ผ่านมาได้ครึ่งปีกับทริปสุดท้ายจากที่ได้เคยมีความทรงจำร่วมกันมาตลอด 5 ปี

.. มองให้มันเป็นอดีตดีๆที่(เคย)มีรอยยิ้มให้กัน ตอนนี้เลิกเศร้าแล้วเนอะ


ต้องเกริ่นมั้ยว่าทริปนี้เป็นมายังไง.. นิดนึงก็ได้


ตอนเดิมที่แล้ว ไปทำงานด้วย แวะเที่ยวด้วย โดยมีเพื่อนร่วมทางเป็นแฟน(เก่า) เริ่มเดินทางจาก West - East java ข้ามมาบาหลี จนไปถึงเกาะเปอร์นิดา ที่กลายเป็นเกาะสวรรค์ในใจเราไปเรียบร้อย


อยากรู้ว่าเกาะนี้เป็นยังไงสวยดิบแค่ไหน อ่านย้อนหลังได้ที่นี่ค่ะ

Hidden Canyon - Penida Island - Rinjani | Last Memories ที่ Indo

https://th.readme.me/p/5630


หลังจากที่มองตามหลังเกาะเปอร์นิดาด้วยตาละห้อย การผจญภัยระลอกใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น


"พี่ว่าถ้าเป็นไปได้ ไปนอนแถวๆ Seneru ได้ยิ่งดีนะ"

แล้วมันไปยังไง เราถาม บ่งบอกว่าเตรียมตัวมาดีมาก..

"ก็..จากลอมบอกนั่งรถไปเชงกิกิ 2 ชม. แล้วขี่มอไซค์ต่อไปอีก 2 ชม."


เถียงกันเล็กน้อยว่าเหนื่อยไปป่าว ไม่น่าทัน บลาๆ จนยุติการถกเถียงด้วย...

ไฟล์ทบินดีเลย์ ไปได้ไกลสุดสำหรับวันนี้ก็แค่ Senggigi นี่แหละ

- ลอมบอกจ๋า พี่มาแล้วจ้ะ -

เจ้านกเหล็กสัญชาติอินโดพาเราบินข้ามเกาะจากบาหลีมาถึงสนามบินลอมบอก ประมาณ 5 โมงเย็นกว่า แบ่งหน้าที่กัน เราคอยรับกระเป๋า ฝั่งชายวิ่งไปซื้อตั๋วรถบัสไปเซงกิกิพร้อมจองที่นั่ง ถ้าไม่งั้นต้องรอไปอีกชม.

เราใช้ Airport Shuttle ที่มีบริการทุกวันจากสนามบินไป Mataram - Senggigi ตั้งแต่ตี 4 ถึง 1 ทุ่ม ราคา 35k ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเราก็มาถึง เมืองSenggigi


ส่วนโรงแรมคืนนี้ก็หาๆใน Booking.com แต่ไม่จองนะ เช็คราคา รีวิว พิกัด แล้ววอร์คอินเข้าไป เผื่อต่อราคาได้นิดหน่อย

จากริมถนนเดินเข้าซอยเล็กๆแคบๆไม่ไกล หวยก็ไปออกที่ Murni Homestay ราคา 150k เป็นโฮมเตย์เล็กๆมีไม่กี่ห้อง แต่มีมอไซค์ให้เราเช่าก็เพียงพอแล้ว

เอาล่ะ ได้เวลาออกไปเดินสำรวจสั้นๆ พร้อมวางแผนการเดินทาง

รินจานี .. เป็นชื่อที่เราได้ยินชื่อเสียง กิตติศัพท์มาพักใหญ่ๆ


บ้างก็ขึ้นไปไม่ถึง ขาล้าหมดแรงซะก่อน

บ้างก็ว่าเหนื่อย โหด แพง และสารพัด


เห้ย อะไรมันจะขนาดนั้น และถ้ามันจะต้องเหนื่อยกันชนิดบางคนขึ้นไม่ถึง อะไรล่ะที่ยังดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลก (รวมทั้งข้าพเจ้า) ต่างอยากจะไปพิชิตกันขนาดนั้น

รินจานี ราชินีภูเขาไฟ แห่งเกาะลอมบอก คือภูเขาไฟสูง 3,726 m. ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ของอินโดนีเซีย รองจากเครินชิ (Mount Kerinci) บนเกาะสุมาตรา

ด้วยวิวภูเขาไฟลูกน้อยที่กำลังประทุปุ๋งๆรอบล้อมด้วยทะเลสาบสีฟ้าเทอควอยซ์งามจับตา

ที่ซึ่งแฝงไปทั้งความงดงามที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ภูเขาไฟลูกนี้ให้มีเอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือนพร้อมทั้งความยากลำบากมาพร้อมๆกัน

เราเคยได้ยินมาว่า เดินยากกว่า คินาบาลู .. แต่เราไม่เคยไปคินาบาลู (แล้วกรูจะรู้ม้ายยย 555)

ทั้งยังเคยได้ยินอีกว่า ภูเขาแห่งนี้มีระเบิด(ขรี้) ฝังเป็นกับดักมากมาย

เอาเถอะ สวย โหดยั่วยวนแบบนี้ (ไม่ได้หมายถึงขรี้นะ 55) ต่อให้ต้องเดินเหนื่อยขนาดไหนมันก็ท้าทายให้อยากไปอยู่ดี ฉะนั้นเก็บความกังวล แล้วก้าวขาแพคกระเป๋าตามมาซะดีๆ 555

แพลนการเดินทางตั้งแต่พาร์ทเปอร์นิดา ส่วนฝั่งลอมบอกเริ่มตั้งแต่ Day 3 ค่ะ

Hidden Canyon - Penida Island - Rinjani (Backpack version) - Gili Island

Day 1 : Bali - Hidden Canyon – Ubud

Day 2 : Ubud - Penida Island

Day 3 : Penida Island - Bali - Flight to Lombok – Senggigi

Day 4 : Senggigi แว๊นไป – Senaru (ไปถึงบ่ายมาก ต้องเลื่อนไปขึ้นรินจานีอีกวัน)

Day 5 : Senaru – Crater rim camp

Day 6 : Crater rim - Summit camp

Day 7 : Summit - Sembalun - Gili port - (ข้ามเกาะไม่ทัน เลยต้องนอนฝั่งนี้)

Day 8 : Gili Island - Snorkelling day tour (มัวแต่โอ้เอ้พลาดพระอาทิตย์ตก)

Day 9 : Gili island – Lombok

Day 10 : Lombok - KL - Bkk


เดินเช็คราคาทัวร์ใกล้ๆที่พัก ก็สรุปได้ความว่า

ทัวร์ส่วนใหญ่จัดเป็น 2 แบบ คือ 2 วัน 1 คืน กับ 3 วัน 2 คืน แต่เรา(ตอนแรก) ตั้งใจไว้ว่าจะไปกัน 3-4 คืน คือนอนเล่นชิลริมเลคไรงี้ ซึ่งหลายวันแบบนั้น ต้องเป็นทัวร์ส่วนตัว ซึ่งแน่นอน เกินงบ!! เราเลยเลือกไปเอง หาลูกหาบเองดีกว่า แต่ราคาทัวร์ไม่แพงนะ หากใครอยากซื้อความสะดวกก็ได้ค่ะ แต่เราไม่ 555

ที่เราใช้แต่ลูกหาบไม่ได้ใช้ทัวร์หรือไกด์เพราะฝ่ายชายเคยมาหลายครั้ง แต่สำหรับเพื่อนๆที่มาเป็นครั้งแรกแนะนำให้มีไกด์ด้วยจะดีกว่า เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้มีคนดูแลค่ะ ทางไม่ใช่เล่นๆเหมือนกัน ฮืออออ

- เอาคำคมๆ มาแปะให้ปลุกใจ ไกด์กรุ๊ปไหนไม่รู้มายืนตรงนี้จังหวะมันได้พอดี เลยกดมา 1 ใบ -


อุปกรณ์ที่ใช้ Nikon D7100, OMD EM 10 Mark II, Gopro 3+

ชักช้าอยู่ใยตามมาขึ้นเขากันค่ะ


Day 4 >> Senggigi - Seneru วิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวลอมบอกบนเส้นทางมอไซค์

เช่ารถจากที่พัก 4 วัน ถ้าเกินวันค่อยมาจ่ายนะจ้ะ เจ้าของก็น่ารักใจดีให้เรา แต่แหม่ ก็ไม่ใช่จะไปเอาเปรียบอะไร ก็ต้องเขียนใบเสร็จให้เบอร์โทรอะไรกันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเราจะไม่หลอกกัน

จากนั้นแว๊นมุ่งไปตามวิถีที่กูเกิ้ลชี้นำ ซึ่งเราเลือกที่จะใช้ถนนเส้นใน ซึ่งบอกเลยว่าช่วงเช้าๆแสงงามๆ อยากจะจอดถ่ายรูปมากกก แต่เราตกลงกันแล้วว่า "จะไม่ใช้กล้องโดยไม่จำเป็น" เพราะ(ตอนแรก)กะจะไปนอนบนเขาหลายคืน ต้องประหยัดแบตกล้อง และถ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ระหว่างทางเราเห็นชนบทและป่าแห่งเกาะลอมบอก สวยงาม รื่นรมย์

แต่ไม่มีรูป แฮ่


แพลนวันนี้ - ไปหาลูกหาบเช่าอุปกรณ์แคมป์ที่ซินารุ แล้วขึ้นเลย (ห้าวอีกแล้ว) ระหว่างขี่มอไซค์ไปตามทาง ผ่านร้านขายของก็คอยแวะซื้อแก้ว ถ้วยชามติดไปด้วย


ช่วงขี่เลาะริมทะเล เกิดความคิดว่า ซื้อปลาติดไปเป็นเสบียงดีกว่า บนเขาต้องไม่มีปลากินแน่ๆ เราเลยได้ปลาสดๆเพิ่งย่างเสร็จมาด้วย

ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. เราก็ขึ้นมาถึงซินารุ ซึ่งระหว่างทางจะผ่านหมู่บ้าน ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม บริษัททัวร์มากมาย เราขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นเขามาเรื่อยๆจนมาสุดที่ร้านอาหารหน้าทำการอุทยาน

- รูปนี้ถ่ายตอนลงมาแล้ว หน้าดำเมี่ยมเชียว 55 -

ชายร่างเล็กเจ้าของร้านใจดี ที่หมายตาว่าจะต้องโดนเราเลียบเคียงให้ช่วยหาลูกหาบให้

แต่ก่อนอื่นขอกินข้าวร้านแกแล้วค่อยเข้าเรื่องธุระ

"เอ่อ พอจะหาลูกหาบนำขึ้นรินจานีให้เราสักคนได้มั้ยคะ"
"ได้สิ" ลุงนุนคือชื่อชายร่างเล็กคนนั้น แกยิ้มตอบพร้อมสายตาเป็นมิตรอบอุ่นใจดี

เราตกลงจ้างไว้ที่ 4 วัน ถ้าอยู่เพิ่มค่อยว่ากัน (สุดท้ายก็อยู่ไม่ถึง เพราะอะไรเดี๋ยวรู้ 555) หลังจากลุงนุนบอกราคาค่าตัวลูกหาบ พร้อมให้คำแนะนำว่าเราควรขึ้นพรุ่งนี้เช้า เพราะขึ้นไปวันนี้ก็ต้องไปพักระหว่างทางกลางป่า ไปไม่ถึง Crater rim camp อยู่ดี ไหนต้องมาจ่ายค่าตัวลูกหาบอีก พักผ่อนเอาแรงให้เต็มที่ดีกว่า

เราเห็นดีเห็นงามด้วย เอ่อ ว่าแต่ไม่ต้องจ่ายค่าลูกหาบแต่ต้องมาจ่ายค่าที่พักแทนนี่เนอะ แต่พอลองชั่งน้ำหนักกัน สุดท้ายเราก็ทำตามที่แกแนะนำ เพราะจริงๆข้าวของก็ยังเตรียมไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่

4 โมงเย็นลุงนุนนัดเรากลับมาที่ร้านอีกที เพื่อเจอลูกหาบและพาไปร้านเช่าอุปกรณ์แคมป์

พอพูดถึงร้านอุปกรณ์แคมป์ อาจจะฟังดูดี แต่จริงๆมันก็คือบ้านคนในหมู่บ้านที่มีเต๊นท์ มีเตาแก๊ส แก๊สกระป๋อง อุปกรณ์แคมป์อื่นๆให้เช่า

- ลุงนุนคนติดต่อ และซาฮาลูกหาบของเรา -

ที่จริงราคาก็ถือว่าไม่ถูก(ในความคิดเราเท่าไหร่) เพราะพอหยิบนู่นนี่รวมๆเสบียงในตู้ที่เค้าวางขายก็หลายตังอยู่ แต่ก็ถือว่าช่วยอุดหนุนคนในหมู่บ้าน และอีกอย่างยังไงราคามันก็ถูกกว่าเป็นทัวร์เต็มรูปแบบอยู่แล้ว ถึงจะไม่ได้ต่างกันมาก แต่มันก็ส่วนตัว และก็ถือว่าได้ประสบการณ์ดีค่ะ

***เราเตรียมถุงนอนไปใบนึง เช่าเพิ่มใบนึง ถ้าเพื่อนๆตรงดิ่งมาเทรค ไม่แวะเที่ยวที่อื่นๆมาก่อนเหมือนเรา อะไรที่พอจะเอามาจากเมืองไทยได้ จะประหยัดไปอีกค่ะ มาหาเช่าแค่เต๊นท์ก็ได้ ส่วนเสบียงแห้งถ้าซื้อมาจากร้านข้างนอกจะถูกกว่า อ้อ ค่าตัวลูกหาบไม่รวมค่าบุหรีวันละซองนะคะ ส่วนอาหารเราต้องเตรียมเผื่อเค้าด้วย แต่เค้าก็จะมีเตรียมของกินส่วนตัวไปเองอยู่ค่ะ

หลังจากนัดหมายเวลาของวันพรุ่งนี้ ซาฮา ลูกหาบของเราก็หิ้วอุปกรณ์ขี่มอไซค์กลับไปบ้าน เพื่อแพคของสำหรับวันพรุ่งนี้

ที่พักของเราเช็คราคาประมาณ 2-3 ที่ มาได้ 150k ที่ไม่ไกลจากจุดเริ่มเดินมาก

สภาพห้องแค่พออยู่ได้ กำแพงร่อนเป็นบางจุด ห้องน้ำดูเหมือนห้องผีสิงนิดหน่อย แต่ถูกกว่าที่อื่นใกล้ๆกันและมีแพนเค้ก กาแฟเป็นอาหารเช้าให้

หาซื้อขนมนมเนยเสบียงเพิ่มเติมเล็กน้อย ก็กลับมาพักผ่อนเอาแรง

นี่ขนาดว่านอนเอาแรงเต็มที่ แต่ไม่เคยคิดว่าเกือบจะไปหมดแรงกลางทาง กับระยะทางแค่ 8 กิโล!!

Day 5 >> Senaru – Crater rim camp ฟิตแค่ไหนถามใจตัวเองดู

เช็คเอาท์เก็บของออกแต่เช้า เวลาออกเดินทางคือ 8 โมง เราไปถึงร้านลุงนุนประมาณ 7 โมง ฝากรถและของที่ไม่ใช้ พร้อมสั่งข้าวกล่องไปทานมื้อเที่ยง

"อ้าวปลาไปไหนล่ะ" ลุงนุนถาม แกคงเห็นเราหิ้วติดมาด้วยเมื่อวาน

"ถ้าไม่กินก็เอาให้ซาฮานะ คนบนนี้ไม่ค่อยได้กินปลา"

ตอนแรกที่ลุงถามไม่ได้คิดอะไร แต่พอบอกจะเอาให้ซาฮา เกิดรู้สึกเสียดายขึ้นมาซะงั้น เมื่อวานเผลอวางไว้นอกห้องเพราะกลัวมดขึ้น แต่ลืมกลัวหมา สุดท้ายโดนหมาคาบไปแดรก เห็นหลังมันไวๆ ตามเอาไม่ทัน

ลุงนุนยื่นข้าวกล่องให้ แถมพ่วงด้วยพวงกล้วย ไข่อีกนิดหน่อย กับน้ำตาลอีก 1 ถุงยัดติดมาให้ด้วย อารมณ์เหมือนพ่อห่วงลูกๆที่กำลังจะไปเข้าค่าย แล้วบอกให้เอานู่นนี่ไปเผื่อด้วยยังไงยังงั้น

เช้านี้ที่อุทยานดูคึกคักกำลังดี เราขึ้นพร้อมแก๊งนักปีนเขาจากสิงคโปร์ มากันเป็นกลุ่ม ดูฟิต ดูเฟิม ทุกคนใส่เสื้อแดงช่างปลุกเร้ากระปรี้กระเปร่า ชวนทำเราหึกเฮิม

หลังทำเรื่องลงทะเบียนจ่ายค่าธรรมเนียมอุทยาน คนละ 150k เรียบร้อย โดยมีซาฮายื่นหน้าไปการันตีว่าเป็นคนพาพวกเราขึ้น ไม่ได้ไปตัวเปล่าๆไร้คนดูแลซะทีเดียว

เช้าๆอากาศดี สดชื่นแจ่มใส ทางช่วงแรกเดินไปตามทางใต้ร่มไม้ ลักษณะเป็นดินชื้นๆแต่ไม่ได้ถือว่าลื่นหรือเดินยากอะไร แต่ก็ไม่ใช่ทางเรียบๆนาจา ขึ้นตลอดๆ เพียงแค่ไม่ชันมาก เรียกว่าหลอกให้เราตายใจไปตลอดครึ่งวันแรก

เส้นทางรินจานีสามารถขึ้นได้ 2 ทางคือ Senaru และ Sembalun ซึ่งก็มีความยากง่ายต่างกัน สำหรับเรารู้สึกคิดถูกที่ขึ้นทางนี้ จริงๆแล้วต้องบอกว่ามันเหมาะกับเรามากกว่า

- นั่งกินข้าวอยู่ในกลุ่มลูกหาบ -

จนกระทั่ง 11.15 มาถึงแคมป์ 1 ที่ทุกเหล่าคณะต้องมาพักกินข้าวกันตรงนี้ บรรยากาศออกแนวค่ายกลางป่า

บรรดาลูกหาบต่างจัดแจงทำกับข้าว เปิดแคมป์ครัวชั่วคราว กางเก้าอี้พับไว้บริการลูกทัวร์ของตัวเอง ดูคึกคักดีนะ

- ข้าวที่ลุงนุนเตรียมให้ ซอสพริกนี่เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้เลย ช่วยชีวิตไปหลายมื้อมาก ใส่ได้ทุกอย่าง ยันต้มมาม่า -

ส่วนเราก็ไปหามุมเงียบๆเจียมตัวงัดข้าวกล่องออกมากิน แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมจ่ายตังให้ลุงนุนนี่หว่า มื้อนี้ซาฮาเตรียมข้าวตัวเองมา หนีพวกเราไปนั่งกินกับเพื่อนลูกหาบด้วยกัน

12.00 ในขณะที่คนอื่นยังนั่งกินข้าวกินกาแฟ พวกเราไม่มีอะไรจะกิน เอ้ย พวกเราอิ่มแล้วจึงไม่อยากโอ้เอ้ เลยออกเดินต่อ ซึ่งเดินตีคู่กับน้องแก๊งเสื้อแดงตลอดทาง กลุ่มนี้แบกของส่วนตัวเองมีทั้งคนฟิตมากกึ่งเดินกึ่งวิ่ง กับคนที่เดินไล่หลังทีมลูกโหล่มากับพวกเรา เราจำคนนี้ได้แม่นเพราะชอบโดนเพื่อนแซวว่า "เควินนนนนน แวร์ อาร์ ยูวววว์" "อาร์ ยู โอเค๊ๆ" ตะโกนไล่หลังมาตลอดทาง โถ่วเควิน มีเพื่อนฟิตเหมือนกระทิงต้องทำใจนะลูก มาค่ะ เดินกับพี่ เรามาเป็นสายเต่าด้วยกัน

จากตอนแรกที่คิดว่าชิล เริ่มไม่ใช่อีกต่อไป เมื่อทางดินในป่ารกๆเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงโซนที่เป็นลักษณะทุ่งหญ้าแล้วกลายมาเป็นหิน

มานึกถึงจะว่าไปก็คล้ายๆอาการของคนภาพตัด จำได้แค่ว่าได้ยินเสียงหัวเองบ่นถึงคุนตะกวด บ่อย และถี่มากขึ้นเรื่อยๆตามองศาความชันของภูเขา

พักบ่อยขึ้น เดินได้ช้าลง แต่บ่นอุทรณ์บ่อยกว่าว่าเมื่อไหร่จะถึงสักที

เหมือนเดินยังไงก็ไม่ถึง เดินไปบ่นไปจนรำคาญตัวเอง 555

ที่บ่นก็ไม่ใช่ไร บางทีแหงนหน้ามองขึ้นไป คิดว่าเห้ยๆๆ ผ่านเนินนี้ไปก็น่าจะสุดแล้วเว้ย แต่เปล่าแมร่งยังมีขึ้นเขาไปต่อ!!

ใจอยากจะเขวี้ยงเป้ใบน้อยๆที่กลายเป็นหนักมากเวลางอแงทิ้ง แต่พอเห็นเควินที่แบกเป้เองแล้ว เราจะยอมได้ยังไง อย่างน้อยก็ไม่ใช่เราคนเดียวที่บ่น ได้ยินเสียงเควินบ่นงึมงำถี่ๆเหมือนกัน 555

จากจุดเริ่มต้น 600 เมตร เราถึงแคมป์ที่พักเวลา 16.20 คืนนี้ที่ความสูง 2600 เมตร

- เห็นแคมป์แล้ว น้ำตาจิไหล -

มาถึงไม่เคยรู้สึกปลาบปลื้มอะไรเท่านี้มาก่อน ไม่ใช่เพราะวิว แต่เป็นเพราะได้วางเป้แล้วต่างหาก 55 อ่ะๆ วิวสวยมากจริงๆ พักให้หายเหนื่อย แล้วเดินไปดูวิวสักหน่อย

แต่อาจจะเป็นเพราะหมอกที่เข้ามาปกคลุมเลยทำให้มืดและอากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว เราเห็นอานัคลูกเล็กพ่นควันได้ไม่เท่าไหร่ เมฆก็ลอยเข้ามาปิด กลับไปนอนหลบลมหนาวที่เต๊นท์ดีกว่า

แคมป์ที่เรานอนอยู่ห่างจากคณะใหญ่เล็กน้อย ระหว่างนี้ได้ยินเพื่อนกระทิงของเควินเดินย้อนไปรับ พร้อมตะโกน "เควินนนนนน แวร์ อาร์ยูววว์"

อย่าว่าแต่จะนึกว่าพรุ่งนี้ชะตาเควินจะเป็นยังไง พี่เองก็ไม่น่าจะต่างกัน

Day 6 >> Crater rim - Summit camp วันเดินชิลก็มีนะ

หลังจากที่มีเวลานอนทำใจไปอื่มๆตั้งแต่หัวค่ำยันเช้ามืด ไม่รู้แหละเพราะเหนื่อยหรือไม่มีอะไรทำ แต่น่าจะอย่างแรกมากกว่า ก็เรียกขวัญและกำลังใจกลับมาได้เหมือนเดิม

เพราะหลังจากนอนก่ายหน้าผาก คิดว่าวันแรกยังเหนื่อย แล้ววันต่อไปจะเหลือหรอ แต่ร่างกายก็ดูจะเห็นใจเพราะยังไงก็ถอยไม่ได้ เลยไม่งอแง 555

- บรรยากาศยามเช้า -

แต่ถึงอย่างนั้นก็เริ่มมาปรึกษากันว่าจะเอายังไงกับโปรแกรม จะตามเดิม 4-5 วัน หรือจะเอาสั้นกว่านั้น 55 คือผู้ชายเคยมาหลายครั้ง แต่เราครั้งแรกง่ะ

ตอนแรกที่คุยกันคือขึ้น Summit แล้วกลับลงมานอนชิลที่ริมเลค .. แล้วกลับทางเดิม เพราะจอดมอไซค์ทิ้งไว้ที่ Senaru ด้วย คือไอ่ขาลงน่ะไม่เท่าไหร่ แต่พอนึกว่าจะต้องดิ่งชันๆขึ้นมา crater rim อีกรอบนี่คือ แบบบบบ สารภาพเลยว่างอแงงงงง เลยตอบอ้อมแอ้มว่าเออดูก่อนแล้วกัน ไรงี้ แต่ใจจริงคือไม่นะะะ จะบร้าหรา เหนื่อยนะเฟร้ยยย 55

เอหรือคืนนี้จะนอนพักริมทะเลสาบแล้วค่อยขึ้นอีกวัน .. เรากลัวใจฝ่อก่อนอ่ะ เคยเป็นมั้ย คือถ้าพักแล้วมันจะขี้เกียจ ไม่อยากค้างคาด้วย ขอขึ้นซัมมิทก่อนแล้วกัน แล้วค่อยมาว่ากันอีกที

ตกลงได้ตามนี้ มุดหน้าออกเต๊นท์ เดินไปถ่ายรูปกินกาแฟชมวิวแล้วกลับมากินข้าวแต่งตัว เก็บแคมป์ออกเดินทางต่อ

เราชอบเส้นทางช่วงนี้นะ เพราะจะเห็นวิวภูเขาไฟ มองไปทางไหนก็สวย ได้มุมนี้ไปตลอดทาง ถึงช่วงสุดท้ายจะต้องตีจากทะเลสาบขึ้นไปบนแคมป์ซัมมิท แต่เดินน้อยกว่าเมื่อวานเยอะ แถมยังได้ลงไปอาบน้ำแช่น้ำร้อนให้สบายตัวอีก ฟินๆไป

- ขาลงจาก Seneru Crater สวนกับคนที่มาฝั่งโน้นเป็นระยะๆ -

- จะขึ้นทางไหน ก็ชันพอกันเบย 555 -

เริ่มออกเดิน 7.30 สัก 10 โมง เราก็ถึงริมทะเลสาบแล้ว ซึ่งเป็นจุดบังคับให้ต้องพักกินข้าวเที่ยงกันที่นี่ เพราะจากตรงนี้ไปจะเป็นทางขึ้นๆๆอย่างเดียว แงงง

ระหว่างที่ซาฮาหุงข้าวเราก็หอบเอาเสื้อผ้าไปแช่ตัวอาบน้ำร้อน ซึ่งก็ช่วยผ่อนคลายจากความเมื่อยได้อย่างดี

บ่อน้ำร้อนรินจานีมีหลายแก่งให้เลือกแช่อยู่ บางคนก็แช่ข้างบน บางคนก็ไปแช่บ่อใหญ่ แต่ต้องมองดีๆ บ่อไหนใกล้กองขรี้ควรหนีให้ไกล ไม่งั้นจากจะผ่อนคลายอาจเป็นอ้วกแตกตายได้

ใครนะ ช่างมาปลดทุกข์ใกล้ๆบ่อน้ำร้อนได้ ใจร้ายอ่ะ

กลับมาอีกทีข้าวก็สุกพร้อมกิน อาหารเราทำกันแบบง่ายๆกันตาย อ้าวนี่เรื่องจริง ไข่เจียว มาม่า ข้าวผัด แครกเกอร์แค่นั้น

ถ้าไม่ได้ลุงนุนยัดกล้วย กับแป้งมาให้ซาฮาทำแพนเค้กให้กินเป็นมื้อเช้าละก็จะเป็นยังไง เรานี่สงสารซาฮาเลยที่ต้องมาเป็นลูกหาบให้ ต้องมาอดๆอยากๆกับเราแบบนี้

ส่วนคณะอื่นที่เห็นก็กินหรูหน่อยมีผัก มีผลไม้ มีทำห้องน้ำ(ส้วมหลุมกั้นห้องพลาสติก) หอบขึ้นมาให้ด้วย

พออิ่มท้องก็ได้เวลาเดินต่อ ก่อนที่จะยิ่งขี้เกียจ ส่วนซาฮาเก็บของออกเดินตามหลังเหมือนทุกครั้ง

- ออกจากทะเลสาบมา ทางช่วงแรกเดินสบายๆ -

ระหว่างทางขึ้นไปแคมป์ เดินสวนกลุ่มที่มาจาก Summit แต่ละคนมีสีหน้าอิดโรย เห็นละไม่กล้าถามว่าเหนื่อยมั้ย เป็นยังไงบ้าง กลัวโดนสวนว่า เมิงดูหน้ากรุสิ 55

- ได้ล้างเนื้อล้างตัวค่อยดูสดชื่นหน่อย -

จาก 12.30 ริมทะเลสาบ ผ่านทุ่งหญ้าไปสักพัก ทางจะเริ่มเปลี่ยนเป็นหินและดินร่วนๆที่ชันไปเกือบตลอดทาง ขาขึ้นไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่ลงโดยเฉพาะพวกที่ลงมาจากซัมมิท ไม่แปลกใจถ้าจะขาสั่น ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ถึงตอนนี้เราเริ่มรู้แล้วล่ะว่าหลังลงจากซัมมิท จะอยู่หรือจะไป

- ขาขึ้นไป Sambalun crater หรือ Summit camp -

ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เราก็มาถึงแคมป์สุดท้ายก่อนที่จะขึ้นซัมมิท ผ่านเต๊นท์เพื่อนที่จะมาร่วมชะตากรรมกันในคืนนี้ แต่ละคนดูผ่อนคลาย บ้างออกมาเดินชมวิว

- เห็นยอดอยู่ลิบๆ เหมือนจะใกล้.. -

บ้างแหงนหน้ามองไปยังติ่งบนเขาที่สูงที่สุดอันเป็นจุดหมายปลายทางของทุกคนที่มาที่นี่ ใจเราเต้นตึกตัก เหมือนกำลังจะทำภารกิจที่แสนยิ่งใหญ่ ที่ต้องคว้าชัยชนะกลับมาให้ได้

ซาซาฮามาถึงเวลาไล่เลี่ยกัน จัดแจงกางเต๊นท์ เตรียมอาหารเย็นให้พวกเรา ยังมีเวลาเหลือเฟือกว่าจะมืด

อย่างที่บอก ตัดสินใจแล้วว่าลงจากซัมมิทแล้ว..

แล้ว..

กลับเลย!!

เพราะอะไร!? ก็ถ้าเดินไปนอนริมเลค ก็ต้องเดินขึ้นดิ่งๆกลับขึ้นไปอีกน่ะเซ่ ไม่เอาแล้วจ้าาา อยากชิลที่เลคนะ แต่ขอแบบไม่ต้องเดินขึ้นอีกได้ป่าว งอแงๆ 555

เลยไปคุยกับซาฮาว่าติดต่อหารถให้หน่อยถ้าได้ราคาไม่เกินนี้ เป็นอันตกลง พรุ่งนี้ให้มารับฝั่ง Sambalun ได้เลย ขอไปนอนพักร่างที่เกาะกิลิดีฝ่า

จากนั้นเดินสำรวจรอบๆบนแคมป์สันเขาก็ไม่ได้อะไรแปลกไปกว่าเดิม แค่เพิ่มเติมคือทิชชู่ ที่เห็นถี่ขึ้น เยอะขึ้น รวมทั้งกองขรี้ด้วย

เท่าที่เห็นพวกทัวร์ก็ทำห้องน้ำให้นทท.นะ คงเป็นพวกรักอิสระไม่ชอบซ้ำรอยใครแน่ๆที่เดินแหกมาปลดทุกข์ที่โล่งๆเนี่ย ส่วนพวกเราถึงจะมากันเอง สารภาพตรงนี้เลยว่าเก็บไว้ไม่ได้ปล่อยออกมาเลย 555

เดินกลับมาแคมป์ ซาฮาต้มน้ำสำหรับชงกาแฟให้ จะว่าไปถึงเรากับซาฮาจะไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากมาย อาจเพราะเค้าดูๆขี้อาย แต่ก็ถือว่ารู้งาน ไม่งอแง ไว้ใจได้ ไม่วุ่นวาย

- ข้างนอกหนาววว กินข้าวในเต๊นท์ -

มื้อแรกๆพวกเราทำอาหารเอง ซึ่งก็ไม่พ้นต้มมาม่า ไข่เจียว ซาฮาเห็นแล้วไม่รู้สมเพชหรือยังไงเลยขอทำให้กิน ปรากฎว่าโค-รตอร่อยเลยฮะ ข้าวผัดไข่ดาวง่ายๆนี่แหละ เครื่องก็ตามมีตามเกิดแต่มันอร่อย รสชาติดี จากนั้นเราก็ให้ซาฮาทำให้กินตลอดเลย 5555 รู้อย่างนี้ให้ทำตั้งนานแล้ว

พอกินอิ่มไม่มีอะไรทำ ถึงจะมีแคมป์มาร์ทเล็กๆขายเบียร์ขายขนมแต่ราคามหาโหดเหลือเกิน เลยมุดเข้าเต๊นท์ไปนอนเอาแรงดีกว่า ยังมีอีกด่านสำคัญรออยู่ข้างหน้า ข้างหน้าจริงๆ อยู่ตรงหน้าเราเลย



Day 7 : Summit - Sembalun - Gili port - รินจานี พี่ไม่คิดว่าเธอจะโหดร้าย

ช่วงเวลาของความทรมานที่ต้องพยายามฝืนความง่วง ความหนาว ความล้า ออกมานอกเต๊นท์จัดแจงแต่งตัว พร้อมกับที่ซาฮาลุกขึ้นมาต้มน้ำชงกาแฟให้ พร้อมอวยพรขอให้ได้ให้โดนซัมมิทกันทั้ง 2 คน

02.30 ฝ่าความหนาวเดินตามแสงไฟลิบๆนับหลายสิบดวงที่กำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกันบนยอดเขา

ทางช่วงแรกผ่านต้นไม้ จนสักพักต้นไม้หายไป ปรากฎเป็นฟ้าโล่งๆกับพื้นกรวดร่วนๆที่เริ่มชันขึนๆแทน

- น๊อยส์เพียบบบ -

ช่วงนี้บรรยากาศดูครึกครื้นมาก ถึงจะมองไม่ชัดว่าใครเป็นใคร แต่ได้ยินทั้งเสียงหายใจหอบ เสียงพูดคุย เสียงให้กำลังใจคนในกลุ่มของตัวเองไปตลอดทาง

ส่วนเราเองค่อนข้างใจพร้อม ค่อยๆเดินรักษาจังหวะไป

เวลาผ่านไปแค่ไหนจำไม่ได้ รู้แต่ว่าหันมองรอบข้างคนเริ่มน้อยลง และเราพักถี่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับแสงแรกแห่งวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา

แหงนหน้าดูทางข้างหน้า เหมือนว่าเหลืออีกไม่ไกล แต่ทำไมไม่ถึงสักที นี่สินะ ที่เค้าว่ามาซัมมิทรินจานีเดิน 3 ก้าว แต่ถอยไป 1 ก้าว

Sand stone บนรินจานี ลักษณะเป็นกรวดทรายเม็ดเล็กๆที่ร่วน เดินยาก ทุกก้าวที่เหยียบลง เหมือนจะดูดพลังทุกครั้งที่ยกขาในก้าวต่อไป

แสงเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ.. บางคนถอดใจ เดินกลับลงไป และเราเริ่มใจเสีย..

มันเห็นอยู่แค่นี้เองนะ ..

เออ เพราะมันแค่นี้แต่เดินไม่ถึงสักทีนี่แหละ ..

- ช่วงสุดท้ายก่อนถึงซัมมิทนี่แหละ เฮือกสุดท้าย -

เดินเถียงกับตัวเองไปสักพัก ปล่อยให้ร่างกายและสัญชาตญาณได้ทำหน้าที่ของมันไปมากกว่าจะปล่อยให้สมองได้สั่งการ ไม่นานนักเราก็ขึ้นมาถึงซัมมิทเมื่อเวลา 6.45

เลทกว่าที่คิด อาจจะเพราะประเมินกำลังขาตัวเองไว้สูงเกิน

แต่ช่างเหอะ ถึงช้ายังดีกว่าไม่มา

วิวข้างบนรอบด้าน สวยงามมาก เมื่อวานที่เดินเลาะ Crater มา ถึงจะเป็นวิวเดิมแต่ดูแปลกตาเพราะมองจากมุมสูง

นอกจากนั้นสิ่งที่มันได้มาคือความปลื้มปริ่ม ภูมิใจ แบบเว่อร์ๆเลยคือเหมือนได้ทำภารกิจที่เราคิดว่ามันหนักอกตั้งแต่วันแรกออกวางไว้บนยอดรินจานี

แต่ความเป็นจริงคือ เราได้มาเยือนสถานที่ๆเคยฝันถึง ที่เคยปักหมุดไว้มาหลายปีแล้วต่างหากล่ะ

มันเป็นความฟินชนิดอธิบายได้ยาก เหมือนอยากรู้จักใครสักคนแล้วทำได้แค่ส่องเฟซเค้าไปวันๆ

แต่วันนี้ได้คุยได้สัมผัสแล้วนะเว้ย อะไรแบบนี้ 555

ชื่นชมบรรยากาศโดยรอบ เห็นแต่ละคนยิ้มแฉ่งถ่ายรูปกับป้ายประกาศชัยชนะ แล้วมีหรอที่เราจะไม่เอาด้วย

"เห็นเควินมั้ย"

ถามหาบักเควินอีกแลว 555 อ้อน้องกระทิงนี่เอง

"พวกเราขึ้นมาถึงตั้งนานแล้ว จะรอถ่ายรูปหมู่กันให้ครบๆแล้วรีบลงสักที บนนี้หนาวจะตาย"

น้องพูดพลางยืนกอดอก หน้าซีดปากสั่น .. เออพี่เห็นด้วย ขนาดมาถึงทีหลังยืนแปบเดียวยังหนาวเลย

"เห็นๆ ใกล้ถึงแล้วล่ะ" ว่าแล้วก็บอกลา แล้วเดินกลับลงมาที่แคมป์

- วิ่งกันฝุ่นตลบ -

ขาลงใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ และสนุกกว่ามาก ทางมันชันและกรวดร่วนก็จริง แต่ลงแบบกึ่งวิ่งกึ่งสไลด์แล้วโครตมันส์ แต่ระวังอย่าไปสไลด์แถวริมผานะ เบรคแตกขึ้นมาจะหาว่าไม่เตือน

แต่อย่างนั้นเราก็ลื่นได้แผลอยู่ดี แบบว่ามันส์ไปหน่อย เลยเสียหลัก กางเกงขาด ได้เลือดซิบๆ 555

ช่วงขาลง ยังมีคนกำลังเดินขึ้นอยู่อีก เค้าถามเราว่าเหลืออีกไกลมั้ย

ได้แต่บอกว่าขึ้นๆไปเถอะไม่ไกลหรอก ทั้งๆที่จริงๆน่าจะอีกประมาณชั่วโมง เราเสียดายแทนถ้าเค้าจะขึ้นไม่ถึง

เพราะเราเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยคิดบ่นแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ทำมันได้สำเร็จ และคิดว่าเค้าก็น่าจะทำได้เช่นกัน

- เท้าจมแบบนี้เลย -

- ทางขาขึ้น ถ่ายเมื่อตอนสว่าง -

9.15 ซาฮาทำมื้อเช้าต้มกาแฟไว้รออยู่แล้ว พร้อมทั้งดีใจกับเราด้วย แต่ก็โอ้เอ้ได้ไม่นานเพราะซาฮาหารถให้เราได้แล้ว และวันนี้จะต้องพยายามไปให้ทันเรือข้ามเกาะกิลิรอบสุดท้าย จะได้ไม่เสียเวลาที่นี่อีกคืน

- บรรยากาศแคมป์ แดดร้อนมาก -

10.20 เริ่มออกเดินพร้อมกับมองยอดรินจานีครั้งสุดท้ายเป็นการบอกลา

สำหรับเรา ภูเขาไฟรินจานีแห่งนี้ มีความพิเศษที่ไม่มีที่ไหนเหมือน และถึงจะต้องเหนื่อยยาก แต่เราก็ยังอยากกลับมาอีก

สวย มีเสน่ห์ เร้าใจ ใช่รินจานีเลย

แล้วเราจะกลับมาอีก

Sembalun เป็นยังไงง่ะ?

...ชันกว่าเยอะ

แล้วไงง่ะ มันเป็นทางลงแล้วนี่ สิวๆป่ะ?

... เดี๋ยวก็รู้ หึหึ

เราคิด มันจะชันขนาดไหนกันเชียว ตรุผ่านซัมมิทมาแล้วนาเฟร้ยย ยิ่งพอบอกเป็นทางลง ไม่มีจะทำให้เราท้อเท่าทางขึ้นอีกแล้ว

แต่คิดผิดว่ะ

ใต้ความออกเดินมาตั้งแต่ตี 2 ลากยาวมาจนบัดนี้ มีหรือที่กำลังวังชาจะเหมือนเดิม หึ เอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน ขาอ่อนล้ามาเป็นผักลวกมาก

มันไม่ต้องเหนื่อยออกแรงเดินขึ้น แต่มันเหนื่อยตรงต้องบังคับขาไม่ให้มันสั่นด้วยความเพลียแรง ไม่ให้ไถลลงเขาข้างทาง

คือต้นไม้แต่ละต้นก็อยู่ห่าง หญ้าให้เกาะยิ่งไม่มี เป็นทางดินร่วนๆไม่มีหินให้เบรค ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่านอกจากชันแล้วยังไม่มีอะไรให้ยึดอีก แถมไม่มีรูปประกอบ 55

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่รู้สึกว่าสักพักใหญ่ๆกว่าจะหมดทางชัน และทางจะค่อยๆชันน้อยลงเรื่อยๆ จนเริ่มเข้าสู่เขตทุ่งหญ้ากว้างไกล

- ทางช่วงนี้เริ่มเดินสบาย แต่ก็ยังมีแอบลื่นอยู่ดี -

ระหว่างนี้เราผ่านนทท.เป็นระยะๆ ส่วนมากก็จะถามว่าอีกนานมั้ยกว่าจะถึง บางคนสีหน้าดูแย่มากๆ

เราเดินสวนคนที่กำลังเดินขึ้นช่วงชันไม่เท่าไหร่ เพราะกัดฟันอีกไม่เท่าไหร่ก็ใกล้ถึง แต่บางคนที่ดูอ่อนเปลี้ยมาตั้งแต่โซนทุ่งหญ้านี่สิ

คนเดินขึ้นอาจจะมองไม่เห็นวิวข้างหน้า เพราะบางช่วงหญ้ามันสูงท่วมหัว เลยรู้สึกเหมือนเดินเรื่อยๆไม่รู้จุดหมายแน่ชัดว่ามันอยู่อีกไกลมั้งนะ

ทั้ง 2 ทาง ก็มีข้อดีเสียต่างกันไป

- ข้าวเที่ยงแสนอร่อยมื้อสุดท้าย ฝีมือซาฮา -

ถึงโซนทุ่งหญ้าจะเดินง่ายกว่ามากๆเพราะเป็นทางลงตลอด แต่บางช่วงก็ยังต้องระวังไถลอยู่ดี

ด้วยสปีดเต็มพิกัดเท่าที่จะทำได้ ไม่เกินบ่าย 3 เราก็ลงมาถึงข้างล่างจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของเส้นทางแห่งรินจานีทางฝั่ง Sembalun

แต่ถึงจะลงมาได้เร็วเท่าไหร่ นี่ยังต้องนั่งรถกลับไปเอารถและของที่ฝากไว้ที่ Seneru แถมคุณลุงคนขับยังขับช้ามากอีกกกก ไหนจะต้องขี่มอไซต์ออกไปร่วมชั่วโมง ความหวังจะไปให้ทันข้ามเกาะเท่ากับ 0

- ลุงนุนผู้ใจดี กับร้านของแกให้บริการทั้งจัดทัวร์ ร้านอาหารและที่พักเล็กๆ ตั้งอยู่หน้าอุทยานทางฝั่ง Seneru เลย -

..หลังจากบอกลาซาฮากับลุงนุนแบบรีบๆ (แถมแกไม่ยอมเอาตังค่าข้าวที่ลืมจ่ายด้วย) พร้อมกับให้สัญญาว่าจะกลับมาใหม่(หร๊ออ?) ก็มุ่งหน้าไปยังท่าเรือ Bansal ที่จะข้ามไปเกาะกิลิ

อย่างที่คาดการณ์ไว้ เรามาไม่ทันเรือรอบสุดท้าย เหลือแต่สปีทโบ๊ทที่เรียกราคาหน้าเลือด เลยต้องจำยอมหาที่พักแถวๆท่าเรือ ซึ่งสำหรับเราราคาไม่ได้ถูกและมีตัวเลือกน้อย หลังจากต่อราคาสรุปแล้วก็ไปจบที่ 170k ไม่รวมอาหารเช้า และด้วยความเหนื่อยมากๆ ก็ลืมถ่ายรูปอีกตามเคย 555

สรุปค่าใช้จ่ายเทรครินจานี รวมแค่เสบียงระหว่างเทรคนะคะ
- รถบัสจากสนามบิน-senggigi 35k*2 = 70k
- ห้อง senggigi = 150k
- เช่ารถ วันละ 55k*6 = 330k
- น้ำมัน = 20k
- อุปกรณ์แคมป์และเสบียง = 660k
- ห้อง seneru = 150k
- ลูกหาบ 4 วัน (แต่ใช้จริง 3 วัน) 200k*4 = 800k
- ค่าเข้ารินจานีคนละ 150k*2 = 300k
- ค่ารถ sembalun - seneru = 300k

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด หาร 2 เรทตอนนั้น .268 ตกประมาณคนละเกือบ 4 พันบาท

ค่าใช้จ่ายไม่ได้ต่างจากไปกับจอยทัวร์สักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าส่วนตัวและอิสระมากกว่าค่ะ


รินจานีฉบับใช้แต่ลูกหาบ ถามว่าต่างกับใช้ทัวร์มั้ย แน่นอนค่ะ ทัวร์ย่อมสบายกว่าอยู่แล้ว

เพราะเค้าเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อม มีไกด์พาเดิน มีผลไม้ มีไก่ให้กิน มีห้องน้ำ(เต๊นท์)ให้เข้า

(ขึ้นอยู่กับราคาทัวร์ที่ซื้อ ซึ่งมีทั้งถูกและแพง)

แต่ไม่ใช่ว่าจะไปเองไม่ได้ เพียงแค่ต้องหาข้อมูลมาดีๆแล้วก็ต้องมั่นใจว่าเดินไหวและดูแลตัวเองได้แน่ๆ

ประกันการเดินทางก็สำคัญ พวกเราทำมาจากเมืองไทยมาเลย ราคาไม่แพง มีหลายเว็บ


Day 8 : Gili Island - Snorkelling day tour

ออกจากโรงแรมแต่เช้าออกไปท่าเรือ ฝากมอไซค์เสร็จเรียบร้อยก็เดินไปซื้อตั๋วเรือราคาคนละ 40k rp

- หน้าตาที่ซื้อตั๋ว -

- ซึ่งก็มีหลายใบ รวมค่าเข้าเกาะ -

บนเรือเต็มไปด้วยของและคนแน่นเต็มลำ จากเกาะลอมบอกประมาณชั่วโมงกว่าๆถึงเกาะกิลิแล้วจ้า

- โบกลารินจานีที่เห็นอยู่ลิบๆนู้น -

- รูปภาพจากอินเตอร์เนต -

หมู่เกาะกิลิ ประกอบไปด้วย 3 เกาะน้อยใหญ่ด้วยกันคือ 1.Gili Trawangan 2.Gili Meno 3.Gili Air ซึ่งเกาะ Gili Trawangan หรือเรียกสั้นๆว่า Gili T เป็นเกาะที่มีคนอยู่เยอะและมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากพอๆกับปาร์ตี้นั่นแหละ 55

มาถึงก็ซื้อทัวร์ดำน้ำก่อนเลย ซึ่งมีขายทุกร้าน โปรแกรมส่วนมากก็จะเหมือนๆกันหมด

เราเลือกแบบเบสิค 3 เกาะ คนละ 100k ครึ่งวันเหมือนจะไม่ค่อยจุใจแต่เอาจริงๆมันก็ฟินมากแล้วนะ เพราะน้ำทะเลใสมากกก ปะการังก็สวยมากกก คือก้มหน้าไปก็เห็นแบบไม่ต้องพยายามอะไรเลย มีฟิน มีน้ำดื่มให้ เทียบกับราคาด้วยแล้วคุ้มสุดๆ

- ที่นี่ใช้รถม้าและจักรยานเป็นพาหนะ เพราะฉะนั้นไม่มีมลภาวะทางอากาศ (ยกเว้นทางเสียง 555) -

ได้ทัวร์ดำน้ำแล้ว แต่ที่นอนยังไม่ได้ ซึ่งจะมีคนเข้ามาจีบพร้อมเสนอออฟชั่นต่างๆนาๆ ถ้ามีเวลาอยากต่อราคาขำๆก็เดินตามไปดูห้อง พอใจค่อยเซย์เยส แต่ถ้าเวลาน้อยจะจองไปก่อนก็ได้ค่ะ

เราพักกันที่ Mentari Homestay ราคา 190k ซึ่งก็ถือว่าใกล้กับชายหาดและท่าเรือสะดวกมากๆ

ห้องก็ถือว่าสะอาดโอเค แค่ห้องน้ำดูเก่าๆ น้ำไหลไม่แรง และพนักงานไม่ค่อยน่ารักแค่นั้น

เอ้า กลับมาต่อ เปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมของที่จำเป็นแล้วออกเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์บ.ทัวร์ เค้าจะให้ใบเสร็จ และให้เราเดินไปจุดรวมพลจุดใหญ่ ไปถึง โอ้ว แม่เจ้า นทท.เยอะไปมั้ย >.<

แต่ถึงคนจะแน่นเต็มลำก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับโปรแกรมดำน้ำ แค่ว่าใครขึ้นแถวท้ายๆจะได้ไปนั่งตากแดดบนกราบเรือข้างหน้า ก็เราไงจะใครละ เกรียมวนไปค่ะ ช่างมันเนอะ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว 55

เริ่มที่จุดดำน้ำจุดแรก ระหว่างเกาะ Gili T และ Gili Meno ซึ่งของจริงสวยกว่าในรูปมากมาย

ส่วนตัวนี้ปลาบู่ทะเล

แวะกินข้าวที่ Gili Air

เกาะนี้เงียบสงบและน้ำใสมากกกกก (แดดก็แรงมากด้วย T_T)

เหมือนทุกทัวร์จะต้องมากินข้าวที่นี่ คนเลยแน่นร้านไปหมด แต่เค้าก็ให้เวลาเยอะอยู่นะ

หิวจนพุงป่องแล้วค่าาาา

ราคาอาหารก็ถือไม่แรง แต่ให้น้อยไปหน่อย ไม่ค่อยอิ่มง่ะ ดำน้ำใช้พลังงานเยอะ

กินเสร็จ ยังเหลือเวลาให้เล่นน้ำหน้าหาดได้

เริ่มไปจุดต่อไป ไปดูเต่ากัน

ตรงนี้เป็นจุดดำน้ำลึกด้วย

ก้มหน้าลงไปเจอ เราถึงกับขำช็อตนี้มาก นี่มัน Turtle hunters 5555

ขาคนยั้วเยี้ยะไปหมด เค้าจะมีไกด์ประจำเรือพาทุกคนดูเต่าไง แต่คนเยอะขนาดนั้นเต่ามันก็ต้องหนีมั้ยล่ะ

เราไม่ตามกลุ่มนั้น แต่ก็เห็นหลายตัวเหมือนกัน

เราดำน้ำไม่เก่ง เลยไม่สามารถมุดตามเต่าได้อย่างเค้า ว่ายตามเฉยๆแล้วกัน 555

มาถึงจุดสุดท้ายของโปรแกรม

จบจากโปรแกรมดำน้ำด้วยความประทับใจ ในความสวยงาม ตามท้องทะเล พร้อมๆกับเห็นเต่าไปหลายตัว

เกือบ 4 โมง เรือมาส่งที่เกาะ ยังเมื่อยจากรินจานีไม่หายมาดำน้ำต่อ แถมเพลียแดดไปอีก 555

กลับห้องไปอาบน้ำ แต่ด้วยน้ำที่ไหลอ่อนแรง

กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็ปาไปเกือบ 6 โมง


คาดว่าแลจะเดินไปชมพระอาทิตย์ตกไม่ทันแน่ๆ เลยเบนเข็มเดินเล่นแถวๆหน้าหาดดูบรรยากาศตอนกลางคืนแทน

ร้านอาหาร ร้านนั่งดื่มบรรยากาศดีๆเพียบ แต่ที่ชอบที่สุดคงเป็น street food night market มีร้านขายซีฟู้ด ปิ้งย่าง

มันช่างเหมาะกับคนเบี้ยน้อยอย่างเราจริงๆ แต่เสียดายมากที่ทิ้งกล้องไว้ที่โรงแรม จะเดินกลับไปเอาก็ขี้เกียจ ไม่มีรูปมาฝาก เลยหารูปจากในเนตมาแปะแทนนะคะ

สุดท้ายไปจบที่ร้านนั่งดื่มที่คนน้อยๆ สงบๆ ละก็แอบไปนั่งกินเบียร์ริมชายหาดกับแจมบรรยากาศรอบกองไฟกับนทท.กลุ่มอื่นอีกนิดหน่อย

สรุปกลับมาถึงห้องเมา อีกวันไม่เหลือค่ะ เมาค้าง 555


Day 9 : Gili island – Lombok

ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย เวลาไปเที่ยวที่ไหนแล้วมีเวลาน้อยๆแบบนี้เนี่ย

เพราะมันจะต้องบอกตัวเองทุกครั้งสิน่าว่าจะต้องกลับมาอีกให้ได้

เช็คเอาท์ออกจากที่พักด้วยความไม่สบอารมณ์เพราะเจอพนักงานพูดจาไม่ค่อยดี

แต่แป๊ปเดียวก็หายเพราะไปเจอร้านข้าวแกงที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินที่อินโดมาเลย

รสชาติจัดคล้ายๆข้าวแกงบ้านเรา ที่ตั้งอยู่ข้างๆโรงแรมที่เราพักนี่เอง แถมไม่แพงอีกด้วย แนะนำมาลองชิมเลย

- หน้าตาร้านแบบนี้นะคะ ถ้าเจอก็แวะเข้าไปโลด -

ที่ท่าเรือขากลับคนไม่เยอะมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นนทท.นี่แหละ

เรือมี 2 แบบ

เรือเร็วราคาประมาณคนละ พันกว่าบาท วิ่งจากเกาะบาหลีวันละ 2 รอบ ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชม. แต่ราคาแพงกว่าเยอะค่ะ

อีกแบบคือเรือชาวบ้าน แบบที่เรานั่ง จริงๆใช้เวลารอเรือเต็มไม่นานนะ คนขึ้นเรื่อยๆ

- ขาออกจากเกาะนี่เรือโล่งเชียว -

บ๊าย บาย เกาะกิลิ ถ้ามีโอกาส .. แน่นอนหมายถึงเงินและเวลา

เราจะกลับมาใหม่ ..

มาถึงก็แวะเอามอไซค์ที่ฝากไว้ จากนั้นก็ขี่กลับไปพักที่เชงกิกิ ช่วงบ่ายที่เหลือค่อยไปโฉบเล่นแถวๆ Mataram

ระหว่างทางกลับเราเลือกเส้นเลาะถนนริมทะเล เห็นวิวทะเลจากมุมสูงเป็นสีฟ้าน้ำทะเลสวยสดใสมาก

จะกลับแล้วยังฟินได้ต่อ

Mataram

ตลาดสด

มีมัสยิดใหญ่ สร้างอยู่กลางเมืองเลย สวยดีค่ะ ขี่มอไซค์ผ่านเลยแวะจอดถ่ายรูป

Mataram Mall

ไปเดินเล่นหาซื้อของฝาก แล้วเจอร้านนี้ ขายอุปกรณ์เทรคกิ้งแล้วชอบมาก ของไม่แพง ทั้งรองเท้า กระเป๋า เป้แบคแพค กางเกงเดินป่า เสื้อกันหนาว ถุงนอน ถ้าใครได้ผ่านไปลองแวะดูค่ะ

ถ่ายบนรถไฟบ้านเรา ใบประมาณ 500 กว่าบาท กันน้ำอีกต่างหาก อิอิ

เดินจนเย็น เกือบกลับมาดูพระอาทิตย์ตกไม่ทัน

ท้องฟ้าช่วงทไวไลต์พอดี

สรุปค่าใช้จ่ายฝั่งเกาะกิลิกันบ้าง เอาคร่าวๆนะคะ

- ค่าเรือไป (มีค่าขึ้นเกาะ) = 45k

- ห้องพัก 1 คืน = 190k

- ทัวร์ดำน้ำ 100k*2 = 200k

- ค่าเรือกลับ =30k

- ค่ารถเชงกิกิ-สนามบิน 35k*2 = 70k

- อาหาร+เบียร์ = 550k

หารแล้วประมาณคนละ 1500 บาท



Day 10 : Lombok - KL - Bkk


วันสุดท้ายที่ไม่ใช่แค่ของการเดินทาง

แต่เป็นทริปสุดท้ายที่จะได้เดินทางด้วยกัน

เมืองเชงกิกิ ตอนเช้าๆที่ไร้ร้างผู้คน บนรถบัสมีคนแค่ 4-5 คนเท่านั้น ไม่นานเราก็มาถึงสนามบินลอมบอก

ใจหาย .. ที่ผ่านมาเหมือนเป็นการเดินทางที่นานแสนนานร่วมกับคนๆนึง

ขอบคุณทุกเรื่องราวดีๆที่เราเคยมีให้กัน

ขอโทษกับทุกสิ่งที่อย่างที่ผ่านมาหากเราเคยทำไม่ดี

พร้อมๆกับที่เราให้อภัยกับทุกหยดน้ำตาที่เคยเสียให้

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำร่วมกันมา ทั้งสุข ทุกข์ เหงา เศร้า อยากบอกว่าไม่เคยลืม


และขอบคุณทุกๆคนที่อ่านมาจนจบถึงตอนนี้

ผิดพลาดยังไงขออภัยด้วยนะคะ กลายเป็นรีวิวผสมอีโมชั่นไปซะงั้น 555

ไว้เจอกันรีวิวหน้าค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่อ่านนะ

Oil / Wanderer Error

https://www.facebook.com/WandererError/

ความคิดเห็น