ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเป็นโอกาสดีมากที่ผมได้รับเชิญให้ร่วมเดินทางไปกับ flight ปฐมฤกษ์ของ Thai Smile เส้นทาง กรุงเทพฯ – มัณฑะเลย์ .. เหม่ ก็ชีวิตนี้ได้เหยียบดินแดนพม่าแค่ครั้งเดียวตอนไปเที่ยวแม่สายเท่านั้นงานนี้จะได้เดินทางไปเที่ยวอดีตเมืองหลวงของพม่าหรือเมียนมามีหรือจะปฏิเสธ อิอิ

ก่อนเริ่มชมรีวิวขอฝากช่องทางติดตามผลงานของ 9MOT (นายมด) หน่อยนะครับ

เนื่องจากผมต้องเดินทางจากภูเก็ต จึงหาที่พักแถว ๆ สุวรรณภูมิเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตื่นเช้าเกินไปในวันเดินทาง … ที่พักแห่งนี้ชื่อ Thongta Residence อยู่ห่างจากสุวรณภูมิออกมาราว 10 นาทีราคาห้องพัก 850 บาท (สำหรับ 1-2 คน) จะรวมบริการรถรับส่งสนามบินซึ่งจะออกเป็นรอบทุก ๆ ชั่วโมงแต่เนื่องจากผมไปถึงค่อนข้างดึกทาง Thongta ให้โทรไปแจ้งเมื่อเดินทางถึงซึ่งรอเพียง 10 นาทีก็มีรถตู้มารับนับว่าสะดวกทีเดียว ดีกว่าต้องนั่งรถ taxi เข้าไปพักในเมืองเป็นไหน ๆ … ที่พักแห่งนี้ติดถนนใหญ่ มี 7 eleven ด้านหน้าตอนเช้ามีร้านอาหารหลายร้านใกล้ ๆ กันจึงค่อนข้างเหมาะมากสำหรับการมาพักเพื่อรอเปลี่ยนเครื่องที่ต้องเดินทางต่อไปยังเส้นทางอื่น ๆ ตอนเช้าส่วนห้องพักก็กว้างขวางดีครับจะมีข้อเสียอย่างเดียวคือเสียงรบกวนจากรถที่แล่นผ่านไปมาตลอดทั้งคืนถ้าเป็นคนหลับยากผมไม่แนะนำ แต่สำหรับมนุษย์หลับง่ายแบบผมม่ายมีปัญหา อิอิ

ห้องพักใกล้สนามบิน เพื่อรอขึ้นเครื่องรอบเช้า

เวลา 8:00 ตรงผมก็เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิตามเวลานัด ได้รับโปรแกรมการเดินทางจากทีมงานที่จะดูแลในทริปนี้เรียบร้อยก็ทำการ check in และโหลดกระเป๋า จากนั้นเป็นเวลาเดินเล่นในสนามบินก่อนที่จะออกเดินทางโดย flight WE309 ซึ่งเป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ในนามของ Thai Smile สู่เมืองมัณฑะเลย์


วันนี้พิเศษหน่อยเนื่องจากเป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์จึงมี welcome drink เป็นชามะขามเสิร์ฟเรียกความสดชื่นก่อนออกเดินทาง และเมื่อเครื่องทะยานขึ้นฟ้าได้สักพักก็ได้เวลาอาหารว่างบนเครื่องซึ่งเป็นยำทูน่ากับโรลผักโขมครับ

การเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่มัณฑะเลย์นั้นใช้เวลาเดินทางราว 1:45 ชม.และเวลาที่โน่นจะช้ากว่าที่บ้านเรา 30 นาที … ผมนั่งสังเกตภูมิทัศน์เบื้องล่างเครื่องบินผ่านเทือกเขาสูงแทรกตัวด้วยแม่น้ำสายใหญ่สีขุ่นคาดว่าน่าจะเป็นบริเวณชายแดนไทย-พม่าและแม่น้ำนั้นคงเป็นแม่น้ำสาละวินนั่นเอง


แม่น้ำด้านล่างผมเดาว่าน่าจะเป็นสาละวินครับ

เลยจากจุดนั้นมาได้สักพักเริ่มเห็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่สลับกับเนินเขาเตี้ย ๆ ซึ่งเป็นภูมิประเทศตอนกลางของประเทศพม่า บ่งบอกว่าเรากำลังเข้าใกล้มัณฑะเลย์แล้วมาแน่ใจก็ตอนกัปตันประกาศว่าเครื่องกำลังลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานมัณฑะเลย์ … ยิ่งเครื่องลดระดับ ยิ่งเห็นภูมิประเทศอันเป็นที่ราบซึ่งแซมไปด้วยไม้พุ่มเล็ก ๆ กับต้นตาล



เนื่องจากเป็นเที่ยวบินพิเศษเมื่อเครื่องลงจอดเรียบร้อย จึงมีคณะผู้บริหารจากทางสนามบินมัณฑะเลย์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของการบินไทยและ Thai Smile มารอต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเคยทีเดียว


ทันทีที่เดินออกจากตัวเครื่องผมนี่ร้องจ๊ากในใจเลยเพราะมโนว่ามาทริปนี้อากาศคงเย็นสบาย ๆ (กะว่าจะติดเสื้อกันหนาวบาง ๆ มาด้วยซ้ำ)แต่ที่ไหนได้อากาศที่นี่ร้อนมากครับร้อนกว่าภูเก็ตบ้านผมซะอีกนี่ถ้าสวมแจ๊คเก็ตหนา ๆ ขึ้นเครื่องมาด้วยล่ะก็หน้าแตกยับเยิน

ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นครับ … เอ ต้องบอกว่าร้อนเลยล่ะ ไม่ใช่แค่อุ่น 555

หลังจากถ่ายภาพคณะเดินทางเป็นที่ระลึกเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง, รับกระเป๋ารวมถึงผ่านขั้นตอนศุลกากรซึ่งก็ไม่มีอะไรยุ่งยากครับแต่ที่ทรมานหน่อยก็ตรงเขาไม่เปิดแอร์หรือไม่ก็เปิดไม่พอนี่แหละครับทำเอาเหงื่อตกเลย


เมื่อรับกระเป๋าและออกมาบริเวณโถงอาคาร จะมีร้านค้าต่าง ๆ เหมือนกันสนามบินทั่วไปรวมถึงเคาท์เตอร์แลกเงิน ทั้งนี้ควรเตรียมเงิน dollar มาเพื่อแลกเป็นเงินจ๊าด(Kyat) นะครับเพราะถ้าเป็นเงินบาทอาจไม่รับแลกหรือไม่ก็ได้เรตแย่ ๆ … อีกอย่างที่ควรทราบคือทางร้านอาจไม่รับแลกเงิน dollar ที่มีรอยพับเยอะ ๆ ครับออกจากสนามบินรสบัสนำเที่ยวมารอเราอยู่แล้วผมจองแถวหน้า ๆ เลยจะได้เห็นเส้นทางชัด ๆซึ่งจากสนามบินต้องใช้เวลาเดินทางเข้าไปยังตัวเมืองมัณฑะเลย์ราว 45 นาที – 1 ชม.ซึ่งถือว่านานพอดูแต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการจำกัดความเร็วในการขับรถนั่นเอง (มาคิดดูอีกทีก็พอ ๆ กับจากสนามบินภูเก็ตเข้าเมืองนะ อิอิ)

ทิวทัศน์ระหว่างทางส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มเห็นเนินเขาเตี้ย ๆ เป็นระยะ.. รสบัสนำเราตรงไปยังร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยงของวันนี้ที่ชื่อ “ต้มยำกุ้ง ๒" ซึ่งเจ้าของเป็นคนไทยและแน่นอนว่าให้บริการอาหารไทยเป็นหลัก …มาทราบภายหลังว่ารสชาติอาหารพื้นเมืองของพม่านั้นไม่ค่อยถูกปากคนไทย ทัวร์ไทยจึงแสวงหาร้านอาหารไทยหรือไม่ก็อาหารจีนในการต้อนรับลูกทัวร์มากกว่า



มื้อเที่ยงวันนี้ทาง Thai Smile จัดอาหารให้เราหลากหลายเรียกได้ว่าอิ่มกันเลยทีเดียวนอกจากอาหารไทยที่คุ้นเคยแล้วก็มีเมนูกุ้งแม่น้ำย่างเป็นเมนูเด็ดของร้าน … พูดถึงรสชาติถือว่าผ่านครับ แม้ไม่ได้อร่อยเวอร์แต่ดีกว่าอาหารไทยในหลายประเทศที่เคยทานมาแน่ ๆอิ่มจากมื้อเที่ยงกันแล้วเราเริ่มโปรแกรมท่องเที่ยวกันที่พระราชวังมัณฑะเลย์ซึ่งห้อมล้อมด้วยคูเมืองและกำแพงโดยรวมแล้วกินพื้นที่กว้างขวางมาก


คูเมืองกว้างใหญ่มากครับ



เมื่อรถแล่นผ่านประตูเมืองแคบ ๆก็จะเข้าสู่ส่วนที่เป็นเขตพระราชวังเก่าที่วันนี้เป็นพื้นที่ของทหารพม่าจากนั้นรถนำเรามาหยุดตรงส่วนที่เป็นพระราชวังเดิม … ที่ใช้คำว่าพระราชวังเดิมเพราะสิ่งปลูกสร้างที่เห็นอยู่ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาใหม่เนื่องจากของเดิมได้ถูกทำลายหมดสิ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองแม้เราจะสัมผัสได้ถึงขนาดของสิ่งปลูกสร้างที่โอ่โถงสมกับเป็นพระราชวังของกษัตริย์แต่ความปราณีตของศิลปะและวัตถุต่าง ๆ ต้องบอกว่าไม่สามารถเทียบกับเรือนไม้สักแบบดั้งเดิมได้เลยแม้แต่น้อย เชื่อว่าหากอาคารสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นไม่ถูกทำลายลงที่นี่จะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่และสำคัญของพม่ารวมถึงของโลกเรา ไม่แพ้มหาเจดีย์ชเวดากองเลย … เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจที่ทางการพม่าเองก็คงยังไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะเนรมิตให้พระราชวังมัณฑะเลย์แห่งนี้กลับมาสวยวิจิตรงดงามเหมือนแต่ก่อนจะมีสงคราม เราจึงได้เห็นเพียงเงาราง ๆ ของความรุ่งเรืองเท่านั้น


พูดถึงเรื่องสงครามไกด์ชาวพม่าเล่าให้ฟังว่าวิชาประวัติศาสตร์พม่าในห้องเรียนนั้นเน้นไปที่การกล่าวถึงสงครามระหว่างพม่ากับอังกฤษและญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ มีกล่าวถึงการสู้รบกับไทยไม่มากนัก และสำหรับชาวพม่าแล้วก็ยังมองประเทศไทยเป็นเพื่อนบ้านมากกว่าเป็นศัตรูคู่แค้น … นับเป็นอีกเรื่องดี ๆ ที่ผมเองก็เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก



ผมค่อย ๆ เดินสำรวจและเก็บภาพมุมต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวและเมฆฝนที่ก่อตัวหนาขึ้นเรื่อย ๆ … ไม่นานนักฝนก็เทลงมาตามที่คาดการณ์ทำให้เราต้องขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป


ระหว่างรอฝนซา


เด็ก ๆ เล่นกับแอ่งน้ำเล็ก ๆ หลังฝนตกด้านหลังพระราชวัง



เดินทางมาไม่ไกลก็ถึง วิหารชเวนันดอว์ (Shwenandaw Monastery) วิหารไม้สักทองทั้งหลังที่เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังมัณฑเลย์แต่ภายหลังพระเจ้ามินดงซึ่งเคยใช้เรือนไม้หลังนี้เป็นที่นั่งสมาธิระหว่างครองราชย์สิ้นพระชนม์ลงเรือนไม้หลังนี้จึงได้ถูกมอบให้กับวัดเพื่อใช้เป็นวิหารทำให้นี่เป็นเพียงเรือนแบบดั้งเดิมเพียงหลังเดียวที่ยังคงอยู่ในสภาพดีเป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบันและไม่โดนทำลายไประหว่างสงคราม


ยิ่งได้เห็นและสัมผัสใกล้ ๆ ยิ่งรู้สึกว่าช่างศิลป์ของพม่านั้นต้องใช้ความประณีตอย่างมากในการสร้างเรือนไม้นี้

เสียดายที่ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่องและแสงก็น้อยเป็นอุปสรรคกับการถ่ายภาพทำให้ไม่สามารถถ่ายภาพได้มากนักเนื่องจากแสงใกล้หมดแล้ว เราจึงออกเดินทางไปยังวัดกุโสดอ (Kuthodaw Pagoda) ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน … ที่นี่เป็นอีกแห่งที่ผมชอบมากเพราะในบริเวณวัดเต็มไปด้วยเจดีย์ขนาดเล็กสีขาวซึ่งภายในบรรจุแผ่นหินจารึกพระไตรปิฏกที่ทำระหว่างที่มีการสังคายนาพระไตรปิฏกในประเทศพม่าแสดงให้เห็นถึงความผูกพันของชาวพม่ากับศาสนาพุทธที่เหนียวแน่นอย่างมาก



อันที่จริงวันนี้เรามีโปรแกรมขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่ Mandalay hill ซึ่งเป็นเนินเขาสำหรับชมวิวชื่อดังของเมืองมัณฑเลย์แต่เนื่องจากกำหนดการล่าช้าและฝนก็ตกทำให้ต้องพับแผนนี้ไปและเดินทางไปยังโรงแรมมัณฑะเลย์ ฮิลล์ซึ่งเป็นที่พักของเราในทริปนี้ …


ตอนที่ได้รับรายละเอียดโปรแกรมเดินทางผมนำชื่อโรงแรมลองไปค้นหาใน google ดูเห็นภาพโรงแรมเป็นตึกสูง ๆ ไม่ค่อยน่าสนใจแต่พอได้มาสัมผัสของจริงต้องยอมรับว่าโรงแรมน่าพักมากล็อปบี้สวยวิวด้านหลังอาคารตรงสระว่ายน้ำสวยมาก ๆ


Lobby โรงแรม



สระว่ายน้ำยามค่ำ

ห้องพักของผมแม้จะไม่กว้างนัก แต่ตกแต่งเรียบหรูสวยงามและสะดวกสบายดีครับ



สำหรับห้องพักนั้นไม่ได้กว้างมากนัก แต่ตกแต่งสวยงามและสะดวกสบายโดยเฉพาะวิวจากชั้น 7 ที่ผมพักนี่ได้อารมณ์มัณฑะเลย์จริง ๆ


ตื่นเช้าขึ้นมาก็ดูวิวจากหน้าต่างห้องพักก่อนเลย โอ้วสวยมาก


อยากตั้งชื่อภาพนี้ว่า “สวนทาง"



บรรยากาศสระว่ายน้ำยามเช้า



เช้าวันรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้า เราเดินทางไปยังเมืองอมรปุระ (Amarapura) อีกหนึ่งเมืองหลวงเก่าของพม่าโดยจุดแรกที่เราไปเยือนคือ “วัดมหากันดายงค์" (Maha Gandayon Monastery) ซึ่งเป็นสถานศึกษาด้านพระพุทธศาสนาที่สำคัญของพม่า ดังนั้นที่นี่จึงเป็นวัดที่มีพระสงฆ์เยอะมาก และภาพของพระสงฆ์และสามเณรที่ออกมายืนเรียงแถวเพื่อบิณฑบาตรอาหารเพลพร้อม ๆ กัน จึงกลายเป็นภาพที่นักท่องเที่ยวมารอชื่นชม และได้ถือโอกาสทำบุญด้วยตามกำลังศรัทธา



จากวัดมหกันดายงค์เราเดินทางต่ออีกอึดใจเดียวแบบที่ว่าแอร์ในรถไม่ทันเย็นก็ถึงจุดหมายถัดมาได้แก่สะพานไม้อูเบ็ง ( U Bein) ซึ่งเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลกสร้างจากไม้สักทองที่เหลือจากการสร้างพระราชวังมีความยาวร่วม 1.4 กิโลเมตร


สะพานไม้แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเหนือ ทะเลสาบตองตะมาน เพื่อข้ามจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่ง

บริเวณเชิงสะพานจะมีร้านค้าขายของเรียงรายริมทางเดินไม่ต่างจากแหล่งท่องเที่ยวบ้านเรา มีตั้งแต่อาหารจำพวกกุ้งทอด ปูทอด ไปจนถึงของประดับที่ทำจากไม้และผ้าไหมทอมือ



กล้วยหักมุกเป็นที่นิยมในพม่า อาหารเช้าโรงแรมก็ใช้กล้วยหักมุกเช่นกัน

บนสะพานจะมีม้านั่งและศาลาสำหรับพักเป็นระยะใครจะเดินจนสุดหรือแค่บางส่วนก็แล้วแต่กำลังส่วนผมไปได้ราวครึ่งกม.ก็เดินกลับเพราะช่วงบ่ายมีโปรแกรมอีกยาวและอากาศวันนี้ก็ร้อนเกินกว่าที่จะเดินเป็นระยะทางไกล ๆ … อันที่จริงถ้าเลือกได้ ควรมาที่นี่ในช่วงเย็นเพราะบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกสวยมากจริง ๆหรืออาจเป็นช่วงเช้าที่มีพระมาบิณฑบาตบนสะพานก็คงได้อีกอารมณ์ของพม่า นอกจากนี้ถ้ามีเวลาอาจลองนั่งเรือเล่นก็ได้ครับ มีเรือสีสวย ๆ สไตล์พม่าไว้คอยบริการด้วย

ออกจากสะพานอูเบ็ง เราเดินทางไปชมร้านทอผ้าไหมเลื่องชื่อของอมรปุระเป็นร้านที่เคยถวายงานให้กับเจ้านายในวังสมัยก่อน ชื่อว่าร้าน “ชเวซินไทน" (Shwe Sin Tine) โดยมีผ้าไหมให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ราคาย่อมเยาไปจนถึงแพงระยับตามระดับคุณภาพของงานนอกจากนี้ฝั่งตรงข้ามร้านยังเป็นโรงทอให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปดูกระบวนการทอผ้าได้อีกด้วย


โรงทอผ้าไหมของร้านที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิธีการทอผ้าไหม

เอกลักษณ์ของผ้าไหมพม่าคือจะเป็นลายขวางซึ่งต่างจากของไทยครับ


หลังจากหลาย ๆ ท่านได้ shopping กันสนุกสนานตาม concept ทัวร์ไทยแล้วเราแวะชมร้านทำทองคำเปลว ที่ยังคงใช้วิธีการแบบดั้งเดิมนั่นคือใช้แรงงานมนุษย์ค่อย ๆ ทุบแผ่นทองคำ 100% จนบางได้ระดับที่ต้องการ … นอกจากนี้แผ่นรองก็ทำด้วยเยื่อไม้แบบดั้งเดิมกว่าจะได้ผลผลิตออกมาแต่ละแผ่นนั้นใช้เวลานานมาก ๆ … ตอกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชาวพม่าให้ความสำคัญกับเรื่องศาสนามากเพียงใด


เที่ยงวันนี้เราทานอาหารไทยกัน (อีกแล้ว) ที่ร้านKo's kitchen อยู่ริมคูเมืองข้าง ๆ พระราชวังมัณฑะเลย์เลยรายการอาหารคล้าย ๆ กับวันก่อนหน้า รสชาติอาหาร ok ครับ



ช่วงบ่ายเรามีโปรแกรมไปล่องเรือแม่น้ำอิระวดีเพื่อไปชมโบราณสถานที่เมืองมิงกุน … พอไปถึงที่ลงเรือผมต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะเรือลำใหญ่กว่าที่ผมคิดเยอะ คะเนด้วยสายตาน่าจะรองรับนักท่องเที่ยวได้เป็นร้อย ๆ คนนอกจากนี้ยังมีห้องพักสำหรับการล่องเรือแบบค้างคืนด้วย


บรรยากาศริมน้ำ


เรือนำเราล่องไปตามแม่น้ำอิระวดีอันเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายหลักของพม่าบรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำยังคงความเป็นชนบทอยู่มาก ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ ให้เห็นนักแว้นแต่ยอดเจดีย์ที่มีให้เห็นเต็มไปหมด


ล่องเรือกินลมชมวิวพักใหญ่เราก็ถึงเมืองมิงกุนและเพื่อให้ได้อรรถรสเราจึงได้นั่งรถโดยสารท้องถิ่นไปยังจุดท่องเที่ยวของเมืองนี้

มาถึงแล้วครับเมืองมิงกุนและนี่คือเรือของเรา

นั่งรถชมเมืองกันคร้าบ



จุดแรกคือเจดีย์ชินพิวเมที่ถูกสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่พระเจ้าปดุงทรงมีต่อมเหสีของพระองค์ จนได้รับการขนานนามว่า “ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิระวดี" …


ก่อนขึ้นชมเจดีย์จะต้องถอดรองเท้าถุงเท้าเช่นเดียวกับการเที่ยวชมวัดและศาสนสถานอื่นๆ ของพม่า … ตรงทางขึ้นจะเต็มไปด้วยเด็ก ๆ ที่มาอาสาเก็บรองเท้า พัดวี รวมถึงขายช่อดอกไม้สำหรับสักการะพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่บนเจดีย์


ก่อนขึ้นชมด้านบนผมเดินเท้าเปล่าหามุมถ่ายภาพสวย ๆ โดยรอบ เล่นเอาปวดเท้าพอสมควรเพราะเป็นทางเดินที่ไม่เหมาะกับเท้าเปล่านักส่วนสภาพแวดล้อมทั่วไปก็ดูเหมือนจะได้รับการดูแลแบบพอประมาณเท่านั้นคิดไปก็น่าเสียดายเพราะอันที่จริงตัวเจดีย์สวยงามมีเอกลักษณ์มาก



ด้านบนเจดีย์มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ และได้รับการเล่าขานว่าศักดิ์สิทธิ์มากขออะไรก็จะสมปรารถนา จนต้องนำพระพุทธรูปอีกองค์มาวางซ้อนด้านหน้าเพราะเกรงว่าศัตรูจะมีขออะไรที่เป็นภัยกับเมือง … ดังนั้นถ้าจะขอพรต้องมาขอกับองค์พระที่อยู่ด้านหลังนะครับ



จากนั้นเรานั่งรถต่อไปยังระฆังมิงกุนระฆังขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างคู่กับมหาเจดีย์มิงกุน



ออกจากที่นี่เราเดินทางไปยังมหาเจดีย์มิงกุนหรือเจดีย์จักรพรรดิซึ่งเล่ากันว่าต้องการจะสร้างเป็นเจดีย์ที่ใหญ่กว่าเจดีย์ใด ๆ ในสุวรรณภูมิรวมถึงพระปฐมเจดีย์ของไทย แต่อีกตำนานเล่าว่าต้องการให้ยิ่งใหญ่จนมองเห็นถึงเมืองจีนเพื่อปรามการรุกรานจากศัตรูอย่างไรก็ตามมหาเจดีย์ไม่ได้ถูกสร้างเสร็จตามเป้าหมาย 152 เมตรตามพระประสงค์แต่สำเร็จเพียงส่วนฐานที่ความสูง 50 เมตร (น่าจะเทียบได้กับตึกราว 15 ชั้นเป็นอย่างน้อย)ทั้งนี้เพราะแรงงานต้องเผชิญกับความเหนื่อยยากจนต้องหลบหนีไปซ่องสุมเป็นกองโจรกลับมาโจมตีพม่าโดยเชื่อว่ามีอังกฤษหนุนหลังจนเป็นชนวนให้เกิดสงครามกับพม่าจนสูญเสียเมืองในที่สุด


ฐานเจดีย์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่

ทางเดินขึ้นไปชมวิวด้านบน ใช้พลังงานเยอะพอสมควร แต่วิวสวยคุ้มค่า

ส่วนท้ายของสิงห์ที่เฝ้าวัดผุพังไปตามกาลเวลาเหลือเพียงบั้นท้ายขนาดยักษ์เท่าที่เห็น



หลังจากได้ชมสถานที่น่าสนใจทั้งสามแล้ว เราก็โบกมือลาเมืองมิงกุนกลับขึ้นเรือเพื่อล่องกลับไปยังท่า … ระหว่างทางมีการแสดงพิเศษจากน้อง ๆ แอร์ของ Thai Smile และโชว์จากนักแสดงชาวพม่า



แสงอาทิตย์สีทองยามเย็นทำให้บรรยากาศริมน้ำอิระวดีสวยงามน่าประทับใจมากจริง ๆ



เรือค่อย ๆ นำเรามาจอดยังท่า แต่ยังไม่ให้เราลงจากเรือ เพราะมีอาหารมื้อพิเศษรอเราอยู่ที่ห้องอาหารชั้นล่างของเรือแล้วโดยอาหารที่เสิร์ฟเป็นเมนู western รสชาติอร่อยถูกปากทีเดียว


อิ่มจากมื้อค่ำเรามุ่งกลับโรงแรมเข้านอนกันแต่หัวค่ำเพราะรุ่งขึ้นเรามีโปรแกรมต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี 3ครึ่งเพื่อไปร่วมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีที่วัดมหามัยมุนีอันเป็นหนึ่งใน 5 มหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศพม่าอันที่จริงพิธีล้างพระพักตร์ที่ปฏิบัติกันทุกวันนั้นจะเริ่มตอนตี 4 เศษแต่หากต้องการใกล้ชิดกับพิธีต้องมาจองคิวเข้าไปร่วมพิธีกันแต่เนิ่น ๆ แบบพวกเรานี่แหละครับ

ระหว่างรอประตูเปิด



พระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์รูปนี้ถูกสร้างโดยกษัตริย์ในแคว้นยะไข่เพื่อถวายสัการะแด่พระพุทธเจ้าโดยตำนานเล่าว่าพระองค์ทรงสุบินว่าพระพุทธเจ้าได้ประธานลมหายใจให้เพื่อให้การสร้างพระพุทธรูปองค์นี้สำเร็จลงจึงเชื่อกันว่าพระพุทธรูปนี้ยังมีลมหายใจ จนเป็นที่มาของพิธีกรรมล้างพระพักตร์ที่ต้องทำทุกวันเสมือนพระพุทธเจ้ายังทรงมีชีวิตอยู่นั่นเองโดยต่อมากษัตริย์แห่งเมืองมัณฑะเลย์ได้ไปตียะไข่และจึงอัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ที่เมืองมัณฑเลย์และปฏิบัติพิธีกรรมสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้


ประตูเปิดก็กรูกันมาจับจองพื้นที่ ... ผู้หญิงจะถูกกันให้อยู่บริเวณพื้นที่ห่างออกไปหน่อย ส่วนผู้ชายจะอยู่ใกล้กับองค์พระมากกว่า


ก่อนพิธีเริ่มก็จะมีการโหมดนตรีเหมือนเป็นการปลุกพระพุทธเจ้า จากนั้นก็จะตั้งเครื่องบูชา



จากนั้นพระซึ่งได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ทำพิธีก็จะเริ่มล้างพระพักตร์



ทั้งนี้จะเริ่มทำพิธีล้างพระพักตร์ด้วยการนำน้ำอบน้ำหอมผสมทานาคา จากนั้นใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนใช้ผ้าที่สาธุชนถวายนำมาเช็ดบริเวณพระพักตร์จนแห้งสนิท แล้วใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันเสร็จพิธีกรรม



หลังจากพิธีกรรมเสร็จจะเปิดโอกาสให้ชาวพุทธเฉพาะผู้ชายขึ้นไปปิดทองที่องค์พระซึ่งจะมีชาวพม่าจำนวนมากแห่กันมาปิดทองแน่นขนัดทุกวัน ทำให้เนื้อทองบนองค์พระหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รับพระนามอีกอย่างว่า “พระเนื้อนิ่ม"



จากวัดเรามุ่งตรงกลับโรงแรมเพื่อทานอาหารเช้าจากนั้นมีเวลาพักผ่อนเล็กน้อยก่อนที่จะ check out ตอน 10 โมงเพื่อเดินทางไปยังสนามบินมัณฑะเลย์


บรรยากาศยามเช้าในเมืองมัณฑะเลย์


กระบวนการเช็คอินน์ที่สนามบินมัณฑะเลย์ยังไม่เต็มระบบเหมือนสนามบินใหญ่ ๆ ก็นับว่าได้บรรยากาศไปอีกแบบครับ คิดว่าเมื่อได้มีโอกาสรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ก็จะเกิดการพัฒนาเรื่องความสะดวกสบายมากขึ้นในไม่ช้า


ระหว่างรอเครื่องออกก็ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนคณะร่วมเดินทางซึ่งแต่ละคนก็ได้รับทั้งความสุขและความประทับใจจากทริปนี้ แถมได้อิ่มบุญกันถ้วนหน้า … แม้มัณฑะเลย์จะไม่สะดวกสบายมีความพร้อมเหมือนเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะได้มาสัมผัสกับวิถีชีวิตดั้งเดิม ร่องรอยประวัติศาสตร์ที่น่าศึกษา วัฒนธรรมอันงดงาม และมิตรไมตรีของชาวพม่าผมว่ามัณฑะเลย์คือหนึ่งในจุดหมายใกล้บ้านที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง.. ผมเองยังรู้สึกเลยว่าอยากขับรถเที่ยวมัณฑะเลย์ จะได้จอดรถถ่ายภาพวิถีชีวิตริมถนน รวมถึงเจดีย์สวย ๆ ที่มีอยู่แทบทุกหัวถนนแต่หลังจากสอบถามกับหัวหน้าทัวร์แล้วคิดว่าคงเป็นไปได้ยากเพราะไม่ค่อยมีรถเช่าให้บริการแค่ taxi ที่เป็นรถยนต์ยังน้อยเลย ส่วนใหญ่เป็นมอเตอร์ไซด์อีกอย่างการขับรถบนถนนในพม่าไม่ใช่เรื่องสนุกแน่เพราะที่นี่ขับเลนส์ขวา แต่รถจำนวนมากกลับใช้พวงมาลัยขวาเหมือนเมืองไทยเพราะเป็นรถนำเข้าจากไทยหรือญี่ปุ่นนั่นเองต้องยอมรับเลยว่าคนพม่านี่เขาขับรถเก่งจริง ๆ

สุดท้ายก็ต้องขอบคุณ Thai Smile อีกครั้งที่ได้ชวนผมมาเปิดประสบการณ์เมืองมัณฑะเลย์กับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ …

สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากใช้วันหยุดสั้น ๆ 2-3 วันในการอิ่มเอมกับวัฒนธรรมที่ยังคงเข้มแข็งของพม่ากับวิถีชีวิตที่ยังคงความดั้งเดิม รวมถึงได้ถือโอกาสทำบุญ ณ ศาสนสถานที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ของพม่า …สามารถเดินทางจากกรุงเทพ ฯ ด้วยสายการบิน Thai Smile สู่มัณฑะเลย์ได้สัปดาห์ละ 4 เที่ยวบินในจันทร์-อังคาร-พฤหัส-เสาร์ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จาก website ของสายการบิน www.thaismileair.com ครับ

ก่อนจบรีวิวขอฝากช่องทางติดตามผลงานกันอีกครั้งนะครับ

นายมด

 วันพฤหัสที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 23.05 น.

ความคิดเห็น