22.10.2558

สวัสดีครับ

กับวันว่างๆ กับสิ่งใกล้ตัว กับความอยากรู้ กับเป้หนึ่งใบ กับใจเกินร้อย กับเงินน้อยๆ หลักร้อยก็พอ

ช่วงนี้นี่เลย ขอนำเสนอ สิ่งที่หลายๆคนอาจจะมองว่า "เหร่อ" แต่สำหรับผม มัน"เลอ"ค่า มหาสาร

กับสองวันที่ว่างๆ ผมจะพานั่งเรือเที่ยว ขึ้นๆ ลงๆ แล้วเราก็มาเดินตามตรอก ออกตามซอย ค้นหามนต์เสน่ห์ ที่ตรึงตา และดึงใจนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ให้หลงรักบ้านของเรา แต่เรากลับ "พลาด"

ล่องเรือครั้งนี้ผมใช้เวลาสองวัน โดยการกลับมานอนที่ห้องเช่าย่านสวนพลู

วันที่หนึ่ง คือวันนี้ เริ่มต้นการเดินทางที่ บีทีเอส ศาลาแดง ขึ้นเรือที่ท่าสาทร ลงเรือที่ กรมเจ้าท่า แล้วขึ้นอีกครั้งที่ ท่าราชวงศ์ ไปลงที่ท่าเตียน ขึ้นเรือจากท่ามหาราช กลับมาที่สาทร

วันที่สอง ขึ้นเรือที่สาทร ตรงไปที่ท่าพระอาทิตย์ เดินวนเป็นวงกลม แล้วขึ้นเรือกลับที่ท่าพระอาทิตย์ ที่เดิม

ผมจะเริ่มเล่าเรื่อง "เดินๆ" ตั้งแต่ออกจากสวนพลู จนกระทั่งวนกลับมาที่สวนพลู จะเล่าให้ฟังว่าเดินไปที่ใหน เห็นอะไร กินอย่างไร พูดง่ายๆคือทำอะไรบ้างนั่นเองครับ มีรูปมากมายที่อยากให้ทุกคนเห็น และอยากให้หาโอกาสมาสัมผัสด้วยตัวเอง รับรองครับว่า นี่คือสิ่งที่ไม่ควร "พลาด" โดยขนาด

ก็อย่างที่บอกว่า รีวิวของผมเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ ดีจึงบอกต่อ ประทับใจจึงอยากแบ่งปัน ไม่โมเมเล่ห์กล อะไรครับ ใสๆ อิอิ


เรื่องเล่าเยอะแยะ ยุ่งเหยิง เริ่มเลยละกัน "ก้าวแรก"เดินออกจากสวนพลู ไม่มีอะไรตกถึงท้อง นอกจากกาแฟถ้วยเดียว

พอเดินออกจากซอยสวนพลู ก็พบกับสีสันแห่งความ "อะไรก็ได้" ง่ายๆก็พอ ร้านนี้เป็นข้าวขาหมูข้างทาง ผมเคยมากินหลายต่อหลายครั้ง อร่อยดีครับ จะว่าไปก็ธรรมดาทั่วไป แต่ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นที่ฝากท้อง ช่วงพักกลางวันของนักธุรกิจ "เงินเดือน" หลายร้อยอัตราเลยทีเดียว ตั้งอยู่ที่ข้างปั้มเชล ตรงข้ามบ้านขนิษฐา ถ้าใครอยู่แถวๆนี่ก็มาลองกินได้ครับ


เดินผ่านร้านข้าวขาหมู แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านร้านบ้านขนิษฐา แล้วเดินข้ามสะพานลอย ออกกำลังกายแต่เช้า จะได้ไม่ต้องไปยิมตอนเย็น อิอิ

ผมชอบความยุ่งเหยิงพวกนี้มาก เพราะผมมองว่ามันสวย มันมีเอกลักษณ์ เพราะถ้าสายไฟพวกนี้ถูกเก็บซ่อนใว้เป็นอย่างดี บ้านเราคงไม่ต่างกับนานาอารยะประเทศ ที่น่าเบื่อทั้งหลายแหล่ แต่ก็นะ ถ้าสายใหนเกิดพังหรือซ็อตขึ้นมา เค้าจะซ่อมกันอีท่าใหน งงเอง


เดินตรงขึ้นมาตาม ซอยคอนแวนท์จนสุดซอย จะมาประจบกับถนนสีลม สีสันแหล่งบรรเทิง แล้วเลี้ยวขวาที่ร้านเซเว่น ถึงนี่เลย บีทีเอส ศาลาแดง


ไปลงที่สะพานตากสิน 28 บาท แพงนะเนี่ย


ขึ้นทางฝั่งบางหว้านะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวไปโผล่ที่ MBK ไม่รู้ด้วยเด้อ


พลาดรถไฟซะงั้น มัวแต่ฝอย ไม่เป็นไร รถบ้านเราถึงแม้ว่าไม่มีเวลาเทียบชานชราบอก แต่ก็มีมาบ่อยไม่ต้องรอนาน


แล้วผมก็มาลงที่สถานีสะพานตากสิน มองไปรอบๆสวยดี มีตึกร้างด้วย น่าขนลุกดี แล้วก็เกิด มโนในใจว่า เอ เราเคยขึ้นลงที่สถานีนี้เป็นปีๆ รู้ว่านั่นคือวัดยานนาวา แต่ก็ไม่เคยคิดจะเข้าไปดู ครั้งนี้จะเอายังไง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมตัดสินใจเดินเข้าวัดยานนาวา และได้พบเห็นกับอีกหลายมุม ที่ตัวเองเคยแค่คิดว่า "ก็แค่วัด" ช่างเป็นดั่งเส้นขนเล็กบาง บังภูเขาใหญ่ยักษ์ ที่ซ่อนเร้นประวัติศาสตร์บ้านเมือง ประมาณสองร้อยเล่มหนังสือ เลยแหละ


เดินออกทางออกที่สี่ มุ่งหน้าเดินดุ่มๆลัดสวนออกไปทางวัดนั่นแหละครับ คงไม่หลงม้าง

เดินมานิดเดียวทางขวามือ เป็นทางเข้าวัด ซึ่งก็ตรงข้ามกับทางเข้าตึกผีสิงนั่นเอง นี่ถ้าเค้ายังให้ขึ้นตึกนั่นนะ ผมจะขึ้นไปแน่ๆ แต่เจ้าของดันแข้มขึ้นมาซะงั้น ผมเลยอด


เข้ามาปั๊บ หันขวาปุ๊บ อุ๊ปส์ "พระ" เลยเข้ามากราบนมัสการ เป็นหลวงพ่อทันใจ


พอเดินออกจากซุ้มพระผมก็เงยหน้าแหงนมองหลังคาวัด พบเห็นความ "ขัดแย้ง" ที่เค้าก็อยู่กันได้ แบบไม่มีปัญหาอะไร

ข้างหลังนั่นคือตึกร้างครับ เป็นตึกที่มีรูปแบบเดียวกันกับ The State Tower


ส่วนในภาพนี้ด้านหลังลิบๆ เป็นคอนโด The River



เดินลึกเข้ามาอีกนิดเจอ พระบรมรูปของรัชกาลที่สาม คือผมไม่อยากเชื่อว่่าทำไมของใกล้ๆตาแค่นี้ ไม่เคยได้สำเนียกแวะมาสัมผัสและศึกษา พระรูปของท่านตั้งตระหง่านอยู่หน้าเรือ แล้วมันเรืออะไร ต้องเข้าไปดูให้รู้กัน


ถ้าใครมาก็มาอ่านข้อจารึกตรงฐานได้ครับ


ส่วนเรือนั้นชื่อว่า สำเภาเจดีย์ สร้างขึ้นเพราะพระองค์ทรงทำนายว่าเรือแบบนี้จะสูญสิ้นไป จากบ้านเมืองเรา เมื่อความเจริญก้าวหน้ามาครอบงำ จึงโปรดให้สร้างเรือสำเภาด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กมีเจดีย์สององค์ แทนเสากระโดงเรือ เรือนี้จำลองมาจากเรือที่มีอยู่จริง และที่นี่คือที่เดียวในประเทศไทย ที่มีเจดีย์ในลักษณะแบบนี้

ทางขึ้นไปนมัสการองค์เจดีย์ ที่นี่มีดอกไม้ไว้ให้บูชาด้วยครับ


เดินชมรอบๆ สวยงามตามระเบียบ มองได้รอบด้านแม้ไม่สูงมากแต่วิวต่างๆที่ได้เห็น แสนสุดจะประทับใจ

พอมองลงมาอีกด้านฝั่งทางแม่น้ำเจ้าพระยา ผมนี่ต้องตกตรึง ตลึงงัน ในความเก่าแก่ของพระอุโบสถ แห่งวัดยานนาวา จนต้องเปิดอ่านประวัติกันซะหน่อย วัดยานนาวา มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ผ่านการบูรณปฏิสังขรณ์ มามากมายหลายครั้ง เนื่องจากการชำรุดซุดโซมจากทั้งกาลเวลา และศึกสงคราม กว่าจะดำรงคงอยู่ ให้ลูกหลานได้เห็นตราบเท่าทุกวันนี้นั้น นับแสนความเป็นมา

มันสวยมากมากจนผมไม่รู้จะรับความรู้สึกยังไง มันดื่มด่ำมากครับ ได้แต่แน่นิ่งและจ้องมอง ใช้ใจนี่แหละซึมซับเก็บเอาความประทับใจใว้


ปัจจุบันทางวัดได้สร้างหลังคาใหม่ครอบหลังคาพระอุโบสถไว้ เพื่อเป็นการลดหย่อน การกัดกร่อนของแดดและฝน



ด้วยความเก่าจึงดูมีเสน่ห์ ในแบบที่แฝงไปด้วยมนต์ขลัง


พระประธานด้านในชื่อว่า พระพุทธปฏิมา ก็ดูอร่ามงามตา มีพระพักตร์เอิบอิ่ม เปี่ยมด้วยเมตตาบารมี


ความละเอียดประณีต บรรจงประดิษฐ์ ติดประดอย เป็นงานที่ไม่ใช่ใครๆก็ทำได้ ซึ่งแม้แต่คนรุ่นหลังก็ต้องมองดูด้วยความพิถีพิถัน ไม่งั้นเราก็จะแค่ "มอง" โดยที่เรา "พลาด" ใน "ลาย" ที่ละเอียด


ถ่ายภาพรอบๆบริเวณครับ


แหม่พอเดินออกมาด้านหน้าอีกที ก็มีสามล้อมาจอดอยู่ ทำให้องค์ประกอบภาพสมบูณร์มากขึ้น


เดินย้อนกลับมาเพื่อที่จะออกไปท่าเรือก็เหลือบเห็นซุ้มเจ้าแม่กวนอิม แวะสักการะ ใหว้ขอพรกันได้เลยครับ

ช่างเป็นการเริ่มต้นที่ดีจริงๆ ไม่ได้วางแผนอะไรมาล่วงหน้า ไม่ได้คาดหวังอะไร เอาแค่ตัวกะหัวใจมา ก็เปรมปรี จริงๆแล้วในวัดยานนาวาแห่งนี้ยังมีอะไรอีกมากมาย ไว้ให้ศึกษาและค้นคว้า รายละเอียดที่ลึกกว่านี้เอาไว้ติดตามใน รีวิวหน้าครับ "เก้าวัด"


เดินออกมาจากวัดเพื่อที่จะเข้าไปท่าเรือสาทร ออกจากซุ้มประตู เลี้ยวซ้าย เดินผ่านร้านนี้แล้ว นึกหิวขึ้นมาทันครัน ร้านใบจันทร์ ตั้งอยู่ริมถนนเจริญกรุง ออกจากวัดมานิดเดียว ถ้าใครแวะมาแล้วไม่เจอ ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ร้านเค้าเป็นแบบ Mobile เคลื่อนที่ได้หนะครับ ผมไม่ได้แวะกินนะครับ เพราะยังไม่ค่อยหิว แต่เรามาแอบดูว่าเมนูมีอะไรบ้าง



ป้าดดดด มีหมดทุกอันสิ่งอย่าง ก้อย พล่า ปลาร้าสับ ตับหวาน ถ้าใครจะแวะมาทานน่าจะไม่ผิดหวัง ก็ดูเอาครับ "ออริจิ้น" คักขนาด

หรือจะเดินเลยมาอีกนิดหนึง ตรงใต้สะพานตากสินก็มี "ฟู๊ดค็อท" ลอดสะพาน มีหลากหลายเมนูให้เลือกอิ่ม เอ้าเลือกกันเอง ไม่ต้องเกรงใจกัน




ยัง ๆๆๆ ตัวผมเองยังไม่แวะ เดินเข้าไปที่ท่าเรือต่อ เดินไปถ่ายรูปไป คือมันสวยดี กะไอ่คำว่า "ติดดิน"กะกลิ่นคลองเน่า


มีหลากหลายอารมณ์ มุมนี้จีนๆ


มุมนี้คิวรถแดง เจ็ดบาทตลอดสาย


มุมนี้ที่ที่เรา เอาแค่มองก็พอ ด้านหลังโรงแรมหรู แชงกรีล่า


เดินข้ามสะพานนี่เสียวๆ แต่ก็ขอหยุดถ่ายภาพ เพราะสวยดี


ก็มา ณ จุดขายตั๋วเรือ ตรงนี้จะมีพี่ๆ คอยให้คำแนะนำและตอบคำถาม เลือกคนเอาเองครับ ระวังจั่วไพ่ผิดใบนะครับ บางทีก็เข้าใจว่าทำงานจนเหนื่อยเพลีย ก็ปรกติ "งาน" ก็เหนื่อยกันทั้งนั้นแหละ ผมเลยเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง ว่าจะไปลง กรมเจ้าท่า นั่งเรืออะไรไปดี พี่แกก็บอกว่านั่ง เรือธงสีเหลือง 14 บาทตลอดสาย ดีเลยครับไม่แพง ต่อแถวรอเรือแป๊บเดียว


ก้าวเท้ากันระวังครับ มือจับราว แล้วก้าวดีดี


เห็นวิวนี้แล้วนึกถึงเพลง "ดอกหญ้าในป่าปูน" ของคุณ ต่าย อรทัย ก็ดูป่าปูนริมน้ำเจ้าพระยาดิ สวยมากทีเดียวครับ อันนี้เป็นโรงแรมหรู ดูมีระดับ The Peninsula

และตั้งเด่นตระหง่าน ข้างๆกันคือ คอนโดหรู ดูมีระดับ The River จากมุมนี้สวยมาก ป่าปูนเนี่ย


และนี่เป็นเรือทรงไทยที่ดูคลาสสิค เป็นของโรงแรม Mandarin Oriental Bangkok ส่วนตัวแล้วผมชอบมาก นี่ถ้ามีหลายๆลำในน่านน้ำกรุงเทพ คงจะเป็นอีกเอกลักษณ์หนึ่งที่น่าดู


บรรยากาศในเรือ ผู้คนทั้งไทยและเทศ เต็มลำครับ


ขึ้นฝั่งที่กรมเจ้าท่า ครั้งแรกที่มาที่นี่ครับ



พอลงเรือมาก็เจอกับสิ่งนี้ครับ เรือเก่าลำเล็กๆที่ดูคับแน่นเต็มไปด้วยลวดลาย อะเอียดละออ ผมพยายามหาอ่านประวัติแล้วแต่หาไม่เจอ เจอแต่คาถาบูชาพญานาคที่ด้านหางของเรือ


เดินออกจากท่าเรือ หันมองซ้ายมือก็เจอบ้านช่องแบบเก่าๆ ผมว่าน่าเดินดูมากๆ เพราะปรกติแล้วเป็นคนชอบเดินเที่ยวซอกแซกตามสถานที่ต่างเพราะการเดินไปเรื่อยๆ สามารถเก็บ "รายละเอียด" ได้มากกว่า หรือไม่ใครจะปั่นจักรยานไปตามเส้นทางลัดเลาะก็เป็นการเก็บรายอะเอียดที่ดี แนะนำเลยแบบนี้

กลัวก็แต่ วันหนึ่งในอนาคตเราจะไม่ได้เห็นของเก่าแบบนี้ ฉะนั้นรีบๆมาดูกันน้าาา


แล้วผมก็เดินไปทางขวามือ คือย้อนกลับไปทางท่าเรือสี่พระยา เดินๆ มาไม่ไกลเห็นอาคารแบบตะวันตก ตอนแรกเห็นนึกแวบขึ้นมา นึกว่าอยู่ยุโรป นั่น "ละเมอ" ไปโน่น




สนามหณ้าเขียวสวย ลอบล้อมด้วยร่มโพธิ์ ใหญ่ๆถึงสามต้น

และนี่ก็คือ แบงค์สยามกัมมาจลในอดีต ปัจจุบันคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ออกแบบโดยชาวอิตาเลี่ยนสองท่านคือ Anibale Rigotti และ Mario Tamagno ใช้ทุนสร้างราวๆ "สามแสนบาท" แหม๋ก็สมัยนั้นเลยฟังดู แค่สามแสน

ซึ่งปัจจุบันทางธนาคารไทยพาณิชย์ได้มีนโยบายอนุรักษ์อาคารโบราณอันทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้ในรูปแบบสาขา "Modern Thai Heritage Branch" มีสามสาขาด้วยกัน คือ สาขาถนนเพชรบุรี สาขาตลาดน้อย และสาขาเฉลิมนคร ได้ยินแบบนี้ผมก็ชุ่มใจ ที่มีคนอนุรักษ์ของเก่าๆไว้ อย่างน้อยคนรุ่นต่อไปก็ได้ "เดิน" มาดู อย่างผมนี่ไง


เดินออกจากธนาคาร เลี้ยวขวา ติดกันนั้นเป็น วัดแม่พระลูกประคำ หรือ กาลหว่าร์ ที่มีประวัติคาวมเป็นมาที่น่าสน ก่อตั้งมารุ่นราวคราวเดียวกันกับกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ว่าได้ โบสถ์นี้ เป็นของนิกาย คาทอลิค มีสิ่งสำคัญสองอย่างที่ไม่มีใครทราบที่มาที่ชัดเจน ว่าเป็นศิลปะแบบใหน และมาจากประเทศอะไร ใครเป็นคนสร้างขึ้น หรือนำพามาจากที่ใด ซึ่งนั่นก็คือ รูปพระศพ ของพระเยซู และ รูปพระนางมารีอา ซึ่งทั้งสองเป็นไม้แกะสลักที่วิจิตรบรรจง หากใครอยากเห็นของจริง ก็ต้องมาเอง แม้แต่ผมก็แค่เดินผ่าน เอาอีกละยิ่งเดินยิ่งตลึง อยากมาอีกหลายๆรอบ เพราะแต่ละรอบที่มา ค้นพบสิ่งใหม่อยู่เรื่อย ทุกๆครั้ง


ที่ขอบรั้ววัดก็จะมีอาหารการกิน เสียดายที่ผมไม่ได้เข้าชมด้านใน เดินเลยทางเข้ามาก่อน ได้ยินว่าด้านในก็สวยมาก ไว้โอกาสหน้าจะเข้าไปเยี่ยมชม

ได้แค่ถ่ายรูปจากด้านนอกครับ


เคยนั่งเรือผ่านแล้วเหลือบมามอง วันนี้ก็ไม่ได้เข้าชม เห็นมั๊ย "พลาด" อีกแล้ว


ก็เดินๆ มาจนถึง River City แต่ผมไม่ได้เข้าไปนะครับ เพราะคงจะไม่มีอะไรแปลกตา ที่ทำให้ตื่นใจสักเท่าไร แต่ถ้าใครอยากเปลื่ยนบรรยากาศจากการเดินห้างใหญ่ๆดังๆ มาเดินดูแถวนี้ก็น่าสนนะผมว่า มองไปเห็นโดมทอง โรงแรมเลอบัว


ภาพนี้ถ่ายตอนอยู่บนเรือ มีท่าเรืออยู่ข้างหน้าเลย ใครคิดจะมาก็สะดวกดี


แต่สำหรับผมเดินต่อสิครับ ไม่รู้จะไปทางใหน เลยเดินขึ้นไปทาง สี่แยกสี่พระยา เดินผ่านสถาปัตยกรรมน่าสนใจ เช่นสำนักกฏหมาย ดำเนิน สมเกียรติ และบุญมา ที่ใครหลายคนอาจจะคุ้นหูกันดี


เดินมาถึงตรงสี่แยกสี่พระยา ก็ต้องยืนตะลึงงัน ตึกเก่าคล่ำคลึ นี่มันทำให้คึกคัก "โอมายกอด" มากมาก



เห็นแล้วอยากแอบขึ้นไปสำรวจตรวจสอบ แต่ก็ไม่กล้าเพราะมีป้ายเตือน ห้ามบุกลุก จากที่อ่านตามป้ายที่นี่เป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ และเคยเป็นพื้นที่ออกร้านของโครงการหลวง จิรดา มาแต่เก่าก่อน

อู๊ยย ไม้รู้ว่าจะกี่ปีดีดัก จนต้นโพธิ์ชอนราก จะทั่วตัวตึก ช่างสวยปนสยอง แปลกตา นึกว่าหลงเข้าไปใน กรุงเก่า


ข้างๆกันมีบ้านเก่ากะลุงแก่ อยู่คนนึง ลุงน่าจะอยู่ยามดูแลประจำการที่นี่



ตรงนี้มีโลโก้ว่า SC เท่าที่ทราบน่าจะเคยเป็นห้างมาก่อน


ทีนี้ผมเดินจากสี่แยกนี้ ตรงขึ้นไปตามถนนเจริญกรุง

เห็นฝนครึ้มๆมา แต่ก็ไม่กลัว เดินต่อ


ผ่านมาทาง B&B Italia ร้านเฟอนิเจอร์


มาถึงคลองน้ำสีคล้ำ ดำเขียว มาพร้อมกับกลิ่นที่น่าสงสัย ว่าใครหนอช่างสรรสร้าง บ้างทิ้งบ้างขว้าง สิ่งของปฏิกูล ลงลำคลองจนเกิดเป็นคลองน้ำคลำ ดำสนิท แบบนี้ แต่ก็นั่นแหละเสน่ห์ เพราะถ้าน้ำใสสะอาด ก็คงไม่ต่างอะไรกับ "เวนิส" สิ


อาคารชัยพัฒนสิน ตั้งอยู่ริมคลอง ติดสะพาน พิทยเสถียร


เพลิดเพลิน ไปกับการถ่ายรูป



บ้านตึกสองหลังนี้ดูสวย ดูเก่า แต่ไม่ทราบรายละเอียดครับ ขอจุดๆๆ ก็แล้วกัน


กลิ่นกับสี สามัคคี ดีแท้


เดินผ่านสถานีสูบน้ำมา หันกลับไปยังตัวสะพาน สวยๆๆ สวย



เดินมาถึงหน้าวัด มหาพฤฒารามวรวิหาร เป็นหนึ่งในวัดอารามหลวงชั้นตรี อยู่บนถนนมหาพฤฒาราม แถวนี้มีต้นตะเคียนเยอะด้วย เห็นหลวงพี่กะลังรอเเท็คซี่ เลยแอบถ่ายซะหน่อย ด้านหลังเห็นแม่ค้าเตรียมตัว รับมือกะฝนแล้ว ส่วนตัวผมก็คงต้องรีบหาที่หลบละ



ฝนจะตกแล้วครับ ไม่ทันแล้ว หาที่หลบ ที่ใหนละทีนี้ วิ่งเข้าซอยหน้าวัด


วิ่งมาทะลุตรงนี้ เห็นมันทึบๆ เลยวิ่งลี่เข้าไปเลยครับ ตลาดน้อยอพาร์ทเม้น หวังว่าคงไม่ใช่ซอยตันนะ


ข้างในมีตลาดด้วย เห็นไหมครับ ว่านี่คือ "กรุงเทพ" ในมุมที่คนไทยส่วนใหญ่ "พลาด"


ซอยไม่ตันครับ ทะลุออกมานี่ ทางเข้าศาลเจ้าโจวซือก๋ง แถวๆนี้มีศาลเจ้าเยอะแยะหลายที่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอยู่ย่านเยวราช


ตอนอยู่ปากทางตรงป้ายทางเข้า มีอาแปะคนหนึ่ง บอกผมว่า ที่ศาลเจ้ามีอะไรสักอย่าง ซึ่งลุงพูดไทยไม่ค่อยได้ ผมเลยถามว่าโรงเจหรอครับ ลุงบอกใช่ๆ ไปกินข้าวสิ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเทศกาลกินเจ "นี่แปลให้แล้วหนะ"

เสียดายมาก การแสดงงิ้วเพิ่งจะจบลงเมื่อไม่นาน เห็นก็แต่เหล่าเด็กหนุ่ม นุ่งห่มสีขาว ช่วยกันเก็บกวาด รอบบริเวณ





มีกลุ่มชาวต่างชาติมาติดอยู่ที่นี่กับผมด้วย ฝนตกหนักมาก เสียงมันซัด กระทบเพิงหลังคาสังกะสี ดังสนั่น ปิดเสียงอื่นให้เงียบสนิท



พอฝนเริ่มซาลง ผมก็เดินออกมาทางเดิม ลอดป้ายศาลเจ้าออกมา แล้วเดินไปทางซ้ายมือ ก็จะมาถึงวัดประทุมคงคา บรรยากาศที่ยังชื้นแฉะ มีเม็ดฝนฝอยๆ ปลอยๆลงมา มองแล้วก็ได้ความงดงามไปอีกแบบ เช่นเดียวกันวัดนี้เป็น พระอารามหลวงชั้นโท อยู่ที่ถนนทรงวาด ติดต่อกับถนนสำเพ็ง


ชมสถาปัตยกรรมของไทยเรา งานเค้าละเอียด มันวิจิตรจรรโลงใจ ทุกทีที่เห็น


ยืนหลบฝนถ่ายรูปอยู่ ผมก็มองไปเห็นถนนเล็กๆ ลืมชื่อไปแล้วครับ จำได้ว่าเป็นซอยเล็กๆ มีเพชรพลอย อัญมณีสีต่างๆขายมากมาย ผมก็เดินทะลุไปเลย เข้าไปผ่านตลาด น่าจะเป็นสำเพ็ง ผมก็รีบๆเดินเพราะฝนยังตกอยู่

อันนี้ถนนหน้าวัดปทุมคงคา


เลยขึ้นมาผมก็เห็นซอยนี้ และก็เดินเข้าไปเลย ซอยเล็กๆที่ว่า


ตรงนี้ขายพวกเพชรๆ พลอยๆ ตึกรามบ้านช่องสวยดี


เดินทะลุออกมา มาเจอตลาด ถนนนี้ผมเลี้ยวขวาเพราะรู้สึกว่า อยากเดินเข้าหาแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างทางก็เก็บภาพ ป้ายเก่าๆ ที่ดูแล้ว คุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ แต่มันอยู่ที่ตำนาน ที่ผ่านกาลเวลาอันยาวนานมาต่างหาก หลายต่อหลายคนเดินลอดผ่านป้ายนี้ หลายต่อหลายคน อาจเคยยืนหลบฝนใต้ป้ายนี้ เหมือนกับผม "ตอนนี้" ถ้ามีกล้องวงจรปิด ติดไว้ตั้งแต่แรกเร่ิม ความยาวคงเกือบร้อยปี และเราคงจะได้เห็นภาพที่เคยเกิดขึ้นที่นี่



ตึกเก่าๆ เล่าเรื่องให้ฟังมาตลอดทาง หลากหลายศิลปะที่รวบรวมไว้ในเส้นทาง "เดินเท้า' ของทริปนี้ ต่างก็มีคุณค่าที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อแรกมา แต่แค่มา "เดิน" ดู


เดินจมาถึงป้ายนี้จึงรู้ว่าผมยืนอยู่ที่ใหน ตรอกชัยภูมิ


เลยมานิด เป็นศาลจีน


ป้ายนี้ดูสวยมาก ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร อ่านไม่ออก


เดินออกมาตามตรอกชัยภูมิสุดตรอก เป็นถนนหน้าท่าเรือราชวงศ์ จะมีอาคารไม้ลวดลายแปลกตา มองลอดหน้าต่างไป เหมือนมีคนอาศัยอยู่ด้วย แอบกลัวว่าวันหนึ่งเจ้าของจะพังมันลง แล้วสร้างสิ่งอื่นขึ้นมาทดแทน แทนที่จะซ่อมและเก็บรูปแบบเดิมไว้

นอกจากตึกนี้แล้ว บริเวณนี้มีตึกเก่าสวยๆอยู่หลายตึก ที่ยังใช้งานได้อยู่ เพียงแต่ต้องดูแลเอาใจใส่ดีดีหน่อยเท่านั้นเอง



ถึงตรงนี้ผมชักเริ่มหิวแล้วละครับ หาอะไรกินดีกว่า สำหรับบริเวณด้านหน้าของท่าเรือ มีอาหารหลากหลายเมนู วันนี้ขอเลือกข้าวราดแกง ง่ายๆ ด่วนๆ ก่อนลงเรือล่องลอยกันต่อไป

ร้านนี้แหละ หากเราหันหน้าเข้าหาท่าเรือ ร้านจะอยู่ทางขวามือ ติดกับร้านแว่นฟ้า มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง


เมนูตามนี้เลย เป็นต้ม ผัด แกง ทอด หอมอร่อย ในพริบตา "ผงชูรส ?" ค่อนข้างมาครบ


ผมกินไอ้นี่ครับ ต้มยำไก่ หมูทอด และผัดผักบุ้ง อร่อยมากโดยเฉพาะต้มยำไก่ สามอย่าง สี่สิบ ถูกเว่อ นำ้ฟรีมีให้ด้วย แอบบอกนิดหนึง ห้องน้ำก็มีด้วย ถือว่าสะอาดใช้ได้


อิ่มท้อง ไม่ต้องจ่ายแพง พร้อมลุยต่อครับ

อะไรๆก็เป็นสีสันไปซะทุกอย่าง "สามล้อเรียงคิว"


เนี่ยๆ ร้านข้าวแกงอยู่ข้างๆ บ้านหน้วจั่วเนี่ยแหละ


ขึ้นเรือกัน ธงเหลือง 14 บาท


ฟ้าหลังฝน สวยสีคราม ผมยืนอยู่ท้ายเรือ แต่ต้องแอบๆหน่อยนะครับ เพราะพี่แกไล่ให้เดินเข้าในอย่างเดียว

"เดินในเลยพี่ เดินในหน่อย"


เก็บภาพมาฝากครับ ป่าคอนกรีตริมน้ำ เอ หรือ อิฐมานเบา

คือตึกนี้มีรูปแบบคล้ายคลึงกับ ตึกล้างหน้าวัด ยานนาวา และ State Tower ทำให้ผมคิดว่า ต้องมีอะไรเกี่ยวพันกันแน่นอน



ล่องเรือลอด สะพานพุทธ หรือ สะพานพระพุทธยอดฟ้า ที่เมื่อก่อนสามารถเปิด ปิดได้ แต่ทุกวันนี้ "ปิดตาย"


ยอดพิมาน เป็นตึกแบบโคโรเนียล สีเหลือง เล็งไว้ว่าจะมานั่งซะหน่อย


วัดกัลยาณมิตร ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ริมน้ำเจ้าพระยา ในวัดมีพระประธานองค์ใหญ่ "หลวงพ่อโต"


วังจักรพงษ์ ซึ่งทุกวันนี้มีส่วนที่เป็นเรือนไทย ที่เปิดเป็นโรงแรมไสตล์ บูติค ส่วนตัวอาคารที่เป็นพระตำหนัก ยังคงสงวนไว้ เพื่อเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ไม่ได้เปิดเป็นโรงแรม


ย่านนี้เริ่มมีการเปิดเป็นโรงแรม และร้านอาหาร กันมากขึ้นๆ เพราะวิวสวยมาก ทั้งกลางวันและกลางคืน ผมมาแถวนี้บ่อย สำหรับผมนะ แถวนี้เปรียบเสมือน Reception ที่ผมใช้รับรอง เพื่อนพ้อง


ช่วงนี้กำลังอยู่ภายใต้การซ่อมแซม



ลงที่ท่าเตียนครับ ร้านโป๊ะท่าเตียน ก็เป็นที่กินของผมด้วย แต่ชอบมาตอนกลางคืน ได้บรรยากาศบ้านๆ กันเอง อาหารอร่อยทุกอย่าง แต่ขอบอกว่าให้รีบมาแต่หัวค่ำ เพราะถ้ามาดึกไป อาหารบางรายการอาจหมด เพราะที่นี่ "อร่อย" และ "ถูก"


ออกจากเรือมาก็จะเห็น ร้านค้าร้านขาย



อันนี้เป็นด้านฝั่งวัดโพธิ์


อ้าวคึกคักจัง

เดินเข้ามาในสวนติดกับท่าเรือ ก็สวยไม่หยอก มองซ้ายมองขวา มันสวยสะดุดตาไปทุกมุม



มองไปทางวัดอรุณ


ตึกตรงนี้เพิ่งได้รับการทำนุบำรุง ดีใจที่ยังเก็บไว้ ช่วงนี้มีปล่อยให้เช่า ทำมาค้าขาย เอ้าใครสนใจก็ลองถามกันดู


เข้าวัดซะหน่อย ทางเข้าวัดก็อยู่ตรงท่าเรือเลยครับ

นี่มันอะไร มากี่ทีก็ "งาม" ถ่ายรูปเป็นว่าเล่น นี่ช่างเป็นมรดกล้ำค่า ที่บรรพบุรุษส่งต่อให้ ไม่ได้เป็นเจ้าของด้วยลายลักษณ์อักษร แต่ความเป็นเจ้าของ นั้นอยู่ใน "สายเลือด"

วัดแห่งนี้เป็นอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีเจดีย์ 99 องค์ เจดีย์ที่สำคัญคือ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ที่นี่ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของสยามประเทศ เพราะเป็นที่รวบรวมศาสตร์วิชาหลากหลายแขนง อีกทั้งยังเป็นที่รวบรวมสิ่งมหัศจรรย์ มากมาย


รูปปูนปั้น ศิลปะแบบจีน ได้มาจากจีน เมื่อครั้งไทยล่องเรือขึ้นไปค้าข้าวกับชาวจีน ขากลับเรือเบา เพื่อเป็นการเพิ่มน้ำหนักในเรือ จึงได้ซื้อรูปปูนปั้นเหล่านี้ติดมาด้วย เราสามารถเห็นได้ทั่วบริเวณ



พระไสยาส ลักษณพิเศษ คือ มีประดับมุกภาพมงคล 108 ประการที่ฝ่าพระบาท


เหลืองทองผ่องอำไพ เหนือคำบรรยายใดๆ







สถาปัตยกรรม ที่ละเอียดอ่อน งดงาม ที่ผมไม่เคย "อิ่ม" กับการมอง




นอกจากจารึกการนวดแผนไทยแล้ว ยังมีรูปปั้นต่างๆ ที่สื่อให้เห็นว่าที่นี่ คือ "สุดยอด" ของศาสตร์การนวด ที่ใครๆได้ลิ้มลอง เป็นต้องติดใจ หรือร้องเสียงหลง งงกับอาการเจ็บ


มีพระพุธรูปมากมาย ประดิษฐาน อยู่รอบๆ


ครับ การที่เราเป็นคนไทยควรรู้จัก "กาลเทศะ" ให้เป็นอย่างดี เพื่อเป็นแบบอย่างให้นักท่องเที่ยว ที่เค้าไม่เคยคุ้นกับของ "ของเรา" ไม่ว่าจะเป็น ตรงใหนควรนั่ง ไม่ควรนั่ง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์แบบใหน รองเท้าถอดไม่ถอดยังไง เมื่อทราบแล้ว เราเห็นอันไดไม่ควร ก็บอกเตือนกันดีดี อย่าไปตีกัน


สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งคือ พระประธาน พระพุทธปฏิมากร ภายในพระอุโบสถ ซึ่งเป็นพระพุธรูปปางสมาธิ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาจาก วัดศาลาสี่หน้า ด้วยประสงค์มั่นว่า นี่จักเป็นพระนครอย่าง "ถาวร"






เดินวน ชมวัดอยู่นานครับ มันรู้สึกอิ่มเอม เปรมปรี อย่างบอกไม่ถูก

เดินออกมา ก็เจอกับ ร้านขายของเล็กๆน้อยๆ


แล้วผมก็เดินกลับมาทางท่าเรือท่าเตียน ขอแวะแนะนำ นิดหนึงครับ อย่างที่บอกว่าผมมาแถวนี้บ่อยๆ ซอยแรกถัดจากทางเดินลงเรือที่ท่าเตียน เดินเข้าไปเลย สุดซอย จะเป็น โรงแรม ศาลารัตนโกสินตร์ ที่มีห้องอาหารและ รูฟบาร์ อาหารอร่อย บาร์วิวสวย แนะนำครับ


นี่มุมที่มองจากแม่น้ำ ตามป้ายเลยครับ และติดกันนั่นคือ รูฟบาร์อีกที่ ชื่อว่า Eagle Nest อยู่บนโรงแรม ศาลาอรุณ บาร์นี้สวยมาก ผมชอบเป็นกานส่วนตัว เพราะว่าเมื่อเราขึ้นมาตอนกลางคืน มองข้ามแม่น้ำ จะเห็นพระปรางค์ วัดอรุณ ในมุมที่ตรงเป๊ะ และเมื่อมองมาทางฝั่งวัดโพธิ์ ก็จะเห็นหมู่เจดีย์ ตรงเป๊ะอีกเช่นกัน


ซอยที่สองถัดจาก ศาลารัตนโกสินทร์


เดินมาเจอนี่เลย ปลาสลิดแดดเดียว


เดินเลียบ ถนนมหาราช ไปทางท่าช้าง เห็นตลาดพระ ทอดยาวไปเลยครับ แหม่ถ้าใครชอบส่องพระต้องที่นี่แหละครับ ตาดีได้ตาร้ายเสีย ว่าแต่เจ้าตูบ ก็มาส่องพระเหมือนกันหรอ พอผมถ่ายรูป เค้าหันมา จะกัดซะงั้น


เพื่ออะไรหนอ กระรอก หรือ นก


ร้านน่ารักเชียว ผมก็แอบมองๆอยู่นะ เพราะอยากได้ แก้วขนเหล็ก หรือ แก้วโป่งข่าม สวยๆสักก้อน


เดินผ่าน พระที่นั่ง ราชกิจวินิจฉัย ซึ่งสร้างขึ้นใน รัชกาลที่ 4 ปัจจุบันเป็นแบบไม้จตุรมุข ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และพระที่นั่งองค์นี้ ยังเป็นที่เสด็จประทับในการเสด็จโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค อีกด้วย


มองมาตอนนั่งเรือ

ตลาดหน้าท่าช้าง ใครที่จะมาเที่ยวชม พระบรมหาราชวัง และมานมัสการพระแก้วมรกต ลงเรือที่ท่านี้ ง่ายสุดครับ



ผมเดินต่อมาจนถึงท่ามหาราช ประตูทางเข้ามี จกย. ห้อยๆอยู่ สวยเก๋ไปอีกแบบ


ที่หมาฉี่

ที่ท่านี้เค้าทำเป็นแหล่ง ช๊อปปิ้ง กินดื่ม ดูดีมีหลากหลาย ดูว่ามีอะไรบ้าง เป็นต้น


แคร่ สีสด ไว้ให้นั่งเล่น







เริ่มหิว ผมเดินเลียบ ตรอกเล็กๆมา ก็จะถึงโซนร้านอาหาร "บ้านๆ" ริมเจ้าพระยา เลือกไม่ถูกทีเดียวเชียวละ


ป้ายใหญ่ดี เข้าร้านนี้แหละ


มองจากบนเรือ ร้านที่มีผ้าปูโต๊ะ สีฟ้าๆหน่ะครับ


ชอบเลย


ครัวเปิดครับ นึกว่าอยู่ Table Grill Grand Hyatt


ข้าวสวย กะ ต้มยำกุ้งน้ำใส อุ๊ย ต้มยำอร่อยเหอะนะครับ อร่อยจริงๆ มากันเลยที่นี่ ร้าน "อร่อยดี" สมชื่อครับ ผมจ่ายไปทั้งหมดทั้งมวล 100 รวมน้ำ รวมภาษี และเซอร์วิสชาร์จ


หลังจากทานต้มยำ มันได้เวลาที่ต้องกลับพอดี ผมขึ้นเรือจากท่ามหาราช ไปลงที่สาทร


ระหว่างทางเอาซะหน่อย


อันนี้เคยเป็นสรรพสินค้ามาแต่กาลก่อน อ่านจากป้ายครับ และน่าจะข้างๆกัน เคยเป็น ที่ประกอบธุรกิจของชาวเดนมาร์ก ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเจ้าของโรงแรมโอเรียนเท็ล และเป็นนายหน้าค้าที่ดินบริเวณติดแม่น้ำเจ้าพระยา ธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง จนในที่สุดก็ได้จดทะเบียนเป็น บริษัทแอนเดอร์เซ่น แอนด์ โก ซึ่งส่งออกไม้สักไปต่างประเทศ ปัจจุบันคือ บริษัทเดินเรือ อีสต์เอเชียติค



ตึกนี้ก็มีตำนาน จากวิชา สปช. เราคงเคยได้ยิน "ร้อยชักสาม" นี่ละครับ โรงภาษี ร้อยชักสาม ที่เป็นด่านศุลกากรในสมัยก่อนสวยงามและทรงคุณค่า แม้กาลเวลาจะล่วงไป



ย่านโรงแรมริมน้ำ


ส่วนหนึ่งของ แชงกรีล่า



และแล้วก็ขึ้นฝั่งที่ท่าเรือสาทร ต่อด้วย บีทีเอส

ยืนอยู่บนรถไฟ มาจอดที่ช่องนนทรี ผมมองเห็นข้างล่างมีอะไรกัน

น่าสนใจมาก เพราะดูคึกคักดี ผมเลยลงไปดู


พอลงมาก็ อีกแล้วครับท่าน วันนี้ทั้งวันตื่นตาตื่นใจ นี่สิ กรุงเทพ ที่ผมบอกบ่อยๆว่าห้าม "พลาด"

งานแห่ เจ้าแม่ศรีมหาอุมาเทวี สวยงาม อ่อนช้อย เต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้ นานาพรรณ ตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นธูป แสดงให้เห็นพลังศรัทธาที่มีต่อ พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี แห่งวัดแขก ถนนสีลม

ทั้งงานใบตอง งานดอกไม้ อวดกันเต็มที่


ผมมาแบบไม่ได้คาดคิดนะครับ ดูเอา จัดกันใหญ่





บายศรีพญานาค

ผมลงเดินแบบอุ้ยอ้าย จากตรงหน้าตึก สาทรสแควร์ จนมาจรดถนนสีลม ไม่ไหวแล้วครับ น่องเหนื่อย ต้องเดินกลับไปสวนพลูอีก

ตรงถนนสีลม คนเริ่มแน่น


แล้วผมก็เดินข้าม ที่สะพานลอย ที่เมื่อเช้าพึ่งจะข้ามไป ดูครับ ดูการจราจร เสน่ห์ที่ไม่อยากเข้าใกล้ ยืนดูไกลๆก็พอ


ทริป "เดินดิน" กิน "ข้างทาง" วันนี้คงพอแค่นี้ครับ เดี๋ยวต่อพรุ่งนี้อีกวัน

วันนี้ผมใช้ตังไป ตามนี้

ค่าบีทีเอส 56 สองเที่ยว

ค่าเรือ 42 สามเที่ยว

ค่ากิน 140 ข้าวแกง กะ ต้มยำกุ้ง

สำหรับใครที่คิดว่า "เบื่อกรุงเทพ" ลองเบิกใจ แล้วไป "เดิน" ดูนะครับ

จะได้ซึมซับ "คุณค่า" ของบ้านเรามากขึ้น เพราะเมื่อรู้คุณค่าแล้ว เราถึงจะ "รัก" จริง และเมื่อรักแล้ว เราถึงจะรู้จัก "รักษ์" และหวงแหน

สวัสดี




Lae Easytravel

 วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.37 น.

ความคิดเห็น