สวัสดีครับ รีวิวแรกของปี2561 สวัสดีปีใหม่ทุกท่าน แต่รีวิวนี้เป็นทริปตั้งแต่เดือน11ปีที่แล้ว กว่าจะได้เขียนข้ามปีกันเลยย 555 เข้าเรื่องกันดีกว่า ทริปนี้เป็นทริปเดินป่ารอบสุดท้ายของปี2560 ดอยหลวงเชียงดาวอยากไปหลายปีแล้ว ปีนี้จังหวะลงตัวเลยได้ลุยกันสะที แต่ไหนๆจะมาแล้วก็ตามสไตล์เอาให้คุ้ม เลยจัดดอยผ้าห่มปกด้วยทำให้ทริปนี้ได้เก็บ 3 อันดับของเมืองไทยได้แก่ ลานกางเต็นสูงที่สุดอันดับ1ของเมืองไทย ที่ดอยผ้าห่มปก และยอดดอยอันดับสองที่ดอยผ้าห่มปก และยอดอันดับสามดอยหลวงเชียงดาว เรื่องราวจะเป็นยังไงไปชมกันได้เลยครับ
เอารูปทะเลหมอกที่ดอยผ้าห่มปกมาเรียกน้ำย่อยก่อน ทริปนี้บอกเลยคุ้มมาก หมอกเป็นหมอก ดาวเป็นดาว เหนื่อยเป็นเหนื่อยแทบขาดใจ55 สุดจริงๆทริปนี้
ตารางทริปคร่าวๆ วันที่ 18-20/11/2560
ออกคืนเย็น17ขับรถทั้งคืนตามเดิมมาเช้าที่บ้านระเบียงดาว ดูหมอก แล้วลงไปที่จุดขึ้นรถดอยหลวงเชียงดาว นั้งรถต่อไปอีกชั่วดมงกว่าแล้ว เดินไปยอดกางเต็นและดูอาทิตย์ตกที่ยอกสูงสุดดอยหลวงเชียงดาว
วันที่สองตื่นแต่ตี4เพื่อเดินไปยอดกิ่วลมใต้ชมทะเลหมอก และเดินลง แล้วไปต่อที่ดอยผ้าห่มปก กางเต็น
วันที่สามตื่นตี3.30 เพื่อเดินไปอีก3โลที่ยอดสุงสุดของดอยผ้าห่มปกชมทะเลหมอก360องศา และเดินลงขากลับลงทางโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่แวะร้านกาแฟฮิมน้ำแล้วกลับกทม.
รูปทั้งหมดถ่ายจาก Nikon D7200 18-140 fix35 1.8G tamron 70-300vc และ Gopro hero 4 silver
ดูคลิปกันก่อนได้จ้าา และฝาก เหลี่ยมพาเที่ยว ด้วยจ้า
เริ่มออกเดินทางทริปนี้สมาชิก 6 คน ไปรับที่ลำปาง1คน เดินทางด้วยพี่บิ็ก;uโก้ 4*4 มั่นใจทุกเส้นทาง ช่วงนี้ไม่ได้เอาวีออสออกทริปเลย สมาชิกไปกัน5-7คน จะสองคันก็เปลืองนั้งๆเบียดๆกันนี่ล่ะ555 อบอุ่นดี
ออกจากกทม. 21.30 น.วิ่งเส้นสุพรรณตามเดิมยิงยาวขับกันทั้งคืนไม่นานนัก ตี5กว่าๆเราก็วาร์ปมาถึงอำเภอเชียงดาว
เป้าหมายแรกของเราวันนี้ขึ้นไปดูหมอกที่บ้านระเบียงดาว แล้วก็ขึ้นมาถึงไม่ยากมาหลายรอบแล้วที่นี้แต่คนอื่นยังไม่เคยมาพามาชมวิวยามเช้า แต่สายหมอกเบาบางไปหน่อยวันนี้
หลังจากถ่ายรูปสายหมอกสักพักก็ลงไปที่เขตรักษาพันธิ์สัตว์ป่าเชียงดาว แต่ระหว่างทางลงเจอทะเลหมอก งามๆชัดแจ่วแต่ว่าต้นไม้มันบังไปหน่อยต้องซูมเอา
รูปนี้จะเอาแฉกพระอาทิตย์แต่70-300มันก็เลยจะแคยๆแบบนี้555
มาถึงที่รวมพลจุดจะขึ้นเดินป่าดอยหลวงเชียงดาว มาถึงก็จัดแจงแพคของชั่งกิโล ลงทะเบียนให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องการจองพี่สาวที่อยู่ลำปางจัดการให้วันที่ขาเปิดจองด้วยตนเองตอนนั้น
สลัด วีโก้ดำเราจอดไว้แล้วก็กระโดดขึ้นวีโก้คันใหม่ไปกันต่อ ไม่แน่ใจว่าเขาให้รถส่วนตัวไปไหมถ้า4*4
ระหว่างทางใครเคยมาจะคุ้นต้นไม้นี้แน่นอน
เราต้องนั้งรถออกไปเข้าอีกทางที่จุดเดินเดินหญ้าขัดครับ ใช้เวลานั้งรถ ชั่วโมงกว่าๆ เส้นทางออฟโรดพอประมาณช่วงนี้ไม่ยากมาก ทางเดียวกัยที่ไปสันป่าเกี้ยะเลย
จากแผนที่นี้ เท่าที่ทราบปีนี้จะให้เดินขึ้นทางเด่นหญ้าขัดลงทางปางวัว ที่เราอยู่คือจุด 1 จากภาพจะเห็นวาเส้น1เรานี้ยางกว่าเริ่มจุด2พอสมควรแต่ดูความชันจะเห็นเลยว่าชันน้อยกว่ามาก ขาลงทางปางวัวบอกเลยว่าดิ่งลงอย่างเดียว ถ้าขึ้นทางนี้มีร้องขอชีวิตแน่ๆ55
รอบนี้เป็นทริปแรกที่แบกของเองบ้างให้ลูกหาบแบกของส่วนกลางกับเต็น ทริปนี้ลองดูก่อนเบาๆ ของผม 11กิโล จะไหวไหมไปดู
ได้เวลาเริ่ม พี่ชายอีกคนที่มาด้วยกันบอกว่าเดินไม่ไหว ขอนอนรอข้างล่าง เลยเหลือสมาชิก 5 คน
จุดเริ่มเดินแรกๆสัญญาณยังพอมีครับทรูกะais แต่ ค่ายดี ไม่มีนานแล้ว
ทางเดินช่วงแรกจนถึงสามแยกปางวัวนั้นไม่ยากเท่าไหร่ทางเดินราบชันไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆไม่ค่อยชันค่อยๆเดินเรื่อยๆ แต่ก็มีหอบบ้างบางเนิน
ทางเดินท่ามกลางภูเขารายล้อมทั้งซ้ายขวาไม่รู้ว่าจะไปยอดไหน เดินอ้อมเขาไปมา
หรือจะเป็นยอดนี่หรือป่าว
สูงมากก แต่เดินๆไปแล้วเหมือนจะไม่ใช่ยอดนี้ ยอดนนี้นะเป็นยอดที่เรามองจากจุดสูงสุดมากระมัง
ดอกบัวตองนั้นบานอยู่บนยอดดอย
เดินไปถ่ายไปแก้หนื่อยครับ การแบกของเองบ้างสปีดไม่ได้ลดลงเท่าไหร่แต่มันเหนื่อยกว่าเดิมมาก 555 เหงื่อซก
หลังจากผ่านสามแยกปางวัว ทางต่อไปนี้เริ่มชันขึ้นมากๆ ผมพักกินข้าวแถวๆสามแยกนั้น สงสัยเพราะทางชันหรือดพราะจุกเพราะอิ่มข้าวหรือเพราะแบกของเองก็ไม่ทราบเส้นทางช่วงหลังนี้ผมโคตรเหนื่อยเลย 555
รูปจะไม่ค่อยได้ถ่ายแล้วเพราะเหนื่อยมาก ทางเดินไม่ยากแต่จะชันขึ้นๆอย่างเดียวเลย
รูปหลุดๆผมก็จะมาจากกล้องพี่สาวอีกคน ดูสิเดินจนปากห้อยเลย ปกติก็ห้อยนะ555
อันนี้พักหลังจากดินขึ้นเนินมาเนินยาวมาก ขาเริ่มล้าก้าวได้ทีละนิด ใส่เกียร์ Lo เดินเต็มที เดินไม่เร็วก้าวไม่ยาวแต่ก้าวไม่หยุด555 ค่อยๆไปพักทีละเนิน
กว่าจะผ่านได้แต่ละเนินมันช่างยากเย็น
หรือเพราะเราไม่ได้งีบเลยทุกครั้งจะได้นอนบบ้างสักชั่วโมงแต่รอบนี้ขับทั้งคืนเช้าพอดีเลยไม่ได้งีบเลย หาขออ้างมาช่วยตัวเองสุดๆ555
พ้นจากเนินมะกี้ก็มีเข้าป่าทึบอยู่ช่วงนึง เขาว่าใกล้ถึงแล้ว เอองั้นขอพักก่อน
หอบแดกอยู่หลายรอบทั้งผมกะฟาง ส่วนเพื่อนผู้ชายอีกคน แรงดีมาก แบกน้อยกว่าหน่อยแต่ไม่เหนื่อยเดินได้เรื่อยๆ
ในที่สุดเราก็มาถึง ใช้เวลาไปทั้งหมด 4.30 ชั่วโมง ถือว่าทำเวลาได้ดี ตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือร่างกายมันเหนื่อยมาก ผมไม่เคยเดินแล้วรู้สึกเหนื่อยที่สุดเท่ารอบนี้เลย555 เขาหลวงสุโขทัยว่าเหนื่อยแล้วที่นี้เหนื่อยกว่า แต่ก็อย่างที่บอกเหตุผลข้างต้น555 คนอื่นอาจจะไม่เหนื่อยเท่าผมหรอก
หลังจากเลือกทำเลกางเต็นเสร็จแล้วจะเดินไปชมพระอาทิตย์ที่ยอดสูงสุดอยู่หลังเรานอนนี้แหละจุดกางเต้นที่นี้มีลักษณะเป็นอ่าง วันที่ไปคนก็เยอะพอประมาณ แต่จุดกางเต็นจะไม่ติดกันแบ่งเป็นโซนของใครของมันมีต้นหญ้าสูงใหญ่บัง ทำให้เป็นส่วนตัวดีมากครับเต็นมีแต่พวกเรา 3 เต็น
ต้องเดินเท้าอีกครึ่งชั่วโมงได้เพื่อขึ้นไปยอดสูงสุด
ทางเดินมีปีนป่ายนิดหน่อย
แล้วก็มาถึงยอดสูงสุด ที่จุดกางเต็นไม่ค่อยเห็นคนแต่บนนี้คนเพียบเลย
ของจริงสวยงามกว่าในรูปลำแสงสาดส่องเป็นลำๆภูเขาเป็นชั้นๆ ไปดูรูปเลยละกัน
ที่นี้เป็นยอดเขาอันดับ 3 ของเมืองไทยรองจากอินทนนท์และผ้าห่มปก
สักพัก 5โมงกว่าๆ พระอาทิตย์จะตกแล้ว
แต่ผมไม่ได้อยู่จนตกเริ่มหิวเลยเริ่มเดินลงมา ตรงที่ไม่ใช่ยอดคนน้อยถนัดตา
มุมนี้มีแต่เรา
เจอคนเดินลงผ่านมาวานเขาถ่ายรูปให้หน่อย555 เพื่อนคนอื่นยังถ่ายอยู่ข้างบน
กลับมาที่เต็นขึงฟลายชีทหน่อยน้ำค้างแรงมาก
มื้อเย็นแก้หยาววันี้ต้องชาบูหมูร้อนๆ อร่อยมากครับ อากาศวันนี้หนาวนิดๆเย็นกำลังดีแค่เสื้อแขนยาวก็เพียงพอ ไม่มีลมเท่าไหร่
จะออกไปตามเก็บดาว
ไปดูดาวกันเลยดาวเยอะมากเห็นชัดสุดๆ
แต่ออกไปนอกเต็นเริ่มนาวมือแข็งเลยถ่ายแปบเดียว แล้วนั้งเล่นเข้านอนตอน3ทุ่ม จบวันที่1ด้วยความอ่อนเพลีย
เช้าวันต่อมาก็ใช่ว่าจะชิล ต้องตื่นกันตั้งแต่ตี4 เราจะไปดูพระอาทิตย์ที่ยอกกิ่วลมใต้ หรือใครจะขึ้นยอดเดิมก็ได้ตามสดวกแต่ลูกหาบบอกที่นี้สวยก็จัดไป ใช้เวลาเดินเกือบชั่วโมง เพราะผลพวงจากเมื่อวาน อาการยังไม่ค่อยดีขนาดเดินตัวปลิวๆ ยังหอบแดกลิ้นห้อย แต่ก็มาถึงก่อนสว่าง พอได้รูปดาวบนดินกะกาวบนฟ้านิดหน่อย แสงเริ่มมาแล้ว
ทะเลหมอกที่ปกคลุมเมืองเชียงดาวอากาศเหมือนเมื่อวานตอนเช้าท่ขับมาถึงเชียงดาวเลยหมอกหนามากข้างล่าง
ไปดูรูปกันเลย รูปสลับไปมา ฟิก35 กับ70-300
ทะเลหมอกไม่ได้แน่นเต็มพื้นที่แต่ก็มีเห็นแสงไฟข้างล่างสวยไปอีกแบบ
เช้านี้มีผู้เสียสละนอนที่เต็นอีก1คน55
แสงเริ่มมาค่อยถ่ายคนได้หน่อย
พระอาทิตย์มาแล้ว
อันนี้ซูมไปด้านหลัง
หันกลับมากำลังจะเริ่มเดินลง
ด้านล่างรูปนี้คือที่เรากางเต็นกัน
หูยเดินมาไกลเหมือนกันนะเนี้ย
ซูมไปๆ 3เต็นขวามือนี้ไงของเรา
เอาไปให้สุดกระบอก300 แล้วแคปอีกหน่อย ความคมพอใช้งานได้
ปิดท้ายด้วยทะเลหมอกเช้านี้
ลงมาที่เต็นก่อนเดินลงเติมพลังด้วยมือเช้าแสนอร่อยมาม่าคัฟ+เครื่องชาบูที่เหลือมะคืน
ซดน้ำร้อนๆอากาศหนาวมื้อเช้าหลักของผมเวลาไปดอย
ขอหมู่กับลูกหาบหนุ่มน้อยหน่อย
ขาลงเดินเรื่อยสาดส่องหาเลียงผาไม่เห็นมีออกมาให้เราเฉยชมเลย
ขาลงช่วงแรกถึงแยกปางวัวเดินง่ายชิวมากเลยวิ่งสบายใช้เวลาชั่วโมงเดียว
แต่ครึ่งหลังจากปางวัวลงมาข้างล่างนี้ช่วงแรกากปยกปางวัวลงมาจะเป็นทางดิ่งลงชันมากๆ ผมกะเพือนวิ่งลงมากัน วิ่งไม่หยุดเลยครึ่งชั่วโมง ว่าเราไวแล้วนะ แต่พอเริ่มเหนื่อยพักไปสองที เฮ้ยลูกหาบ ของเต้มหลังมาไวโคตรรๆ ยอมเลยจริงๆลูกหาบที่นี้ซิ่งแรงมาก555 แต่ช่วงประมาณ2โลสุดท้ายได้ ดินเป็นดินเหนี่ยวแบบลื่นมากๆ ต้องค่อยๆจิกเดินช้าๆ พาราเดี่ยมสำหรับทริปนี้ขาลงไม่ประทับใจเอาไม่อยู่ค่อนข้างลื่น ล้มไป1ดอก ต้องสตั้ดดอยที่ลูกหาบใส่เอาอยู่จริงๆ
แล้วก็ลงมาถึงผมใช้เวลา 2.15ชม. เพื่อนผมมาถึงก่อนประมาณ 10 นาที ส่วนสาวๆทิ้งไว้กลางทาง ลงมาถึง2.30ชั่วโมง เร่ิมเดินเป้นชุดแรกๆที่ลงจากเขาเพราะทำเวลาจะไปผ้าห่มปกต่อ
กลับมาถึงจุดเปลี่ยนรถอาบน้ำแปรงฟันร่างกายกลับมาหอมสอาดอีกครั้ง
11โมงกว่าพอดีออกมาเติมพลังร้านข้าวซอยตรงก่อนถึงสามแยกทางเข้าเขตรักษาพันธิ์สัตว์ป่าคอนเฟิมว่าอร่อย
มุ่งหน้ากันต่อที่ดอยผ้าห่มปกหรือชื่อใหม่ฟ้าห่มปก แต่ก็เห็นป้ายต่างๆก็เขียนว่าผ้าห่มปกหมดเลยถ้าเรากดMaP เขาจะพาเราไปจุดกางเต็นถูกต้องครับ แต่ถ้าเราขับตามป้ายที่เจอบนถนน เขาจะผามาอุทยานเหมือนกันแต่เป็นส่วนของน้ำพุร้อนที่ไม่ใช่ทางขึ้นยอดครับ น่าจะมีคนหลงตามมาเหมือนกันหลายคนแต่ไม่ลึกครับ 8โลได้ ถ้ามีเวลาก็แวะเที่ยวน้ำพุร้อนไปเลย แต่ผมมาถึงบ่ายจะแก่แล้วเลย ไปต่อดีกว่า
จ่ายเงินจากตรงนี้ได้เลย แล้วเจ้าหน้าที่จะให้แผนที่ทางที่ถูกกับเราแสดงว่าคงมาผิดกันเก็บทุกคนนั้นล่ะ555
หลังจากนั้นก็เป้นตามทางที่ถูกต้องทางขึ้นดอนผ้าห่มปกตอนนี้มีสองเส้นทางคือทางหลลักวันนี้ที่ขึ้น ระยะทาง 18 กิโล กับทางโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่อันนั้นอ้อมกว่าประมาณ30กว่าโล เดี่ยวเราจะลงทางนั้นเดี่ยวค่อยเล่าให้ฟัง
มาถึงเส้นทางหลักที่ใช้ขึ้นกันคือทางนี้18กิโล เราสามารถเข้ามาทางนี้ได้เลยมีด่านเก็บเงินเหมือนกันไม่ต้องไปตรงน้ำพุร้อนก็ได้ เส้นทางประมาณ 8 โลแรกยังเป็นราดยางแต่แคบๆหน่อย ส่วนที่เหลือจะเป็นทางดินสลับราดยาง ช่วงที่ไปไร้ฝนทางเลยแห้ง ถ้าฝนไม่ตกที่นี้ขับสองยกสูงสามารถขึ้นได้ไม่ยากมาก มีอยู่4-5เนินที่ชันมากๆ แต่กำลังรถกระบะขึ้นได้สบายครับ
จะมีลื่นสุดก็หหนังหมูตรงนี้และ ขับสี่ปัดๆเป่ๆเลยทีเดียว แล้วคิดสภาพถ้าฝนตกแล้วเป็นหนังหมูแบบนี้ตลอดทาง เละแน่นวล555
ใกล้ถึงอุทยานจะเจอสามแยกที่เป้นทางปูนราดยางถ้ามาจากโครงการบ้านเล็กจะมาเจอกันตรงแยกนี้แล้วจะเป็นทางปกติแล้ว
มีจุดชมวิวพักก่อนได้
แล้วก็ขึ้นมาถึงเวลาเกือบ 4 โมงใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ กับระยะทาง 18 กิโลมีจอดถ่ายรูปกันด้วย
ถึงแล้วลานกางเต็นสูงที่สุดในเมืองไทย
วันนี้คนค่อนข้างน้อยเลย จุดกางเต็นที่เรากางทั้งชั้นมีแต่พวกเราคืนนี้
เลือกทำเลชั้นเดียวกับห้องน้ำเวลาเดินจะได้ไม่ต้องขึ้นลงให้เหนื่อย
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปอีกหนึ่งวัน
แต่ราตรียังไม่จบดื่มด่ำกับบรรยากาศกันต่อด้วยหมูกระทะร้อนๆฉ่ำใจ อากาศที่นี้ก็เช่นกันหนาวกำลังดีเย็นๆ อย่าลืมใส่ขายาวแขนยาวมิดชิดทายากันยุ่งเพราะที่นี้มีคุ่นดุพอสมควร ใส่ป้องกันแล้วกลับมายังโดนอยู่4-5จุด
เมื่อทุกอน่างมืดสนิท แสงดาวระยิบระยับก็สว่างไปทั่วฟ้า
ดาวที่นี้สวยไม่แพ้บนดอยหลวงเลย
ดาวพราววมาก
สวยจับใจปิดท้ายด้วยความหลอนน
ไม่ใช่หลอนรูปเรา555 หลังจากนอนแล้วได้สักพักเราก็ได้ยินเสียง กระดิ่ง กรุ่งกริ้งๆๆๆ อยู่ไกลๆก็นึกว่าเป็นระฆังของเจ้าหน้าที่ เคาะเป็นเวลาหรือว่าอย่างไร สักพักเสียงกระดิ่ง ดังขึ้นๆๆๆ รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ๆ แล้วผ่านไป ในใจสงสัยมันจะเป็นสัตว์ละมั้งแต่ว่าตัวอะไรวะ สักพักเสียงนั้นกลับมา และหมือนจะไม่ใช้แค่หนึ่ง เท่านั้นไม่พอ ได้ยินเสียงคุ้ยของ เอาแล้วว สัตว์แน่ๆแต่ว่าตัวอะไรว่า ช้างม้า วัว ควาย ตอนนนั้นเสียงทุกอย่างเงียบสงัดแทบจะได้ยินเสียงหัวใจ ทำให้เสียงสัตว์ตอนคุ่ยอาหารพร้อมมีกระดิ่งกริ่งๆ และเสียงลมหายใจของมันฟืดฟาดด ยิ่งพาหลอนแบบ 5 กระโหลกไปเลย ใจจะออกไปไล่ก็กลัวมันวิ่งเข้าใส่ ยังไม่ชัวว่าเป็นตัวอะไร สักพักเสียงนั้นก็จากไป ค่อยอุ่นใจ กำลังจะคล้ายหลับ เฮ้ยมันมาอีกแล้วว มาคุยอีกแล้วสงสัยไปเรียกเพื่อนมันมาอีก รอบนี้อีกพักนึง แล้วมันก็จากไป เสียงกระดิ่งค่อยๆเงียบลงเลยออกไปส่องไฟอยู่ในแล้วก็ไม่รู้ เรื่องราวหลอนๆ ที่หลายคนอาจไม่หลอนแต่เราจิตอ่อนเอง555
แทรกสักภาพเจ้าพวกนี้และต้นตอเสียงเมื่อคืนเจอตอนกลับอยู่แถวๆทางเข้าอุทยานนั้นแหละ ห้อยกระดิ่งกันทุกตัวเลยนะเจ้าวัว แต่ว่าเจ้าวัวเหล่านี้มีมารยาทมาก ตอนแรกนึกว่าเละแล้วข้างนอกพอออกไปดูคืนนั้นมันคุ่ยแค่ตรงถุงดำใส่ขยะที่เราวางนอกฟลายชีท แต่ของที่วางตรงที่เรานั้งที่มีฟลายชีทคลุมอยู่ปกติเว้ยไม่คุ้ยเละเทะน่ารักมากครับ
เช้านี้เราต้องตื่นตี3ครึ่ง โหยกว่าเมื่อวานไปอี้ก ลืมบอกหลังจากคุณกางเต็นแล้วสักพักจะมีน้องๆเข้ามาทาบทามว่าตอนเช้าจะนำทางเราไปโดยสนนราคาค่านำทาง 300 บาทต่อไม่เกิน8-10คน ส่วนมากก็จะเป็นน้องๆเด็กๆ ชาวบ้านหารายได้ จัดไปตี3.30น้องก็มาปลุกเรา ก็โอ้เอ้ดึงเชิงอยู๋จนตี4กว่าจะได้เริ่มเดิน
เส้นทางเช้านนี้อีก 3 กิโล แม้วว เอาอีกแล้วจะเดินอะไรมันทุกวันเนี้ยทริปนี้555 ช่วงที่ลำบากที่สุดคือโลแรก ดิ่งๆขึ้นเหมือนปางวัวเมื่อวานเลย หอบแดกสิครับเดินได้แปบเดียวหยุดๆ จากหนาวๆ ต้องถอดเสื้อ555 แต่2กิโลหลังไม่ค่อยชันแล้วมีขึ้นๆลงๆราบๆ ใช้เวลา ชั่วโมงครึ่งเราก็มาถึง ตอนนั้น6โมงพอดี แสงเริ่มจะสว่างเบาๆแล้ว แต่ตอนนั้นหมอกฟุ้งขาวไปหมด พวกเรานั้งพักรอคอยด้วยความหวัง
พระอาทิตย์กำลังสู็กับหมอกส่องแสงแผดเผ่า ไม่นานนักฟ้าก็เปิดได้ 10วิ จากนั้นลมก็หอบพาหมอกมาปกคลุมอีกครั้ง เป็นแบบนี้อยู่สักพัก
จนในที่สุดมีคนเร่งไฟให้แรงขึ้น บูมมมไล่หมอกที่ปกคลุมเราออกไป
ทำให้เรามองเห็นวิวสุดกว้างไกลพร้อมทะเลหมอกแบบ 360 องศา
เอาไปดูกันเลย
หลายคนขึ้นมาึงก่อนเรามาก ฟ้าเปิดแปปเดียวเขาก็เริ่มลงกันและ
แต่หมอกนั้นมันเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆทีละนิดทีละน้อย
ซูมเข้าไปๆๆ
หมอกฟูๆ
เช็คอินท่าคู่เรียบร้อย
หมอกยกตัวขึ้นสูง ฟินมากครับเช้านี้
ถ่ายคู่ป้ายหน่อย
หมอกตอนนี้ฟูมากคนลงไปเกือบหมดแล้ว
ถ่ายจนหน่ำใจได้เวลาลง
หมอกยังคงหนาแน่น
ขาลงสว่างแล้วถ่ายระหว่างทางหน่อย
ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มาก
ลงมากินมาม่าเหมือนเดิมอีกแล้ว รองท้องก่อน รูปหมู่หน่อย ขอบคุณพี่บิ็กวีโก้4*4 พาเราขึ้นมาได้กลับถึงบ้านปลอดภัย
ขอออกแวะถ่ายรอบๆหน่อย
สวนสนเยอะมาก
วัวพวกนี้แน่ๆพาหลอนเมื่อคืน
เส้นทางสวยงาม
หมู่เท่ๆ
หลังจากเลยจุดชมวิวทางขวามือที่แวะเมื่อวานขาขึ้นอยู่ทางซ้าย เลยมาหน่อยจะมีสามแยกเลี้ยวซ้ายไปโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ เลี้ยวซ้ายไปเลยเราจะลงทางนี้
เส้นทางราดยางอย่างดีตลอดทางแต่แคบและชันคดเคี้ยว
ตลอดเส้นทางมีเจอน้ำตกไหลมาที่ถนนตรงโค้งแบบนี้หนึ่งครั้งไม่รู้ว่าถ้าหน้าฝนน้ำจะสูงไหม ถ้าเป็นกระบะ มาได้แน่นอน
แต่บอกเลยว่าทางนนี้ถึงจะราดยางแต่เสียวไม่แพ้ทางดินเลย เพราะทางชันมากๆเลยเนินคดเคี้ยว แลุมีหินก้อนใหญ่ๆหล่นมากองริมถนนด้วย หวาดเสียวดีครับ สรุปว่าถ้าฝนไม่ตกขึ้นทางดินดีกว่าสั้นกว่าเสียวพอๆกัน
ส่วนทางนี้จะผ่าน โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ตามพระราชดำริ ดอยฟ้าห่มปก
ความเป็นมา :
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์กับ คุณสุหัส บุญญาวิวัฒน์
ผู้ช่วยเลขาพระราชวัง ฝ่ายกิจกรรมพิเศษ ให้พิจารณาพื้นที่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อจัดตั้ง โครงการตามแนวทางบ้านเล็กในป่าใหญ่ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยคุณสหัส บุญญาวิวัฒน์ ได้ให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (ป่าไม้เขตเชียงใหม่เดิม) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสม ซึ่งคณะทำงานได้คัดเลือกพื้นที่ดอยฟ้าห่มปก (ดอยผ้าห่มปก) ตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ดำเนินโครงการ และเมื่อวันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2544 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯทอดพระเนตรพื้นที่ครั้งแรก และมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดตั้ง โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ตามพระราชดำริ ดอยฟ้าห่มปก
วิวสวย
บรรยากาศดีมากสอบถามสามารถกางเต็นได้ เสียคนละ30 บาท ใครสนใจมาลองได้คนน้อยดีครับ
ใครจะมาแค่โครงการบ้านเล็กก็ไม่ยากเลย จากทางหลักที่คดเคี้ยวแค่13โลครับ รถทุกประเภทมาได้
แยกนี้เลี้ยวซ้ายไปแม่อายแม่สลองได้ เราเลี้ยวขวากลับเข้าเชียงใหม่
ขากลับแวะกาแฟฮิมน้ำสักหน่อยร้านกาแฟบรรยากาศดีมาก
อยู่ริมทางขากลับเข้าเชียงใหม่ตรงด่านรตรวจพอดี
กว่าจะมาถึงลำปางก็5โมงกว่าแล้ว แวะกินข้าวส่งพี่สาวและ เพื่อนที่จะกลับขอนแก่น ต้องเปลี่ยนแผนตอนแรกต้องถึง กทม ขึ้นรถรอบเที่ยงคืน ดุทรงแล้วไม่น่าทัน เลยเปลี่ยนขึ้นรถยาวจากลำปาง-ขอนแก่นเลย ส่วนพวกที่เหลือกทม ถึงบ้านโดยสวัสดีภาพตี2 กว่า เหนื่อยสุดทริปนี้สุดมากๆ ครับ
สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆ
ค่าน้ำมันประมาณ 5500
ค่าลูกหาบ 2000
ค่ารถกระบะเชียงดาว 1200
ค่าเข้าอุทยานทั้งสองที่ค่ากางเต็นค่ารถ คนละประมาณ150-200
ที่เหลือค่าอาหารมื้อเย็นชาบูกับหมูกระทะมื้อเช้ามาม่าสองวันแล้วก็มื้ออื่นๆตามข้างทาง
โดยรวมๆแล้วหมดคนละประมาณ 2500-3000 บาท
จบอีกหนึ่งทริปสุดแสนประทับใจ เชียงใหม่ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ ปีนี้จัดไปเต็มๆ3รอบ3ฤดู เหลือสันป่าเกี๊ยะอีกที่จะมาเก็บให้ได้ปีนี้แหละ สักวันนึง555 แล้วพบกันใหม่กับคู่รักตะลอนทัวร์ทริปหน้าจะพาขี่มอไซไปไหนเดี่ยวมาดูกันครับบ
เหลี่ยมพาเที่ยว
วันพฤหัสที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 01.52 น.