ปิล๊อก-สังขละ

หมู่บ้านเหมืองแร่กลางหุบเขา สัมผัสวิถีชาวมอญ

ครั้งแรกที่ได้ยินเพื่อนพูดถึง "ปิล๊อก" ยอมรับเลยว่าเราเองยังไม่รู้จักปิล็อกเท่าไหร่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศ ด้วยความข้องใจเลยค้นหาข้อมูล มันอยู่แค่กาญจนบุรีเองนี่ แถมบรรยากาศดีมากๆ ไม่รอช้าใกล้แค่นี้ โทรไปหาผู้ร่วมทริปพอเพื่อนตอบรับเราก็เลยเริ่มวางแผนจองห้องพักทันที เพราะเราแพลนจะไปช่วงวันหยุดยาว ไหนๆก็มาแล้วเราเลยกะว่าจะเลยไปเที่ยวสังขละบุรีซะเลยดีกว่า ทริปของเราจึงปักหมุดว่าจะนอนปิล็อก 1 คืน และเลยไปนอนที่สังขละบุรีอีก 1 คืน แต่ด้วยช่วงที่เราไปเป็นช่วงวันหยุดยาวและจากที่เช็ครถขึ้นไปปิล็อกแล้วจะหมดเร็ว เราเลยมาค้างที่กาญกันก่อนเพื่อจะได้รีบตื่นไปเที่ยวปิล๊อกกันแต่เช้า

Day 1 : กทม. – กาญจนบุรี

เราออกเดินทางตั่งแต่วันศุกร์เย็นเพราะช่วงนี้เป็นวันหยุดยาวเลยอยากเผื่อเวลาไว้สักหน่อย หลังเลิกงานเรารีบนั่งรถมาที่สายใต้เก่า จะมีวินรถตู้ไปกาญจนบุรี ซื้อตั๋วเรียบร้อย คนละ 100 บาท ออกเดินทางประมาณ 1 ทุ่ม

หลังจากถึงที่บขส.กาญ ก็เดินหาไรกินสักหน่อยใกล้ๆ บขส. จะมีตลาดโต้รุ่งขายอาหารอยู่ มีของกินให้เลือกเยอะแยะเลย พอหาไรกินเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปขึ้นมอเตอร์ไซต์ให้ไปส่งที่โรงแรมที่จองไว้ ฮอป อินน์ กาญจนบุรี ราคาคนละ 30 บาท

ถึงบขส. กาญจนบุรี ประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. ครึ่ง


หาอะไรกินยามดึกก่อนเข้าที่พักที่เราจองไว้

โรงแรมที่เราจองไว้ครับ ฮอปอินน์ กาญจนบุรี คืนละ 550 บาท

ห้องพักตกแต่งสไตล์โมเดิร์น มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ อาบน้ำเข้านอน เตรียมออกเดินทางแต่เช้า


Day 2 : กาญจนบุรี - ทองผาภูมิ - ปิล๊อก

เราวางแผนตื่นตี 5 กะว่าจะออกจากโรงแรมไม่เกิน 7 โมง ไปบขส.กาญจนบุรี ขึ้นรถตู้ไปทองผาภูมิ จากนั้นเราต้องต่อรถสองแถวเพื่อไปบ้านอีต่อง รถหมดเร็วครับ รอบสุดท้าย 13.30 น. เลยขอออกสตาร์ทเร็วสักหน่อยจะได้ไม่เสียเวลาเที่ยว


ตื่นเช้ามาแสงอาทิตย์ยามเช้า กับวิวภูเขาหลังห้องสวยสุดๆ

มีกาแฟให้ทานฟรี ตอนเช้าด้วยครับ ระหว่างกดกาแฟเราก็ให้โรงแรมโทรเรียกมอเตอร์ไซต์ใ้ไปส่งเราที่ บขส. กาญจนบุรี คนละ 30 บาทเหมือนเดิม

มอเตอร์ไซต์มาส่งเราที่ บขส. กาญจนบุรี ตรงข้ามมีร้านอาหารเช้าเลยแวะไปหาอะไรลองท้องซะหน่อย


ถือกาแฟของฮอปอินน์นั่งมอไซต์มาด้วย เลยสั่งไข่กระทะมากินเพิ่ม


ใครที่ไม่รีบก็นั่งรถเมล์แดงไปได้แบบชิลๆ แต่อาจใช้เวลานาสักหน่อย

เราตัดสินใจขึ้นรถตู้ เพื่อประหยัดเวลา ไปลงทองผาภูมิ ราคา 115 บาท รถมีเป็นรอบๆ แต่ถ้าเต็มรถก็จะออกก่อนเวลา เราซื้อรอบ 08.45 แต่คนเต็มรถเลยออกไว 8.30 เริ่มออกเดินทางไปทองผาภูมิกันเลย


เตรียมออกเดินทางไปทองผาภูมิกันดีกว่าเส้นทางยังอีกยาวไกล

รถตู้มาถึงตลาดทองผาภูมิ 10.45 รถจะมาจอดที่ท่ารถตู้ตรงทองผาภูมิ จากนั้นเราเดินไปที่ตลาดทองผาภูมิ เพื่อรอรถตรงท่ารถสองแถวไปบ้านอีต่อง


ตารางรถขึ้นไปบ้านอีต่องรอบสุดท้าย 13.30 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. รถยังไม่มาเราเลยเดินเล่นไปริมน้ำมีจุดชมวิวริมน้ำ

มีที่พักด้วยครับ ชื่อเรือนสวนริมแคว ทองผาภูมิ ห้องพักเป้นกระจกมองเห็นวิวแม่น้ำบรรยากาศดีมากๆ

วิวสวยมากๆ ถ้ามีเวลาอยากจะนอนที่นี่สักคืนเลย

หลังจากชมวิวไปสักพักใกล้ถึงเวลารถรอบ 11.30 เราเลยเดินกลับไปตรงท่ารถ และแล้วความสนุกก็เริ่มเกิดขึ้น เรามาช่วงเทศกาล รถที่ท่าหมดแล้ว รถวิ่งที่อยู่บนบ้านอีต่องรับเหมานำเที่ยวกัน เอาไงดีทีนี่ ยัวโชคดีที่ป้าเจ้าของร้านขายอาหารตรงท่ารถ แกช่วยรวมคนแถมหารถให้ รถเหมารอบละ 1,500 มีผู้ร่วมทริป 12 คนหารกัน ตกคนละ 125 บาท ก็ยังโอเคดีกว่าไม่มีรถไป

ปกติลุงแกวิ่งอยู่วินบ้านไร่ ไปทางเดียวกับบ้านอีต่อง ยังโชคดีที่แกรับเหมาไปส่งที่บ้านอีต่องให้

ระหว่างทางก็จะเห็นอ่างเก็บน้ำอยู่ข้างทาง

ป้าที่หารถให้แกบอกให้ลุงแวะจอดให้เราถ่ายรูปตรงจุดชมวิวก่อนขึ้นปิล็อกด้วย


พอเดินทางถึงปิล๊อกเราก็รีบเดินไปที่พักที่เราจองไว้ ปิล๊อก แคมป์ คอฟฟี

ห้องที่เราจองไว้ คือ ห้อง Camp 6 บรรยากาศดีมากๆ มีโต๊ะนั่งหลังห้องมองเห็นวิวสระน้ำชิลสุดๆ

สนใจจองห้องพัก

ปิล๊อก แคมป์ คอฟฟี่

โทร : 086-018 2938

Facebook : https://web.facebook.com/pilokcampcoffee/

หลังจากนั้นเราก็ล้างหน้าล้างตา เตรียมตัวไปเดินเล่นรอบๆหมู่บ้าน เพราะพรุ้งนี้เราต้องกลับแต่เช้า รถที่หมู่บ้านอีต่องรอบสุกท้ายหมด 8.30 ช่วงเช้าเลยเหลือเวลาเที่ยวน้อยมากๆ และตอนเย็นเรากะว่าจะเดินขึ้นทางลัดไปชมวิวพระอาทิตย์ตกที่เนินช้างศึกกัน

เดินผ่านตลาดมีทั้งขนม ของฝาก และอาหารให้เลือกทานกัน


ปากทางจะมีป้ายบอกทาง มีป้ายชี้ไปเขาช้างเผื่อกด้วย แต่ช่วงที่เราไปยังไม่เปิดให้ขึ้นไป

เดินเลยตลาดมาจะเจอทางเข้าเหมืองปิล๊อก มีเครื่องมือ รถ ที่ใช้ในการทำเหมืองสมัยก่อนมาตั้งให้เราถ่ายรูปคู่แบบชิคๆ ฮิปๆ กันด้วย

เครื่องมือเก่าๆถ่ายรูปมุมนี้เท่ห์สุดๆ

เดินเลยขึ้นไปจะเจอน้ำตกเล็กๆ น้ำใสมาก

จาดนั้นเราเดินไปวัดเหมืองปิล๊อก

วิวสวยๆจากด้านบนวัดเหมืองปิล๊อก หลังจากไหว้พระเสร็จไม่ไกลเราเดินไปจุดประสานสัมพนธ์ไมตรี ไทย-เมียนมาร์ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสองประเทศ

เริ่มเย็นแล้วเรารีบเดินย้อนกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อเดินขึ้นทางลัดไปชมวิวพระอาทิตย์ตกที่เนินช้างศึก

ทางเดินขึ้นเนินช้างศึกจะอยู่ตรงศาล ป้ายทางขึ้นบอก 1.2 กม. ทางขึ้นเขา ชันเล็กน้อย แนะนำใส่เป็นรองเท้าผ้าใบนะครับ

รีบเดินกันดีกว่าเดี๋ยวจะไม่ทันพระอาทิตย์ตก

เดินขึ้นไปสักพักหันหลังกลับมามองเห็นวิวหมู่บ้านปิล๊อกกับ เขาช้างเผือก หายเหนื่อยเลย สวยมากๆครับ

มัวถ่ายรูปจนเพลิน เดินต่อดีกว่าๆ

เดินไปสักพักก็จะเจอทางขึ้นเขาหลังเนินช้างศึก ตรงนี้จะชันและลื่นเล็กน้อย แต่อีกนิดเดียวก็ถึงละครับ

ถึงละครับจุดหมายสำหรับเย็นนี้ของเรา

นักท่องเที่ยวมากางเต็นท์บริเวณเนินช้างศึกกันเยอะเลยครับ

พระอาทิตน์เริ่มจะลาลับขอบฟ้าแล้ว


บรรยากาศยามเย็นของเนินช้างศึกสวยมากๆ คุ้มค่าเหงื่อกับการเดินขึ้นมามากๆ ขากลับมีรถนำเที่ยวไปส่งลูกค้าที่หมู่บ้านพอดีเราเลยขอติดรถลงมาด้วยลุงแกคิดคนละ 20 บาท ทุนแรงไปได้เยอะเลย

กลับมาเราก็ไปเดินเล่นที่ตลาดกันอีกรอบ ตอนกลางคืนมีร้านขายอาหารและขนมเยอะเลย

ใครจะเขียนโปสการ์ดส่งให้เพื่อนๆก็มีนะครับ

เราลองกินปูพม่าทอด บอกเลยว่าทอดกรอบมากๆ กินได้เกือบทั้งตัวเลย

โรตีบ้านฉันปิล็อก ของหวานที่ใครมาแล้วต้องแวะมากิน วันนี้แถวยาวมากๆ

โรตีกล้วยหอมใส่นมข้นร้อยๆ ก่อนนอน


Day 3 : ปิล็อก - ทองผาภูมิ - สังขละบุรี

เราตื่นแต่เช้าเลยประมาณตี 5 รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกมาเดินเล่นยามเช้า เพราะว่าเรากะว่าจะกลับรถรอบ 7.30 น. อาบน้ำเสร็จเราก็มาเดินเล่นถ่ายรูปริมสระน้ำ รอชมพระอามิตย์ขึ้นกัน

ไฮไลท์ของทริปนี้คือการตื่นมาบามเช้าแล้วเดินเล่นริมสระน้ำ ภาพที่ตึกสะท้อนลงไปในน้ำยามเช้ามันสวยงามมากจริงๆ ครับ ถือเป็นรางวัลของคนตื่นเช้าที่ฟินสุดๆ


ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปคู่กับป้ายตลาดอีต่อง และเขียนป้ายไม้ว่าเราได้มาเยือนที่นี่แล้ว

ป้ายไม้ ป้ายละ 20 บาท เขียนเสร็จแล้วก็แขวนเป็นที่ระลึกไว้บริเวณสะพาน


บรรยากาศบริเวณสะพานไม้

สะพานเหมืองแร่ อยู่ใกล้กับป้ายหมู่บ้านอีต่อง

ถึงเวลากลับแล้ว ตอนแรกเราตั้งใจจะกลับตอน 07.30 แต่รอแล้วไม่เห็นรถเลย ตอนแรกคิดว่าสงสัยมีเรื่องสนุกรอบเช้าอีกแน่ๆเลย และแล้วประมาณ 8 โมง เสียงแตรก็ตั้งขึ้น รถลงไปทองผาภูมิที่เรารออยู่นั่นเองรอดตายแล้วเช้านี้ ใครมาแนะนำเก็บกระเป๋าแล้วมายืนรอก่อนเวลาเล็กน้อยนะครับ เพราะรถจอดแวะรับแป๊ปเดียวแล้วไปเลย ถ้าพลาดรอบสุดท้าย 8.30 แล้ววุ่นวายแน่ๆ

รถสองแถว ราคาคนละ 70 บาท ขากลับ รถขับลงเขารถก็เลยจะซิ่งหน่อยนะครับ ยาดม ยาอม ยาหม่องเตรียมกันให้พร้อมนะ

มาถึงทองผาภูมิ ประมาณ 10 โมง รอบนี้โชคดี ลงมามาที่ตลาดทองผาภูมิ เจอรถแดงมา 10.15 ไม่ต้องรอนาน เลยเปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถเมล์ไปแบบชิลๆ ค่ารถเมล์แดงจากทองผาภูมิไปสังขละ ราคา คนละ 70 บาท ขึ้นรถมาเรื่อยๆ

ขึ้นรถมาเรื่อยๆ สองข้างทางก็ร่มรื่น มีวิวอ่างเก็บน้ำสวยๆ ให้ชมเป็นระยะๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. เราก็เดินทางมาถึงสังขละบุรี จากนั้นก็เรียกให้มอไซต์รับจ้างไปส่งที่พัก คนละ 20 บาท ที่พักของเราคืนนี้ Haiku Guesthouse ที่นี่ถ้าบอกว่าไปเที่ยวญี่ปุ่นมาใครๆก็เชื่อแน่ๆ

ที่พักสังขละบุรี : Haiku Guesthouse

ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสะพานมอญ ห่างประมาณ 2 กม. เดินเล่นถ่ายรูปแปปเดียวก็ถึง ที่นี่มีร้านขายกาแฟ เครื่องดื่ม บรรยากาศน่านั่งมากๆ ชื่อ Kaf Cafe มีเครื่องดื่มให้นั่งทานแบบชิลๆ ในส่วนของที่พักจะอยู่ด้านหลังคาเฟ่ มีทั้งหมด 4 ห้อง หลังจากเดินผ่านประตูไม้เข้าไป เราก็ประทับใจกับที่พักด้วยการตกแต่งที่เป็นสไตล์ญุี่ปุ่น ใช้ไม้เป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมาก โถงกลางที่พักมีโต๊ะตรงส่วนกลางให้นั่งเล่นรับลม อ่านหนังสือแบบชิลๆ ด้วย

ระหว่างรอห้องเราสั่งกาแฟมาดื่ม ด้านข้างมีร้านอาหารตามสั่ง สามารถสั่งมาทานที่ร้านได้ ประมาณบ่ายโมงห้องของเราเสร็จเรียบร้อย ไปดูบรรยากาศที่พักกันดีกว่า


บรรยากาศที่พักสวยมากครับ ให้อารมณ์ญี่ปุ่นสุดๆ


ภายในห้องพักตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่สวยงาม

สนใจติดต่อ : Haiku Gusethouse

Tel. 087-519 9150

Facebook : Haiku Guesthouse

ราคา : ห้องพักที่เราจอง 700.-บาท/คืน พักได้ 2 ท่าน ราคาขึ้นอยู่กับช่วงที่ไหนนะครับ

ภาพเพิ่มเติมจะรีวิวเพิ่มใหชมกันอีกทีนะครับ

หลังจากเก็บของเรียบร้อยเราก็ไปเดินเล่นที่สะพานมอญยามเย็นกัน เราให้มอเตอร์ไซต์มาส่งตรงสะพานแดงเพื่อเดินไปยังสะพานมอญข้ามไปเดินเที่ยวฝั่งมอญกัน




พอข้ามไปถึงฝั่งมอญเราก็ให้มอเตอร์ไซต์รับจ้างพาไปส่งที่วัดวังวิเวการาม (ใหม่) ราคาคนละ 20 บาท แต่พี่เขาบอกว่าเราอยู่ไม่นานแกจะรอรับพาไปที่ พุทธคยา และพาเรามาส่งที่สะพาน ทั้งทริป แค่ 60 บาท เท่านั้น

- วัดวังก์วิเวการาม (ใหม่)

วังก์วิเวการาม หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "วัดหลวงพ่ออุตตมะ" นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอสังขละบุรีแล้ว ยังเป็นวัดที่ถือว่ามีความสำคัญมากสำหรับคนพื้นถิ่น และเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในอำเภอสังขละบุรี ทั้งชาวไทย และกะเหรี่ยง โดยเฉพาะสำหรับชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่เปรียบหลวงพ่ออุตตมะเป็น "เทพเจ้าแห่งชาวมอญ"

สถานที่สำคัญภายในบริเวณวัด มีอยู่หลายอาคาร
ปราสาทเก้ายอด คือโลงบรรจุสังขารของหลวงพ่ออุตตมะ มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ทางศิลปกรรมของชนชาติมอญ ลวดลายมีความประณีต งดงาม




- พระเจดีย์พุทธคยา

เป็นปูชนียสถานที่สำคัญคู่กับวัดวังก์วิเวการาม เป็นเจดีย์องค์ใหญ่นี้ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ มีสีเหลืองทอง สามารถมองเห็นได้จากแม่น้ำซองกาเลีย ภายในองค์เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงเป็นเจดีย์ที่มีผู้คนมาสักการะ บูชาองค์เจดีย์ที่เสมือนเป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต เจดีย์พุทธคยายังเป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีในวันสำคัญทางพุทธศาสนาและงานเทศกาลเช่น งานวันสงกรานต์





หลังจากไหว้พระ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเรียบร้อย เราก็ไปเดินเล่นกันที่ตลาดฝั่งมอญ มีของขายเยอะเลยทีเดียวทั้งขนม และเสื้อผ้า




ผงทานาคาเคล็ดลับที่ทำให้สาวๆพม่าผิวสวย

เดินไปเรื่อยจนถึงริมน้ำตอนแรกเรากะว่าจะล่องเรือตอนช่วงเช้าก่อนกลับ แต่มีพี่คนขับเรือแกเรียกบอกว่าไปไหมตอนเย็นพระอาทิตย์ตกบรรยากาศดีนะ เราก็ลังเล ปกตินั่งชมเรือ 3 วัด ราคา 500 บาท พี่เขาบอกเย็นแล้วลดให้เหลือ 400 สนไหม เพื่อนเราก็ต่อไปแบบขำ 350 ได้ไหม พี่แกดันบอกได้ ก็เลยตามเลยไปนั่งเรือชมวัดกันยามเย็น




วัดที่หนึ่ง : วัดวังก์วิเวการาม (เก่า)

วัดใต้น้ำ หรือวัดจมน้ำ คือวัดวังก์วิเวการามเดิม ซึ่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็น Unseen Thailand เพราะมีความแปลกที่มีซากโบราณสถานจมอยู่ใต้น้ำ เป็นสถานที่เล่าขานถึงตำนานความเป็นมาของวัดหลวงพ่ออุตตมะ จนหลายคนเรียกกันว่าเมืองบาดาล นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน เป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำหลังเขื่อนลดลงมาก จะสามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมโบสถ์เก่าได้ ณ บริเวณสามประสบ ส่วนคนที่มาเที่ยวช่วงปลายฝนต้นหนาว ตั้งแต่ประมาณตุลาคม - มกราคม อาจจะได้เห็นแค่บางส่วนของตัวโบสถ์ที่โผล่พ้นน้ำ หรือบางทีก็จมน้ำเป็นเมืองบาดาล จะมีให้เห็นก็เพียงแต่ยอดหอระฆังเดิมเท่านั้นที่สูงพ้นน้ำ


วัดที่สอง : วัดสมเด็จเก่า

วัดสมเด็จ (เก่า) ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ตรงข้ามเมืองบาดาล สร้างโดยพระครูวิมลกาญจนคุณเจ้าคณะตำบลหนองลู เป็นวัดที่ไม่ได้จมน้ำ แต่ถูกทิ้งร้างเมื่อครั้งย้ายอำเภอสังขละบุรี ตอนสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ (เขื่อนเขาแหลม) อุโบสถของวัดสมเด็จมีพระประธานสภาพค่อนข้างสมบูรณ์รอบตัวโบสถ์มีต้นไทรใหญ่ปกคลุมดูมีมนต์ขลัง นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือต่อมายังวัดสมเด็จ (เก่า) หลังจากชมเมืองบาดาลแล้ว

วัดที่ 3 : วัดศรีสุวรรณ

ช่วงที่เรามาวัดจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมดเห็นแต่ธงสีเหลืองที่ปักไว้ แสดงถึงที่ตั้งของวัด

ครบ 3 วัดแล้วใช้เวลาไม่นอนครับปรมาณ 45 นาที นั่งเรือกลับเห็นบรรยากาศสวยๆของแสงยามพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าสวยมาก จากนั้นเราก็ไปเดินถ่ายรูปบนสะพานมอญ

จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นกันต่อที่ถนนคนเดินสังขละ ปกติจะมีเฉพาะวันเสาร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

- ถนนคนเดินสังขละ



Day 4 : สังขละบุรี - กาญจนบุรี - กรุงเทพ

วันนี้แผนของเราคือไปใส่บาตรพระยามเช้าที่ฝั่งมอญ เราตื่นตี 5 รีบอาบน้ำแต่งตัว วันนี้เราเดินเล่นไปเรื่อยๆจากที่พักไปสะพานแดง อากาศดีมากๆ เดินไม่นานก็ถึงสะพานแดง คนตื่นมาใส่บาตรกันเยอะมาก ทางร้านที่ขายชุดใส่บาตร จะมีชุดขาวมอญให้ยืมให้ด้วย แต่เมื่อวานซื้อเสื้อมาจากตลาด กะว่าจะมาใส่ให้เข้ากับบรรยากาศสังขละซะหน่อย

นี่อดิเองนะ ใส่เสื้อให้เข้ากับบรรยากาศซะหน่อย

เสร็จแล้วก็มาถ่ายคู่กับสะพานมอญก่อนข้ามทำบุญที่ฝั่งมอญ


ตื่นเช้าชมวิถีชาวมอญเดินขายดอกไม้ เลยขอซื้อดอกไม้ไปใส่บาตร


พระเดินรับบิณฑบาตรจากนักท่องเที่ยวและชาวบ้านที่มารอตั้งแต่เช้า

จากนั้นก็แวะกินข้าวเช้าที่ ร้านโจ๊กนั่งยอง คนต่อคิวเยอะทีเดียว

น่าทานไหมครับโจ๊กหมู ใส่ไข่ ทานกับปาท่องโก๋

เดินกลับมาก็สะดุดตากับการเดินเอาโถข้าววางต่อกันของพี่เขามากๆ

เป็นดาราเด่นสำหรับเช้านี้เลยก็ว่าได้ มีแต่คนขอถ่ายรูปด้วย

เด็กๆก็หารายได้เสริมด้วยการโชว์กระโดดน้ำ



หนุ่มน้อยในชุดมอญ

เดินเล่นจนคนเริ่มซาตอนมาเรามองเห็นร้านกาแฟร้านนึงเดี่ยวเราไปแวะสักหน่อยดีกว่า

L & T Arabica ร้านกาแฟที่มองเห็นวิวสะพานมอญ



หลังจากทานกาแฟ ชมวิวสะพานมอญแบบชิลๆ แล้วเราก็กลับไปที่พักเพื่อเก็บของเตรียมตัวกลับ

มาถึงที่ท่ารถตู้เราซื้อตั๋วจากสังขละบุรี - กาญจนบุรี ราคา 175 บาท ช่วงเทศกาลแนะนำให้มาจองตั๋วเร็วนิดนึงนะครับเพราะคนเยอะเรามาซื้อตั๋วตอน 10 โมงครึ่ง ได้รถรอบ 13.15 น. รถใช้เวลาเดินทางประมาณ พอถึงที่กาญจนบุรี ก็ต่อรถตู้ไปกรุงเทพ ราคา 100 บาท ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. สำหรับทริปนี้เป็นอีกทริปที่ประทับใจ สนุกตื่นเต้นลุ้นกับการเดินทางมากๆ ว่าจะตกรถไหม มันเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์และความทรงจำที่สนุก เราได้สัมผัสวิธีชีวิตของผู้คนที่ต่างวัฒนธรรม ได้เรียนรู้การใช้ชีวิต ได้เจอเพื่อนใหม่ระหว่างการเดินทาง และได้ภาพความประทับใจของสถานที่สวยๆที่เราได้ไปเยือน ที่จะเป็นความทรงจำช่วยเติมพลังในการใช้ชีวิตในก้าวต่อไป ลองตามมาชิลที่ปิล็อก-สังขละ เหมือนอดิซิครับ แล้วคุณจะรู้ว่าประสบการณ์ดีๆ อยู่รอบตัวเรา แค่เราต้องก้าวออกไปหา

สรุปค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

ค่าห้องพัก

ฮอปอินน์ 550 / 2 = 275

ปิล็อก แคมป์ คอฟฟี่ 1,500 / 2 = 750

Haiku Guesthouse 700 / 2 = 350

รวมค่าห้อง = 1,350

ค่ารถ

ค่ารถตู้กทม-กาญ = 100

รถมอไซต์กาญ = 60

ค่ารถกาญ-ทองผาภูมิ = 115

ค่ารถทองผาภูมิ-ปิล็อก = 125

ค่ารถสองแถว = 20

ค่ารถสองแถวปิล็อก-ทองผาภูมิ = 70

ค่ารถเมล์ทองผาภูมิ-สังขละ = 70

ค่ารถมอเตอร์ไซต์สังขละ = 120

ค่ารถตู้สังขละ - กาญ = 175

ค่ารถตู้กาญ - กรุงเทพ = 100

รวมค่ารถ = 955

ค่ากิน

ทริปนี้กินอาหารจานเดียวหลายมื้อ มีกินกาแฟ ขนมบ้าง

รวมค่ากินทั้งทริปโดยประมาณ = 600

อื่น

ค่าป้ายไม้ / ค่าถ่ายรูป / ทาแป้ง = 100

ค่าล่องเรือ 350 / 2 = 175

ค่าเสื้อ = 130

รวมอื่นๆ = 305

รวมค่าใช้จ่ายทริปโดยประมาณ = 3,210 บาท


เพื่อนที่เข้ามาอ่านแล้วชอบฝากเข้ามากดถูกใจเพจผมได้ที่นี่เลยครับ >> ChillWithAdi : อดิพาชิล

แล้วมาเป็นเพื่อนเที่ยวไปกับอดินะครับ




อดิพาชิล

 วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 16.00 น.

ความคิดเห็น