“เกาะกลาง” ..วิถีชุมชนที่ต้องลองไปสัมผัส..

ช่วงที่ผ่านมา.. ผมได้ไปเยือน จังหวัดกระบี่ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้ได้ยินชื่อของ เกาะกลาง ขึ้นมาอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวแบบจริงๆ จังๆ เสียที ได้แต่เคยโฉบไป.. โฉบมา.. อยู่แถวๆ บริเวณปากน้ำกระบี่อยู่อย่างนั้น และ ก็เกิดความตั้งใจว่า.. ถ้าได้ไปเที่ยวกระบี่รอบหน้า ต้องขอลองไปเที่ยว.. เกาะกลาง สักครั้ง..

เมื่อได้เริ่มรู้จักกับ เกาะกลาง ก็ถึงเวลาที่ต้องหาข้อมูลการเดินทาง และข้อมูลจุดท่องเที่ยวสำคัญในเกาะเพิ่มเติมสักหน่อย และก็พบว่า.. เกาะกลาง เป็นสถานที่ที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะวิถีชุมชนอันเรียบง่าย และ เดินทางไปง่ายมากๆ เพราะตั้งอยู่บริเวณปากน้ำกระบี่ นี่เอง แค่นั่งเรือข้ามไปจาก ตัวเมืองกระบี่ ประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้ว.. จึงเป็นที่มาของการเดินทางในทริปสั้นๆ 2 วัน 1 คืน ทริปนี้ครับ ซึ่งจะได้ประสบการณ์การท่องเที่ยวแปลกใหม่มากน้อยสักแค่ไหน ก็ตามมาเที่ยวกันได้เลย…


ไปทำอะไรดี.. ที่ เกาะกลาง?

  • ไป.. นอนโฮมสเตย์

มาเที่ยววิถีชุมชนก็ต้องนอนโฮมสเตย์ ทริปนี้ได้มานอนที่.. “คิดถึงคอทเทจ” โฮมสเตย์น่ารักๆ บรรยากาศสบายๆ ตั้งอยู่ บน เกาะกลาง จ.กระบี่ ซึ่งเป็นสถานที่หนึ่งที่ทำให้รู้สึก “คิดถึง” อยู่เสมอ ด้วยความที่อยู่ท่ามกลางชุมชนที่ผู้คนเป็นมิตรยิ้มแย้มแจ่มใจ จึงทำให้ที่นี่รู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ประกอบกับธรรมชาติโดยรอบที่ยังอุดมสมบูรณ์ จึงเหมาะที่จะมาพักผ่อน กันสักครั้ง..


  • ไป.. เรียนรู้วิถีชุมชน

ชุนชนบ้านเกาะกลาง เป็นชุมชนที่มีความผูกพันธ์กับท้องทะเลมาอย่างช้านาน จึงสามารถพบเห็นวิถีชีวิตที่ยังคงความดั้งเดิมได้ที่นี่อย่างไม่ยาก โดยมีกิจกรรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ก็อย่างเช่น การออกเรือไปดูวิถีชีวิตชาวประมง การลอบปู การสักหอย การทำผ้าปาเต๊ะ การทำเรือหัวโทงจำลอง ฯลฯ


  • ไป.. ลองชิมอาหารท้องถิ่น

ขาดไม่ได้เลย! สำหรับการไปเยือนท้องถิ่นต่างๆ ก็คือ การได้ชิมอาหารขึ้นชื่อของท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่ง จังหวัดกระบี่ เอง ก็มีเมนูอาหารท้องถิ่นอร่อยๆ เยอะแยะมากมาย และของเขาก็เด็ดจริงๆ นะเออ!


DAY #1

09.40 น. สวัสดี..กระบี่!

ทริปนี้.. ผมเริ่มออกเดินทาง จาก สนามบินดอนเมือง ด้วย สายการบินแอร์เอเชีย ในบรรยากาศยามเช้าที่ดูสดใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แดดแรงกำลังดีเลยทีเดียว

จาก กรุงเทพฯ ถึง กระบี่ ใช้เวลาในการเดินทาง ประมาณชั่วโมงเศษเท่านั้น รวดเร็วทันใจดีมาก และสภาพอากาศที่สนามบินปลายทางก็ดูสดชื่นแจ่มใสเช่นกัน ไม่เจอฝนก็เป็นอันใช้ได้แล้วครับ..


การเดินทาง จาก สนามบินกระบี่ ไป ตัวเมืองกระบี่(ท่าเรือ)

ท่าเรือ ที่ข้ามไป เกาะกลาง จะอยู่ในตัวเมืองกระบี่ ครับ โดยการเดินทางเข้าเมือง จากสนามบินนั้น วิธีที่สะดวกที่สุด ก็คือ นั่งรถ Shuttle Bus ที่มีบริการ รับ-ส่ง เข้าเมือง สามารถซื้อตั๋วรถเข้าเมืองได้ที่เคาเตอร์ในสนามบิน ในราคา เข้าตัวเมืองกระบี่ 90 บาท

แต่..ก็มีวิธีเข้าเมืองที่ประหยัดกว่านั้น และก็ใช้วิธีนี้ประจำ นั่นก็คือ รถสองแถวโดยสารประจำทาง โดยเดินออกมาจากสนามบินแล้วไปที่ถนนใหญ่หน้าสนามบิน เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม จะมีศาลาเล็กๆ สามารถมานั่งรอรถได้ที่นี่ จะมีรถสองแถวผ่าน โบกแล้วโดดขึ้นรถเข้าเมืองได้เลย ราคา 20-30 บาท เท่านั้น!


การเดินทาง จาก ตัวเมืองกระบี่(ท่าเรือ) สู่ ชุมชนเกาะกลาง

สามารถนั่งเรือไปได้ 2 ท่า คือ

  • ท่าเรือสวนสาธารณะธารา ค่าโดยสารประมาณ 10 บาท ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ชาวบ้านมักจะใช้ท่าเรือนี้ ซึ่งเรือจะมาจอดที่ ท่าเรือท่าเล(เกาะกลาง)
  • ท่าเรือเจ้าฟ้าฯ จะอยู่บริเวณใกล้กับลานปูดำ ขึ้นที่ท่าเรือนี้จะสะดวกกว่า ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ราคาแล้วแต่ตกลง(ราคาเหมา 100 บาท หรือ ถ้ามีผู้โดยสารท่านอื่นก็สามารถแชร์ค่าโดยสารกันได้ครับ) เรือจะมาจอดที่ ท่าเรือท่าหิน(เกาะกลาง)

เรือจะเริ่มให้บริการตั้งแต่เช้า 6.00 น. ไปจนถึง 21.00 น. นอกเหนือเวลาดังกล่าวก็สามารถใช้วิธีเหมาเอาได้ครับ

สำหรับ ท่าเรือสวนสาธารณะธารา จะได้รับความนิยมจากชาวบ้านเกาะกลางมากกว่าครับ เพราะ เรือที่ใช้โดยสารเป็น เรือหัวตัด ที่สามารถขนสัมภาระขึ้น-ลง ได้อย่างสะดวก และ สามารถนำรถมอเตอร์ไซค์ ขึ้นเรือข้ามฝั่งไปได้อีกด้วย ซึ่งใครเช่ามอเตอร์ไซค์เที่ยวกระบี่อยู่แล้ว ก็สามารถนำลงเรือ ข้ามไปเที่ยวเกาะกลางได้เลย

ภาพที่สามารถพบเห็นได้ตลอดเวลาที่ ท่าเรือสวนสาธารณะธารา การสัญจรข้ามฝั่งไป-มาของชาวบ้านเกาะกลาง

เกาะกลาง เป็นเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองกระบี่ เป็นเกาะที่มีความอุดมสมบูณ์ของธรรมชาติ และวิถีชีวิตของคนบนเกาะก็ยังคงความดั้งเดิม ถ้าหากใครชอบเที่ยววิถีชุมชน ชอบเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น ที่นี่จึงเป็นจุดหมายที่น่าสนใจแห่งหนึ่งเลยครับ และเนื่องจากชาวบ้านบน เกาะกลาง นับถือศาสนาอิสลามเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงควรทราบข้อปฏิบัติเบื้องต้นก่อนที่จะเดินทางขึ้นไปบนเกาะ อย่างเช่น ข้อห้าม 5 ส. คือ ห้ามดื่มสุรา ห้ามนำสุนัขขึ้นเกาะ ห้ามนำสุกรขึ้นเกาะ ห้ามใส่สายเดี่ยว และ ห้ามพฤติกรรมเชิงชู้สาว เป็นต้น

ถ้ามองจากฝั่งตัวเมืองกระบี่ จะเห็นว่า.. บริเวณ เกาะกลาง จะมีต้นไม้เยอะมาก และดูเขียวชอุ่มแบบสุดๆ ด้วยความที่อยู่ใกล้ตัวเมืองนิดเดียว ก็สามารถข้ามไปเที่ยวได้แม้จะมีเวลาน้อย สัก 2-3 ชั่วโมง ก็เที่ยวครบทั้งเกาะแล้วครับ

เพื่อความสะดวกในการนั่งเรือข้ามฝั่ง ผมใช้บริการจาก ท่าเรือเจ้าฟ้าฯ ที่อยู่ใกล้กับ ลานปูดำ ครับ ซึ่งเรือจาก ท่าเรือเจ้าฟ้าฯ จะไปจอดที่ ท่าเรือ(ท่าหิน) ที่อยู่ใกล้กับ “คิดถึงคอทเทจ” โฮมสเตย์ที่ผมจะไปพักในคืนนี้ครับ ตั้งใจจะเอากระเป๋าและสัมภาระต่างๆ เข้าไปเก็บเสียก่อน ซึ่งเมื่อมาถึง เกาะกลาง หากใครต้องการเดินทางไปเที่ยวตามจุดสำคัญต่างๆ ก็สามารถติดต่อ รถสามล้อ นำเที่ยว ได้ครับ


12.00 น. “คิดถึงคอทเทจ” ..โฮมสเตย์น่าพักบนเกาะกลาง

บ้านแห่งความทรงจำ ที่ทำให้กลับมา เพราะความ… คิดถึง

ผมเดินออกจาก ท่าเรือ(ท่าหิน) มาไม่เกิน 100 เมตร ก็จะเห็น บ้านสองชั้น หลังเล็กๆ แต่ดูอบอุ่น น่าอยู่.. อยู่ทางขวามือ และนี่แหละ คือ.. คิดถึงคอทเทจ โฮมสเตย์ที่ผมจะมาพักในคืนนี้ครับ

ผมได้รู้จักกับ พี่มัตถ์ และ พี่มูนา เจ้าของโฮมสเตย์น่ารักๆ แห่งนี้ ซึ่งจากการพูดคุยกันจึงทำให้ผมได้รู้เรื่องราว และวิถีชีวิตต่างๆ ของชาวบ้านที่ชุมชนเกาะกลาง ที่ถือว่า.. ยังคงรูปแบบการดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ และก็ยังมีอีกหลายมุมที่น่าสนใจ

จนมาถึงความเป็นมาของ “คิดถึงคอทเทจ” แห่งนี้ ที่ผมคิดว่า.. จะต้องมีเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ ก่อนที่จะเปิดมาเป็นโฮมสเตย์เปิดให้เข้าพักอย่างเช่น ปัจจุบัน

ซึ่ง พี่มัตถ์ ได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ว่า..

“.. หลายครั้งที่เพื่อนๆ หรือญาติๆ จากกรุงเทพฯบ้าง เชียงใหม่บ้าง อุดรฯบ้าง แวะมาเยี่ยมเยียนก็จะรู้สึกประทับใจในบรรยากาศ ความร่มรื่น ความอบอุ่น และวิถีของเกาะกลาง …เสมือนที่นี่เป็นบ้านพักตากอากาศของพวกเขากันเลยทีเดียว

แต่แล้ววันนึง เมื่อทุกคนในครอบครัวต่างต้องทยอยย้ายกันไปอยู่ในตัวเมืองด้วยหน้าที่การงาน รวมทั้งผมและมูนาด้วยที่ต้องไปทำงานสถาปัตย์ของตัวเอง ทุกคนจึงจำใจปล่อยบ้านทิ้งร้างไว้

ตลอดเวลา 1 ปีที่แทบไม่มีใครในครอบครัวได้กลับมาดูแล แต่ยังพอได้ยินข่าวคราวจากคนในเกาะและคุณครูโรงเรียนข้างๆบ้านบอกผ่านมาว่า…“บ้านน่าสงสาร”

จนวันนึงที่เป็นจุดพลิกความคิด เมื่อญาติจากกรุงเทพฯ ลงมาเที่ยวที่กระบี่ แล้วแวะมาเยี่ยม “บ้าน” เหมือนเช่นเคยแล้วบอกว่า…ใจหาย สลดใจ ภาพแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นและคิดถึงบรรยากาศแบบครั้งก่อนๆที่เคยเจอ

ย้อนกลับดูตัวเองว่า ในขณะที่เรากำลังพัฒนาอสังหาฯและทรัพย์สินให้คนอื่นๆ แต่กลับทิ้งเรื่องราวและรากเหง้าของตัวเองให้รกร้าง แบบนี้มันไม่ใช่แน่ๆ… ถึงเวลาต้องทำอะไรบางอย่างกับบ้านแห่งความทรงจำหลังนี้แล้ว และ มูนา ก็เห็นด้วยเพราะบ้านหลังนี้ก็มีบรรยากาศที่ทำให้มูนาคิดถึงบ้านเกิดที่ขอนแก่นด้วยเช่นกัน

จึงเป็นที่มาของ “คิดถึง” เพราะคือความรู้สึกของเราเองที่ห่างหายบ้านหลังนี้มาตั้งแต่มัธยมต้นจนทำงาน คือ ความประทับใจของใครหลายๆคนที่ได้แวะมาเยี่ยมเยียนกัน และ เราก็ยังมีหลายเรื่องราวที่อยากจะบอกเล่า และเชื่อว่าจะทำให้คนอื่นๆ ได้ “คิดถึง” ที่แห่งนี้เช่นกัน..”

เป็นเรื่องราวที่ได้ฟังจาก พี่มัตถ์ ที่ ทำให้รู้สึกว่า.. ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ที่พักเพียงชั่วคราว ที่มาแวะพักแล้วก็กลับไป แต่สำหรับที่นี่.. นอกจากจะได้มาพักผ่อนเหมือนอยู่บ้านตัวเอง แล้ว.. ก็จะได้ ความผูกพัน และ มิตรภาพดีๆ กลับไปอีกด้วย..

นั่งคุย กับ พี่มัตถ์ และ พี่มูนา อยู่สักพัก พี่ทั้งสองก็ขอพาเดินชมบ้านกันสักหน่อย ซึ่งวันนี้.. นอกจากจะมีผมมาเข้าพักแล้ว ก็ยังมีครอบครัวนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาร่วมพักอีกด้วย

มาที่นี่ก็ต้องทำความรู้จัก กับ เจ้าถิ่น ของที่นี่ก่อน เป็นเจ้าบ้านที่คอยนั่งเฝ้าบ้านอย่างดีไม่มีหนีหายไปไหน

พี่มัตถ์ กับ พี่มูนา ต้อนรับด้วยขนมท้องถิ่น ที่ผมไม่เคยลิ้มลองที่ไหนมาก่อน

“คิดถึงคอทเทจ” เป็นบ้านสองชั้น ที่ต้องอยู่ร่วมกันกับเจ้าของบ้าน ชั้นล่างจะเป็นห้องโถง เปิดโล่ง มีมุมพักผ่อนนั่งเล่นนอนเล่น

ที่นี่จะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน หากเกิดอาการง่วงนอน ก็มาหลบงีบได้สบายๆ เหมือนอยู่บ้านตัวเอง

มุมไว้สำหรับนั่งคุย นั่งเล่น หรือ ทำกิจกรรมต่างๆ

ส่วนของ ห้องครัว ที่ไว้ใช้ประกอบอาหาร ซึ่งสามารถนำวัตถุดิบมาประกอบอาหารได้เอง หรือ มาเรียนรู้วิธีการประกอบอาหารแบบท้องถิ่นของที่นี่ก็ได้

ยาสามัญประจำบ้าน ป่วย เป็นไข้ ไม่สบาย สบายใจได้ หายห่วง

มุมนั่งเล่น ที่อยู่ในบริเวณบ้าน จากวัสดุธรรมชาติ ใช้สำหรับนั่งเล่น หรือ นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน


ห้องพัก ของ คิดถึงคอทเทจ

ห้องพัก ภายในบ้าน จะมีอยู่ทั้งหมด 3 ห้อง ตามความต้องการของผู้เข้าพัก ทุกห้องมีเครื่องปรับอากาศ พักผ่อนได้อย่างสบาย บรรยากาศเหมือนอยู่บ้านจริงๆ ซึ่งรูปแบบห้องต่างๆ แบ่งได้ ดังนี้

1. ห้องเตียงเดี่ยว สำหรับ 2 คน ภายในห้อง มีเตียงขนาดใหญ่สำหรับนอน 2 คน พร้อมโต๊ะไว้นั่งทำงาน

2. ห้องครอบครัว สำหรับ 4 คน ภายในห้อง มีเตียงขนาดใหญ่สำหรับนอน 2 คน และ เตียง 2 ชั้น

3. ห้องก๊วนแก๊ง มาแบบกลุ่มเพื่อน 6 คน ภายในห้อง มีเตียง 2 ชั้น 3 เตียง นอนได้ทั้งหมด 6 คน ได้อารมณ์เหมือนนอนหอพักสมัยเรียน

ทั้งนี้.. สามารถเลือกเข้าพัก ได้ตามความต้องการ ซึ่งค่าที่พักก็ราคาไม่แพง โดยจะคิดเป็นคน คนละ 500 บาท(รวมอาหารเช้า) เท่านั้น!


ติดต่อ : คิดถึงคอทเทจ

Tel : 081 494 7470

E-mail : [email protected]

Facebook : https://www.facebook.com/kidthung.cottage


12.30 น. ขนาบน้ำวิวซีฟู๊ด ร้านอาหารอร่อย บนเกาะกลาง

หลังจาก เก็บสัมภาระ เข้าห้องเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขอตัว.. พี่มัตถ์ ออกไปจัดการอาหารเที่ยงเสียก่อน ซึ่งตอนนั่งเรือมาลงที่ ท่าเรือ(ท่าหิน) นั้น ผมเห็นว่ามีร้านอาหารริมน้ำ ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ จึงเดินจาก โฮมสเตย์ ย้อนกลับมาทางท่าเรือ ประมาณ 100 เมตร ก็มาเจอ ร้านขนาบน้ำวิวซีฟู้ด ที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ในบรรยากาศสบายๆ

ร้านอาหารบนเกาะกลาง จะมีร้านยอดนิยม อยู่ 2 ร้าน ที่นักท่องเที่ยวนิยม เหมาเรือ ข้ามฝั่งมาจากตัวเมืองกระบี่ มาทานอาหารกันที่ เกาะกลาง แห่งนี้ ซึ่งนอกจากบรรยากาศร้านที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติของปากน้ำกระบี่แล้ว อาหารที่นี่ก็สดใหม่ เพราะ ได้วัตถุดิบสดๆ จากกระชังนั่นเอง

เมนูอาหาร รสชาติจัดจ้านได้ใจ.. โดยเฉพาะ น้ำพริกกุ้งเสียบ กับ ผักนานาชนิด เป็นอะไรที่ถูกใจมากครับ!

หลังจาก.. จัดการมื้อเที่ยงจนอิ่มแปล้ดีแล้ว ที่นี่เขาก็มี โชว์ปลาปักเป้า ให้ดู เป็นการส่งท้ายด้วยนะ 55+


14.00 น. เที่ยวรอบ.. เกาะกลาง

เอาจริงๆ มีเวลาแค่ 2-3 ชั่วโมง ก็เที่ยวครบรอบเกาะแล้ว..

ช่วงบ่ายนี้.. พี่มัตถ์ กำลังว่างพอดี ก็เลยอาสา พาเที่ยวรอบเกาะกลางสักหน่อย ซึ่งถ้าหากใครมาเที่ยวกับเพื่อนสัก 3-4 คน ก็อาจจะเหมา รถสามล้อนำเที่ยว ได้ครับ ก็ถือว่าคุ้มอยู่และถือเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนด้วยครับ และการได้นั่งสามล้อ ชมวิถีชีวิตในชุมชนมันก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบเหมือนกันนะ ยิ่งได้มากับ คนในพื้นที่อย่าง พี่มัตถ์ ก็ยิ่งทำให้ได้รู้อะไรเพิ่มอีกเยอะเลย..

มาถึง.. จุดแรก การทำผ้าปาเต๊ะ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของชาวบ้าน เพื่อผลิตผ้าปาเต๊ะ ส่งขายหารายได้เสริม

ขั้นตอนการผลิตผ้าปาเต๊ะ เริ่มต้นจากผ้าสีขาว นำมาปั๊มลายด้วยเทียน แล้วนำมาขึงให้ตึง เติมสีสันลงไป จากนั้นต้องทิ้งไว้ 1 วันให้สีแห้ง ก่อนจะนำไปย้อมทั้งผืน แล้วผึ่งให้แห้งอีกครั้ง ก็จะได้ผลิตภัณฑ์ผ้าปาเต๊ะออกมาไว้จำหน่าย สร้างรายได้ให้กับชุมชน

สามารถทดลองทำผ้าปาเต๊ะขนาดเล็กได้ ในราคา 50 บาท นำมาลงสีสันได้ตามใจชอบ..

สำหรับผู้ที่สนใจอยากซื้อหาผ้าปาเต๊ะกลับไป ด้านข้างก็มี Shop ผลิตภัณฑ์จากผ้าปาเต๊ะ ให้เลือกซื้อ ทั้งเสื้อผ้า ผ้าพันคอ กลับไปเป็นของฝากกันได้ ซึ่งนอกจากจะได้สินค้าราคาถูกแล้ว ก็ยังเป็นการช่วยเหลือชุมชนอีกด้วยครับ

นั่งรถสามล้อ มายังจุดต่อไป ที่ ศูนย์การเรียนรู้กลุ่มเรือหัวโทงจำลอง เกาะกลาง

กลุ่มนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นการสืบสานวิถีชีวิตของชาวเกาะกลางสมัยก่อน ที่ปัจจุบันเริ่มพบเห็นได้น้อยลง เรือหัวโทงแบบดั้งเดิมเริ่มจะหายไป ชาวบ้านเลยรวมกลุ่มกันเพื่อทำเรือหัวโทงจำลองขึ้น เพื่ออนุรักษ์ และพัฒนา เรือหัวโทงจำลอง จนมาเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัด และสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน

ของขึ้นชื่ออีกอย่างของที่นี่ ข้าวสังข์หยด ซึ่ง ข้าวสังข์หยด ของชาวเกาะกลาง เป็นข้าวที่ผ่านกระบวนการปลูก การเก็บเกี่ยว โดยคนในชุมชนเอง ซึ่งมีความพิเศษตรงที่พื้นที่ปลูกข้าวนั้นมีความเค็มของน้ำทะเลผสมอยู่ ทำให้มีความแตกต่างจากที่อื่น หุงแล้วนุ่ม มีรสชาติดี และ มีคุณค่าทางอาหารสูง

จะได้เห็น การสาธิตขั้นตอนต่างๆ ก่อนที่จะมาเป็นข้าวสังหยด พร้อมหุง ซึ่งในบางขั้นตอนก็สามารถทดลองทำด้วยตัวเองก็ได้ครับ

นอกจากนี้.. ก็มี ข้าวสังข์หยด จำหน่ายด้วยนะครับ ราคากิโลกรัมละ 100 บาท เท่านั้นเอง

จุดชมวิวริมเขื่อน ตรงนี้.. พี่มัตถ์ นำเสนอมากๆ เพราะเป็นจุดชมวิวที่สวยดี มองวิวท้องทะเลได้ในมุมกว้าง จึงเป็นจุดที่มาแวะนานสักนิดนึง เพราะลมมันพัดเย็นสบายดีจริงๆ ครับ..


17.00 น. ชิล.. ยามเย็น!

พอเข้าสู่ช่วงเย็น.. พี่มัตถ์ กับ พี่มูนา ได้ชักชวนผมไปหามื้อเย็นทานกันริมน้ำ ซึ่งอยากนำเสนอร้านสไตล์ชาวบ้านๆ แบบเรียบง่าย และราคาประหยัด ด้วยความที่อยากลองอะไรแบบบ้านๆ แบบนี้อยู่แล้ว ก็เลยไม่ขอปฎิเสธครับ.. ขอติดสอยห้อยตามไปด้วยคน ซึ่งร้านอาหารดังกล่าวก็.. เดินไม่ไกลจาก “คิดถึงคอทเทจ” ครับ เป็น ร้านอาหารริมน้ำ(ที่น่าจะเรียกว่า บ้าน มากกว่า) ตั้งอยู่ติดกับท่าเรือนี่เอง เป็นร้านส้มตำแบบง่ายๆ ปูเสื่อนั่งพื้น บรรยากาศแบบสบายๆ ริมน้ำครับ

หลังจากคุ้นเคย ร้านส้มตำสไตล์อีสาน มานักต่อนัก.. ก็ขอลองมาทานร้านส้มตำแบบภาคใต้กันบ้าง มี เมนูน่าสนใจ อย่างเช่น ตำแตงกวา ลาบไก่ ไก่ทอด ซึ่งความพิเศษของ ไก่ทอด ร้านนี้ก็คือ จะไม่ทอดทิ้งไว้.. นอกจากจะสั่งถึงจะทอดให้เป็นชิ้นๆ ไป ได้ไก่ทอดแบบร้อนๆ มาทานแน่นอน .. และก็ ที่นี่จะโรยกระเทียมเจียวมาบนข้าวเหนียวด้วย ..ก็ได้รสชาติไปอีกแบบเหมือนกันครับ!

อีกกิจกรรมที่ห้ามพลาด! ในช่วงยามเย็นแบบนี้ ชมวิว พระอาทิตย์ตก ของที่นี่ก็สวยเหมือนกัน นะครับ


20.00 น. โรตี.. หนำนา(ขนำนา)

อาบน้ำ.. สบายตัว เสร็จเรียบร้อย ก็มานั่งเล่น อยู่ภายในบริเวณบ้าน

ช่วงหัวค่ำ.. เช่นนี้ ที่ คิดถึงคอทเทจ มีบริการเตาปิ้งย่าง บาร์บิคิว ไว้คอยบริการด้วย จะซื้อของสดมาเอง หรือ ติดต่อสอบถามกับพี่มัตถ์ ไว้ก่อนก็ได้ และ ยามดึก หากรู้สึกหิว พี่มัตถ์ ก็แนะนำ ร้านโรตี ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ชื่อว่า โรตี.. หนำนา(ขนำนา) มาทั้งที่จะให้ไม่พลาดได้ไง ก็ต้องไปลองสิ..

มีทั้งโรตีหลากหลายไส้ จะใส่กล้วย ใส่นม ..ก็ตามใจชอบ พร้อมด้วยเครื่องดื่มต่างๆ อย่างเช่น นมแพะอินทผาลัม ที่ดื่มให้สบายท้องก่อนนอน.. รวมไปถึง ข้าวต้ม ร้อนๆ แก้หิวยามดึกอีกด้วย

ที่ร้านคนมาซื้อโรตีทานกันเยอะมาก ทั้งซื้อกลับบ้าน และ ทานที่ร้าน ซึ่งถ้าทานที่ร้านจะได้บรรยากาศมากกว่า เพราะได้นั่งในบรรยากาศขนำริมนา มีลมพัดโชย และได้นั่งสนทนาเรื่องต่างๆ นานา กับ พี่มัตถ์ เพียบเลยในค่ำคืนนี้..


DAY #2

06.00 น. ชมวิถีชีวิตชาวประมงชุมชนเกาะกลาง


วันนี้.. ตื่นเช้าหน่อย..

มีโปรแกรมต้องออกเรือแต่เช้าไป เก็บหอย โดยนั่งเรือออกไปไม่ไกล ในบริเวณ ปากน้ำกระบี่ นี่เอง.. ซึ่งบรรยากาศยามเช้าแบบนี้มันสดชื่นดีมากๆ มากระบี่ตั้งหลายครั้ง ยังไม่เคยตื่นเช้าแบบนี้มาก่อนเลย.. อากาศมันดีจริงๆ ครับ

เรือมาจอดอยู่ที่บริเวณพื้นที่น้ำลด ซึ่ง ผมต้องลงไปเดินบนเนิน เพื่อที่จะมา “เก็บหอย” กันครับ

กิจกรรมเก็บหอย ในบริเวณชายหาดที่น้ำลด ในช่วงเช้า หรือ เย็น หอยที่พบส่วนมาก เช่น หอยหลักไก่ หอยจุ๊บแจง หอยหวาน หอยปากหนา หอยแครง เป็นต้น สามารถใช้มือเปล่าจับได้เลย ซึ่งหอยที่ได้มา จะนำมาประกอบอาหาร โดยมีเมนูที่น่าสนใจอย่าง หอยต้มตะไคร้ ซึ่งได้ลองชิมแล้ว กินเพลินเลยทีเดียวล่ะ ต้องลอง!

ก่อนลงเรือ พี่มัตถ์ จะแจก ถุงเท้า ที่เย็บขึ้นมาเป็นพิเศษ ให้ใส่ก่อนลงครับ ไม่ว่าใครจะต้องใส่เอาไว้ เพราะ เศษเปลือกหอยเยอะมากๆ จะบาดเอาได้ง่ายๆ และ ถุงเท้าก็ช่วยป้องกันได้อย่างดีเลย..

การเดินบนพื้นที่โคลนแบบนี้จะค่อนข้างยากหน่อย เพราะก้าวที มันจมไปถึงหัวเข่ากันเลยทีเดียว ต้องค่อยๆ ก้าวเท้าไปทีละก้าวแบบไม่เร่งรีบ และ หลังจากน้ำลดแบบนี้ จะเห็นเศษเปลือกหอยเกลื่อนมาก รวมไปถึง “หอยหลักไก่” ด้วย ซึ่งจะเจอเยอะมากเลย..

พี่มัตถ์ ได้สอน วิธีดูคร่าวๆ ว่า.. หอยหลักไก่ นั้น.. จะรู้ได้ยังไงว่า.. “หอยเป็น” หรือ “หอยตาย” ก็ให้สังเกตที่เปลือก ถ้าเปลือกหอยตัวไหนสกปรกมีคราบต่างๆ เกาะติด ก็แสดงว่า..ตายแล้ว!

เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ให้ใช้วิธีสังเกต ทางเดินของ “หอยหลักไก่” จะทิ้งรอยเป็นเส้นๆ เอาไว้ โดยที่เราไม่ต้องก้มหาให้เมื่อยหลัง ซึ่งตัวหอยเองอาจจะมีการวางตัวหลายรูปแบบ บ้างก็นอนราบบนหาด.. บ้างก็ฝังตัวลงไปในโคลนโผล่แค่หัวขึ้นมาหายใจก็มี..

ถ้าเปลือกหอยตัวไหนดูเกลี้ยงเกลาสะอาดไร้คราบเกาะติด ก็เป็น.. “หอยเป็น” กินได้ครับ! ทั้งนี้ที่เปลือกหอยสะอาด ก็เกิดจากการเดินไปมาตามชายหาด ซึ่งก็ถูกขัดกับผืนทรายอยู่บ่อยๆ จึงเกลี้ยงเกลาอย่างที่เห็นนั่นเอง!(ซ้าย-หอยเป็น, ขวา-หอยตาย)

มาแค่แป้บเดียว.. ก็เก็บหอยได้หลายตัวแล้ว!

ออกมาเช้าๆ แบบนี้ จะได้พบเห็นวิธีการหาหอยของชาวบ้านอีกวิธีหนึ่ง ที่เรียกว่า.. การสักหอย ซึ่งเป็นวิธีการหาหอยที่น่าสนใจ ของวิถีชุมชนบ้านเกาะกลาง โดยขั้นตอนการสักหอย จะนำไม้แหลมกลมๆ ยาวพอเหมาะ มาเดินแทงลงบนพื้นชายหาด เพื่อให้กระทบกับเปลือกหอย ซึ่งต้องใช้วิธีสังเกตกันพอสมควร..

วันนี้.. เกาะกลาง อากาศดีมากๆ เป็นทะเลที่บรรยากาศดูสงบเงียบจริงๆ และ วิวมุมกว้างก็สวยดีอีกด้วยครับ

มาแวะดู.. วิธีการจับสัตว์น้ำ อีกแบบ ที่เรียกกันว่า.. โป๊ะน้ำตื้น ซึ่งเป็นวิธีการจับปลาโดยอาศัย น้ำขึ้น น้ำลง ครับ

อุปกรณ์ก็มี.. อวนขนาดยาวขึง เป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่มาก เปิดโล่งไว้หนึ่งด้าน พอ ช่วงน้ำขึ้น ปลาก็เข้ามาว่ายเวียนวนอยู่ข้างใน

แต่พอถึง ช่วงน้ำลง น้ำค่อยๆ ลดลงช้าๆ บรรดาปลาทั้งหลาย ก็ค่อยๆ ไหลไปกองรวมกันตรงมุมปลายอวนที่อยู่ลึกที่สุด.. ที่เรียกว่า ลูกขัง ข้างในจะเต็มไปด้วยสัตว์น้ำที่มากองรวมกัน อย่างปลา ปูม้า หมึกกล้วย กุ้ง เป็นต้น

ปัจจุบัน ทางการได้สั่งให้ชาวบ้านยุติการจับสัตว์น้ำด้วยวิธีนี้แล้ว เพราะ ทำให้สัตว์น้ำตัวเล็กๆ หรือ ตัวโตไม่เต็มที่ ถูกจับไปด้วย แต่ทั้งนี้.. ก็หาทางออกร่วมกันโดยการผ่อนปรนให้ใช้อวนตาข่ายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อไม่ให้สัตว์น้ำตัวเล็กๆ ถูกจับไปด้วย และ ให้ค่อยๆ ลดการจับสัตว์น้ำด้วยวิธีนี้ไป..

จากนั้น.. เรือก็พาวนชมบรรยากาศของปากน้ำกระบี่ ครับ มองไปไกลๆ จะเห็น เขาขนาบน้ำ ด้วย

บริเวณปากน้ำกระบี่ จะเห็นชาวบ้านออกมาทำประมงกันเยอะมากเลยครับ ได้ปลา ได้กุ้ง กันเพียบเลย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า.. บริเวณใกล้ตัวเมืองเช่นนี้ จะสามารถจับสัตว์น้ำได้เยอะขนาดนี้.. โดยไม่ต้องออกเรือไปไกล

กิจกรรมในเช้านี้.. ก็เลยเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยครับ ที่ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของคนในชุมชน ได้เห็นถึงวิธีการต่างๆ ที่ถือว่า.. เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับผมมากๆ คุ้มค่ากับการตื่นแต่เช้าเลยล่ะ! 55+

(ปล. กิจกรรมท่องเที่ยวบนเกาะกลางมีมากมาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และ ฤดูกาล ด้วย บางกิจกรรม ต้องอาศัยน้ำขึ้น น้ำลง ต้องไปในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งโดยรวมๆ แล้วก็รู้สึกสนุก แถมได้ความรู้ไปในตัวด้วยครับ ทั้งนี้.. กิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโดยตรงกับพี่มัตถ์ได้เลยนะครับ ซึ่งบางกิจกรรมอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หรือ ต้องแชร์กับนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในวันนั้นๆ ด้วยครับ )


08.00 น. มื้อเช้า.. ที่ “คิดถึง”

หลังจาก.. ออกเรือ ไปชมวิถีชีวิตชาวประมง เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาที่โฮมสเตย์ ครับ

การมาพักที่นี่ มีความพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ จะได้ทานอาหารท้องถิ่น ที่บางเมนูอาจไม่เคยลิ้มลองจากที่ไหนมาก่อน อย่างเช่น อาหารมื้อเช้า (รวมกับค่าที่พักแล้ว) ในมื้อนี้..

มื้อนี้.. ผมได้ทานขนมจีน ที่มีน้ำยารสจัดจ้านพร้อมเครื่องเคียง ไก่ย่างแบบสูตรท้องถิ่น พร้อมด้วยผลไม้ เป็นเซตอาหารเข้าที่ดูน่ารัก น่ารับประทานดี..


09.00 น. นั่งเรือพลีส ออกไป.. ลอบปู!

เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ.. พี่มัตถ์ ก็ได้เอ่ยถามผมมาว่า.. “สนใจจะไปดูลอบปูมั้ย? ไปสัก 1-2 ชั่วโมง ไม่นาน ถ้าไป.. เดี๋ยวไปตอนนี้เลย” ซึ่งฟังดูก็น่าสนใจ ผมก็เลยตอบตกลงโดยทันที

พี่มัตถ์ พาผมเดินออกจากโฮมสเตย์ มาไม่ถึง 100 เมตร มาตรงที่จุดเดิม ท่าเรือ(ท่าหิน) โดยพาผมมาฝากไว้กับ บังแทว ซึ่งผมจะขอฝากตัวตามติดชีวิตชาวประมงไปดู บังแทว “ลอบปู” กันครับ และ พาหนะของบังแทว ก็คือ เรือพลีส ครับ ซึ่งเจ้าเรือพลีส นี่ก็เป็นเรือขนาดเล็กกะทัดรัด นั่งได้ 2 คน มีความยาวประมาณ 3 เมตรครึ่ง กว้าง 75 เซนติเมตร ทำด้วยไม้ และติด เครื่องยนต์ไว้ด้านหลัง สามารถใช้ไม้พายก็ได้(ตอนอยู่น้ำตื้น) หรือใช้เครื่องยนต์ก็ได้(ตอนอยู่น้ำลึก) แล้วแต่สถานการณ์…

เพราะ ขนาดเรือที่เล็กจึงแทรกตัวไปได้ทุกที่ แม้แต่ในป่าโกงกางที่มีรากไม้พะรุงพะรัง!! สุดยอดจริงๆ..

เรือขนาดเล็กนั่งได้ไม่เกิน 2 คน ดังนั้น แค่ผม กับ บังแทว ก็ดูเหมือนจะนั่งเต็มเรือพอดี (อย่าลืม.. เอาโลชั่นกันยุง มาด้วยนะ ยุงในป่าเยอะจริงๆ ดีที่พี่มัตถ์ให้โลชั่นถือติดมือลงเรือมาด้วย ไม่งั้นแย่จริงๆ ยุงเยอะมาก..ครับ)

เรือลัดเลาะเข้ามาตามคลองสายเล็กๆ ในป่าโกงกาง ที่ตอนนี้ค่อนข้างจะตื้นเขิน เพราะน้ำที่ลดลง จนถึงขนาดที่ว่าเรือไม่สามารถเข้าไปต่อได้ ติดกับพิ้นดินด้านล่างขยับไปไหนไม่ได้ แต่ บังแทว ก็บอกผมว่า.. ไม่ต้องตกใจไป อีกสักพักเดี๋ยวน้ำก็จะขึ้นแล้ว นั่งรอให้น้ำขึ้นอีกสักหน่อยพอให้เรือไปต่อได้..

บังแทว ได้บอก วิธีการลอบปู คร่าวๆ มาครับ ก็คือ ใช้วิธีการหั่นเนื้อปลา มาไว้เป็นเหยื่อล่อ แล้วผูกเอาไว้ในลอบครับ จากนั้นก็ เอาลอบไปปักไว้ตาม จุดต่างๆ ของป่าโกงกาง ซึ่ง บังแทว ได้วางลอบเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ วันนี้เพียงแค่มาตามเก็บลอบเท่านั้น เดี๋ยวมาลุ้นกันครับ ว่าวันนี้.. จะได้เยอะมั้ย?

เข้ามาในป่าโกงกางนี้ เข้าใจเลยครับว่าการหลงทิศเป็นยังไง ไม่รู้ทางไหน ทางเข้า ทางออก ดูงง ไปหมด 55+ แต่คนชำนาญพื้นที่อย่างบังแถวไม่มีหลงแน่นอน และจำจุดที่วางลอบได้อีกด้วย ซึ่งพื้นที่ป่าโกงกางมันก็แลดูเหมือนๆ กันไปหมดเลยนะ จำได้ไง ว่าวางลอบเอาไว้ตรงไหนบ้าง..? 55

ในระหว่างที่ บังแทว กำลังง่วนกับการลงไปมองหาจุดที่วางลอบเอาไว้ ก็ปล่อยให้ผมนั่งรออยู่บนเรือ ซึ่งไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องดีใจของบังแทว ประเดิมผลงานวันนี้.. บังแทว ชูลอบโชว์ให้ผมดู พร้อมกับรอยยิ้ม มองไกลๆ ผมเห็นปูตัวใหญ่ในลอบอยู่ 2-3 ตัวได้


ในลอบแรกนี้.. ได้ปูตัวใหญ่ มา 2 ตัวครับ ขนาดใหญ่เลยทีเดียว บังแทว บอกว่าต้องรีบนำมันขึ้นมาบนเรือ และหาอะไร กั้นมันไว้ให้อยู่กับที่ครับ ไม่งั้น มันจะใช้ก้ามหนีบกัน จนเป็นรอย หรือเป็นแผล ทำให้ราคาตกได้(ปูสามารถนำไปขายได้ กิโลกรัมละหลายร้อยเลยทีเดียว)

ไล่เก็บลอบไปตามคลองเล็กๆ ในป่าโกงกางครับ ซึ่งก็ได้มาลอบละตัวบ้าง สองตัวบ้าง ซึ่งก็เป็นที่น่าพอใจครับ..

บางลอบเก็บขึ้นมาจะเห็นแค่ เศษกระดองปู ครับ.. บังแทว ถามผมว่า.. รู้มั้ยว่าเป็นผลงานของใคร? มันเป็นผลงานของลิง!! ลิงมันฉลาดครับ มันจะมาเก็บลอบเพื่อกินปู ดังนั้น เมื่อได้เวลามาเก็บลอบต้องมาไวๆ หน่อย ปล่อยทิ้งนานไม่ได้เลย ลิงมันเอาไปกินหมด..

เมื่อเก็บลอบจนครบแล้ว.. ก็ออกจากป่าโกงกางกันครับ ซึ่งขาออกไปนี้ น้ำขึ้นมาเยอะกว่าตอนที่เข้ามามาก อย่างเห็นได้ชัดเลย สามารถ นำเรือออกไปได้อย่างสบายเลยครับ..

จากนั้น.. ผมกับบังแทว ก็กลับมาที่ ท่าเรือของเกาะกลาง ตามเดิม ซึ่งการออกไปดูลอบปูครั้งนี้ ผมก็ต้องขอบคุณ บังแทว ที่ให้ผมเกาะติดไปดูวิถีชาวประมง(ลอบปู) ด้วยคนนะครับ ซึ่งนอกจากผมจะไม่ช่วยแจวเรือแล้ว ยังนั่งหนักเรือเฉยๆ ไม่ช่วยทำอะไรอีก 55+.. เป็นแค่ลูกมือช่วยหยิบอะไรนิดๆ หน่อยๆ แต่ สนุกดีครับ!


12.00 น. ดูการแข่งขัน.. นกกรงหัวจุก!

ผมร่ำลา บังแทว แล้วเดินจากท่าเรือ กลับมาที่โฮมสเตย์

ซึ่งก็เห็น พี่มัตถ์ ยืนรอ อยู่ที่หน้าบ้านแล้ว พี่มัตถ์บอกว่า.. “วันนี้.. เขามีแข่งขันนกกรุงหัวจุกด้วย ไปตอนนี้ก็น่าจะทันดู” พร้อมเรียกผมให้ขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ทันที ซึ่งออกจากบ้านไปไม่ถึง 2 นาที ก็มาถึงบริเวณที่เขาทำการแข่งขันกันครับ

โดยจะมีการแข่งขันนกกรงหัวจุก ในทุก วันศุกร์ และ วันอาทิตย์ ครับ ซึ่งโชคดีมาก.. มาถูกวัน ได้มีโอกาสได้ดูพอดีเลย..

แต่..เสียดาย ที่มาช้าไปสักหน่อย เพราะเป็นช่วงท้ายๆ ของการแข่งขันกันแล้ว ได้ดูการแข่งขันอยู่แค่นิดเดียวเอง..

พี่มัตถ์ ก็ได้เล่า.. กติกา การแข่งขันแบบคร่าวๆ ให้ฟัง ซึ่งการแข่งขันก็มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินมากกว่าผลแพ้ ชนะ เป็นการสร้างความสามัคคีกันในชุมชน มาพบปะพูดคุยกัน เสียมากกว่า ครับ


13.00 น. มื้อเที่ยง.. แสนอร่อย ของ “คิดถึงคอทเทจ”

ดูนกกรงหัวจุกได้แค่ช่วงท้ายไม่ถึง 10 นาที ก็ย้อนกลับมาที่โฮมสเตย์ เช่นเคย ซึ่งพี่มูนาก็เตรียมทำอาหารมื้อเที่ยง ให้ทานอยู่.. พอดี!

สำหรับอาหารมื้อเที่ยงนั้น แม้ไม่ได้รวมอยู่ในค่าที่พัก แต่สามารถสั่งเพิ่มเติมได้ครับ ทำให้ได้ลองทานอาหารพื้นบ้านที่หลากหลายแน่นอน โดยเมนูอาหารต่างๆ เหล่านี้ ก็ได้วัตถุดิบที่สด ใหม่ จากภายใน ชุมชนเกาะกลาง นี้เอง นำมาประกอบอาหารโดยฝีมือของ พี่มูนา ซึ่งทุกเมนูอร่อยทุกอย่างจริงๆ แต่ที่ดูจะถูกใจผมที่สุด ก็คงจะเป็น.. ปลากระเบนทอดกระเทียม กับ หอยหลักไก่ต้มตะไคร้ อร่อยสุดยอดเลยล่ะ!

เมนูแกงรสจัดจ้านแบบฉบับปักษ์ใต้

ยำหัวปลีทะเล รสชาติดีมาก หมึกกับกุ้ง นี่สดมากๆ เลย

ปลากระเบนทอดกระเทียม เมนูนี้ชอบที่สุด!

หอยหลักไก่ ผลงานจากการเก็บหอย เมื่อตอนเช้า ได้กลายมาเป็น หอยหลักไก่ต้มตะไคร้ แล้ว.. หอยหวานๆ หนึบๆ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด เด็ดมากครับ

ก่อนจะนำ หอยหลักไก่ ไปต้ม จะต้อง ตัดตรงก้นหอยออกไปเสียก่อน ซึ่งเมื่อต้มเสร็จแล้วก็สามารถดูดน้ำที่อยู่ในหอยได้ ซึ่งก็หวานมาก พร้อมกับดูดตัวหอยออกมาด้วยเลย หรือ ถ้าไม่สะดวกก็ใช้ไม้จิ้มฟัน จิ้มออกมาก็ไม่ยากอะไรครับ

ตบท้ายด้วย ของหวาน เย็นๆ ดับความร้อนของบรรยากาศภายนอกกันสักหน่อย..

มื้อนี้.. นอกจากได้ทานอาหารที่อร่อยแล้ว ก็รู้สึก ประทับใจมาก ครับ เพราะได้ร่วมรับประทานอาหารกับเจ้าบ้าน พี่มัตถ์ กับ พี่มูนา ซึ่งก็ได้พูดคุยสนทนาเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับชุมชนเกาะกลางอย่างมากมาย ได้รู้อะไรเกี่ยวกับชุมชนแห่งนี้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย รวมไปถึงมิตรภาพดีๆ ที่เริ่มขึ้น ณ ที่แห่งนี้ด้วยครับ..


14.00 น. อำลา.. เกาะกลาง!

เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว..

ผมเก็บของ และ เตรียมเดินทางกลับ กล่าวอำลา.. พี่มัตถ์ และ พี่มูนา เจ้าบ้านที่ดี แห่ง คิดถึงคอทเทจ บน เกาะกลาง แห่งนี้

ซึ่งสำหรับผมเองนั้น ก็รู้สึกเกินคาดอยู่เหมือนกัน กับการได้มาพักที่นี่.. จากตอนแรกที่คิดเพียงว่า จองเพื่อสำหรับมาพักอาศัย แค่ได้มานอนพักผ่อนเท่านั้น ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แต่เมื่อได้มาพักแล้ว.. ทุกอย่างมันประทับใจมาก ผมได้รับการดูแลอย่างดี ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เหมือนกับผมได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเลย..

การได้มาเยือน “เกาะกลาง” ในครั้งนี้ ทำให้ผมได้รับประสบการณ์มากมาย และได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ในการมาเที่ยววิถีชุมชนของจังหวัดกระบี่ ผมได้มิตรภาพที่ดีจากเจ้าบ้าน อย่าง พี่มัตถ์ และ พี่มูนา ที่คอยดูแลอย่างดี เหมือนเป็นคนหนึ่งในครอบครัว รู้สึกอบอุ่น และมีความสุขมากๆ ซึ่งถ้ามีโอกาสต้องกลับเยือนอีกครั้งแน่นอน..

และ.. หากใครกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนสบายๆ ท่ามกลางวิถีชุมชน เช่นนี้ ก็ขอแนะนำเลยครับ แล้วจะ.. เข้าใจ ความหมายที่ว่า.. กี่ครั้ง.. ก็ยัง “คิดถึง”




การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

Instagram : CHAILAIBACKPACKER

Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9

E-mail : [email protected]

Website : www.chailaibackpacker.com

CHAILAIBACKPACKER

 วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 13.30 น.

ความคิดเห็น