สวัสดีครับ

ไม่ว่าเราจะเดินทางไปยังแห่งหน ตำบลใหน สิ่งที่เราจะขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด ก็คือ ที่กินและที่นอน แต่การเลือกที่กินที่นอนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับโอกาส และบุคคลิกภาพของแต่ละบุคคล ในฐานะของผู้บริโภคอย่างเรา เราย่อมมีสิทที่จะเลือกสิ่งที่ตัวเองคิดว่า เหมาะสมที่สุดให้กับตัวเอง ในท่ามกลาง การแข่งขันทางการตลาดที่เข้มข้น ถือเป็นโอกาสดีของผู้บริโภค ที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด จากตัวเลือกที่หลากหลาย ให้ตรงตังเองและโอกาส

ดังนั้นเพื่อเป็นการนำเสนอรายละเอียดเพิ่มเติม จากสื่อต่างๆที่มีอยู่แล้ว รีวิวของผมขอเป็นส่วนหนึ่งในการแชร์ข้อมูล จากประสบการณ์ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ทุกคนมี รายละเอียดของ ที่กินที่นอนมากขึ้น และครั้งนี้ ผมจะขอแนะนำ โรงแรม และ ร้านอาหาร ที่มีความพิเศษกับผมมากๆ นั่นก็คือ โรงแรม Ma Du Zi

ก่อนที่จะพาชมตัวโรงแรม และชิมเมนูอร่อยๆ ผมขอนุญาต ท้าวความว่าทำไมโรงแรมนี้ ถึงได้มีความพิเศษสำหรับผม

คือว่าเมื่อ สี่ปีที่แล้ว ผมมาทานอาหารกับเพื่อนที่นี่ และก็ได้ขอเพื่อน คนนั้นเป็นแฟน ในห้องอาหารแห่งนี้ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เราตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าเราจะดูแลกันและกันไปตลอดชีวิต และครั้งนี้ที่มา เพราะมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง มอบอาหารในคำ่คืนนี้ให้เป็นของขวัญสำหรับเรา...... ในความรู้สึกของผม มันสุดแสนจะพิเศษ ก็อย่างที่บอก มันแล้วแต่โอกาสของเราครับ

ในความเห็นของผม ผมว่าโรงแรมเหมาะกับนักธุรกิจ ที่ต้องเดินทางในนามขององกรณ์ เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เอื้อต่อการเดินทางแบบนักธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุมเล็กๆที่ดูเป็นกันเอง ห้องอาหารที่ทุกมุมเป็นมุมส่วนตัว คุยกันเรื่องธุรกิจได้สบายๆ รวมถึงการดูแลเอาใจใส่แบบใกล้ชิด พนักงานสมารถดูแลเราได้เกือบร้อยเปอเซ็น เนื่องจากโรงแรมเป็นโรงแรม Luxury ขนาด 40 ห้อง จึงไม่วุ่นวาย เหมือนโรงแรมขนาดใหญ่

โดยเพราะ ในด้านของทำเลที่ตั้ง โรงแรมสามารถเดินไป รถไฟใต้ดิน และบีทีเอส ได้โดยใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาที ไม่เกินนี้แน่นอนครับ

ที่ตั้งของโรงแรม. เลขที่ 9/1 ถนนรัชดาภิเษก อยู่ตรงหัวมุม สุขุมวิทซอย 16 ทางเข้าอยู่ติดกับถนนรัชดาฯ

Tel: 02615 6464

www.maduzihotel.com

สำหรับวันนี้ผมจองมาตอนสองทุ่ม เพราะอีกคนเค้าเลิกงานช้าครับ แต่ผมกะว่าจะมาก่อน จะมาขอถ่ายรูปบรรยากาศภายโรงแรม เพราะคิดไว้แล้วว่าอยากจะแนะนำโรงแรมนี้มาก เพราะเรารู้สึกพิเศษกับมันมาตลอด ผมขึ้นรถไฟใต้ดินจาก สถานีลุมพินี มาลงที่สถานีสุขุมวิท แล้วเดินมา กะว่าจะมาข้ามสะพานลอย ตรงเยื้องๆทางเข้าของโรงแรม เพราะอยากถ่ายรูปตัวตึก แต่ทางที่ง่ายกว่าคือให้เดินมาที่ตึก Exchange Tower เดินมาลงที่ข้างตึก Exchange แล้วก็ตรงมาปากซอยสุขุมวิท 16 โรงแรมอยู่ตรงหัวมุมพอดีครับ

ตัวตึกตั้งอยู่ตรงหัวมุม หาง่าย ซึ่งก็เป็นตึกขนาดเล็กกระทัดรัด


พอผมเดินข้ามสะพานลอย ก็เลยถ่ายอีกรูป แสงกำลังดี


แนะนำอีกอย่างหนึ่งว่า ไม่ควรขับรถมาเพราะอาจเจอกับ ปัญหาการจราจร แบบติดแน่นทนนาน เดี๋ยวอารมณ์เสียปล่าวๆ

เดินมาถึงหน้าโรงแรม ก็เดินเข้าไปได้เลยครับ


ที่ประตูรั้ว ก็จะสังเกตเห็น แผ่นป้ายสองแผ่น อันหนึ่งคือ A Member of SECRET RETREATS


และอีกป้าย Small Luxury Hotels of the World หรือ SLH นั่นเองครับ จากป้ายสองแผ่นนี้ก็บอกชัดเจนถึงเอกลักษญ์ของโรงแรมแล้วครับ ว่าง่ายๆเป็นกันเอง แต่โปร และหรูหรา


เดินเข้ามาในรั้วมีที่จอดรถค่อนข้างกว้างครับ ผมว่าน่าจะจอดได้ เกือบๆยี่สิบคันเห็นจะได้


เดินขึ้นทางนี้ครับ หน้าโรงแรม


พอเดินเข้ามาก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย ไม่ตกใจนะครับ เพราะเคยมาแล้วจะรู้ว่าทำไม ส่วนใครที่มาเป็นครั้งแรกก็คงตกใจ เพราะเข้ามาไม่เจอใครสักคน เจอแต่บาร์ ไม่ต้องตื่นเต้นครับ สั่นกระดิ่งที่วางอยู่บนบาร์เค้าเตอร์ได้เลยครับ


พอทราบว่ามีลูกค้าก็จะมีพนักงานมาต้อนรับและดูแลครับ ขอบอกอีกอย่างนะครับว่า พนักงานส่วนหน้า พูดภาษาอังกฤษ ได้ดีมากมาก สำหรับบาร์นี้ก็จะใช้เป็น เค้าเตอร์นั่งดื่ม welcome drink ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ครับ ตามสะบายว่างั้น แล้วก็ welcome drink เค้าเสริฟ ตลอด 24 ชั่วโมง


ที่นี่จะพิเศษสุดๆ สำหรับลูกค้าที่พักอยู่ในโรงแรม เหมือนอยู่บ้านอย่างไงก็อย่างงั้น กับลูกค้าเนี่ยยืดหยุ่นมากครับ


บอกพนักงานว่ามีจองไว้ตอนสองทุ่ม เลยลองติดต่อขอถ่ายรูปรอบๆ โรงแรมหน่อยดูสิว่าเค้าจะให้ขึ้นไปดูห้องหรือเปล่า น้องเค้าบอกให้รอก่อน ขอถามนายก่อน ผมเลยเดินดูรอบๆ

พอมองย้อนกลับไปดูประตูที่เดินเข้ามาเมื่อกี้ สวยดีนะ คือผมว่าอบอุ่นดีครับ


ข้างๆบาร์มีประตูเปิดไว้ พอเข้าไปก็เจอห้องประชุมเล็กๆ ที่จัดเหมือนบรรยากาศในห้องนั่งเล่น พอผมถามพี่เค้า เค้าบอกว่าที่ตรงนี้ไม่ได้เตรียมไว้สำหรับการประชุมเพียงอย่างเดียว แต่ยังสำหรับ private diner, และงานจัดเลี้ยงสงสรรค์ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและไม่วุ่นวายกับใคร


ที่นี่มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก อยู่แถวนี้แล้วไม่รู้สึกเคลียด


อีกมุมของห้องนี้ครับ


มองออกไปทางประตูก็จะเห็นบาร์ ผมว่านะถ้าจองมาที่บาร์สัก สิบคน คงเหมือนเราเหมาบาร์เฉพาะกลุ่มเลย เป็นอีกไอเดียหนึ่งไว้ให้พิจารณาครับ


เดินเลยบาร์เข้าไป จะเป็นโซนห้องอาหาร


การจัดตกแต่ง เน้นความเป็นส่วนตัวและความอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านครับ สังเกตุว่าโต๊ะทานอาหารจะถูกคั่นด้วยชั้นวางหนังสือ ซึ่งผมว่าถ้านัดกันมาสนธนาภาษาธุรกิจ ก็คงทำให้ความตรึงเคลียดผ่อนคลายลงไปเยอะครับ แอบบมองเห็นชั้นโชว์ไวน์อยู่ด้านหลัง ขอแอบไปดูเลยละกัน


พอได้ครับ มีตัวเลือกไม่เยอะมาก แต่ก็ยังชอบการเซ็ทห้อง ที่ให้บรรยากาศของความเป็นบ้าน ไม่ว่าจะมองไปมุมใหน


ข้างๆชั้นวางไวน์ มีประตูออกไปสู่ โซน out-door เล็กๆผ่อนคลาย ตรงนี้ก็เช่นกันครับ จองเป็น out-door private diner ก็ได้ หรืองานสังสรรค์ที่เน้นความเป็นกันเอง ไม่วุ่นวายและมีความเป็นส่วนตัวมากๆ เหมาะๆ


ครั้งที่แล้วที่มาทานอาหาร จำได้ว่าห้องน้ำที่ชั้นนี้สวยมาก ไปดูกันครับ

นี่เลยเป็นหินอ่อนทั้งหมด ออกแนวญี่ปุ่นด้วยครับ ที่เป็นไฮไล้ท์ ก็คือที่ปัสสาวะห้องน้ำชาย เป็นแฝงหินออ่น และเซ็นเซอร์ที่จะปล่อยน้ำไหลลงมาอาบแผ่นหิน เป็นน้ำตกเลย


แต่ถ่ายรูปไม่ค่อยสวยเพราะค่อนข้างแคบ ส่วนที่พิเศษอีกที่หนึ่งคือ ตัวผนังห้องส้วม ซึ่งเป็นทองแดงทั้งหมดเลย สวยแปลกตามากครับ


เดินออกมาจากห้องน้ำ เลยมานิดหน่อย ตรงข้ามกับลิฟท์ เป็นโต๊ะเช็คอินครับ ถามน้องพนักงานซะเลยว่า ตกลงขอถ่ายรูปห้องพักได้มั๊ย ตกลงว่าได้ครับ


โต๊ะเช็คอินครับ


ผมถามว่ามีห้องฟิทเนสหรือเปล่า เราเดินผ่านมาพอดี น้องเค้าเลยแวะให้ด้วย ก็เล็กๆครับ แต่ก็มีครบนะ สำหรับ นักธุรกิจหุ่นดีที่ต้องออกกำลังกายทุกวัน


ตรงนี้เป็นลูกน้ำหนัก ในห้องมีน้ำและผ้าเช็ดหน้าให้ครับ


เดินออกมาตรงทางเดิน มีภาพลายไทย วาดมือครับ สวยดี


เปิดประตูห้องเข้ามา เจอนี่เลย เครื่องทำกาแฟ หายากนะครับที่โรงแรมจะมีเครื่องแบบนี้ไว้ให้ในห้องพัก เป็นเครื่องที่ต้องใช้เมล็ดกาแฟบด ซึ่งทั้งหอมทั้งรสชาดดีกว่าแอบชงกับน้ำร้อนหลายเท่า ได้ใจนักธุรกิจคอการแฟดีเชียว


ลิ้นชักด้านล่าง ก็มีทั้งชาและกาแฟครับ


ดูกันใกล้ๆ


ส่วนด้านล่างเครื่องกาแฟเป็นมินิบาร์ ไม่มีเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์นะครับ ทุกอย่างไม่ต้องจ่ายเพิ่มครับ


มีโต๊ะทำงาน ในห้องนั่งเล่น ที่มี day bed อยู่ด้วย เห็นการจัดห้องนึกว่าอยู่บ้าน


ภายในห้องนั่งเล่นครับ


เหมือนอยู่บ้านเลยครับ


มองออกไปทางประตู


พอเดินออกประตู มองมาทางขวามือ เป็นเตียง เตียงที่ใหญ่มาก มากจริงๆ น้อยโรงแรมที่จะมีเตียงใหญ่แบบนี้ หายากนะครับ เตียงใหญ่มีทุกห้องเลยครับ เครื่องทำกาแฟนั่น และมินิบาร์ด้วย มีทุกห้อง


คือเตียงใหญ่มาก ดูจากหมอนสิครับ เรียงกันสามใบ แต่ละใบก็ยาวกว่าหมอนปรกติด้วย คิดเองครับว่าน่านอนขนาดใหน


โคมไฟเก๋ๆ


เดินอ้อมๆ มาก็จะเป็นโซนห้องน้ำครับ ก่อนถึงห้องน้ำก็จะเป็นตู้เสื้อผ้าที่เดินเข้าไปได้เลย มีครบทุกอย่างอยู่ในี้ครับ ตู้เซฟ เสื้อคลุมอาบน้ำ ผ้าขนหนู รองเท้า ร่ม ที่แขวนเสื้อสูท แขวนได้หลายตัวทีเดียว ลืมบอกว่าห้องนี้เป็นห้องไซ้ส์ใหญ่สุดครับ


เดินผ่านห้องตู้เสื้อผ้ามา ก็จะเป็นห้องน้ำ สไตล์ยี่ปุนผสมผสาน


ผลิตภัณฑ์ทุกตัว เป็นของมาจากยี่ฮ้อ Panpuri ทั้งหมดครับ ว่าแล้วเชียวเจลล้างมือในห้องน้ำกลิ่นคุ้นๆ กลิ่นมะลิหอมมาก หอมแบบไทยแท้ๆ


อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่กว่าโรงแรมปรกติ มีระบบฉีดน้ำเหมือน Jacuzzi แบบนี้ก็มีอยู่ในทุกห้องครับ


ห้องน้ำสวยดี


มีหนังสือแนะนำการใช้ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องพักเป็น การ์ตูนญี่ปุ่น นี่ถ้าเป็นตัวการ์ตูนจาก Studio Gibli ผมคงกรี๊ด เพราะชอบมาก


พอละ.......คนมาด้วยโทรตาม บอกว่ามาถึงแล้ว พอลงมาเลยมองลงไปที่พื้น โห ที่นี่พื้นเป็นไม้แท้ๆ แผ่นใหญ่ๆหนาๆ มาเต็มเลยครับ


โต๊ะของเรา โต็ะเดียวกัน เหมือนเมื่อวันนั้นเลย สี่ปีที่แล้ว


เมนูครับ มีทั้งแบบเซ็ท และแบบเลือกเอง เมนูมีสองภาษาครับ ไทยและญี่ปุ่น

ผมแนะนำให้ทานแบบเซ็ทนะครับ คุ้มกว่า ราคาเริ่มต้นที่ 1,500 ทั้งหมด 5 จานไม่นับรวม Amuse bouche ซึ่งในแต่ละ คอร์สจะมีตัวเลือกให้สามจาน ให้เลือกมาหนึ่งจาน ราคาอาจจะมีบวกเพิ่มหากเราเลือกเอา จานที่มีวัตถุดิบพิเศษ หรืออีกหนึ่งตัวเลือกคือ แบบ 3 course ในราคาเริ่มต้นที่ 1,000 บาท

เราเลือกแบบ 5 จานเหมือนครั้งก่อน ไปดูน่าตาของอาหารกันครับ


สั่งแล้ว... พี่เค้าจะเสิร์ฟขมมปังอุ่นๆ พร้อมกับเนยครับ ถือว่าถูกต้องตามความคิดของผม ขนมปังควรมาก่อนการเสิร์ฟไวน์ เพราะลูกค้าบางท่านชอบทานขนมปังก่อนชิมไวน์


เราเลือกที่จะดื่ม Sparkling wine คู่กับจานที่ 1-4 ครับ


มาแล้วจานแรก จานเรียกน้ำย่อย ผมถือว่าเป็น Chef Greeting, Amuse bouche ครับ จานนี้แล้วแต่เชฟจะจัดให้ครับ วันนี้เป็น Smoked Salmon และ Carrot sour cream ขอบอกว่ารู้ได้ไงว่าชอบ ปลาแชลม่อน แล้วยังมี Sparkling wine อีก ก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวละ


จานที่ 1 ของ มาร์ค

เป็นเนื้อวากิว สไลส์บางๆ จาก คาโกซิม่า ประเทศญี่ปุ่น มาพร้อมกับ ครีมชีสจากออสเตรเลีย ลาดมากับซอสยูซุ ปรุงรสเปรี้ยวอ่อนๆ ด้วยซิทรัส บอกเลยว่าผมขอชิมของมาร์คทุกจาน จานนี้อร่อยมาก


ส่วนจานที่ 1ของผม

เป็น โฮมเมด แฮม เสริฟพร้อมกับ เห็ดทราฟเฟิ้ลดำ และสลัด ครับ ถึงแม้ว่าไม่ใช่ทราฟเฟิ้ลสดแต่ก็หอมยั่วยวน ไม่แตกต่างมากครับ


จานที่ 2 ของมาร์ค

เป็นปลาไพ้ค์ในเจลลี่ เคียงมากับหอยแครงและหอยแมลงภู่ตัวใหญ่เนื้อแน่น และเพิ่มความหอมด้วย พริกไทยสี่สี


จานที่ 2 ของผมเอง

จานนี้บอกเลยว่าสุดยอดกว่านั่งทานใน ห้าดาวบางที่ซะอีก

ฟัวกราส์ เทอร์รีน ที่นุ่มและฉ่ำ ทำได้ดีมากๆครับ เพิ่มเติมความอร่อยด้วยรสเปรี้ยวอมหวาน ที่ลงตัว จากสับประรดอบน้ำตาล แต่งแต้มรสชาติอีกนิดด้วย เจลลี่มะม่วง และไวน์ขาวชาร์ดองเน่ย์


จานที่ 3 ของมาร์ค

ซุปล๊อบส์เตอร์ น้ำข้น เข้มรสล๊อบส์เตอร์ หอมกลุ่นกลิ่นเครื่องปรุง ตัวซุปไม่เน้นไปที่ความมัน ครีมมี่ แต่เน้นที่รสชาติเพรียวๆ ของกุ้งล๊อบส์เตอร์ พร้อมกับเนื้อกุ้งที่อุ่นระอุ อยู่ในน้ำซุป พอเคี้ยวเข้าไปได้ความชุ่มฉ่ำ เต็มๆคำ ขออนุญาตชิมทุกจานซะนี่


จานที่ 3 ของผมเอง

เมนูนี้ลูกครึ่ง ฝรั่งเศสและจีน แต่เชฟญี่ปุ่นเป็นคนปรุง หอยเชลล์เนื้อนุ่มชุ่มรส มาพร้อมกับน้ำซุปสีใส กับริ๊บบิ้นไข่ขาว ปรุงรสอ่อนๆ กลิ่นกลุ่นหอมหวนแบบจีนๆ มีเนื้อปูหิมะช่วยเสริมรส เพิ่มความโอชาให้เมนูนี้ ติดห้าดาวไปเลยครับ


จานต่อไปจะเป็นอาหารจานหลัก ซึ่งที่เราสั่งไป เป็นเนื้อทั้งสองจาน เลยขอบเปิดดูไวน์ลิสท์ ซะหน่อย

ขวดนี้ครับ Chateau Bassac, Borddeaux, 2009 ขวดนี้ 1,530 ++ เป็น Bordeaux Blend ปรกติครับ ส่วนรถชาติถือว่าใช้ได้นะครับ เป็นไวน์โบร์โดซ์ ที่ออกเผ็ดนำ และแทนนิ่นนุ่มๆ ผมไม่เคยลองตัวนี้มาก่อน ที่สั่งไปเพราะตัวที่สั่งตัวแรก หมดสต๊อคครับ สำหรับขวดนี้ผมว่าเก็บไว้สักปีหรือสองปี น่าจะ round ขึ้น แต่ด้วยความเผ็ดนำ ก็เข้ากันกับจานหลักของผมได้ดีทีเดียว เดี๋ยวไปดูว่าเมนูจานนี้คืออะไร


จานหลัก ของมาร์ค

มาร์คถึงกับ ร้องว๊าว เมนูเนื้อสันในจากประเทศอาเจนทิน่า เพิ่มรสด้วยซอสชาล็อท เคียงมาพร้อมกับผักห้าชนิด ก็ถูกอกถูกใจคนรักเนื้อสเต๊กไปนะครับ


ส่วนจานนี้ของผม

จานนี้ถือเป็นพระเอกของงานครับ สเต๊กเนื้อวากิวเกรด A-4 จากมิยาซากิ ประเทศญี่ปุ่น เสิร์ฟแบบ รอสซินี่ ที่มี ฟัวกราส์จากฝรั่งเศสช่วยเพิ่มความนุ่มให้เนื้อ ขอบอกเลยว่าโดน โดนสุดๆ ด้วยความมันจึงทำให้นุ่มแน่น ทุกคำที่เคี้ยว บวกกับฟัวกราส์ ที่ทำให้เอิบอิ่มเข้าไปอีก ทานคู่กับไวน์ที่มีรสเผ็ดนำ ความเผ็ดตัดความมันลงตัวพอดี ผมเลยถือว่าฟลุค ในเกมส์เลือกไวน์


อิ่มเอมเปรมปรีครับ

สำหรับขนมหวาน เชฟยูย่า จะเป็นคนทำมาเซอร์ไพร้ส์ให้ เราไม่ต้องเลือกเองครับ

ของเรามีเซอร์ไพร้ส์มาด้วยจริงๆ กับข้อความที่เขียนลงในจาน ในจานก็จะมี ช็อคโคแล็ตลาวา วะนิล์ลามูส เค๊ก และผลไม้ครับ

และก็มีอีกจานที่เป็นภาพปรกครับ


อร่อย เกลี้ยงเกลา แบบนี้ทุกจานเลยครับ


หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อย เราก็มานั่งที่บาร์ สั่นกระดิ่งด้วยนะครับ

มาร์คยังอยากดื่มต่อ ยังไม่อยากกลับบ้าน


ไวน์แดงอีกคนละแก้ว เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ไปวิ่งที่สวนรถไฟครับ ดื่มมากเกินไปกลัวตื่นไม่ไหว

สำหรับอาหารในค่ำคืนนี้ต้องขอขอบคุณ เพื่อนสาวสุดรัก ที่เราสวนเสเฮฮากันอยู่เสมอๆ ขอบคุณที่ยังจำวันสำคัญของเราได้ และขอบคุณสำหรับของขวัญในครั้งนี้

ผมขอลาด้วยคำว่า มาดูสิ ที่ Ma Du Zi

สวัสดีครับ

Lae Easytravel


Lae Easytravel

 วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.03 น.

ความคิดเห็น