อะ แฮ่ม…


จั่วหัวไว้แบบออกตัวแรง.. ขนาดนี้เป็นเพราะว่ารีวิวหนนี้ เป็นการรวมอะไรๆที่มันพิเศษ ที่สุด จากทริบ เดือนก่อนที่มีโอกาสได้รับคำชวน จากททท.สุโขทัยให้ได้ไปสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวในหลายๆอำเภอ

และก็ต้องนับว่าเป็นทริบที่พิเศษ เหนือการคาดหมายอยู่พอสมควรครับ

เพราะตัวผมเองไม่ได้ไปสุโขทัยนับนิ้วไปมาแล้วได้เกือบ 2 รอบหนนี้

จึงเป็นการกลับไปเชื่อมรอยต่อจากอดีต..มาถึงปัจจุบัน ที่ยาวนานมากกกกก

เกริ่นมาขนาดนี้ เพื่อจะบอกว่า...



รีวิวหนนี้จะขอนำเอาทุกสิ่งที่ประทับใจจากทริบนี้มาแบ่งเป็นหมวดๆ ให้เป็นแรงบันดาลใจออกเดินทางกันดูครับ



สุโขทัยไปไม่ยากเลย ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยดีไหม?



*** ใครอยากไปเที่ยวด้วยกันอีกแวะมาได้ที่ fb ครับ www.facebook.com/likeone22

เริ่มที่สุดแรกก่อนกับ ที่สุดในการเดินทาง

หาก จะเดินทางไปสุโขทัยนั้นมีทั้งเส้นทางทางรถยนต์ รถโดยสาร และสุดท้ายทางเครื่องบิน และแน่นอน แบบหลังคือวิธีที่ดีที่สุดที่ผมเลือกใช้เดินทางมาสุโขทัย ประหยัดเวลาและ สะดวกจริงๆ ที่นี่มีสายการบินเดียวเท่านั้นเป็นของ Bangkok Air Wayเริ่มกันที่ Louge ของ Bangkok Airway ที่สุวรรณภูมครับ ขึ้นชื่อมานานแล้วกับ Louge ที่นี่ เคยแวะมาตอนบินไปภูเก็ต ปีก่อน ของกินและที่พักน่านั่งมาก ครบถ้วนดีครับ

มาถึงสนามบิน First Impression จริงๆ


สนามบินที่นี่ น่ารักมากๆ เป็นของ Bangkok Air Way เองมีสวนสัตว์ พิพิทธภัณฑ์จำลองของนครวัตร และที่เด็ดที่ประทับใจคือ สวนเกษตรอินทรีย์ จนไม่แน่ใจว่าสนามบินเหรอเนี่ย ไม่อยากบอกเลยว่าสุโขทัยหากใครมาใช้บริการ อยากให้เผื่อเวลามาเที่ยวชมสนามบินกันดูครับ รับรองเก๋ไมเหมือนสนามบินไหนๆที่เคยบินมาแน่นอน

ที่สุดแห่งที่พักผ่อนแสนสบาย



อย่าง ที่จั่วหัวครับ หนนี้ผมมีโอกาสได้พัก 2 แบบ 2 อารมณ์ เนื่องจากไปหลายอำเภอจะได้เป็นการง่าย

สำหรับการไปที่เที่ยวในยามเช้า เริ่มที่แรก ที่นี่อยู่ใกล้สนามบินที่สุด เรียกว่าขับรถออกมาจากสนามบิน 10 นาทีก็ถึงเลย กับ สุโขทัย เฮอริเทจ (Sukhothai Heritage)



สุโขทัย เฮอริเทจ มีพื้นที่กว้างขวาง มีสระว่ายน้ำใหญ่ถึง 2 สระ



บรรยากาศที่นี่สวยมากครับ เหมาะกับใครที่มาเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ได้อย่างดีทีเดียว

ห้องพักก็มีหลาย Type หลายราคาให้เลือก ตามกำลังทรัพย์


อย่างห้องนี้เป็น Type Royal Suite Room:กว้างมากกกและแบ่งสัดส่วนต่างๆได้อย่างดี หรูน่านอนดีมาก
ตกแต่งสไตล์ Oriental Thai ประยุกต์ สวยงามน่าพักผ่อนมาก

ห้องที่ผมพักเป็น Type Deluxe ธรรมดาที่สุดก็ยังมีทุกอย่างครบถ้วน


เครื่อง เล่น dvd ก็มีนะครับมีหนังให้ยืมดูได้ที่ Counter ด้านหน้า เสียแต่ว่าหนังส่วนใหญ่จะเก่ามากกก แนะนำหากพกพามาเองก็ได้อยู่นะครับ

ติดต่อกันได้ที่เบอร์ Tel:055647 567



อีกที่พักในอีกอารมณ์ สำหรับใกล้ๆอำเภอเมือง เป็น Guest House น่ารักๆ อยู่ในตลาดหลังอำเภอเมือง Lotus VillageGuest House



ที่นี่ร่มรื่นเกินคาด มีบ้านสไตล์ไทยประยุกติ์หลายขนาด เพื่อรองรับลูกค้าได้หลากหลาย



ชอบมากกับรีสอร์ทที่พักเล็กๆไม่ใหญ่ เจ้าของอัธยาศัยดี มีอะไรเข้าถึงกันได้ง่าย บริการด้วยความเป็นกันเอง


มีโอกาสแวะไปสุโขทัย และอยากพักในเมืองที่นี่เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจครับ

สนใจลองติดต่อกํนก็ที่นี่เลยครับ : Phone:055 621 484

ที่สุด..แห่งบุญและความงดงามของไทย



ตลอดระยะเวลาหลายวันที่เดินทางไปมา สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดของทริบก็คือ วัดวาอารามทั้งหลาย ศิลปะยุคสุโขทัยที่อ่อนช้อย งดงาม ถูกถ่ายทอดออกมาทั้งสถาปัตยกรรมรวมถึงพุทธศิลป์ในองค์พระพุทธรูป โชคดีที่สุโขทัยก็มีอุทยานประวัติศาสตร์ อยู่ถึง 2 แห่งด้วยกัน ขอเริ่มกันที่แรกก่อนครับ

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย

ใน อุทยานศรีสัชนาลัยจะมีวัดอยู่รวมกันทั้งหมด 9 วัดครับคือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรวิหาร วัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดชมชื่นวัดเขาพนมเพลิงวัดสวนแก้วอุทยานใหญ่วัดนางพญา วัดเขาสุวรรณคีรีวัดสวนแก้วอุทยานน้อยวัดช้างล้อม


วัดที่ผมถือว่าเป็นที่สุดที่ได้สัมผัสและประทับใจมีอยู่ 4 วัดครับมาลองดูไปพร้อมๆกัน

วัดแรกอยู่รอบนอกกำแพง แต่..ไม่พูดถึงคงไม่ได้ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรวิหารหรือวัดพระบรมธาตุเมืองเชลียง ค้นๆประวัติจากใน wikipedia สรุปได้ดังนี้ครับ


เป็นวัดที่อยู่นอกกำแพงชั้นนอกของอุทยาน แต่สถานะของวัดในปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร สังกัดมหานิกาย วัดมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า วัดพระปรางค์ ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองเก่าศรีสัชนาลัย ลงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ และเป็นพระอารามหลวงชั้นราชวรวิหาร



มี โบราณสถานที่สำคัญภายในวัด ได้แก่ ปรางค์ประธาน ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูน ลักษณะรูปแบบเป็นสถาปัตยกรรมจัดอยู่ในสมัยอยุธยา บริเวณเรือนธาตุด้านหน้ามีบันไดขึ้นองค์ปรางค์สู่ซุ้มโถง ผนังภายในองค์ปรางค์พบว่ามีร่องรอยจิตรกรรมฝาผนังแต่ลบเลือนไปมากด้านหน้าองค์ปรางค์มีวิหาร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางมารวิชัย และทางด้านขวามีพระพุทธรูปปูนปั่นปางลีลาที่มีลักษณะงดงาม

ผมแวะเข้าไปกราบองค์พระประธานด้านในโบสถ์


เป็น พระพุทธรูปขนาดใหญ่ ปางมารวิชัย เป็นศิลปะสมัยสุโขทัย เบื้องหน้าพระประธานมีพระพุทธรูปยืนปูนปั้นศิลปะสุโขทัย ยิ่งดูยิ่งงดงามครับ

มาถึงวัดที่สองกัน “วัดช้างล้อม"



ตั้ง อยู่ภายในกำแพงเมืองเกือบกึ่งกลางตัวเมืองศรีสัชนาลัย บริเวณที่ราบด้านเชิงเขาพนมเพลิงด้านทิศใต้ ในแนวเดียวกันกับวัดเจดีย์เจ็ดแถว



มี เจดีย์ทรงลังกาที่ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีช้างปูนปั้นเต็มตัวล้อมรอบ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโดยรอบฐานทั้ง 4 ด้าน รวม 39 เชือก ช้างปูนปั้นที่วัดนี่มีลักษณะเด่นกว่าช้างปูนปั้นที่วัดอื่นๆ คือ ยืนเต็มตัวแยกออกจากผนัง มีขนาดสูงใหญ่เทียบเท่าหรือใหญ่กว่าช้างจริง



ดูแปลกตาและน่าถ่ายรูปมากๆเลย นี่ถ้าช้างปูนปั้นที่ล้อมรอบยังสมบูรณ์ต้องสวยมากๆแน่เลยครับ

วัดถัดมาต้องออกแรงกันนิดนึงครับเพราะเป็นวัดที่อยู่บนเขานั้นคือ “วัดเขาพนมเพลิง"



วัดตั้งอยู่บนเขาพนมเพลิง สูงประมาณ 25 เมตร ใกล้กำแพงเมือง ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ



ทางขึ้นวัดมีสองทาง คือ ทางด้านหน้าวัด และข้างวัดซึ่งทำเป็นบันไดศิลาแลงขนาดกว้างขวางประมาณ 6 เมตร

ในอดีตเคยมีการกล่าวไว้ในพงศาวดาร ว่าเคยมีการใช้เขาพนมเพลิง เป็นแหล่งประกอบพิธีบำเพ็ญพรต แล้วจุดอัคคีบูชาเทวะเป็นเจ้า
จุด เด่นผมก็ว่าอยู่ที่พระพุทธรูป นี่เองละครับ ที่ยังสมบูรณ์อยู่มาก โดดเด่นแก่การเดินขึ้นบันไดไปชมนะครับ รับรองหายเหนื่อย (เมื่อยๆก็พักได้นะ)



เจดีย์ประธานทรงลังกาก่อด้วยศิลาแลง ตั้งแต่ก้านฉัตรขึ้นไปพังทลายหมด และมีวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปที่ยังมีความสมบูรณ์อยู่พอสมควร

วัดสุดท้ายที่อยากให้ไปชมกันคือ “วัดเจดีย์เจ็ดแถว" วัดนี้อยู่ด้านล่างไม่ต้องปีนบันได ขึ้นเขาแต่อย่างใด



สาเหตุความเป็นมาของชื่อวัดคือว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่เรียกขึ้นภายหลังโดย ราษฎรในท้องถิ่น สาเหตุที่เรียกเนื่องจากพบเจดีย์จำนวนมากมายหลายแถวภายในวัด

ตัววัดตั้งอยู่ด้านหน้าวัดช้างล้อม หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ วัดนี้ มีเอกลักษณ์โดดเด่นกว่าวัดอื่นๆ



ในเมืองศรีสัชนาลัย เพราะมีเจดีย์แบบต่างๆ กันมากมาย รวมทั้งหมดแล้ววัดเจดีย์เจ็ดแถวมีเจดีย์รายและอาคารขนาดเล็กแบบต่างๆ กันถึงเกินกว่า 30 องค์



ใครอยากดูพุทธศิลป์แบบหลากหลายวัดนี้มีให้ได้เดินชมคุ้มค่าทีเดียวครับ

มาถึงอุทยานประวัดิ์ศาสตร์สุโขทัย ครับ


ความเป็นมาแบบย่นย่อเข้าใจง่ายๆคือ

ในอดีต ที่นี่ถือเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุโขทัย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า (เขตเทศบาลตำบลเมืองเก่า) อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ห่างจากตัวเมืองสุโขทัยปัจจุบัน (เขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี) ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (ถนนจรดวิถีถ่อง) และที่นี่ได้รับการจัดตั้งให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO มาตั้งแต่ปี 2537 แล้ว มีประตูเมืองอยู่ตรงกลางกำแพงเมืองแต่ละด้าน ภายในยังเหลือร่องรอยพระราชวัง และวัดอีก 26 แห่ง



หากเลือกวิธีการเที่ยวชมแบบขับรถเที่ยว เมื่อเข้าเขตเมืองเก่า คุณๆจะเห็นยอดพระเจดีย์แบบต่างๆ ชวนชม แต่แนะนำให้ปั่นจกรยานเที่ยวจะดีที่สุด บางครั้ง Slow Life ก็ช่วยให้เราเห็นอะไรๆมากยิ่งขึ้นนะครับ ที่นี่เปิดบริการตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น. อัตราค่าเข้าชมท่านละ 20 บาท

วัดที่ใหญ่ที่สุดคือ “วัดมหาธาตุ" และ วัดนี้ก็คือวัด ที่ผมประทับใจที่สุดของสุโขทัยหนนี้เลยทีเดียว


ถือเป็นวัดสำคัญที่สุดของอุทยานฯแห่งนี้ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ มีพระเจดีย์ต่างๆ นับรวมได้ถึง 200 องค์



นับเป็นวัดสำคัญประจำกรุงสุโขทัย มีพระเจดีย์มหาธาตุ ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ศิลปะแบบสุโขทัยแท้ตั้งเป็นเจดีย์ประธาน ล้อมรอบด้วยเจดีย์ 8 องค์ บนฐานเดียวกันมีแท่นซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ พระศรีศากยมุนี ปัจจุบันได้รับการเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพฯ

มาถึงวัดที่อยู่ใกล้ๆบริเวณอุทยานฯสุโขทัยครับแต่ประทับใจสุดๆเช่นกัน คือ “วัดศรีชุม"

ความเป็นมาของวัดนี้ มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “วัดฤๅษีชุม" เป็นโบราณสถานในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ตัววัดเป็นโบราณสถานตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นอกกำแพงเมืองสุโขทัย วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ซึ่งมีนามว่า “พระอจนะ" องค์พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในมณฑป พระพุทธอจนะ เป็นที่เลื่องลือถึงความศักดิ์สิทธิ์และมีมนต์เสน่ห์และเอกลักษณ์ชวนให้นัก ท่องเที่ยวมาเที่ยวชมและสักการะอย่างไม่ขาดสาย



ประทับใจในความงดงามอ้อนช้อย ขององค์พระอัจนะมากมายครับ

ระหว่างที่ถ่ายภาพมีประชาชน พุทธศาสนิกชนแวะเวียนมาไว้องค์ท่านไม่ขาดเลย

มีเรื่องเล่าเมื่อครั้ง สมเด็จสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประกาศอิสรภาพในปี พ.ศ. 2127 ที่และ พระองค์ทรงนำทัพเสด็จมาปราบเมืองเชลียง และได้มีการมาชุมนุมทัพที่วัดศรีชุมแห่งนี้ก่อนที่จะไปตีเมืองเชลียง และด้วยการรบในครั้งนั้นเป็นการรบระหว่างคนไทยกับคนไทยด้วยกัน ทำให้เหล่าทหารไม่มีกำลังใจในการรบไม่อยากรบ สมเด็จพระนเรศวรจึงได้วางแผนสร้างกำลังใจให้กับทหาร โดยการให้ทหารคนหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปทางด้านหลังองค์พระ และพูดให้กำลังใจแก่เหล่าทหาร ทำให้ทหารเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดตำนานพระพูดได้ที่วัดศรีชุมแห่งนี้ และพระนเรศวรยังได้มีการทำพิธี “ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา “ขึ้นที่วัดแห่งนี้ด้วย

ที่สุดของอาหารการกิน



ทริบนี้จะไม่สมบูรณ์ทุกประการ หากขาดความอิ่มหน่ำสำราญในการกินไป สุโขทัยใครจะคิดว่าจะมีอาหารหลากหลายและขึ้นชื่อระดับที่หนึ่งของประเทศอยู่ หลายเมนู หนนี้ไปมาหลายอำเภอของเลือกเอาที่ผมถูกใจมาแนะนำกันนะครับ

ที่แรกเปิดด้วยอ.สวรรคโลก


อำเภอไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่ซ่อนของดีไว้หลายอย่าง และหากใครมาสุโขทัยไม่หา ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยกินนั้นเรียกว่ามาไม่ถึง เพราะเอกลักษณ์ของก๋วยเตี๋ยวที่นี่ไม่มีใครเหมือน และได้รับความนิยมจนเดี๋ยวนี้มีให้ชิมกันเยอะไปหมด มาเรามาลองชิม 1 ในตำนานก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยกันดูครับ เม้งประหมี่ 100ปี จุดเด่นนอกจากเส้นบะหมี่ที่ทำกันเองมานานหลายสิบปีตั้งแต่รุ่นเตี่ย มาจนถึงรุ่นลูกของคุณป้า พี่น้องทั้งสอง



ชาม แรกเย็นตาโฟต้มยำสูตร LA. ชื่อสูตรเพราะไปปรุงและทำกันที่เมืองนอกตามชื่อนั้นละครับ แต่คนทำนำกลับมาทำให้ได้ชิมกันที่สวรรคโลกต่อ และขอให้ลองกันทีเดียว ห้ามพลาด เด็ดที่รสชาติยำแบบไม่ต้องปรุงเพิ่มกันเลยสังเกตุได้ ร้านไหนทำได้แบบนี้ ร้านนั้นขายดีแน่นอน ครับ



ต่อด้วยบะหมี่น้ำ หน้าตาดีและรสชาติดีกว่าที่เห็นอีก จริงๆ



และนี่



ปิดท้ายด้วย บูลเบอร์รี่ชีสเค้ก ใช่แล้วอ่านไม่ผิดครับ บูลเบอร์รี่ชีสเค้กจริงๆ มีในร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าแก่ของอ.สวรรคโลก เนี่ยละ ปรกติผมจะไม่ค่อยชอบทานเค้กแบบนี่นัก เพราะตัวเนื้อแป้งที่เคยกินมามักจะทำแข็งหรือไม่ก็ จะลุ่ยๆหน่อย ไม่ค่อยชอบเคี้ยว แต่ร้านนี้ Confirm ครับแป้งนุ่มและเหนียวกำลังดี กัดแล้วประทับใจตั้งแต่คำแรก บูลเบอร์รี่ที่ราดมาก็หวานอมเปรี้ยวกำลังดีเชียวละ

ที่ตั้งร้านอยู่ในถนนสายหลักของ อำเภอ หากคุณขับรถมาจนถึงสถานีรถไฟ แสดงว่าใกล้แล้วจะจอดรถไว้ที่สถานีแล้วเดินต่อมาอีกไม่ถึง 200 เมตรก็ถึงแล้วร้านมีป้ายชัดเจน เป็นตึกแถวอยู่ฝั่งเดียวกันครับ

ก๋วยเตี๋ยวต่อครับ กับ “ร้านไม้กลางกรุง" ร้านดังของอำเภอเมืองสุโขทัย เปิดมานานแล้ว


ร้านตกแต่งสไตล์ไทยล้านนา ผสมผสานความเป็นล้านนาแบบเหนือเข้าไปในทุกๆพื้นที่ของร้าน และอาหารที่นี้ เน้นวาไรตี้มาก มีเมนูหลากหลายให้ลิ้มลอง และแน่นอนก๋วยเตี๋ยวก็ถือเป็นเมนูหลักของร้านที่ใครไปใครมาก็สั่งกัน ร้านนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่ ผมสังเกตุได้จากที่มีข้าราชการมาแวะทานกันด้วย ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวอย่างเรา



เริ่มกันที่ ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย มีทุกอย่างครบ ถั่วคั่วเอง ถั่วฝักยาวหั่นเฉียงอันเป็นเอกลักษณ์ของก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยอยู่แล้ว มีน้ำซอสของร้านเป็นตัวสร้างความแตกต่าง



น้อง ที่ร่วมทริบไปด้วยกัน แกอาจจะไม่ถูกใจนักเพราะเห็นว่าอมรสหวาน แต่ส่วนตัวผมกลับชอบแม้จะไม่ใช่คนกินหวานเท่าไหร่เพราะรสชาติของการปรุงเป็น ต้มยำได้ครบเครื่องดีครับ ในภาพเป็นข้าวผัด รสชาติโอเค



นอกจากก๋วยเตี่ยวยังมีผัดซีอิ้วก็มีนะครับ ส่วนตัวผมชอบที่ผสมกากหมูเข้าไปให้ให้ความกรุ๊บกรอบดี เวลาเคี้ยว



สุกี้แห้งใช้ได้เช่นกัน รสชาติที่ปรุงมาเข้ากันดีเผ็ดกำลังดีไม่หวานและเลี่ยนเกินไป



มาเมนูทานเล่นบ้างก๋วยเตี๋ยวปากหมอ สไตล์สุโขทัย ที่เค้าทำเป็นนำกะทิราด ตัวแป้งของเค้าจะมีสีสันมากกว่าของในกรุงเทพฯ อย่างม่วงก็ประมาณได้จากดอกอัญชัน เขียวก็ประมาณใบเตยอะไรประมาณนี่ครับ



ตบ ท้ายด้วยพาเหรดน้ำหวานหอมชื่นใจ ที่ใส่ใจกับการ Package ที่พร้อมเสริพมากเลยครับ สวยงามน่าดื่มจริงๆทั้งน้ำเก๊กฮวย น้ำมะตูม ชาดำเย็น ทำมาสวยงามมาก

ร้านถัดมาไม่รู้จะเรียกว่าร้านดีไหมน่าจะเป็นมื้อดีกว่าครับ มาจากมื้อเช้าสุดแสนอลังการจาก Guest House Lotus


ชอบที่สุดก็เมนูที่เค้าเสริพเป็นแพนเค้กอันใหญ่อันโตที่สุดที่เคยกินมา อร่อยและนุ่มมาก



กินกับโกโก้ร้อนเค้ากันดีเชียวละ หรือจะราดด้วยน้ำผิ้งก็ก็ไม่เลวอร่อยมากๆครับ



เมนูอย่าง ไข่ลวกสีสันสวยงามน่าหม่ำสุดๆ



พร้อม ABF ที่เราเลือกเอาได้ว่าอยากทานอะไรบ้างเมนูบางวันอาจจะไม่ซ้ำกันนะครับ

กินในบรรยากาศสีเขียวๆของรีสอร์ทร่มรื่นดีมากถือเป็นมื้อเช้าที่ประทับใจที่สุดของทริบเลยทีเดียว

ร้านสุดท้ายถือเป็น HILIGHT สำหรับทริบนี้กันเลย มีโอกาสไปพร้อมๆกับ blogger ท่านอื่น คือ ร้านอาหารใน “โครงการเกษตรอินทรีย์ สุโขทัย" อยู่ไม่ห่างจากสนามบินเท่าไหร่ครับ


ที่นี้ถือเป็นอีกที่ๆ เซอร์ไพรส์มากๆเพราะจากเดิมที่คิดว่าจะมาชมวิถีการทำนาแบบเกษตรอินทรีย์เท่า น้ั้นที่ไหนได้ มีอาหารมากมายให้ลองชิมกันเอาอิ่มได้เลย



หลักๆ ที่นี่ถือการปลูกข้าวเป็นหลักมีแปลงนาทดลองพันธ์ข้าว และปลูกผักแบบอินทรีย์ ซึ่งขั้นตอนการปลูกข้าวอินทรีย์นั้น ยุ่งและยากกว่าการปลูกข้าวแบบปรกติอย่างที่เราคุ้นตาอยู่พอควรทีเดียว



เพราะหัวใจหลักคือการไม่ใช้ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลงแม้แต่นิดเดียวเป็นการปลูกข้าวโดยใช้วิถีแบบธรรมชาติโดยแท้



ผมเองก็พึ่งมาทราบเอาที่นี่จากพี่ๆ วิทยากรที่ช่วยอธิบายให้ทราบความต่าง ระหว่าง ผักหรือผลไม้อินทรีย์และข้าวปลอดสารผิด ภาพนี้น่าจะช่วยอธิบายความแตกต่างไว้ทั้หมดครับ



เข้าเรื่องกันเลย อาหารที่นี่ผักและข้าว ทั้งหมดล้วนมาจากการปลูกแบบอินทรีย์ทั้งหมด อย่างนี่ ครับเมนูข้าวสามสี กับพะโล้ไข่เค็มแปลกและอร่อยมากๆมีรสชาติพะโล้ผสมกับไขเค็มกลมกล่อมจนอยาก ให้คนที่บ้านลองทำให้ทานบ้างจริงๆ



ต่อด้วยหมันโถวทอด อร่อยเทพมากๆ เคยทานคล้ายๆกันแต่เล็กกว่าในกรุงเทพฯ รสชาติยังสู้ไมไ่ด้น่าจะเป็นที่แป้งที่เอามาทำนั้นละครับ



ต่อ ด้วยเมูน ใบข้าวทอด อันนี้ทั้งเก๋และมีประโยชน์มีคุณค่า ใครจะติดว่าใบข้าวเอามาทำอะไรได้หลายอย่างมาก ไอเดียเมนูนี่เกิดจากการที่ได้ใบอ่อนมาจากการดำนา และเสียดายไม่อยากทิ้ง สุดท้ายหาทางทำจนได้เป็นเมนูนี้ขึ้นมา อร่อยฝุดๆเบย ทั้งเก๋ทั้งอร่อย



ปิดท้ายกับข้าวด้วยขาหมู รสชาติแบบที่เราคุ้นเคยกันดี



มาที่ของหวานกันบ้าง สระลอยแก้ว มาพร้อมน้ำแข็งแช่เย็นชื่นใจ


ที่นี้มีแต่อาหารไม่ธรรมดาที่สำคัญ ทั้งผักหรือน้ำต่างๆล้วนปลอดสารพิษ แบบ 100%



ตบท้ายด้วยน้ำใบข้าว รสชาติหวานสดชื่นหอมใบข้าวผสมกลิ่นใบเตยกันเลย

ผมซื้อของฝากเป็น ต้นอ่อนข้าวพร้อมปลูกอยู่ในกระถางเล็กๆ เก๋น่ารักมาก เหมาะมาตั้งไว้หน้าคอมดูดรังสีป้องกันตัวเราจากรังสีจากหน้าจอคอม ไอเดียดีเลิศประเสริฐศรีมากมาย ที่ผ่านมาผมเคยเห็นเค้าเอาพวกตะบองเพชรแคระ ทั้งหลายมาทำ เพิ่งเคยเห็นเค้าใช้ต้นข้าวมาทำแบบนี้ นี่ละครับไอเดียเกษตรกรไทยจากสูโขทัย ไม่ธรรมดาเลยนะครับ



ก่อน กลับขอแวะไปซื้อข้าวเกษตรอินทรีย์กลับบ้าน เลยได้เห็นกรรมวิธีการขัดแยกข้าวแบบ “ทำมือครับ" ไม่แปลกที่ข้าวจะมีคุณภาพมาก เค้าจะใช้คนเป็นคนคัดเกรดข้าวแบบเมล็ดต่อเมล็ด กันเลย ราคาข้าวแบบอินทรีย์จึงถือว่ามีราคาสูงกว่าข้าวแบบอื่นๆ ไล่ไปตามประเภทของข้าวเช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง ฯลฯ



หนหน้าหากใครไปเดินงานบ้านและสวนหรือ otop อย่าลืมแวะไปที่บู๊ทจังหวัดสุโขทัยนะครับ หาข้าวแบบนี้ไปทานกันดูแล้วคุณจะ ได้ทั้งสุขภาพดีและความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ กันครับ



จริงๆนอกจากจังหวัดสุโขทัยยังมีอีกหลายๆจังหวัดที่เริ่มวิถีการเกษตรแบบนี้นะครับ



อยากให้เราช่วยกันสนับสนุนเพื่อให้ชาวนา ชาวไร่ไทยเราปลูกข้าว และพืชผักที่ไม่พึ่งพิง เคมีภัณฑ์ทั้งหลายเพื่อให้คนไทยได้กินข้าวดีๆถูกสุขภาพทั่วหน้ากันครับ แล้วราคาก็จะค่อยๆลดลงตามกลไกของตลาดเอง

มาถึงของฝากก่อนกลับกันบ้าง กินจริงกินจังมาหลายมื้อ ขอพาชิมขนมทานเล่นที่ถือว่ามีอยู่เฉพาะที่สุโขทัยเจ้าเดียวของประเทศ นั้นคือ



“เหลียงหุ้น" เป็นขนมจากเมืองจีนเส้นเหนียวๆยาวสีเหลืองดูๆไปคล้ายที่ผสมอยู่ในทับทิมกรอบแต่รสชาติไม่ใช่ครับจะหนากว่าและเหนียว เคี้ยวจะนุ่มกว่า เวลาทำเสร็จต้องมาตัดเป็นเส้นเล็กเพื่อตักขายใส่แก้วใส่น้ำเชื่อมกินสดชื่น คล่องคอ



โชคดีของผมและน้องที่ร่วมทริบไปด้วยกันที่ไปเจอเข้า เพราะเค้าจะขายเฉพาะวัน เสาร์-อาทิตย์และไม่ขายเป็นหลักเป็นแหล่งจะขับรถวนขายทั่วไปใน อำเภอศรีสำโรงเท่านั้น พี่เค้ายืนยันว่ามีขายที่เดียวที่เค้าเท่านั้นแต่ก่อนเตี่ยของพี่เค้าจะเป็น คนขายตอนนี้มาถึงรุ่นพี่เค้าแล้ว หน้าตาตอนเสร็จพร้อมดื่มมีช้อนไว้ให้ตักกินได้ อร่อยดีครับ

และ ของฝากขึ้นชื่นที่สุดของอ. ศรีสำโรงและของจังหวัดจะเป็นอะไรไปไม่ได้ถ้า ไม่ใช่ ถั่วทอด ที่ขายส่งกันทั่วประเทศ มาถึงทั้งทีจะพลาดซื้อกลับบ้านได้ไงจริงไหมครับ


อำเภอนี้เดินไปตรงไหนก็จะเจอถั่วทอดแทบทั้งนั้น ร้านที่เราเลือกมาจาก คนในพื้นที่เป็นพี่สองคนแนะนำให้เราไปซื้อ เป็นของ “ร้านถั่วทอดครูสายหยุด"



เท่าที่ดูร้านของครูมีหลายร้านเหมือนกันนะครับ แต่ร้านนี้เป็นร้านต้นกำเนิดและเจอคุณครูด้วย แกอนุญาติให้เราเข้าไปดูหลังร้านให้เห็นกรรมวิธีการทำ กว่าจะมาเป็นถั่วทอดกรอบๆที่เรากินกัน ทุกอย่างทอดด้วยน้ำมันที่เปลี่ยนทุกวันไม่ทอดซ้ำ อย่างที่เห็นนี่เป็นแป้งที่ ทอดเพื่อให้เกาะกัน จากนั้นต้องนำไปทอดต่อให้กรอบด้วยน้ำมันอีกกระทะครับสุดท้ายออกมาให้เราได้กินกันอย่างที่เห็นเรียงรายไปทั่วอำเภอ และเพราะเรามาร้านนี้ละครับทำให้เราเจอ ขนมเหลียงหุ้น เพราะพี่เค้าขับรถมาจอดหน้าร้านครูสายหยุดพอดีเลย โชคดีมากๆครับส่วนสุดท้ายแล้วครับเป็นที่เที่ยวสุดประทับใจ



เริ่ม ที่อำเภอศรีสำโรง อำเภอเล็กๆที่มีโอกาสแวะไปเที่ยว ที่วัดโสภาราม มีพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดก็น่าจะใช่ และได้รับพระราชทานนามว่า “พระพุทธบารมีศรีสุโขทัย"



เรียกว่าขับรถผ่านยังไงก็ต้องแวะครับ โชคดีมากๆที่เราได้รู้เพราะมีพี่ใจดีสองคนที่เราแวะถามทาง เป็นคนแนะนำพาไป


แค่เค้ารู้ว่าเรามาทำรีวิวจังหวัด และอำเภอเค้าๆก็ยินดีช่วยเต็มที่เลย คนสุโขทัยมีน้ำใจมากๆครับ

และที่สุดท้ายที่เป็นที่สุดของที่เที่ยวของทริบนี้ ที่ผมภูมิใจนำเสนอจริงๆ นั้นคือ “ตลาดน้ำริมยม พศ.2437″อยู่ใน อ.กงไกรลาศ



ผมไปตั้งแต่ยังไม่เปิดตลาดเลยมีโอกาสได้เที่ยวรอบๆตลาดก่อนโดยมีนายช่างใหญ่ อาสาเป็นไกด์พาเราเที่ยว เลยทำให้เราได้ความรู้มากมายจากการท่องเที่ยวในอำเภอนี้นะครับ

มีหลายที่ๆอยากแนะนำ ตั้งแต่วัดที่เป็นที่นับถือของคนทั้งอำเภอ “วัดกงไกรลาศ" อยู่ใน ต.บ้านกง วัดแห่งนี้มีพระประธานคือหลวงพ่อโตวิหารลอยเป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย สร้างขึ้นมาหลายร้อยปีตั้งแต่ประมาณปี 2333 ที่วัดนี้มีเรื่องเล่าที่ถ่ายทอดกันมาถึงความศักดิ์สิทธ์ขององค์หลวงพ่อว่า ในอดีต สมัยที่พม่ายกทัพมาตีเมืองพิษณุโลกได้เดินทัพผ่านและพักแรมที่ บ้านกงแห่งนี้ ด้วยความคึกคะนองและอยากลองดีของทหาร จึงยิงปืนใหญ่ถล่มวิหารหลวงพ่อจนพังเสียหาย แต่ไม่โดนองค์พระ มีเพียงรอยกระสุนทะลุจีวรด้านซ้ายให้เห็นเท่านั้น



เล่า ต่อกันมาว่าความเสียหายของวิหารในครั้งนั้น ทำให้หลวงพ่อโตต้องตากแดด ตากฝนอยู่นานหลายสิบพรรษา จนกระทั่งคืนหนึ่งของวันเพ็ญเดือนสาม ชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดนั้น ได้ยินเสียงแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นมาจากทางวัด แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งรุ่งเช้า ต่างพบว่าหลวงพ่อโตได้แสดงปาฏิหาริย์เคลื่อนองค์ท่าน จากที่เดิมไปประทับใต้ต้นคูน ซึ่งอยู่ห่างจากที่เดิมราวสามวา



และ สำหรับคำ ว่า “วิหารลอย" นั้น มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ทุกปีที่น้ำท่วมล้นขอบตลิ่งแม่น้ำยมซึ่งติดกับวัด ศาลาและกุฏิต้องทำการยกสูงมากกว่าหกศอกเพื่อหนีน้ำ แต่วิหารหลวงพ่อโตอยู่ในบริเวณเดียวกันนั้น กลับดูเสมือนลอยพ้นน้ำ เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นอีกในปี พ.ศ.2485 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ วิหารลอยก็ไม่ถูกน้ำท่วม ชาวบ้านเชื่อว่าใต้วิหารหลวงพ่อ อาจมีเรือสล่าเงินและสล่าทองหนุนค้ำให้วิหารลอย

ตลาดริมยมเป็นตลาดน้ำแห่งใหม่ที่พึ่งเปิดตัวไม่นาน แต่มาจากความรักและแสนภาคภูมิใจของชาวบ้านในอำเภอ กงไกรลาศ ที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้การสนับสนุนเต็มที่



ส่วน 2 ปีก่อนตอนน้ำท่วมครั้งใหญ่ล่าสุด วิหารแห่งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อที่ น้ำท่วมขนาดไหนแต่กลับไม่ไหลเข้าไปในโบสถ์ขององค์หลวงพ่อ อันนี้เป็นเรื่องที่ผมได้ฟังจาก นายช่างใหญ่ ที่อาสาเป็นไกด์แนะนำให้เรารู้จักบ้านกงแห่งนี้นะครับ



นับ เป็นโชคดีที่ผมไปสัปดาห์นั้นพอดี ตลาดเเห่งนี้ จะพาเราย้อนยุคกลับไปยังเมืองไทยในอดีต ดึงเอาการแต่งกายและวัฒนธรรม การละเล่นรวมถึงอาหารที่น่ารับประทานของไทยเรากลับมา เป็นตลาดเล็กๆแต่เต็มไปด้วยความน่ารัก ในแบบที่เราหาได้ยากยิ่งจากตลาดน้ำทั่วไป



อาหารก็น่าแวะชิมเต็มไปหมด ก๋วยเตี๋ยวกะลา ขนมผิงโบราณ ข้าวเกรียบปากหม้อ และอีกหลากหลาย หาชิมได้ที่นี่ครับ



ยิ่งใกล้ค่ำถนนยิ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่พากันมาเที่ยวชมที่นี่ คึกคักมาก

การแสดงก็มีมาโชว์กัน ผมชอบเด็กๆมากสดใส และน่ารัก วันนี้มีการประกวดของเด็กๆด้วย



ภาพนี้จับได้พอดีตอนกำลังแต่งหน้าให้เด็กๆ น่ารักจริงๆ



และสุดท้ายก่อนผมจะลากลับ



ตลาด ริมยม ๒๔๓๗ ตั้งอยู่บริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อดาบทอง หรือ บริเวณทางเข้าวัดกงไกรลาศเปิดให้บริการทุกวันเสาร์แรกของเดือน ตั้งแต่ 16.00-21.00 น. โดยมีรถรับ-ส่งฟรี จากบริเวณหน้าสำนักงานการท่องเที่ยว จังหวัดสุโขทัย เวลา 17.00 น.และออกจาก กงไกรลาศ เวลา 19.30 น. เรียกว่า 1เดือนจะมีเพียงคร้้งเดียว

ที่สุด…สุดท้ายก่อนลา



สิ่งหนึ่งที่ประทับใจผมมากนั่นคือ รอยยิ้มครับ

ตลอดการเดินทางของผม สิ่งที่ประทับใจนั้นคือรอยยิ้มแบบไทยๆ ที่หาได้เกลื่อนกราดไปทั่วทุกๆที่qผมไป เป็นความประทับใจที่เรียบและง่าย เพียงแค่เปิดมุมปากของเราก็ได้สัมผัสรอยยิ้มพิมพ์ใจกลับจากผู้คน



ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มจากเด็กๆในตลาด อ.สวรรคโลก…



จากพี่ๆคนขับสามล้อในตลาด



จากคุณป้าแม่ค้าในตลาดริมยม



จากคุณตาในตลาดริมยม …



และจาก….



ทุกๆ รอยยิ้มทุกคนตลอดการเดินทาง ล้วนแต่มาจากเราที่มีรอยยิ้มเช่นเดียวกันยื่นให้ หวังว่ารีวิวนี้สุดท้ายจะสร้างรอยยิ้มให้ทุกๆคนที่แวะมาเที่ยวด้วยกันนะครับ ^___^



เป็นไงบ้างครับกับที่สุดของ ผมในทริบสุโขทัยที่ผ่านมา ยอมรับว่าประทับใจมากๆครับกับจังหวัดที่ไม่ได้แวะเวียนไปมาเกือบจะยี่สิบปี ได้ ดีใจที่ได้รับคำเชิญและชักชวนจาก ททท.สุโขทัยในครั้งนี้ครับ



จังหวัดที่น่าสนใจแห่งนี้ยังมีอีกมากที่รอคุณเดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเอง หวังว่าที่สุดจาก 1twenty2 น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณๆได้เดินทางท่องเที่ยว กับจังหวัดที่ไม่ไกลเลยเมื่อเทียบกับ ความงดงามและแหล่งท่องเที่ยวอีกมากที่รอคุณไปเยี่ยมเยือนครับ



คนสุโขทัยใจดี มีน้ำใจไม่แตกต่างกัน ครั้งนี้ขอลากันด้วยภาพประทับใจสุดท้ายของอาทิตย์ลับขอบฟ้า ที่ผมไปเก็บได้ที่สนามบินสุโขทัย



ภาพแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพเขียนสีน้ำมันสมัยเด็กๆที่ตัวเองเคยเห็นในรถสองแถวก็ดี หรือตามฝาบ้านก็ได้ แต่อันนี้มาจากภาพถ่าย ครับ



ทริบหน้าจะพาคุณๆไปไหนอีกโปรดติดตามนะครับ ไม่นานครับ ^___^



*** อยากไปเที่ยวด้วยกันต่อ เชิญที่ fb ครับ www.facebook.com/likeone22

Piyapong Chantong

 วันพฤหัสที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 14.26 น.

ความคิดเห็น