ถ้าพูดถึงจังหวัดพังงา หลายๆคนคงจะนึกถึงทะเล นึกถึงเกาะสิมิลัน เกาะสุรินทร์ หรืออ่าวพัง น้อยคนที่จะรู้ว่าพังงาก็ยังมีสถานที่ให้น่าค้นหาอีกมากมาย รีวิวนี้จะมานำเสนอในอีกมุมนึงของจังหวัดพังงาที่ผมได้ไปสัมผัสมาจะมีสถานที่ไหนบ้างไปดูกัน...
>>ทริปนี้เกิดจากได้คุยกับเพื่อนคนนึงไว้ ว่าเดือนมกราคมจัดทริปเที่ยวกันเหอะ เราไม่ได้จัดทริปเที่ยวกันนานแล้ว คุยกันไว้ว่าหาวันให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปชวนเพื่อนคนอื่นๆ สรุปได้วันที่เป็นวันที่ 12-14 มกราคม 2561 พอได้วันแล้วก็ไปชวนเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่ม สรุปแล้วทุกคนติดงานติดธุระกันหมดเหลือแค่ผมกับเพื่อน 555+ ผมบอกเพื่อน 2 คนก็ไปไหนๆก็ไหนๆล่ะ ตอนแรกคุยกันว่าจะไปปาย จ.แม่ฮ่องสอน คิดไปคิดมาก็ว่ามันไกลแล้วมันก็เดินทางลำบาก ลองดูที่อื่นๆดีไหม เพื่อนผมมันเลยเสนอว่าพังงาไหม ไปเขาไข่นุ้ย แล้วก็ไปทะเลด้วย ผมก็เลยไปหาข้อมูล พอไปหาข้อมูล เออเฮ้ยมันเป็นจังหวัดที่น่าสนใจมาก เที่ยวจังหวัดเดียวได้ครบเลยทั้งภูเขา ทะเล น้ำตก สรุปตกลงทริปนี้ไปลุยใต้กัน จากนั้นผมก็จัดการจองที่พักที่เขาไข่นุ้ย ชื่อที่พัก “บ้านในหมอกเขาไข่นุ้ย” แล้วเตรียมตัวไปลุยพังงากัน
ติดตามการเดินทางของเราได้นะ ไปดูรูปสวยๆสถานที่น่ารักๆกันได้>> อยากเที่ยวก็เที่ยว
มาเริ่มกันที่การเดินทางของเรากันเลย เช้าวันที่ 12 มกราคม 2561 นัดกับเพื่อนไว้ 05.00 น. เจอกันที่สนามบินดอนเมือง เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองเที่ยวบินรอบ 06.15 น. ออกตรงเวลาเป๊ะ
ชอบเวลาขึ้นเครื่องบินแบบนี้แหละ เราได้เห็นอีกมุมนึงของท้องฟ้าที่มันสวยงาม ดูสิทะเลหมอกอลังการมาก
เมื่อเครื่องบิน บินถึงกระบี่กัปตันบนเครื่อง ได้ประกาศว่าเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย มีเมฆมาก จึงจำเป็นต้องบินวน รอให้สภาพอากาศเปิด สรุปวนเป็นสิบๆรอบถึงลงจอด ประมาณ 40 นาทีได้ 555+ บันเทิงกันเลยเดียว
เมื่อถึงสนามบินกระบี่ เราก็เดินลงมาหารถไปบขส.กระบี่กัน จะมีรถตู้กับรถบัส แต่รถบัสจะช้ากว่าหน่อยเราเลยเลือกไปรถตู้
-นั่งรถตู้จากสนามบินมาบขส.กระบี่ ค่ารถ 100 บาท , จากบขส.กระบี่ก็นั่งรถตู้ไป บขส.พังงา
ตั้งใจจะไปหาเช่ามอไซด์ที่พังงา จะขับเที่ยวในเมืองแล้วก็ระหว่างทางก่อนไปเขาไข่นุ้ย
เมื่อถึงบขส.พังงา เราต่อสองแถวเข้าไปในเมือง ไปหาร้านเช่ามอไซด์ ถึงตลาดเวลาก็ใกล้เที่ยงพอดีเลยไปหาร้านข้าวกิน
พอลงรถก็เจอพี่ตำรวจเลยสอบถามเค้าเรื่องร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ ก็เลยให้เค้าแนะนำร้านข้าวแถวๆนี้ พี่ตำรวจเค้าก็เลยแนะนำร้านนี้ “ร้านดวง” ก็เลยสั่งข้าวผัดฉ่าทะเล ปลาเค็ม แล้วก็ต้มยำทะเลแต่ได้เป็นต้มข่าทะเล 555+ เนื่องจากคงจะเป็นเพราะเราเขียนอ่านไม่ออก อาจจะเข้าใจผิดกันนิดหน่อย เลยได้มาเป็นอย่างที่เห็นแต่รถชาติอาหารโดยรวมถือว่าใช้ได้อร่อยเลย
-กินข้าวเสร็จก็เดินหาร้านเช้ามอเตอร์ไซด์ปรากฏว่าหาไม่ได้เลย ถามคนแถวนั้นเค้าแนะนำให้ไปที่โรงแรม พอไปถึงโรงแรมเค้าก็ไม่ให้เช่า เค้าให้เช่าเฉพาะชาวต่างชาติที่มาพักในโรงแรม เพราะเค้าเคยโดนคนไทยหลอกขโมยมอเตอร์ไปแล้วไม่เอามาคืน สรุปนั่งรถมาในตลาดเดินหาข้าวกินแล้วก็นั่งรถกลับบขส.พังงาเหมือนเดิม เจอลุงคนขับสองแถวคนเดิมแกคงจะงงๆว่าไปทำไมแค่แป๊บเดียว แล้วก็นั่งรถกลับ 555 เมื่อไม่ได้มอเตอร์ไซด์งั้นไปเขาไข่นุ้ยเลยละกัน เราสอบถามคนที่นั่น ได้เรื่องมาว่า เราต้องนั่งรถตู้จากบขส.พังงาไปยังบขส.โคกกลอย เมื่อถึงบขส.โคกกลอยให้เดินข้ามถนนไปอีกฝั่งนึงแล้วต่อรถบัสหรือรถทัวร์ไปยัง ต.ทุ่งมะพร้าว อ.ท้ายเหมือง ระหว่างทางเราก็โทรสอบถามบังเลก(เจ้าของที่พักบ้านในหมอก) ว่าให้เราไปรอที่โรงเรียนบ้านฝ่ายท่า
เราลงตรงปั๊มน้ำมันคาลเทคซ์ ตรงข้ามมีวินมอไซด์จากนั้นก็นั่งวินไปโรงเรียนบ้านฝ่ายท่า
-เรามาถึงหน้าโรงเรียนบ้านประมาณ บ่ายสองครึ่งกว่าๆ โทรหาบังเลกว่าเรามาถึงหน้าโรงเรียนบ้านฝ่ายท่าแล้ว ปรากฏว่าการสื่อสารผิดพลาดนิดหน่อย ไม่รู้คุยกันยังไง แกคิดเราเราขับรถเก๋งมา แกบอกว่า 16.30 น.จะมารับขึ้นเขา ปรากฏว่าเราก็นั่งรอจนถึงเวลา 5555
พอมาเจอแก บ้านแกอยู่หน้าโรงเรียนบ้านฝ่ายท่า ก็บอกแกว่ามาถึงนานแล้ว ไม่ได้ขับรถเก๋งมา ถ้าไม่งั้นแกจะพาเที่ยวก่อนขึ้นเขา น่าเสียดาย ระหว่างทางขึ้นเขาทางก็จะโหดหน่อย ทางชันแล้วก็ไม่เรียบ ลำไส้เริ่มไปรวมตัวกันแต่มัน 5555 แกชวนคุยตลอดทางเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้เรื่องนั้น ชวนให้ดูดอกไม้ระหว่างทาง แกคุยสนุกนะ คุยไปก็เอารูปในเพจแกให้ดู จอดบ้างไรบ้างเรา ก็กลัวไม่ทันถ่ายพระอาทิตย์ตก 555 กว่าจะถึงใช้เวลาพอสมควร
สรุปขึ้นมาถึง รีบเตรียมขาตั้งกล้องแล้วเดินมาตรงจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก ฟ้าครึ้ม ฝนตกปรอยๆ คิดว่าคงไม่เห็นพระอาทิตย์แน่ๆ ฝั่งนี้จะเห็นวิวทะเลอันดามันด้วย เสียดายถ้าอากาศดีฟ้าเปิด คงได้รูปแจ่มๆมาฝากแน่
เดินเล่นถ่ายรูปจนเพลิน เดินถึงห้องพักมืดพอดี นี่แหละครับบ้านพักของเราคืนนี้อากาศดีนะลมพัดเย็นๆ
ภายในห้องก็จะมีที่นอน มีหมอน มีผ้าห่ม มีมุ้ง มีพัดลมให้ แต่กลางคืนไม่ต้องเปิดพัดลมเลยอากาศหนาวถึงกับต้องห่มผ้า
รถคันนี้แหละครับที่พาเราลุยขึ้นมาถึงเขาไข่นุ้ย
ตกกลางคืนออกมาถ่ายดาวซะหน่อย เห็นดวงดาวชัดมาก คืนนี้ลมค่อนข้างแรงลุ้นมากว่าวันรุ่งขี้นจะเจอทะเลหมอกไหม
ดวงดาวค่ำคืนนี้ถึงจะเห็นไม่ชัดเท่าไรแต่ก็สวยดีนะ
เห้ยมีดาวตกด้วย เอ้ยไม่ใช่เครื่องบินมันบินผ่าน 5555
สรุปตื่นมาประมาณตี5 นอนอยู่ในห้องได้ยินเสียงลมพัด คิดในใจไม่เจอทะเลหมอกแน่ๆ เดินออกมานอกห้องก็เป็นอย่างที่เห็น มีแค่หมอกบางๆ แต่มันก็สวยในแบบของมัน ก็ถือว่าโอเคฟ้าสวยเลย
บรรยากาศที่พักยามเช้าตรู่ อากาศเย็นๆ
วันนี้คนไม่เยอะเลย ถ่ายรูปสบาย
พระอาทิตย์กำลังขึ้นส่องแสง ณ ลานระเบียงบ้านในหมอก อากาศดีมากมาย ถึงไม่มีหมอกแต่ฟ้าสวย
ถึงวันนี้จะมีแค่หมอกบางๆ แต่ธรรมชาติมันก็สวยงามเสมอ
ดอกไม้สวยๆยามเช้า ดูแล้วสดชื่น
จิบกาแฟยามเช้า พร้อมกับนั่งดูสายหมอกบางๆ บอกเลยว่าฟิน
ก่อนกลับถ่ายรูปกับที่พักของเราซะหน่อย บอกเลยว่าถึงไม่เจอหมอกแต่ก็คุ้มกับที่พักราคาหลักร้อยแต่บรรยากาศหลักล้านจริงๆ ก่อนลงเขาเราก็ได้นัดแนะกับบังเลกไว้ว่าจะไปเขาหน้ายักษ์ก่อนแล้วก็ไปล่องแพ พอลงไปข้างล่างก็มีรถของชาวบ้านมารับไปขึ้นเรือเพื่อไปเขาหน้ายักษ์
นั่งรถยนต์มาประมาณ 5 นาทีก็มาถึงท่าเรือหางยาวของชาวบ้าน เรือลำที่เห็นจอดอยู่จะพาเราไปเขาหน้ายักษ์
เมื่อคนขับเรือพร้อมเราก็ออกเดินทางกันเลย ระหว่างทางจะผ่านป่าชายเลน ซึ่งมีต้นโกงกางเต็มเลย ดูจากสภาพป่าที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มากๆ จะบอกว่าขึ้นเรือแบบนี้ครั้งแรกโคตรมัน คนขับเรือขับซิ่งมาก นั่งหน้าด้วยชอบเลย 5555
ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเราก็มาถึงจุดจอดเรือ เราต้องเดินไปอีกหน่อย ระหว่างทางจะผ่านทุ่งสะวันนาเมืองไทย
นี่แหละครับ หน้าตาของทุ่งสะวันนาเมืองไทย ถ้ามีรถจิ๊บซะหน่อยแล้วถ่ายรูปโพสท่านี่คือเลย นึกว่าอยู่ต่างประเทศเลยนะเนี่ย
ถึงแล้ว หาดท้ายเหมือง เขาหน้ายักษ์
เขาหน้ายักษ์ ตั้งอยู่บนหาดท้ายเหมืองอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมืองจังหวัดพังงา โดยเขาหน้ายักษ์อยู่ใกล้ๆกับบ้านท่าดินแดง หมู่บ้านที่มีพื้นที่ติดกับป่าชายเลน เป็นป่าโกงกางที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่ง ของจังหวัดพังงา มีชายหาดยาวกว่า 13 กิโลเมตร น้ำทะเลบริเวณนี้ใสเป็นสีฟ้า หาดทรายขาวละเอียด มีหินรูปร่างสวยแปลกตาเงียบสงบ อาจจะเป็นเพราะยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
ที่มาของเรื่องราวเขาหน้ายักษ์ ตำนานเล่าว่า เดิมหน้าเขาด้าน ที่หันหน้าออกไปทางหมู่เกาะสิมิลัน จะมีหน้าผารูปร่างคล้ายกับหน้ายักษ์ที่มีอาการโกรธเกรี้ยว จนเหตุการณ์เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือรบของทหารญี่ปุ่นที่แล่นผ่านบริเวณนี้ได้เกิดล่มและจมลงโดยไม่มีสาเหตุหลายลำ ทหารญี่ปุ่นจึงเชื่อว่า น่าจะเกิดจากความอาถรรพ์ของหน้าผารูปร่างคล้ายหน้ายักษ์ เลยใช้ปืนใหญ่ ยิงส่วนที่เป็นเหมือนหน้ายักษ์จนพังและจมลงบริเวณทะเลดังกล่าว จึงเป็นตำนานเล่าเขาหน้ายักษ์มาจนถึงทุกวันนี้
ตรงจุดนี้แหละครับ ที่เค้าบอกว่าเหมือนหน้าของยักษ์ แต่ว่าต้องนั่งเรือออกไป แล้วมองเข้ามา
น้ำใสมากมาย นี่ไม่ใช่เกาะนะเนี่ย
การเดินไปเขาหน้ายักษ์สามารถไปได้ 2 วิธีนะครับ
1.นั่งเรือหางยาวของชาวบ้าน ใช้เวลาประมาณ15-20 นาที
2.นั่งรถยกสูงหรือรถโฟล์วิวเข้าไป รถเก๋งเข้าไม่ได้นะครับเพราะทางช่วงท้ายจะเป็นหลุมทรายรถจะติดได้ครับ ขนาดคนขับมอเตอร์ไปยังติดแทบแย่เลย
สำหรับผมมองว่าที่นี่เป็นอีกสถานทีนึงที่เป็นUnseenมาก เป็นอีก 1สถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้ไปเยือนพังงา ใครไปพังงาอย่าลืมแวะไปสัมผัสดูนะครับ
หลักจากไปเขาหน้ายักษ์ เราก็กลับมาที่บ้านของบังเลก บังนุ้ยพ่อของบังเลกอาสาพาเราเที่ยวต่อ ที่แรกที่มาคืออนุสรณ์สถานณ์ เรือตอ.813 เป็นเรือที่ครั้งเกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2557 ได้พัดเรือลำนี้ขึ้นมาจากฝั่ง เรือลำนี้ตั้งอยู่ที่บ้านบางเนียง ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ปัจจุบันได้จำทำเป็นอนุสรณ์สถานณ์ไว้ให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมเพื่อรำลึกถึงเหตุกาณ์สึนามิ
ที่สุดท้ายคือ ล่องแพไม้ไผ่วังเวียงคู่แต่คนไม่มีคู่ก็ไปได้ แฮร่ๆ ลำธารหรือน้ำตกวังเวียงคู่ตั้งอยู่ที่ ต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เป็นลำธารที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ซึ่งจะมีเจ้าของให้บริการแพไม้ไผ่อยู่ประมาณ 4-5 เจ้า ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 200 บาทต่อคน แพนึงจะนั่งได้ 2-3 คน ระยะทางในการล่องแพประมาณ 5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
แพ 1 ลำจะมีคนบังคับแพให้เรา 1 คน จะบอกว่าลำธารที่นี่น้ำใสมาก เรียกได้ว่าน้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลากันเลยทีเดียว จะมีบางช่วงที่น้ำไหลแรงบ้างเบาบ้าง สนุกมากบอกเลย
การเดินทางไปล่องแพ จากภูเก็ต ขับไปตามถนนเพชรเกษมสาย 4 มุ่งหน้าไปทางเขาหลัก ก่อนถึงเขาหลักจะเจอสามแยกบ้านทับละมุ กลับรถหน้าเทศบาลเทศบาลลำแก่นขับตรงไปเรื่อยๆ อีกประมาณ 500 เมตร สังเกตไปรษณีย์บ้านลำแก่น ข้างๆจะมีถนนเข้าสู่น้ำตกวังเวียงคู่ ถ้ามาจากเขาหลัก มุ่งหน้าไปทางภูเก็ต เห็นป้ายเทศบาลลำแก่นแล้วเลี้ยงเข้าไปตามข้างบนเลยครับ
เมื่อล่องแพเสร็จจัดการล่ำลา ขอบคุณ บังนุ้ย ที่อาสาพาเราเที่ยว ช่วยเหลือค่าน้ำมันไปนิดหน่อย แล้วเราก็นั่งรถทัวร์จากถนนเพชรเกษมไปยังบขส.โคกกลอย จากนั้นก็รอรถไปกระบี่ ไปพักที่กระบี่ 1 คืน รุ่งเช้าขึ้นเครื่องกลับกทม.เป็นอันจบทริปเที่ยวพังงาในฉบับของผม ผมแนะนำนะครับสำหรับคนที่สนใจจะไปพังงาให้นั่งเครื่องไปลงภูเก็ตจะสะดวกกว่ามาก เพราะกระบี่ค่อนข้างไกลและเดินทางหลายต่อ
สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆต่อคน
- ค่าเครื่องบิน 1500 บาท
- ค่าที่พักบ้านในหมอก 900 บาท
- ค่ารถตู้สนามบิน-บขส.กระบี่ 100 บาท
- ค่ารถตู้บขส.กระบี่-บขส.พังงา 70 บาท (อันนี้ไม่แน่ใจเท่าจำไม่ค่อยได้ 5555)
- ค่ารถสองแถวไปตลาด(ไปกลับ) 60 บาท
- ค่าข้าวกลางวัน 120 บาท
- ค่ารถตู้ไปจากบขส.พังงา-บขส.โคกกลอย 50 บาท
- ค่าค่ารถจากบขส.โคกกลอย-ทุ่งมะพร้าว 60 บาท
- ค่าวินมอไซด์ 30 บาท
- ค่าทริปไปเขาหน้ายักษ์ 350 บาท
- ค่าล่องแพไม้ไผ่ 200 บาท
- ค่าน้ำมันรถ 150 บาท
-ค่ารถทุ่งมะพร้าวไปบขส.โคกกลอย 50 บาท
-ค่ารถบขส.โคกกลอย-กระบี่ 105 บาท
- ค่าที่พักกระบี่+รถส่งสนามบิน 600 บาท
รวม 4345 บาท ไม่รวมค่ากินอื่น สรุปแล้วทริปนี้ใช้ไปประมาณ 5000 บาท 3 วัน 2 คืน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเพิ่มได้ที่ : https://web.facebook.com/Yhaktiewkortiew/
อยากเที่ยวก็เที่ยว
วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 16.32 น.