dim sum from the Sky) วัตถุดิบหลักๆ จะเป็นสัตว์ปีก เช่น เป็ด ไก่ ครับ
หมวดนี้ได้ชิม ห่าม สุย กอ (Deep-fried chicken fritter “HAM SUI GAU") เนื้อแป้งของห่าม สุย กอ เป็นแป้งข้าวเหนียว ผ่านกรรมวิธีการตีแป้งและหมัก คล้ายๆ แป้งของขนมไข่หงส์ แต่แป้งของห่าม สุย กอ จะบางกรอบกว่า สำหรับไส้ก็รสชาติดีมาก แนะนำว่าห้ามพลาดเมนูนี้นะครับ
สำหรับติ่มซำหมวดนี้ผมได้ลองชิมแค่เมนูเดียว จริงๆ ยังมีขนมจีบไก่ (Steamed chicken dumpling), ข้าวเหนียวห่อใบบัว (Steamed glutinous rice & Chicken in lotus leaves), เปาะเปี๊ยะเป็ดและไก่ทอด (Crispy duck & chicken spring roll) และ ฟองเต้าหู้ทอดไส้ไก่และกุ้ง (Deep – fried beancurd roll with chicken & shrimp) ครับ
หมวดต่อไปเป็นติ่มซำจากท้องทะเล (Dim sum from the Sea) วัตถุดิบหลักๆ จะเป็นอาหารทะเล เช่น หอยเชลล์ กุ้ง ปู ครับ
เริ่มด้วย ขนมจีบหอยเชลล์ (Steamed scallop dumpling) หอยเชลล์ สด ใหม่ ทำให้ไส้ของขนมจีบหอยเชลล์หวานและเด้งมากๆ ครับ
ต่อด้วย เกี๊ยวปูชีส (Deep fried crab meat with white onion and cream cheese) แป้งเกี๊ยวกรอบนุ่มกำลังดี ห่อด้วยไส้ปูชีสและมายองเนส เมนูนี้ผมว่าขาดรสชาติและกลิ่นของปูไป แต่ถือว่าไส้ทำได้อร่อยถูกใจคนชอบชีสแน่ๆ ครับ
สำหรับติ่มซำจากทะเล ยังมีอีกหลายเมนูที่ผมไม่ได้ลิ้มลอง เช่น ฮะเก๋า (steamed prawn dumpling), ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง (Steamed prawn rice roll), ก๋วยเตี๋ยวหลอดหอยเชลล์ (Steamed scallop rice roll) และ เกี๊ยวหอยเชลล์กุ้ยฉ่าย (Deep fried scallop with green chives)
นอกจากติ่มซำ 3 หมวดหลักนี้แล้ว ที่นี่ยังเอาใจผู้ที่ทานอาหารมังสวิรัติด้วยเมนู ติ่มซำจากสวน (Dim sum from the Garden) ซึ่งวัตถุดิบหลักจะเป็นผักหลากหลายชนิดครับ จะมีทั้งหมด 6 เมนู ประกอบด้วย ขนมจีบเจ (Vegetable shu mai), ฮะเก๋าเจ (Vegetable Ha Gaw), ฝั่นโก่ไส้ผัก (Steamed mixed vegetable “Fun Gor"), ก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้เห็ด (Steamed mushroom rice roll), เปาะเปี๊ยะเจ (Deep fried vegetable spring roll) และ ฟองเต้าหู้เจ (Deep fried vegetable beancurd roll) หมวดนี้ผมไม่ได้ชิมเลยครับ
นอกจาก 4 หมวดหลักแล้ว ยังมี ติ่มซำของหวาน (Sweet Dim sum) ด้วยครับ
เริ่มที่ ซาลาเปาไส้พุทราจีน (Steamed bun with red date) ตัวไส้พุทราจีนกวนได้เหนียวเชียวครับ แป้งซาลาเปาไม่หนาเกินไปทำให้เวลาเคี้ยวแล้วจะได้กลิ่นและรสของพุทราจีนนำครับ
ต่อด้วย ต่านทาร์ต (Egg tart) หรือทาร์ตไข่นี่แหล่ะครับ แป้งกรอบนุ่ม หวานกำลังดีครับ
นอกจากนี้ยังมีซาลาเปาไส้ครีมนึ่ง (Steamed cream bun) อีกหนึ่งเมนู แต่ผมไม่ได้ลองชิมครับ
ต่อไปเป็นหมวดซุป (Soup) สามารถเลือกทานได้ 1 เมนูครับ
ที่เห็นเป็นซุปเกี๊ยวน้ำเยื่อไผ่ (Wonton soup with bamboo fungus) รสชาติออกจืดไปนิดครับ
อีก 2 เมนูที่เหลือคือ ซุปเสฉวน (Vegetarian hot & sour soup) และ ซุปข้าวโพดเนื้อปู (Cream of sweet corn & crabmeat) ครับ
ต่อด้วยหมวดข้าวและก๋วยเตี๋ยว (Rice & Noodles) เลือกทานได้ 1 เมนูครับ มีทั้งหมด 3 เมนูให้เลือก คือ ผัดหมี่ฮ่องกงซีฟู้ด (Stir – fried Hong Kong noodle with seafood), ข้าวผัดหยางเจา (Fried rice Yang Chow style) และ ข้าวผัดเจหรือบะหมี่เจ (Vegetarian stir – fried rice or noodles) ครับ หมวดนี้ผมไม่ได้ลองชิมครับ
ปิดท้ายด้วยของหวาน (Dessert) ครับ มีให้เลือก 3 เมนู แต่เลือกทานได้ 1 เมนูเท่านั้นครับ
สาคูเผือก (Sweet sago with taro) เมนูนี้หวานเข้มข้นมาก น้ำกะทิข้นสุดๆ
บัวลอยน้ำขิง (Sesame dumpling in ginger syrup) ตัวบัวลอยหวานกำลังดี สำหรับน้ำขิงซดดื่มแล้วรู้สึกร้อนและโล่งคอมากๆ ครับ
อีกหนึ่งเมนูที่เหลือของหมวดของหวานคือ ผลไม้รวม (Fresh fruits) ครับ
สำหรับเครื่องดื่ม จะมีชาจีนหลากหลายชนิดให้บริการทั้งร้อนและเย็นครับ
สำหรับเมนูที่ผมได้ลองชิมในครั้งนี้ คุณ Adam Robert Beasley , Director of Food & Beverage เป็นผู้คัดสรรเมนูมาให้ทั้งหมดครับ
มาดูหน้าตาอาหารรวมๆ กันอีกสักครั้งครับ
ขนมจีบ
เผือกทอดหมูแดง
ขนมผักกาด
ห่าม สุย กอ
ขนมจีบหอยเชลล์
เกี๊ยวปูชีส
ซาลาเปาไส้พุทราจีน
ซุปเกี๊ยวน้ำเยื่อไผ่
สำหรับจุดเด่นของห้องอาหาร China Table ผมว่าที่นี่เดินทางสะดวก อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อโศก ห้องอาหารสะอาด ออกแบบสไตล์จีนโมเดิร์น ดูเรียบง่ายแต่หรูหรา บรรยากาศโปร่ง โล่งสบาย การบริการถือว่าดีมากๆ ครับ
สำหรับจุดด้อยที่เห็นคือ ห้องอาหารจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องจัดสัมมนา แขกที่นั่งทานอาหารบริเวณด้านหน้า อาจจะไม่เป็นส่วนตัวสักเท่าไร ในกรณีที่ห้องสัมมนามีการใช้งาน สำหรับพื้นที่บริเวณที่สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้ วิวที่เห็นก็ไม่ค่อยเปิดโล่งสักเท่าใด เนื่องจากห้องอาหารอยู่ระดับเดียวกับเส้นทางของรถไฟฟ้า ทำให้รางของรถไฟฟ้าบดบังทัศนวิสัยไปบ้าง
สำหรับเรื่องรสชาติของอาหาร ผมคงไม่คอมเม้นท์นะครับ เพราะแต่ละท่านมีความชอบของรสชาติอาหารแตกต่างกัน แต่สำหรับผม รสชาติอาหารที่ผมได้ลิ้มลองถือว่าโอเค ติอยู่เมนูเดียวคือ เกี๊ยวปูชีส ซึ่งขาดรสชาติและกลิ่นของปูครับ
มื้อนี้ต้องขอขอบคุณ คุณ Adam Robert Beasley ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และคอยคัดสรรเมนูเด็ดๆ ให้ผมทุกเมนูครับ
หากเพื่อนๆ คนไหนสนใจที่จะไปลิ้มลองรสชาติติ่มซำของ China Table สามารถโทรสอบถามโปรโมชั่นหรือสำรองโต๊ะได้ที่ 02-302 3333 นะครับ
ห้องอาหารเปิดให้บริการ
วันอาทิตย์ – วันพฤหัสบดี เวลา 11.30 – 14.30 น. และ 18.30 – 22.30 น.
วันศุกร์ เสาร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 11.30 – 15.30 น. และ 18.30 – 22.30 น.
ผมว่า China Table เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจของคอ Dim Sum เลยครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันพฤหัสที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 11.42 น.