ต้องบอกว่ารายใหนก็รายนั้น เมื่อได้มาสัมผัสกับความเป็นไทย ก็กรี๊ดแตก แหกปาก Amazing Thailand
น้อยคนนักที่จะกลับไป พร้อมกับความผิดหวัง รู้อย่างนี้แล้ว เราในฐานะเจ้าบ้าน ต้องทำหน้าที่ให้ดี ให้สมกับคำว่าเจ้าบ้าน ไม่ใช่แค่ต้อนรับขับสู่ แต่ต้องรวมถึงความมีน้ำใจไมตรี ต่อแขกผู้มาเยือน และที่สำคัญต้องช่วยกันดูแลรักษาบ้านตัวเองให้ดี ช่วยกันคนละไม้คนละมือ หลายคนก็หลายไม้หลายมือ จากพลังเล็กๆ ก็กลายเป็นพลัง ยิ่งใหญ่มหาสาร จะได้ทำให้บ้านเรา เป็นที่หมายตา ของคนทั่วโลกไปตลอกกาล
23.10.2558
สวัสดีครับ
วันนี้ต่อจากเมื่อวานครับ กรุงเทพฯ ในมุมที่คนไทย ไม่ควรพลาด วันนี้เป็นวันที่สอง ที่ผมแบกกล้องล่องเรือ แล้วลงเดิน เดิน เดิน และก็เดิน วันนี้ค่อนข้างง่ายครับ ผมขึ้นเรือจากท่าสาทร ดิ่งไปยังท่าพระอาทิตย์ ค่าโดยสาร 14 บาทไทย เท่าเดิม ธงสีเหลืองนะครับ
คือที่ลงภาพของสองหนุ่มนี้เพราะว่า เห็นเค้ายืนบนหัวเรือ แล้วก็ชื่มชมสิ่งที่ปรากฏต่อตาของเค้าอยู่ ผมชอบที่จะเห็นภาพแบบนี้ ก็มันตื้นตันยังไงไม่รู้
มาขึ้นเรือกันเลยครับ แล้วเราก็ล่องเรือเลียบ ลำนำ้เจ้าพระยาขึ้นไป สองข้างฝั่งฝากน้ำนี่ จะดูกี่ครั้ง กี่ทีก็ชอบ เบื่อไม่เป็น
บรรยากาศในเรือก็คึกคัก เหมือนกันทุกวัน เห็นมั๊ยครับว่า ทุกคนต่างก็หันหน้ามอง สองฝั่งน้ำ
ตามเคยครับ แอบส่องชีวิตริมน้ำ บ้านเล็กบ้านน้อย ดูอบอุ่นกลุ่นกลิ่นน้ำ และเสียงเรือแล่น
นั่งเรือผ่านอย่างรวดเร็ว ด้วยหมายว่า อยากลงเดินรอบๆ บริเวณท่าพระอาทิตย์ ผ่านท่าศิริราช เลยส่องเลนส์มาที่ พลับพลาที่สวยสะดุดตา เห็นเด่นมาแต่ใกล ใหนใครว่ากรุงเทพ ไม่เห็นมีอะไรยกมือขึ้นสิ ก็นี่ใงครับ เราคนไทยแท้ๆ ไม่เคยคิดจะศึกษา หรือหาอ่าน หาเวลามาสัมผัส ของในบ้านตัวเอง ปล่อยให้คนอื่น ชื่นชมอยู่ได้
อันนี้เป็นพลับพลา ที่ประดิษฐานพระบรมราชาอนุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอุ้มสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ ซึ่งสร้างด้วยสถปัตยกรรมแบบไทยแท้ๆ ในลักษณะของศาลา หรือพลับพลา ในบริเวณนี้ยังมีความรู้อีกมากมาย เอาเป็นว่าไว้โอกาศหน้า จะได้พามาเที่ยวอีก หรือจะ ถามพี่ Google เอาก็ได้ครับ
และแล้วก็มาถึงท่าเรือ พระอาทิตย์ เสน่ห์ของย่านนี้ คงหนีไม่พ้นความ คลาสสิคที่ถูกปรับ ให้มีคลาสขึ้นมาหน่อย ย่านนี้เป็นย่าน ที่ฝรั่งชอบ เพราะมันถูกและสนุกดี ผมไปเที่ยวย่าน Back Packer มาหลายที่ แต่ผมว่าของบ้านเรา เท่ห์สุด เชื่อดิ
ดูสิ เอาเหล็กมาอ็อคๆ ออกมาเป็น อะไรที่เก๋ไก๋ซะงั้น ตรงนี้อยู่ทางซ้ายมือครับ
ผมเดินลอดรูนี้ เป็นร้านค้าร้านขายเล็กๆ ภายในตรอกที่เดินออกไปยัง ถนนพระอาทิตย์
สีสันสดสวย
ออกมาแล้วเลี้ยว ซ้ายครับ เจอกับรถมอเตอร์ไซ คันโก้ โอ้โฮช่างคิดจริงๆ แล้วแถวนี้ก็มีร้านส้มตำรถเข็น สองสามร้าน น่ากิน
ดูแล้วว่าน่าจะแซบ อิสาน ขนานแท้ เพราะได้ข่าวว่าแถวนี้ คนบ้านผมเยอะ
เดินมานิดเดียว แวะนี่ก่อนเลย สวนสาธารณะ สันติชัยปราการ ที่มีพระที่นั่งสันติชัยปราการ และป้อมพระสุเมรุ ตั้งอยู่
บรรยากาศโดยรอบ เขียวร่มรื่นพอได้ มีต้นไม้ใหญ่หลายต้นครับ มาแอบนอนกลางวันกันได้
แผ่นปติมากรรมภาพนูนสูง สื่อสารเรื่องราวของวิถีไทยๆครับ
และนี่คือ องค์พระที่นั่งสันติชัยปราการ
พระที่นั่งสันติชัยปราการ สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าถวายฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส พระราชพิธี เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 พร้อมท่ารับเสด็จขึ้น-ลง เรือพระที่นั่ง เพื่อใช้เป็นสถานที่ชม กระบวนพยุหยาตราชลมารค และประกอบพระราชพิธี หรือประเพณีต่างๆ
การออกแบบนั้นเน้นความกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม ไม่ให้โดดเด่นจนเกินไป ซึ่งออกแบบโดย นาวาอากาศเอก อาวุธ เงินชูกลิ่น โดยพระที่นั่งเป็นไม้จำหลัก แสดงถึงงานฝีมือ ศิลปะชั้นสูงของไทย จะเห็นได้ว่าไม่เน้นสีฉูดฉาด เพื่อให้ดูกลมกลืนกับธรรมชาติ มีตราสัญลักษณ์ ประดับไว้ที่หน้าบัน
ป้อมพระสุเมรุ ซึ่งวันที่ผมไปนั้น กำลังได้รับการปรับแต่ง ผมจึงไม่ได้ถ่ายรูปแบบเต็มมาให้ดู
ป้อมพระสุเมรุ เป็นหนึ่งใน 14 ป้อมที่สร้างขึ้นตามแนว คลองกรุง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นป้อมก่ออิฐถือปูน ทรงแปดเหลี่ยม ป้อมนี้เป็นป้อมรักษาพระนคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพียงป้อมเดียวที่หลงเหลือรอดมา จวบจนปัจจุบัน ให้เราได้เห็นกัน
มองข้ามคลองบางลำพู เห็นบ้านช่องห้องหอ ที่ยังคงสื่อถึงความเรียบง่าย และความเป็นอยู่แบบดั้งเดิม
ตึกรามก็งามตา เมื่อเดินออกจากสวน ก็มาเจอทางโค้งนี้ครับ
และอยู่ตรงปากซอยลำพู ก็เป็น พิพิธบางลำพู เห็นสวยดีเลยเดินเข้าไปดู
มีตึกปูน และตึกไม่เก่า เข้าฟรีครับ สถาปัตยกรรมที่ลงตัว ย่านนี้มีให้เดินดูเพียบ
ลงชื่อกันก่อน เพื่อเป็นการรวบรวม ข้อมูลสถิติของผู้มาเยือน
ชั้นล่างเดินชมได้เองตามสบาย เป็นห้องนิทรรศการ เทิดพระเกียติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ของปวงชนชาวไทย
และข้อมูลประวัติ ป้อมเขตขัณฑ์รัตนโกสินทร์
ส่วนชั้นบนจะเปิดให้เข้าชมเป็นรอบๆ โดยจะมีเจ้าหน้าที่บรรยายกำกับ
ผมไม่ได้เข้าชมชั้นบน เพราะไม่อยากรอรอบต่อไป ด้านบนก็จะเป็น การจัดแสดงนิทรรศการ ของกรมธนารักษ์ ในด้านของสังคมและวัฒนธรรมอันมีคุณค่าของบ้านเรา
ออกมาเดินตากแดดต่อ เริ่มมองหาของกิน เพราะเลยเที่ยงมาแล้ว ออกมาจาก พิพิธบางลำพู ตรงข้ามกันเลย โรงเล่า พระอาทิตย์ อยู่ตรงนี้นี่เอง ได้ยินมานานละ
เฮ้ยนั่นอะไร คันรั้วเก่า สวยดี
แถวนี้มีเลนสำหรับจักรยานด้วยครับ ว่างๆมาปั่นจักรยานกัน
เจอแล้วครับของกิน เดินเลยพิพิธบางลำพูมา เจอของโปรด ข้าวเกียบว่าว อันนี้พี่เค้าติดป้าย ไว้ว่า ข้าวเกียบเพชรบุรี จัดเลยถุงหนึง 20 บาท อร่อย หวานกำลังพอดี
เลยร้านข้าวเกียบขึ้นมา ตามถนนพระสุเมรุ เจอร้านส้มตำ อยู่ติดกับร้านขายทอง อีกฝั่งเป็นตู้ ATM แบ็งค์กรุงเทพ ก็นั่งทันที เพราะเห็นเส้นมะละกอ สับและฝานด้วยมือ นี่มันใช่ ดูครกก็โปร แบบนี้เชิญนั่ง ๆ
เคียงกันมีร้านกาแฟกะโอเลี้ยง แหม่เรียกว่าพร้อมสรรพ F & B food and beverage กันเลยทีเดียว
กาแฟเห็นกะโอเลี้ยง
น่องไก่ทอด ปลาเค็ม และปลาทูตัวน้อย ผมชอบปลาเค็มอะ ปลาทูถ้าจะทอดจนกรอบขนาดนี้นะ กินหมดไม่เหลือแม้แต่ก้าง แมวมีเคือง
และนี่ ไฮไล้ท์ ส้มตำปูปลาร้า ใช้พริกแห้งตำ มะละกอฝานเอง ไม่ใช้ที่ขูด ถึง ถึงมากๆๆ อร่อยมากในรอบสามวัน ก็เล่นกินส้มตำวันละสามมื้ออาหาร
เกลี้ยง กระเจิง โดยเฉพาะส้มตำ กะปลาทูตัวน้อย ทอดกร๊อบกรอบ
ที่แยกสามเสน มองข้ามไปเจอตึกเก่าๆ กะภาพพ่นสี ที่ดูเด่น เป็นที่ถูกตามาแต่ใกล
ข้ามถนนกรุณารอสัญญาณไฟ สำหรับคนเดินด้วยครับ ช่วยๆกันฝึกมรรยาทการจราจร มีลูกบอกลูก มีหลานบอกหลาน
นี่ไงละ จุดถ่ายรูป ที่ว่า แถมมีม้านั่งสีเขียวเตรียมให้อีกตัว
จากแยกสามเสน มองเห็นวัดอยู่ลิบๆ ไปกันเลย
แวะซื้อดอกไม้ไหว้พระ ที่กลางทาง ป้าอาจจะดุนิดหนึ่งนะ
พอมาถึงประตูวัดก็งงกับสิ่งที่เห็น ทำไมที่ปากของ ภาพปติมากรรมที่บริเวณบานประตู มีลอยเลือดทุกอันเลย งง งง
วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นอารามหลาวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดที่มีการผสมศิลปะไทย และจีนไว้ด้วยกัน ตั้งอยู่ที่ ถนนบวรนิเวศ และถนนพระสุเมรุ
มีพระประธานสององค์คือ พระพุทธสุวรรณเขต และ พระพุทธชินสีห์
พระพุทธชินสีห์ ประดิษฐานอยู่ ณ เบื้องหน้าของ พระพุทธสุวรรณเขต
ช่างเป็นพระพุทธรูปที่สวยสดงดงาม อีกองค์หนึ่ง ของสยามประเทศ และใต้ฐาน พุทธบัลลังก์ของพระพุทธชินสีห์ เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีบันไดนาคทอดลงมา ด้านข้างของพระอุโบสถทั้งสองด้าน
ด้านหลังพระอุโบสถ เป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่ หุ้มด้วยกระเบื้องสี สีทองเหลืองอร่าม ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เดินอ้อมองค์พระเจดีย์ ออกมาที่ประตูเชื่อมไปทา ตำหนักเพ็ชร
สำหรับผมแล้ว สถานที่นี้ ช่างแปลกตาจริงๆ และยังพลั่งพร้อมไปด้วย คุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม อีกที่ที่น่าทึ่ง
หลังคาที่สวยงาม ซ้อนทับสลับสี เป็นมุมที่มองแล้วประทับใจ
ผมเดินออกมาจากบริเวณ ตำหนักเพ็ชร แล้วเดินสำรวจต่อไป ตามถนนพระสุเมรุ
แถวนี้ก็จะเป็นร้านทำกรอบรูปไฟเบอร์ ตลอดแนวครับ
แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าถนน ดินสอ ที่จะเรียงรายไปด้วยร้านขายของ แบบนี้ครับ
เดินมาจรด ถนนราชดำเนิน เห็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เต็มตาเลย ที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึก แห่งการเปลี่ยนแปลงการปรกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตร ออกแบบโดย หม่อมหลวงปุ่มมาลากุล ใช้เวลาสร้างประมาณหนึ่งปี ในสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
ณ อนุสาวรีย์ประชาธิประไตย ยังเป็นหลักกิโลเมตร ที่ 0 ของกรุงเทพมหานคร และประเทศไทยอีกด้วย
มุมนี้ชัดเจน
เดินต่อครับ ระหว่างทางก็เก็บเกี่ยว ความสวยงามของบ้านเมืองไปเรื่อยๆ
พระเจ้าช่วย กล้วยทอด จะขายหมดมั๊ยวันนี้ มัวแต่เล่นเฟสอยู่นั่น แอบถ่ายซะเลย
เดินลงมาตามราชดำเนิน มาข้ามถนนที่นี่ เกาะกลางถนน
มองเห็น ป้อมมหากาฬ
พระบรมฉายาลักษญ์
แล้วก็ข้ามทางมา ถึง ลานพลับพลา มหาเจษฎาบดินทร์ และสามารถมองเห็นวัดราชนัดดารามวรวิหาร
พลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2532 และใช้เป็นที่ประทับ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกรับแขกเมืองของประเทศ พื้นที่บริเวณนี้เคยเป็น โรงละคร ศาลาเฉลิมไทยมาก่อน ต่อมาได้ปิดกิจการและลื้อถอนออกไป ซึ่งได้เผยให้เห็น พุทธสถาน โลหะปราสาท วัดราชนัดดาวรวิหาร ได้ชัดขึ้น และมีภูมิทัศน์ที่โล่ง สวยงามกว่าแต่ก่อนขึ้นมามาก
ศิลปะของไทยเราสวยงดงาม ละเอียดอ่อน ไม่แพ้ชาติใดในโลก จริงๆ
และด้านหลังของพลับพลา คือโลหะปราสาท ที่ต้องบอกว่า หาที่เปรียบ แทบไม่ได้
โลหะปราสาทถูกสร้างขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นโลหะปราสาทองค์นี้ เป็นองค์แรกและองค์เดียวในไทย และเป็นองค์ที่สามของโลก ณ ยอดปราสาทเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ โดยโลหะปราสาท องค์แรกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยนางวิสาขา ยอดปราสาททำด้วยทองคำ องค์ที่สองสร้างราว พุทธศักราช 382 9 ชั้น 1000 ห้อง ผนังประดับด้วยหินมีค่าและงาช้าง หลังคามุงด้วยแผ่นทองคำ
โลหะปราสาทของบ้านเรา กำลังจะเปลี่ยนยอดเป็นสีทอง ทั้ง 37 ยอดโดยการ ปิดด้วยทองคำเปลว นับได้ว่าตั้งแต่แรกสร้างจนถึงปัจจุบัน ก็ยังมีการบูรณะ อย่างไม่ขาดครับ
ชั้นล่างสุดเป็นที่นั่งสมาธิครับ
ชั้นสอง เราจะสามารถมองเห็นยอดปราสาท ที่ตรงกลางของหน้าต่างพอดี ไม่ว่าจะมองลอดออกทางใหนก็เห็น สวยมากๆ ครับ เป็นการออกแบบที่ เก่งฉกาจมาก
ยอดสีดำ กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีทอง
ยอดที่ลงทองคำเปลวแล้ว มีสีเหลืองทอง ผ่องอำไพ
และนี่คือยอดบนสุด ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ โดยตรงกลางของโลหะปราสาท จะมีบันไดวนขึ้นมา ทั้งหมด 67 ขั้น
ลงมามีร้านกาแฟไว้คอยบริการครับ
เดี๋ยวพาไปกราบ พระประธานในอุโบสถหลังนี้ครับ
สวยงามอีกแล้วครับ พร้อมด้วยลวดลาย จิตรกรรม ตามผนังรอบด้าน องค์นี้ชื่อว่า พระเสฏฐตมมุณี
เดินเยอะมากๆ แต่ผมไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ด้วยความเพลินใจ
ป้อมมหากาฬ เป็นอีกหนึ่งใน 14 ป้อม ของพระนคร และยังเป็นแบบเดียวกันกับป้อมพระสุเมรุ 2 ป้อมนี้คือ 2 ป้อมที่เหลืออยู่จาก 14 ป้อม
เห็นยอดอยู่ลิบๆ นั่นเป็นเจดีย์ ที่ภูเขาทอง เดินข้ามสะพานผ่านฟ้า สู่ถนนบริพัตร กันเลยครับ
ท่าเรือผ่านฟ้า ป้ายสุดท้าย ของเรือโดยสาร คลองแสนแสบ จมูก
เมืองไทยของเรา สวยที่สุดแล้วครับ
เดินวนหาทางขึ้น ใกล้กะทางขึ้นมีที่ยั่งพักเหนื่อยด้วย แถมมีแอร์ด้วย 555
เจอแล้วครับ ทางขึ้นภูเขาทอง
ดูเอาเองครับว่าบ้านเรา มีรายละเอียดมาก ขนาดใหน ความสวยงามเอาตาดูนะครับ แต่คุณค่าให้เอาใจดู
รูปจำลองภูเขาทอง ที่อยู่ด้านหนึ่ง ของเหรียญสิบบาทไงครับ
พระแม่ธรณี บีบมวยผม
เดินขึ้นมาถ้าเหนื่อยก็ แวะพัก ที่นี่ได้ครับ รับอะไรเย็นสักแก้ว ค่อยไปต่อ แต่ผมไม่แวะครับ ยังไหว แรงเหลือเฟือ
ราวระฆัง ตีกันได้ครับ โม่งๆเม่งๆ
พอเข้ามาก็มากราบพระกันก่อน เห็นเค้าบอกว่าใส่รองเท้าได้ แต่ผมถอดแล้วยัดใส่กระเป๋าไว้ ไม่กล้าใส่ ต่อให้ได้รับอนุญาตก็ตามที
ตรงนี้อยู่ตรงกลางเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ไม่มีคำบรรยายใดๆ ผมนิ่งและจ้องเป็นพอ
ความเลื่อมใสศรัทธา หลั่งใหลมาจากทั่วแคว้น แดนสยาม
ออกมาก็มองวิวซะหน่อย โหกรุงเทพฯ ป่าปูน แห่งแหล่งพุทธสถาน
อันนี้ขาลงแล้วครับ ปลงสังเวสซะหน่อย วันหนึ่งก็ตายกันหมดนี่แหละ
ตีคล้องสามครั้ง บูชาแด่ พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์
เดินลงจากภูเขา แล้วเดินออกมาเลยครับ เดินกลับทางเดิม ถนนบริพัตร เป็นบ้านตึกกึ่งปูนไม้ และทำไม้เป็นอาชีพ
เจอลุงกะลังทำงานอยู่พอดี
ตากไม้ไว้บนหลังคา
เดินกลับมาที่ป้อมมหากาฬ หลวงพี่ครับ ผมขอถ่ายรูปหน่อยน้าาา
เดินขึ้นไปตามถนนราชดำเนิน เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยัง ถนนข้าวสาร
อุ๊ย เดินผ่านตลาดขายโชค อาจจะเป็นความหวังของใครหลายๆคน
แล้วก็ผ่านประวัติศาสตร์ วันที่ชาติเคยเศร้า 14 ตุลา
รอข้ามถนน ไปยังถนนข้าวสาร สันญาณไปตรงนี้ งง มาก ไม่รู้เมื่อใหร่ควรเดิน เมื่อไหร่ควรหยุด
สีสันแห่งข้าวสาร เริ่มต้นแต่หัววัน บรรยากาศที่แตกต่าง แต่ไม่ต่างที่
แต่ผมไม่เดินผ่าถนนข้าวสารนะครับ เดินเข้ามาตรอกเล็กๆข้างๆ เคยมาเดินตอนนั้นสวยดี แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไป
Guest House สวย สวย
เดินออกมาแล้วมุ่งตรงไปยัง รามบุตรี ฝั่งทางไปท่าเรือนะครับ ผมว่ามันไม่วุ่นวายดี
เจอร้านนี้ ดูน่าสนใจดี แต่ดันไม่นั่ง เลี้ยวซ้ายอย่างเดียว บังคับเลี้ยวหนะครับ
ถัดมาเป็นร้าน มาดามมูเซอ มี Happy Hour เบียร์ ลีโอ ขวดใหญ่ 90 บาท
ก็ทรุดลงนั่งด้วยความหล้าแรงขา
ร้านบรรยาการดีอะ ข้้่างในร้านตกแต่งน่านั่งมาก มีหมอนสามเหลี่ยมไว้นั่งเอกเขนกด้วย แต่ไม่เข้าไปเพราะกลัวร้อน นั่งข้างนอกคอยมอง คนเดินไปมาจะดีกว่า ดีนะไม่ค่อยวุ่นวายดี ชิวเชียวกะเบียร์เย็นๆ เหน็บไปสองขวด รวดเดียว
หลังจากพักจนหายเหนื่อยแล้ว ก็เดินต่อ เลี้ยวขวาไปท่าเรือพระอาทิตย์ ขึ้นเรือกลับไปยังท่าสาทรเหมือนเดิม
เรือจะเทียบจอด เจอสองหนุ่มพอดี ผิวปะทะ กลับแสงตะวันที่ใกล้ลับขอบตึก ยืนอยู่บนหัวเรือโดยสาร ช่างสวยและได้อารมณ์
ระหว่างทางกลับบ้าน ก็เลยขอลากันด้วย ภาพนี้ครับ หวังว่าคงจำกันได้ ที่เคยพูดถึงแต่คราวก่อน
ช่างเป็นสองวันที่เต็มอิ่ม กับการเดินตะเวน เลาะเลี้ยว เคี้ยวคด ไปตามตรอก ออกตามซอย เป็นการเที่ยวที่เก็บรายละเอียดได้หมด ถ้าใครว่างก็ลองดูสิครับ ไม่ยากและไม่แพง สองวันใช้ตังไม่ถึงพันบาท
สำหรับชาวต่างชาติก็ทำได้ เพียงแต่ต้องมีค่าโรงแรมเพิ่มเท่านั้นเอง หรือถ้าอยากได้คนนำทาง ก็ติดต่อผมมาที่ [email protected]
แล้วพบกันใหม่ครับ
Lae Easytravel
Lae Easytravel
วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 19.26 น.