#สิงคโปร์ : ไปเที่ยว.. ไปกิน.. แบบสั้นๆ 2 วัน 1 คืน!

สิงคโปร์ เป็นจุดหมายปลายทางหนึ่ง ของใครหลายๆ คน ที่ต้องไปเยือนให้ได้สักครั้ง เพราะเป็นประเทศที่น่าเที่ยว มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และมีความหลากหลาย.. บ้านเมืองมีความสะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมไปถึงมีความปลอดภัยสูง ทำให้สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ หาข้อมูล และทำการบ้านนิดหน่อย ก็สามารถออกไปเที่ยวเองได้เลยครับ..

ทริปนี้.. เป็นครั้งแรกของผมในการไปเที่ยว “สิงคโปร์” (2560) ซึ่งในตอนแรกตั้งใจว่าจะไปลุยเดี่ยว เที่ยวคนเดียวซะหน่อย ก็จัดการจองตั๋วเครื่องบิน และ วางแผนการเดินทางต่างๆ เรียบร้อยหมดแล้ว แต่..เรื่องที่จะไปเที่ยวสิงคโปร์ของผมนี้ ก็ได้ไปเข้าหูกับน้องสาวเข้าให้ ซึ่งนางก็อยากไปเที่ยวต่างประเทศอยู่แล้ว โดยเฉพาะ ประเทศสิงคโปร์ สุดท้าย ทริปนี้.. ก็เลย ได้น้องสาวติดสอยห้อยตามมาเที่ยวด้วย เป็น ทริปเที่ยวสิงคโปร์แบบสั้นๆ 2 วัน 1 คืน ซึ่งมีเวลาน้อยๆ แบบนี้ ..จะไปเที่ยวไหนได้บ้าง? ก็ลองตามมาเที่ยวกันได้เลย!


ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่..

FanPage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker



ไปทำอะไรดี? ..ที่สิงคโปร์!


สิงคโปร์ เป็นประเทศที่มีค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง หลายคนก็อาจจะเกิดความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการไปท่องเที่ยวประเทศสิงคโปร์ ซึ่งก็ขอบอกเลยว่า.. เที่ยวสิงคโปร์ อาจจะไม่แพงอย่างที่คิดนะ ขอแค่วางแผนดีๆ สักหน่อยก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้เยอะเลย


ไป..เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต


สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ที่รู้จักกันดี ซึ่งในแต่ละที่ก็จะมีความหลายหลายแตกต่างกันไป สามารถเลือกไปเที่ยวได้ตามความชอบของแต่ละคนได้เลย โดยในแต่ละที่.. ก็สามารถเดินทางไปได้ง่ายๆ ด้วยระบบขนส่งสาธารณะ สะดวก สบาย ดีจริงๆ


ไป.. กินอาหารอร่อยที่ต้องห้ามพลาด!


นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แล้ว สิงคโปร์ ก็ขึ้นชื่อเรื่อง อาหาร มีร้านอาหารต่างๆ ให้ได้ลองชิมมากมาย ที่ไม่ใช่แค่อร่อยในระดับธรรมดาเท่านั้น แต่..ในหลายๆ ร้านก็ได้รับรางวัลการันตีความอร่อยที่ชวนให้ไปลิ้มรสกันอย่างยิ่ง

ด้วยค่าครองชีพที่สูง อาหารที่ สิงคโปร์ ราคาจึงค่อนข้างแพง ในมื้อนึงกินแบบง่ายๆ ก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 100 บาทไทย แต่.. ก็ยังมีแหล่งร้านอาหารราคาประหยัด อยู่เยอะเหมือนกัน เป็นร้านอาหารแบบ Hawker Food Centre หรือ Food Court ที่มีอยู่ทั่วสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นตามย่านท่องเที่ยวต่างๆ รวมไปถึง บน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ หรือตามอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเมนูอาหารท้องถิ่น ที่ราคาไม่แพง(2-4 SGD) มีเมนูให้เลือกกินได้อย่างหลากหลาย และที่สำคัญรสชาติอร่อยถูกปาก แทบทุกอย่าง..


เตรียมตัวเดินทางไป.. สิงคโปร์


แลกเปลี่ยนเงินตรา สำหรับ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะใช้ในการไปเที่ยวนั้น ก็ขึ้นอยู่ที่ว่า.. จะวางแผนเที่ยวแบบไหน? จะกินหรู อยู่สบาย มากน้อยแค่ไหน? จะช้อปปิ้งซื้อของเยอะมั้ย? หรือจะประหยัดในทุกๆ อย่าง เพราะมีงบประมาณไม่มาก(เหมือนกับผม 55+) แต่.. ก็สามารถเที่ยวสิงคโปรได้อย่างสบาย ดังนั้น ก่อนเดินทางไปสิงคโปร์ ก็ต้องคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เหมาะสม และ อย่าลืมแลกเปลี่ยนเงินตราให้เรียบร้อย 1 SGD = 25 THB (โดยประมาณ)

ตั๋วเครื่องบิน ออกเดินทางสะดวกสบายด้วยเครื่องบิน ซึ่งจะใช้เวลาการเดินทางจาก กรุงเทพฯ สู่ สิงคโปร์ เพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง เท่านั้น ถือว่าใช้เวลาในการเดินทางไม่มาก โดยปัจจุบันนี้มีสายการบินต้นทุนต่ำ ราคาประหยัด อยู่หลายสายการบิน ที่มีโปรโมชั่นถูกๆ ออกมาบ่อยๆ ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกเยอะ..

เอกสารจองที่พักและตั๋วเครื่องบินขากลับ ถ้าหากรู้สึกกังวลใจกับ ตม. กลัวว่าจะเข้าเมืองไม่ได้ ไม่ต้องกังวลเกินเหตุ ขอให้มีเอกสารการเดินทางต่างๆ เตรียมไปให้พร้อม เช่น ใบจองโรงแรม และ ตั๋วเครื่องบินขากลับ เผื่อ ตม. เขาจะขอเรียกดู ก็สามารถผ่านไปได้ง่ายๆ (น้องสาวผมโดน ตม. สอบถาม และ ขอดูการจองที่พักกับตั๋วเครื่องบินขากลับด้วย)


วิธีการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ภายในสิงคโปร์


การเดินทางจาก สนามบิน เข้าสู่ ตัวเมืองสิงคโปร์ จาก สนามบิน Changi Airport เข้าสู่ตัวเมืองสิงคโปร์ วิธีที่จะประหยัด และสะดวกสบายที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น การนั่งรถไฟฟ้า MRT ซึ่งหลังจากผ่าน ตม. มาแล้ว ให้มองหาป้าย Train to City แล้วเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ก็จะพาไปสู่ สถานี MRT Changi Airport(CG2)

ก่อนจะโดยสารรถไฟ MRT ก็ต้องซื้อตั๋วกันเสียก่อน ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ถ้าไม่อยากเสียเวลาซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียว (Standard Ticket) บ่อยๆ จะเดินทางทีค่อยซื้อที อาจจะดูเสียเวลาไป ก็สามารถซื้อตั๋วแบบ Singapore Tourist Pass ใช้ได้ไม่จำกัดเที่ยว มีทั้งแบบ 1 วัน, 2 วัน และ 3 วัน ให้เลือกตามความต้องการ ซึ่งถ้าหากคิดว่าอาจจะใช้ไม่คุ้ม ก็ขอแนะนำบัตร EZ-Link (12 SGD) เป็นบัตรโดยสารเติมเงินที่ใช้กับรถไฟฟ้า รถเมล์ แท็กซี่ และ สามารถใช้ซื้อของใน 7/11 ได้อีกด้วย

รถไฟฟ้า MRT เป็นวิธีการเดินทางที่ประหยัด และสะดวกรวดเร็ว สามารถเดินทางไปยังย่านท่องเที่ยวต่างๆ ในสิงคโปร์

รถเมล์ ก็เป็นการเดินทางอีกหนึ่งวิธีที่สะดวก รวดเร็วเหมือนกัน เพราะสถานที่ท่องเที่ยวบางจุด อยู่ไกลจาก สถานีรถไฟฟ้า MRT แต่ก็สามารถนั่งรถเมล์ไปได้ วิธีการนั่งรถเมล์ในสิงคโปร์ก็ง่าย มีป้ายรถเมล์ ที่ระบุว่ามีรถเมล์สายไหนผ่านบ้าง? วิธีจ่ายเงินก็ง่าย เพียงแค่แตะบัตร EZ-Link ตรงประตูทางขึ้นรถหน้ารถ พอถึงจุดหมายก็แตะบัตรตรงประตูลงรถอีกครั้ง เงินค่ารถเมล์ก็จะถูกหักออกจากบัตรนั่นเอง..

เดิน.. เดิน.. เดิน.. และ เดิน ในการเที่ยวสิงคโปร์ อาจจะต้องเดินกันเยอะสักหน่อย เพราะ .. สถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละที่ก็อยู่ในระยะที่สามารถเดินไปมาได้ และบางจุดการเดินก็อาจจะสะดวกกว่าการมาเดินหาสถานีรถไฟฟ้า MRT เสียอีก ดังนั้น ก่อนไปเที่ยวสิงคโปร์ ก็ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมกับการเดิน และ ควรหารองเท้าที่สวมใส่สบายๆ ไว้ด้วยนะ..



ประหยัดค่าน้ำดื่ม ด้วยน้ำดื่มฟรี!


น้ำดื่ม ในสิงคโปร์ราคาแพงมาก น้ำดื่ม 1 ขวด ราคาขายทั่วไปประมาณ 1-2 SGD หรือ 25-50 บาท/ขวด เลยทีเดียว วิธีที่จะสามารถช่วยประหยัดในเรื่องของน้ำดื่มได้ ก็คือ ควรที่จะพก ขวดเปล่า เอาติดตัวไว้สักคนละขวด เพราะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จะมีจุดบริการน้ำประปาดื่มได้ เป็นน้ำประปาที่สะอาดและสามารถใช้ดื่มได้ ก็ใช้ขวดเปล่ากรอกน้ำเอาไว้ใช้ดื่ม และกรอกเพิ่มเรื่อยๆ ในจุดต่างๆ ช่วยประหยัดค่าน้ำดื่มไปได้ทั้งทริป..


จองโรงแรม และ ที่พัก


ที่พักในสิงคโปร์มีอยู่มากมายหลายระดับ และหลายราคา สำหรับที่พักราคาประหยัดในสิงคโปร์ส่วนใหญ่นั้น จะอยู่ใน ย่านเกลัง, ไชน่าทาวน์, ลิตเติ้ลอินเดีย ซึ่งที่พักราคาประหยัด จะเป็นแบบ นอนรวม(Dorm) ในราคาไม่กี่ร้อยบาท ซึ่งก็ถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก สำหรับเป็นที่พักผ่อนนอนหลับได้อย่างสบาย

ที่พักราคาประหยัด จะเป็นที่พักแบบง่ายๆ ส่วนใหญ่เป็นแบบ นอนรวม(Dorm) เตียง 2 ชั้น มีห้องน้ำรวมใช้ร่วมกับคนอื่น หรือ ถ้าหากต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถเลือกห้องพักแบบส่วนตัวได้ แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาด้วย ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวก และความต้องการของแต่ละคน ซึ่งทริปนี้.. ผมได้จองที่พักชื่อ 5footway Inn Project Boat Quay เป็นที่พักแนวโฮสเทล ที่มีอยู่หลายสาขาตามย่านสำคัญๆ และ..ผมก็เลือกมาพักสาขาที่ย่าน Boat Quay เพราะ สามารถเดินไปเที่ยวในจุดที่ได้วางแผนเอาไว้ได้อย่างสะดวก และที่สำคัญที่พักอยู่ติดริมน้ำด้วย เผื่อจะได้เดินเล่นชิลๆ ในตอนดึกๆ ได้ โดยได้จองเป็นห้องเล็กๆ ที่ภายในมีเตียง 2 ชั้น ซึ่งอาจจะดูแคบไปสักหน่อย แต่..ก็รู้สึกส่วนตัวดี ราคาประมาณ 1,500 บาท/คืน ก็ถือว่าโอเคครับ!



DAY #1 : BANGKOK - SINGAPORE


07.00 น. เริ่มต้นออกเดินทาง!


ทริปนี้.. ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า เพราะอยากมีเวลาเที่ยวให้เยอะมากขึ้น ก็เลยเลือกไฟล์ทเช้าของ สายการบินแอร์เอเชีย เวลาราวๆ 07.00 น. ครับ ซึ่งไฟล์ทนี้ผู้โดยสารก็เยอะมากๆ เกือบเต็มลำเลย

จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นครับ ในระหว่างนี้ก็นอนงีบหลับกันไป เพราะ ตื่นกันเช้ามากๆ ขอหลับเอาแรงสักหน่อย




09.30 น. สวัสดี.. สิงคโปร์(Changi Airport)


เดินทางมาถึง “สิงคโปร์” โดยปลอดภัย บรรยากาศวันนี้.. ดูสดใสดีมากๆ ข้างนอกดูจะค่อนข้างร้อนพอตัวอยู่เหมือนกันนะเนี่ย

เมื่อเข้ามาภายในอาคารสนามบินแล้ว ก็เดินตามป้ายไปยัง ตรวจคนเข้าเมือง ครับ.. ซึ่งตรงนี้ ก็มีเรื่องตื่นเต้น เพราะ การตรวจคนเข้าเมือง ที่เคยกังวลไว้(ของน้องสาว) ก็โดนจนได้ เพราะนางโดน ตม. ซักถามเป็นชุดเลย(Passport ขาวจั๊วะเลย เพิ่งได้เที่ยวต่างประเทศครั้งนี้เป็นครั้งแรก) จน ตม. ต้องกวักมือให้ผมเข้าไปสอบถามอีกคน ว่ามาด้วยกันจริงๆ มั้ย เป็นอะไรกัน? ยืนยันว่าเดินทางมาด้วยกัน พร้อมขอดูเอกสารยืนยันการจองที่พัก และ ตั๋วเครื่องบินขากลับด้วย ซึ่งตรงนี้ใช้เวลาอยู่พอสมควรเลย แต่..ก็ผ่านไปได้ด้วยดี และก็อย่าลืมหยิบลูกอมตรง ตม. ติดมือ มาด้วยนะครับ อร่อยดีสมคำร่ำลือ 55+

ผ่าน ตม. มาเรียบร้อย ก็เดินทางเข้าเมืองกันต่อครับ ภายในสนามบินอาจจะดูงงๆ หน่อย แต่.. ขอให้เดินตามป้าย Train to City ไปครับ เพื่อไปยัง สถานี MRT Changi Airport(CG2)

ซื้อตั๋วรถไฟ MRT เข้าเมืองครับ ซึ่งสามารถซื้อตั๋วแบบ Singapore Tourist Pass ใช้ได้ไม่จำกัดเที่ยว มีทั้งแบบ 1 วัน, 2 วัน และ 3 วัน ให้เลือกตามความต้องการ แต่ผมขอซื้อแบบบัตร EZ-Link (12 SGD) ครับ

เตรียมเดินทางเข้าเมืองกัน เพราะความสะดวก รวดเร็ว ของ MRT คนจึงมาใช้บริการกันเยอะมากๆ เลย..


11.00 น. Red Dot Museum / Singapore City Gallery



  • Red Dot Museum


นั่งรถไฟจาก สถานี MRT Changi Airport(CG2) มาลงที่ สถานี MRT Tanjong Pagar (EW15) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเที่ยวสิงคโปร์ในวันนี้ โดยเมื่อออกมาจากสถานี ก็จะพบกับ Red Dot Museum อาคารสีแดงที่มองเห็นเด่นมาแต่ไกล ซึ่งภายในจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมผลิตภัณฑ์แนวความคิดสร้างสรรที่ชนะการประกวดโดย Red dot Awards

มาถึงตรงนี้แล้ว.. แต่ก็ไม่ได้เข้าไปชมข้างในนะครับ อาจจะเพราะว่า ไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับผมสักเท่าไร และก็เห็นว่าต้องเสียค่าเข้าชมด้วย(แอบงก 55+) ก็เลยทำได้แค่เดินผ่าน และถ่ายรูปเล่นๆ ข้างนอกเท่านั้นครับ


  • Singapore City Gallery

เดินเลย จาก Red Dot Museum มาอีกหน่อย เยื้องๆ กันจะมีสถานที่สำคัญ ก็คือ Singapore City Gallery ที่นี่สามารถเข้าชมได้ฟรี ฟรีแบบนี้จะพลาดได้ไง..

ก่อนเดินเข้าไปชมข้างใน ก็ต้องมีการลงชื่อ เข้าชมเสียก่อน หรือ ถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถสอบถามกับพนักงานได้ครับ

Singapore City Gallery เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงแผนการพัฒนาประเทศสิงคโปร์ ที่จะแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับ ความเป็นมาของประเทศสิงคโปร์ ตั้งแต่การวางแผน การดำเนินการ ไปจนถึงแผนการพัฒนาในอนาคต แสดงออกมาในรูปแบบโมเดลจำลอง ที่เข้าใจง่าย และได้ความรู้ดีครับ เดินเล่นดูอะไรข้างในก็เพลินดีนะ แถมแอร์เย็นสบายดีด้วย


12.00 น. ข้าวมันไก่ในตำนาน!



  • Tian Tian Hainanese Chicken Rice (Maxwell Food Centre)


หลังจากเข้าชม Singapore City Gallery เสร็จ ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี มื้อแรกกับการมาเยือนสิงคโปร์ ก็ต้องมาลองเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ ข้าวมันไก่ ในตำนาน ของ ร้าน Tian Tian Hainanese Chicken Rice เป็นร้านหนึ่งใน Maxwell Food Centre ซึ่งอยู่ใกล้กันกับ Singapore City Gallery นั่นแหละครับ ซึ่งข้าวมันไก่ร้านนี้ เป็นข้าวมันไก่สูตรไหหลำแท้ๆ ที่ใครมาเที่ยวสิงคโปร์ต้องไม่พลาดมาลองชิมจริงๆ ร้านนี้เป็นร้านที่โด่งดังมาก และคนเยอะแทบจะตลอดเวลาที่ร้านเปิดบริการ

เมื่อเดินเข้ามาสู่ภายใน Maxwell Food Centre จะเห็นร้านอาหารที่อยู่ภายในเยอะแยะมากมายหลายร้านมาก รวมไปถึงคนที่มาใช้บริการก็เยอะด้วย สำหรับร้านข้าวมันไก่ Tian Tian Hainanese Chicken Rice ที่ตามหาอยู่นั้นก็หาไม่ยาก เพราะเป็นร้านที่มีคนรอคิวมากที่สุด ซึ่งในบางช่วงเวลาก็มีการต่อคิวยาวไปจนถึงข้างนอกเลยทีเดียว..

การจัดการของร้านค่อนข้างดี ใช้เวลาในการต่อคิวไม่นานก็ได้สั่งอาหารแล้ว โดยการสั่งอาหารจะต้องสั่งที่แคชเชียร์ฝั่งขวามือ พร้อมกับชำระค่าอาหารให้เรียบร้อย จากนั้น จะได้ใบเสร็จมาเพื่อมายื่นทางฝั่งซ้ายอีกครั้ง แล้วก็จะได้รายการอาหารตามที่ต้องการ

จะสั่งแบบไก่สับ ทั้งตัว ครึ่งตัว เฉพาะบางส่วน หรือ จะเป็นข้าวมันไก่แบบเป็นจานๆ ที่คุ้นเคยกันดีก็ได้ ซึ่งก็มีให้เลือก 3 ขนาด คือ Size S = 3.5 SGD / Size M = 5 SGD / Size L = 7.7 SGD

ร้านระดับ Bib Gourmand’s list ของ Michelin Guide

จุดเด่นของข้าวมันไก่ ของร้านนี้ คือ ข้าวมันที่เป็นเม็ดร่วน ไม่มันมากจนเกินไป และ ไก่ที่ชิ้นโตเต็มคำ เนื้อแน่นนุ่ม ราดมาด้วยซอสสูตรพิเศษ เสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้มที่คล้ายกับน้ำส้มสายชูรสออกเปรี้ยวๆ หน่อย รสชาติอาจจะดูแตกต่างจากข้าวมันไก่บ้านเรา ซึ่งโดยรวมแล้วก็ถือว่าอร่อยดี .. เนื้อไก่แบบเน้นๆ อย่างนี้ ต้องลองครับ!

นอกจากนี้แล้ว.. ใน Maxwell Food Centre ก็มีร้านอาหารอื่นๆ เมนูที่แปลกตาให้ได้ลองอีกเพียบเลย ก็เลยได้ซื้ออาหารหลายๆ อย่างมาลองชิมกัน

Laksa อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว ประกอบไปด้วย เส้นก๋วยเตี๋ยว ลูกชิ้นปลา กุ้ง หอย เต้าหู้ ไข่ พร้อมน้ำต้มยำกะทิ รสชาติจะออกเผ็ดจัดจ้านตามสไตล์..

Rojak อาหารพื้นเมืองของสิงคโปร์ ประกอบไปด้วย ปาท่องโก๋กับเต้าหู้ทอดกรอบ หั่นเป็นชิ้นๆ พอดีคำ มีส่วนผสมของ ผักผลไม้ต่างๆ เช่น แตงกวา มันแกว สับปะรด แอปเปิ้ล ถั่วงอก ราดมาด้วยน้ำตาลเชื่อมข้นๆ หน่อย โรยหน้าปิดท้ายด้วยถั่วลิสงบด รสชาติจะออกเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยดี ราคาถูกดีด้วยครับ (3 SGD)


13.00 น. เดินเที่ยวในย่าน China Town


อิ่มมื้อเที่ยง จาก Maxwell Food Centre ก็เดินต่อออกมาอีกหน่อย ตามถนน South Bridge Road ในย่าน China Town เพื่อมาเที่ยวชมสถานที่สำคัญที่ตั้งอยู่เรียงกันที่ถนนเส้นนี้กันครับ โดยเริ่มจาก..


  • Buddha Tooth Relic Temple


Buddha Tooth Relic Temple หรือ วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว เป็นสถานที่สำหรับมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล และนอกจากนี้ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาของชาวพุทธอีกด้วย สามารถเข้าไปชมภายในได้


  • Sri Mariamman Temple

วัดศรีมาริอัมมัน (Sri Mariamman Temple) วัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ มีสถาปัตยกรรมที่งดงาม โดดเด่นด้วยรูปเทวดาแกะสลักจำนวนมากไล่ตามลำดับชั้น ตามรั้ววัดจะเห็นรูปปั้นวัว สัตว์พาหนะของพระอิศวร ที่ชาวฮินดูนับถือ


  • Masjid Jamae

มัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน ที่มีการยืมจุดเด่นของทั้งสถาปัตยกรรมตะวันออกและตะวันตกมาผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว


  • Thian Hock Keng Temple

แวะมาเที่ยววัดอีกสักแห่ง ที่ วัดเซียนฮกเก๋ง (Thian Hock Keng Temple) เป็นวัดที่มีความสวยงาม และมีความน่าสนใจตรงที่โครงสร้างต่างๆ ของตัววัด ไม่ได้มีการใช้ตะปูเลยแม้แต่ตัวเดียว..

Old Chang Kee ร้านของทอด ที่มีสารพัดของทอดให้ได้ลองชิม เป็นร้านที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในสิงคโปร์เลยครับ และในบางช่วงเวลาก็จะมีโปรโมชั่นลดราคาอีกด้วย



14.00 น. ชิมลอดช่อง(สิงคโปร์)


  • Mei Heong Yuen Dessert (Chinatown)


เข้าสู่ช่วงบ่าย อากาศค่อนข้างที่จะร้อน ก็เลยขอหลบความร้อน มาอะไรเย็นๆ หวานๆ กินกันบ้าง โดยมาที่ร้าน Mei Heong Yuen Dessert ในย่าน Chinatown นี่เอง ร้านจะอยู่ใกล้ๆ กับ สถานี MRT Chinatown (NE4) เหมาะมากที่จะมาพักหลบความร้อนจากแสงแดดภายนอก เพราะในร้านเปิดแอร์เย็นสบาย และเมนูอาหารก็มีของหวานนานาชนิด รวมไปถึงน้ำแข็งไส ที่จะมาช่วยคลายร้อนได้..

ร้านนี้ต้องเดินไปสั่งอาหารที่เคาเตอร์เอง โดยบอกเลขโต๊ะที่นั่ง และรายการอาหารที่ต้องการ..

สำหรับเมนูแนะนำ อยากให้ลองชิมกัน.. ก็ต้องเป็น Chendol Snow Ice ได้ลองกิน ลอดช่อง(ที่)สิงคโปร์ แบบแท้ๆ ก็งานนี้ .. ซึ่งเมนูของหวานที่นี่ จะไม่หวานมาก และไม่เลี่ยนจนเกินไปนัก มีหลากหลายเมนูให้เลือกตามความต้องการครับ


15.00 น. เช็คอินเข้าพัก 5footway Inn Project Boat Quay


ตั้งแต่ลงเครื่องมาเมื่อเช้า ผมแบกเป้เดินเที่ยวมาทั้งวัน ไม่ได้ไปฝากกระเป๋าไว้ที่ไหนเลย ซึ่งมาเที่ยวแค่ 2 วันแบบนี้ ของก็เลยไม่เยอะครับ แบกเป้เล็กๆ เที่ยวสบายๆ ไม่เสียเวลาหาที่ฝาก จนถึงเวลาบ่ายสาม ซึ่งเป็นเวลาเช็คอิน เข้าที่พัก 5footway Inn ก็เดินมาที่ย่าน Boat Quay กันครับ จะได้มาพักขา เก็บกระเป๋า และ อาบน้ำให้หายร้อนแล้วค่อยออกไปเที่ยวกันต่อ

ย่าน Boat Quay นี้ ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืนของสิงคโปร์เลย มีบรรดาร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่างๆ ที่ตั้งอยู่ ริมแม่น้ำสิงคโปร์ ที่สามารถนั่งเล่นชมบรรยากาศชิลๆ ในช่วงกลางวัน และ สัมผัสบรรยากาศแสงสีและความบันเทิงได้ในช่วงกลางคืน..


เดินริมน้ำมาเรื่อยๆ ก็จะพบกับป้ายที่พัก 5footway Inn Project Boat Quay ซึ่งอาจจะต้องใช้การสังเกตุหน่อย เพราะทางเข้าเล็กมากๆ

ต้องเดินขึ้นไปข้างบนเพื่อที่จะเช็คอินเข้าพัก ซึ่งทางเดินข้างในไปสู่ส่วนต่างๆ ของที่พัก ก็ค่อนข้างที่จะเป็นเขาวงกตอยู่เหมือนกัน 55+

มาถึงส่วนของ Reception ก็จัดการเช็คอินครับ ซึ่งที่นี้ จะเป็นที่พักแนวโฮสเทล โดยผมได้จองเป็นห้องเล็กๆ ที่ภายในมีเตียง 2 ชั้น ซึ่งอาจจะดูแคบไปสักหน่อย แต่..ก็รู้สึกส่วนตัวดี ราคาประมาณ 1,500 บาท/คืน

เมื่อเช็คอินเสร็จพนักงานก็เดินมาที่ห้องครับ เป็นห้องที่มีขนาดเล็กมากจริงๆ แต่..ก็ถือว่าโอเคดี มีเตียง 2 ชั้น ให้น้องสาวปีนไปนอนข้างบน และผมนอนข้างล่าง

นอกจากเตียง 2 ชั้น ก็มีตู้เก็บของเล็กๆ อยู่ข้างเตียงด้วย

บริเวณหัวเตียง จะมีช่องวางของเล็กๆ ที่ข้างใน มีหลอดไฟให้แสงสว่าง และ ปลั๊กไฟ

ส่วนของ Terrace ที่อยู่ชั้นบน จะเป็นเหมือนมุมนั่งเล่น มีชา กาแฟ น้ำดื่ม บริการฟรีให้กับผู้ที่เข้าพักครับ ซึ่งตรงนี้ถือว่า.. วิวดีครับ เพราะสามารถนั่งชมวิวแม่น้ำสิงคโปร์ และ มองเห็น Marina Bay Sands ได้เลย



16.00 น. ออกเที่ยว.. ในยามเย็น


พักขาให้หายเมื่อย.. แล้วก็ออกไปเที่ยวกันต่อครับ


โดยเดินเท้าจาก 5footway Inn Project (Boat Quay) ไปแถวๆ Marina Bay เพื่อจะไปรอขึ้นรถเมล์แถวนั้น

จุดหมายในช่วงเย็นนี้ ก็คือ Marina Barrage ครับ นั่งรถเมล์ ต่อไปอีกไม่ไกล ซึ่ง วิธีการนั่งรถเมล์ในสิงคโปร์ ก็ง่าย มีป้ายรถเมล์ที่ระบุว่ามีรถเมล์สายไหนผ่าน วิธีจ่ายเงิน ก็เพียงแค่แตะบัตร EZ-Link ตรงประตูทางขึ้นรถหน้ารถ พอถึงจุดหมายก็แตะบัตรตรงประตูลงรถอีกครั้ง เงินค่ารถเมล์ก็จะถูกหักออกจากบัตรไปครับ..

ลงรถเมล์ที่ป้าย Marina Barrage แล้ว.. ก็เดินเท้าเข้ามาอีกหน่อยก็ถึงแล้วครับ

Marina Barrage เป็นอ่างเก็บน้ำที่สร้างกั้นระหว่างอ่าว Marina Bay กับ ทะเล มีระยะทางทั้งหมด 350 เมตร ตรงนี้ถือเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการมาพักผ่อนในช่วงยามเย็น เพราะว่า.. มีสวนสาธาณนะลอยฟ้า ที่สามารถชมวิวของเมืองสิงคโปร์ได้อย่างสวยงาม เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลย ซึ่งแถวนี้อากาศดีจริงๆ แหละครับ มีคนมานั่งเล่น พักผ่อน ชมวิวกันเพียบเลย..


19.30 น. ชมการแสดงแสง สี เสียง Light and Sound Show


หลังจากที่ชมพระอาทิตย์ตกแล้ว.. ก็เดินย้อนกลับมาที่ Garden by the Bay ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันครับ เพื่อมารอชม การแสดงแสง สี เสียง Light and Sound Show ที่ใครมาเที่ยวสิงคโปร์แล้ว ก็ต้องมาชมให้ได้ ซึ่งอาจจะต้องรีบมาก่อนเวลาแสดงสักหน่อย เพื่อจับจองมุมนั่งชมดีๆ ก่อนใครครับ

Garden Rhapsody – Light and Sound Show การแสดงแสง สี เสียง Garden Rhapsody ที่ Super Tree Grove @ Garden by the Bay

จะว่าไปแล้ว.. การแสดงนี้ ก็ดูอลังการงานสร้างเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในหนัง Avatar เลยทีเดียวนะ ซึ่งที่นี่..จะเปิดให้ชมการแสดงแสง สี แสง ทุกวัน วันละ 2 รอบ คือ 19.45 น. และ 20.45 น. ระยะเวลาในการแสดง รอบละ 15 นาที(ชมฟรี)

เมื่อการแสดงที่ Garden by the Bay จบลงแล้ว ก็รีบเดินย้อนกลับ โดยผ่านเข้าไปใน Marina Bay Sands เพื่อออกไปอีกฝั่ง

ฝั่งหน้า Marina Bay Sands ก็จะมีการแสดง SPECTRA – LIGHT & WATER SHOW ด้วย ซึ่งก็มีคนมาจับจองที่นั่งเพื่อรอชมตามรอบการแสดง แนะนำว่าวางแผนชมในแต่ละรอบให้ดี ก็จะสามารถชมได้ครบทุกที่เลยครับ

การแสดงแสง สี เสียง บนน้ำพุ SPECTRA – LIGHT & WATER SHOW หน้า Marina Bay Sands เปิดให้ชมการแสดงทุกวัน รอบ 20.00 น และ 21.00 น. (วันศุกร์ – เสาร์ เพิ่มรอบ 22.00 น.) ระยะเวลาในการแสดง รอบละ 15 นาที(ชมฟรี)

ทั้งนี้.. สามารถเลือกชม SPECTRA – LIGHT & WATER SHOW ได้ 2 ฝั่ง ถ้าชมจากฝั่ง Marina Bay Sands จะเป็นการแสดงแสง สี บนน้ำพุ และ ถ้าชมจากฝั่ง Merlion จะเป็นการแสดง แสง สี เสียง และได้เห็นเลเซอร์จากตึก Marina Bay Sands ด้วย

บรรยากาศวิวยามค่ำคืน จากฝั่ง Marina Bay Sands ยังชิลได้อีก...




คลิปการแสดงแสง สี เสียง



22.00 น. มื้อดึก.. ก่อนนอน ที่ China Town


จาก Marina Bay Sands นั่งรถไฟจาก สถานี MRT Bayfront(DT16/CE1) มาลงที่ สถานี MRT Chinatown (NE4/DT19) เพื่อมาหาอะไรกินกันก่อนนอนสักหน่อยครับ

บรรยากาศของ China Town ยามค่ำคืนก็ดูจะคึกคักดีครับ

เดินมาโผล่ที่ ถนน Smith St. แหล่งของกินของ China Town มีร้านอาหารเพียบเลย

ก็เลยเดินหาซื้ออาหารมาลองกินกันครับ โดยเริ่มจาก ขนมผักกาด (Fried Carrot Cake) เห็นหน้าตาขาวๆ ดำๆ แบบนี้ แต่อร่อยอยู่นะ

ลูกชิ้นปลา กับ น้ำซุป (Singapore Fishball)

เมนูนี้ สะเต๊ะ(Satay) ครับ มีหลายแบบให้เลือก ทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว กุ้ง และอื่นๆ

อิ่มแล้ว.. ก็ออกไปเดินเล่น ชม แสง สี ที่ ย่าน Boat Quay ให้อาหารย่อย กันก่อนนอน

และแล้ว.. ได้เวลาอันพอสมควร ก็กลับมายังที่พักครับ เดินเที่ยวมาทั้งวัน สภาพหมดแรงข้าวต้มมาก 55+ แบบว่า..กลับมาห้องแล้ว ก็อยากนอนเลยทีเดียว ซึ่งพรุ่งนี้..ยังมีเที่ยวต่อ และเดินเยอะอีกวัน แถมต้องตื่นแต่เช้าด้วย ก็ต้องรีบไปอาบน้ำ และ เข้านอน ไว้เจอกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ กู๊ดไนท์เด้อ... Zzzzz..




DAY #2 : SINGAPORE


06.00 น. ยามเช้าที่.. Marina Park


วันนี้..ตื่นเช้ามาก เพื่อที่จะไป Merlion แลนด์มาร์ก ของสิงคโปร์ แบบคนน้อยๆ หน่อย.. ซึ่งเดินมาในตอนเช้าๆ แบบนี้ บรรยากาศดี และคนก็น้อยจริงๆ ครับ สามารถเดินเล่น ถ่ายรูปเล่นได้อย่างสบาย..

Merlion รูปปั้นสิงโตทะเล สัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ ที่ Marina Park ซึ่งใครมาเยือนสิงคโปร์ก็ต้องไม่พลาดมาถ่ายรูปกับสิ่งนี้ เป็นรูปปั้นที่มีลักษณะส่วนหัวเป็นสิงโต และส่วนล่างเป็นหางปลา ตั้งอยู่บนยอดคลื่นทะเล

มานั่งเล่นในช่วงเวลาแบบนี้ มันรู้สึกชิลดีเหมือนกัน อากาศก็สบายๆ ไม่ร้อนมาก คนก็ไม่เยอะ หามุมถ่ายรูปเล่นได้ตามใจเลย คุ้มแล้วกับการตื่นแต่เช้า 55+(หลังจากนี้ ผ่านไปประมาณ ครึ่งชั่วโมง คนมาเพียบเลย ยังกะทัวร์ลงเลยล่ะ)

เดินเล่นไปบริเวณใกล้ๆ กัน ที่ Cavenagh Bridge สะพานเก่าแก่ที่ใช้ข้ามแม่น้ำสิงคโปร์

และ บริเวณนี้ ก็จะมีปฏิมากรรม “People Of the River” ซึ่งเป็นรูปหล่อทองแดง ที่มีขนาดเท่ากับคนจริง เป็นงานอาร์ตเท่ๆ อยู่ริมแม่น้ำสิงคโปร์




08.00 น. แวะถ่ายรูป Street Arts ชิคๆ ที่.. Haji Lane


  • Haji Lane


เช้าๆ คนน้อยๆ แบบนี้ รีบไปอีกสถานที่หนึ่ง กันต่อ โดยนั่งรถไฟ ไปลง สถานี MRT Bugis(DT14) แล้วเดินต่ออีกหน่อย มายัง Haji Lane สถานที่ยอดฮิตอีกที่ที่ต้องมาเยือน

ตรอกฮาจิ(Haji Lane) ถนนสายเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยร้านค้า และร้านคาเฟ่ ชิคๆ เหมาะสำหรับมาเดินเล่นดูสินค้าอาร์ตๆ หรือ มานั่งชิลจิบกาแฟ และเครื่องดื่มต่างๆ รวมไปถึงการมาถ่ายรูปกับ งาน Street Arts เก๋ๆ ที่อยู่ตามตึกต่างๆ ของที่นี่ด้วย..

ผลงาน Street Arts ที่โดดเด่นมากที่สุด ในย่านนี้ คือ ผนังด้านนอกของร้านอาหารเม็กซิกัน Piedra Negra ที่เต็มไปด้วยผลงานภาพวาดสีสันสดใสสไตล์ฮิปปี้และชนเผ่า ฝีมือศิลปินชาวโคลอมเบีย Jaba ซึ่งมาแต่เช้าแบบนี้..ไม่มีคนเลย ถ่ายรูปกับ งาน Street Arts ได้สบายครับ


  • Arab Street

ถนนอาหรับ(Arab Street) อยู่ใกล้กัน กับ ตรอกฮาจิ(Haji Lane) ถนนเส้นนี้จะเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม และวิถิชีวิตของชาวอาหรับ จึงพบเห็นสินค้าส่วนใหญ่ จะเป็นพวก ผ้า พรม น้ำหอม และสินค้าอื่นๆ และบนถนนเส้นนี้ยังมีสถานที่สำคัญ คือ มัสยิดสุลต่าน มัสยิดเก่าแก่ และสำคัญของชาวมุสลิมในสิงคโปร์ เป็นมัสยิดที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดดเด่นด้วยโดมสีทองด้านบนขนาดใหญ่

แถวนี้ มีร้านอาหารอินเดียชื่อดัง อย่าง Singapore Zam Zam ด้วย


  • The Kwan Im Thong Hood Cho Temple

วัดกวนอิมตงฮุดโช (The Kwan Im Thong Hood Cho Temple) เป็นวัดพุทธที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากของสิงคโปร์ นักท่องเที่ยวนิยมมาสักการะเจ้าแม่กวนอิม และขอพรให้สมปรารถนา อยู่ไม่ไกลกับ สถานี MRT Bugis(DT14)


  • Bugis Village

บูกิส วิลเลจ(Bugis Village) เป็นอาคารสไตล์โคโรเนียล ที่อยู่ระหว่าง สถานี MRT Bugis(DT14) กับ วัดกวนอิมตงฮุดโช (The Kwan Im Thong Hood Cho Temple) ซึ่งความสวยงามที่โดดเด่นจะอยู่ที่ ด้านหลังอาคารจะมีบันไดวนสีสันสดใส เรียงรายต่อกันเป็นแนวยาว



10.00 น. อาหารมื้อเช้า Ya Kun Kaya Toast (Far East Square)


เดินทางมาหาอาหารเช้ากินกันต่อที่ ร้าน Ya Kun Kaya Toast (Far East Square) โดยมาลงที่ สถานี MRT Telok Ayer (DT18) แล้วเดินต่อ มาอีก 240 เมตร เท่านั้น ซึ่ง ร้าน Ya Kun Kaya Toast นี้มีหลายสาขาทั่วสิงคโปร์ แต่..พอดีผมอยากลองมาชิมสาขาแรก ก็เลยต้องมาที่ Far East Square อยู่ไม่ไกลจากย่าน Chaina Town

ร้าน Ya Kun Kaya Toast เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่เหมาะสำหรับมากินในยามเช้า แบบเบาๆ (สไตล์ ขนมปัง ไข่ลวก และ กาแฟ อะไรทำนองนั้น) แต่ความพิเศษอยู่ที่ความอร่อย หอม มัน ของขนมปัง ที่เข้ากับไข่ลวกได้เป็นอย่างดี ถือว่า.. Kaya Toast เป็นมื้อเช้ายอดนิยมของคนสิงคโปร์ และนักท่องเที่ยว เลยก็ว่าได้..

ร้าน Ya Kun Kaya Toast มีโต๊ะไว้สำหรับบริการทั้งภายในร้านและนอกร้าน ถ้าอยากนั่งแบบเย็นสบายหน่อย ก็เลือกนั่งในร้าน หรือ ถ้าอยากชมบรรยากาศจิบกาแฟยามเช้าก็เลือกนั่งนอกร้านก็ได้ .. เมื่อได้โต๊ะแล้วก็จะมีพนักงานนำเมนูอาหารมาให้เลือก ซึ่งขอแนะนำให้สั่งเป็น Set รวมขนมปัง ไข่ลวก และเครื่องดื่ม ครบ จบในเซตเดียว ซึ่งเมื่ออาหารมาเสิร์ฟครบที่โต๊ะ พนักงานก็จะเก็บเงินทันที

การทาน Kaya Toast ที่ถูกต้อง ก็ต้องเหยาะซอส โดยพริกไทย ลงไปบนไข่ลวก คนให้เข้ากัน.. จากนั้นจึงใช้ขนมปังจิ้มลงไปในไข่ลวก ก่อนทาน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเข้ากันได้ดี และก็อร่อยมากๆ (หรือว่า.. หิวก็ไม่รู้55+) อาจจะดูว่าราคาสูงสักหน่อย แต่คุ้มครับ!

หลังจากจัดการกับมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ก็ขอกลับที่พัก 5footway Inn Project (Boat Quay) ก่อน เพื่อไปพักหลบร้อน อาบน้ำ อาบท่า และ เก็บของเตรียมเช็คเอาท์ ครับ


12.00 น. มื้อเที่ยง.. ลองชิม “บักกุ๊ดเต๋” ที่ Song Fa Bak Kut The


ตอนแรก.. คิดว่า จะเช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าไว้กับที่พัก แล้วออกไปเที่ยวในช่วงบ่าย แต่คิดไปคิดมา.. ขี้เกียจย้อนกลับมาเอาอีกรอบ และดูจะเสียเวลา ก็เลย..แบกเป้ไปเที่ยวด้วยซะเลย ของไม่ค่อยเยอะอยู่แล้ว..

และ เนื่องจากต้องเดินไป สถานีรถไฟ MRT Clarke Quay (NE5) อยู่แล้ว ก็เลยถือโอกาสลองชิม “บักกุ๊ดเต๋” เจ้าดัง ที่ ร้าน Song Fa Bak Kut The(Clarke Quay)

ร้าน Song Fa Bak Kut The คนจะเยอะอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะในช่วงหัวค่ำนั้นจะรอคิวนานมากๆ แนะนำว่า.. ให้ลองไปใช้บริการในช่วงเวลากลางวัน จะรอคิวไม่นาน .. ต่อแถวสักพักก็ได้เข้าไปนั่งที่โต๊ะแล้ว ซึ่งระหว่างรอคิว พนักงานก็จะนำเมนูมาให้สั่งอาหาร พอถึงคิว ไปนั่งที่โต๊ะ ก็จะมีอาหารมาเสิร์ฟ พร้อมชำระค่าอาหาร ทันที

ร้านระดับ Bib Gourmand’s list ของ Michelin Guide

Groundnuts 1.50 SGD

Braised Pig’s Trotter 7 SGD

Pork Ribs Soup 7 SGD

ความพิเศษของร้านนี้ คือ จะมีพนักงานคอยเติมน้ำซุป บักกุ๊ดเต๋ ให้อยู่ตลอดเวลา แบบไม่อั้นเลยทีเดียว ซึ่งทีเด็ดของเขาก็อยู่ที่น้ำซุปกระดูกที่กลมกล่อมเผ็ดร้อนนี่แหละครับ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ แจ่มเลย!


13.00 น. Fort Canning Park แวะถ่ายรูปที่มุมยอดฮิต!


บ่ายนี้.. ก็เที่ยวไปเรื่อยๆ ครับ โดยเลือกนั่งรถไฟมาลง ที่ สถานี MRT Dhoby Ghaut(CC1) เพื่อมายัง Fort Canning Park จุดถ่ายรูปยอดฮิต ซึ่งเดินมาไม่ไกลจากสถานี MRT ตรงทางเข้าก็จะเป็นอุโมงค์เล็กๆ แบบนี้

สวนสาธารณะ Fort Canning Park สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ เพราะว่า เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จึงสามารถพบเห็นป้อมปราการเก่า ที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ สภาพบรรยากาศโดยรอบมีความร่มรื่น และมีต้นไม้เยอะ ดูเขียวขจี เหมาะแก่การมาพักผ่อน และ ที่แห่งนี้ก็ยังมีมุมถ่ายภาพยอดฮิตแบบนี้อีกด้วย..



14.00 น. Sentosa Island



ยังพอมีเวลาเหลือให้ข้ามไปเที่ยวเล่น ที่ เกาะเซ็นโตซ่า นั่งรถไฟมาลงที่ สถานี MRT HarbourFront (NE1/CC29)

เกาะเซ็นโตซ่า เป็นเกาะที่รวมความสนุก และกิจกรรมความบันเทิงต่างๆ อย่างครบครัน สามารถเดินทางข้ามไปเกาะเซ็นโตซ่าได้หลายวิธี ทั้งการนั่ง รถเมล์ หรือ ที่นิยมสุดก็ รถไฟ Monorail(4 SGD) หรือ เคเบิ้ลคาร์ ที่ราคาค่อนข้างจะแพงหน่อย แต่ถ้าหากอยากประหยัดก็สามารถที่จะเดินข้ามเกาะไปก็ได้ในระยะทางราว 700 เมตร สามารถข้ามไปได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย..

บน เกาะเซ็นโตซ่า จะเป็นที่ตั้งของ Universal Studios Singapore สวนสนุกระดับโลก นับเป็นสถานที่ในฝันของใครหลายๆ คน สำหรับผู้ที่ต้องการเข้า Universal Studios เพื่อความคุ้มค่า ก็ควรที่จะเดินทางมาแต่เช้าหน่อย เพราะจะได้เล่นเครื่องเล่นได้อย่างครบถ้วน และราคาตั๋วค่าเข้าที่ค่อนข้างสูง แนะนำว่าควรหาซื้อตั๋วมาล่วงหน้า ผ่านทาง Agent จะได้ราคาที่ถูกกว่าซื้อข้างหน้าตรงทางเข้าครับ ซึ่ง ณ จุดนี้ ไม่ได้เข้าไปเที่ยวข้างในนะครับ..55+ เพราะมาซะบ่ายขนาดนี้ ก็คงจะไม่คุ้มค่าตั๋วอย่างที่บอกไป แต่..ที่แวะมาเที่ยว ก็เพราะ อยากจะมาถ่ายรูปข้างหน้า แค่นี้ก็โอเคแล้ว 55+

การเดินทางภายใน เกาะเซ็นโตซ่า วิธีที่สะดวก ก็คือ ด้วย Monorail(4 SGD) แต่ขอแนะนำว่า.. ขาไป จากฝั่ง ให้เดินไปจะดีกว่า พอเมื่อถึงเกาะแล้ว ภายในเกาะจะสามารถใช้บริการ Monorail ได้ฟรี ทั้งเดินทางไปยังสถานีต่างๆ ภายในเกาะเอง หรือว่า.. ตอนนั่ง ขากลับ ก็นั่งกลับมาฟรี ช่วยประหยัดไปได้เยอะเลย

The True Merlion Tower – Merlion อีกตัวบน เกาะเซ็นโตซ่า ตัวนี้เป็นตัวที่ใหญ่ สูงถึง 37 เมตร

Monorail สิ้นสุดสถานีสุดท้ายที่ สถานี Beach ซึ่งเป็นสถานีที่ติดกับชายหาดสามารถเดินลงไปเที่ยวเล่นริมชายหาดได้

ชายหาดบนเกาะเซ็นโตซ่า จะมีอยู่ 3 ชายหาด ด้วยกัน คือ Siloso Beach, Palawan Beach และ Tanjong Beach ซึ่งทั้ง 3 หาด ก็เป็นสถานที่พักผ่อน มีกิจกรรมริมชายหาด ร้านอาหารต่างๆ เหมาะสำหรับมาพักผ่อน (แต่ตอนนี้ ฝนดันตกพอดี..)

ร้านขายของที่ระลึก สำหรับหาซื้อของฝากกลับไป

เที่ยวภายใน เกาะเซ็นโตซ่า จนสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ขึ้น Monorail ออกจากเกาะ ซึ่งสามารถขึ้นได้ฟรี ดีจริงๆ เลย..



17.30 น. ไม่ชิม ไม่ได้ กับ “โจ๊กกบ” (Eminent Frog Porridge)


ส่งท้าย มื้อสุดท้าย.. ถือว่าเป็นเมนูเด็ดอีกอย่างที่ต้องลองชิม เมื่อมาเยือนสิงคโปร์ นั่นก็คือ โจ๊กกบ ซึ่ง ร้านโจ๊กกบ ที่อร่อย เขาว่ากันว่า.. ต้องมาหากินที่ ย่าน Geylang โดยมาที่ ร้าน Eminent Frog Porridge (Lor 19) โดยร้านจะเปิดในช่วงเย็น ไปจนถึงตี 4 สามารถมาใช้บริการได้เกือบตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว

จาก สถานี MRT Aljunied (EW9) เดินมาประมาณ 700 เมตร ก็จะมาถึงร้าน โดยคนจะเยอะตั้งแต่เริ่มเปิดร้านในช่วงเย็นเลย

เมนูที่แนะนำ จะถูกติดดาวเอาไว้ และ กบผัดพริกแห้งในหม้อดิน ก็เป็นหนึ่งในเมนูแนะนำ..

มาร้านโจ๊ก ก็ต้องสั่งโจ๊กเปล่ามาด้วย สำหรับมาทานคู่กันกับกบผัดพริกแห้ง ที่ส่งควันโขมง พร้อมกลิ่นหอมโชยออกมาเป็นระยะ

กบผัดพริกแห้ง (กบ 3 ตัว = 2 แถม 1) = 16 SGD



โจ๊กเปล่า(ขนาดกลางสำหรับทาน 2 คน) = 3 SGD

เนื้อกบแน่นอร่อย และไม่มีกลิ่นคาวใดๆ ทั้งสิ้น ไม่น่าเชื่อว่าจะทานกับโจ๊กเนื้อเนียนนุ่มลิ้น ได้อย่างลงตัว.. และอร่อยติดใจจริงๆ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาด ซึ่งถึงแม้จะดูราคาสูงไปนิด แต่นานๆ ทีได้มาลองกินกบตัวใหญ่ๆ เนื้อแน่นๆ และอร่อยแบบนี้ ก็คุ้มค่าอยู่นะครับ!


20.00 น. เตรียมเดินทางกลับ!


อิ่มจากมื้อเย็น.. “โจ๊กกบ” แล้ว.. ก็นั่งรถไฟ MRT กลับมายังสนามบิน มาลงที่ สถานี MRT Changi Airport(CG2) จากนั้น ก็รีบไปเช็คอิน และ เข้าไปรอใน Gate เพื่อเตรียมเดินทางกลับครับ ซึ่งภายใน Gate ก็มี.. เครื่องนวดเท้าไฟฟ้า ที่สามารถใช้บริการได้ฟรี มันช่างเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ดีมากครับ ช่วยผ่อนคลายได้เยอะเลย.. เพราะตอนนี้ มันรู้สึกเมื่อยขามากๆ ในระยะเวลาแค่ 2 วันนี้ รู้สึกว่า.. เดินกันหนักมากจริงๆ เดินโคตรเหนื่อยเลย ตามสภาพ 55+

ระยะเวลาในการเที่ยวแค่ 2 วัน 1 คืน ฟังดูอาจจะน้อยไปสักหน่อยครับ แต่..ด้วยเวลาที่มีเพียงเท่านี้ ก็สามารถมาเที่ยวได้คุ้มค่าดีเหมือนกัน

ทริปนี้.. ก็เป็นทริปสั้นๆ ที่สนุก และใช้เวลาได้คุ้มค่าดี ได้ลองกินเมนูของอร่อยต่างๆ ที่อยากลองมานาน ได้มาเที่ยว “สิงคโปร์” กับเขาสักที เพราะ นี่ก็เป็นครั้งแรกจริงๆ 55+ ก็ประทับใจอะไรหลายๆ อย่าง ครับ โดยเฉพาะระบบขนส่งสาธาณะที่เข้าถึงสถานที่เที่ยวสำคัญ เดินทางได้อย่างสะดวกสบาย และในหลายสถานที่ก็สามารถที่จะเข้าได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้การเดินทางไปเที่ยว สิงคโปร์ เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครก็ไปเที่ยวได้..


สำหรับ "สิงคโปร์" แล้ว.. เดี๋ยวยังไง.. ได้กลับมาเจอกันใหม่อีกแน่นอนครับ!




การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

Instagram : CHAILAIBACKPACKER

Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9

E-mail : [email protected]

Website : www.chailaibackpacker.com

ความคิดเห็น