...กลับมาอีกครั้งกับการรีวิวท่องเที่ยวแบบ Mini Review สำหรับผู้ที่ขี้เกียจอ่านอะไรที่ยาวยืด...
**เนื่องจากทริปนี้เป็นทริปการท่องเที่ยว 5 วัน 3คืน กับทัวร์ ฉนั้น มันจะยาวนิดๆ แต่เชื่อเถอะ
ผมพยายามย่อแล้ว***
(คำเตือน รีวิวนี้อาจจะมีคำหยาบคาย ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 70 ปีควรได้รับคำแนะนำ)
เราเริ่มเดินทางกันในวันที่ 2 มิ.ย. 2018 ด้วยสายการบิน ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ จากสนามบินดอนเมืองสู่ประเทศญี่ปุ่น โดยการบินรอบนี้เราไปชั้น economy class ให้บรรยากาศเหมือนนั่งรถทัวร์กลับต่างจังหวัดอย่างไงอย่างงั้น
หลับไปได้ซักพักแสงอาทิตย์ยามเช้า ณ เขตแดนอาทิตย์อุทัยก็โผล่มาทักทายพวกเราตามเวลาท้องถิ่นที่ 8.40 น. เราจัดการธุระส่วนตัวกันที่สนามบิน ชิโตเซะ ฮอกไกโด กันอย่างอลม่านก่อนจะสวมวิญญาณลูกทัวร์วิ่งขึ้นรถบัสด้วยความไวแสง
สถานที่ที่เราได้ไปที่แรกคือหมู่บ้านราเมน อาซาฮิคาว่า ซึ่งที่นี่จะมีกันอยู่ประมาณ 8 ร้าน
โดยผมกับเพื่อนๆเลือกสุ่มเข้าไปในร้านที่ 2 ... บอกได้เลยเลือกสุ่มไม่ผิด อร่อยโคตร
...ผมใช้วิธีการสุ่มจิ้มเลือกจากเมนู เห็นว่ามัน Spicy ก็จัดเลยกลัวกินไม่อร่อย...
ราเมนที่นี่ไม่เหมือนที่ไทย (ก็แน่หละ นี่มัน Original โว้ย!!) รสชาติน้ำซุปจะนุ่ม (และเค็ม)
ไม่ต้องพูดถึงเส้นสไตล์ญี่ปุ่นขนาดแท้ทที่ทั้งเหนียวหนึบและอร่อยโคตร
ผมลองกินเนื้อหมู อื้อหือ....เนื้อหมูแทบละลายในปาก แดกทีลืมของไทยไปเลยโว้ยยยยยย...
แต่หากมากินที่นี่แล้วต้องเข้าใจธรรมเนียมเขานะ ด้วยการที่เป็นต้นตำหรับและไม่สนใจว่าจะขาดทุน (เพราะแม่งไม่ขาดหรอก) ดังนั้นใน 1 ชามคุณจะได้กินราเมนที่จัดเต็มจนเกือบล้นชาม หากคุณกินไม่หมด พ่อครัวจะมายืนซี๊ดปากกดดันอยู่ตรงหน้าคุณ ทำสีหน้าครุ่นคิดว่าเขาทำไม่อร่อยหรือคุณถึงกินไม่หมด...ยัดๆมันเข้าไปให้หมด สงสารเขา!
คุณไม่สามารถสั่งแบบของไทยเราได้เช่น ขอเส้นน้อยเน้นหมู น้ำไม่เยอะ บลาๆๆๆ
เพราะพ่อครัวเหมือนคำนวนแคลลอรี่มาเพื่อสุขภาพของผู้แดกอย่างแท้ทรู
อะไรที่ยากๆเช่นถมทะเลสร้างสะพานข้ามทะเลหนะ คนญี่ปุ่นทำได้ แต่เรื่องง่ายๆแค่เอาเส้นน้อย มันทำไม่ได้!
ไหนๆก็มาแล้ว อย่าลืมลองกินเกี๋ยวซ่าสูตรตำราญี่ปุ่นแท้นะ ร้านอื่นเป็นไงไม่รู้
รู้แค่ร้านนี้กัดเข้าไปทีเกี๋ยวซ่าแทบละลายในปาก หากเป็นของไทยบางที่นี่แข็งจนฟันเกือบหัก
หมูที่ถูกสอดไส้มาผ่านการหมักและทำมาอย่างดี กัดไปทีเหมือนขึ้นสวรรค์..ฟินโคตรรรร....
คุ้มค่ากับราคา 400 เยนมากครับ เพราะคิดเป็นเงินไทยก็แค่ 100 นิดๆ เท่านั้นเอง
สถานที่ที่ 2 ที่เราถูกพาไป นั่นก็คือออออ ... สวนสัตว์อาซาฮิยาม่า นั่นเอง (เสียงแบบทีวีแชมป์เปี้ยน)
ที่นี่เป็นสวนสัตว์ที่รวบรวมสัตว์นาๆพันธุ์ไว้มากมาย (บอกทำไม ก็มันสวนสัตว์!) โดยไฮไลท์ของที่นี่ก็หนีไม่พ้นพี่แพนกวิ้น หมีขาว หมาป่า และสัตว์แปลกๆตาที่บ้านเราไม่มีนั่นเอง บรรยากาศการต้องรับอย่างอบอุ่นที่นี่เริ่มต้นด้วยใบโปรชัวร์ที่มีภาษาไทย! ป้าด อารมณ์เหมือนเราอยู่ไทยแล้วมีใบภาษาจีน เข้าใจอารมณ์นักท่องเที่ยวจีนก็คราวนี้ 5555555+...
มาถึงไม่รอช้า จ้ำไปหาพี่แพนกวิ้นเลยจ้าาาาาาาาา
ที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ใกล้ชิดกับแพนกวิ้นมากม๊ากกกกก ส่วนของกรงจะมีแค่รั้วต่ำๆกั้นกลางระหว่างเราเอาไว้ แต่ไม่ได้ให้เราเอาตัวเองเข้าไปจับมันเด้อ! เมื่อเพลิดเพลินกับการดูและทักทายกันบนบกแล้ว ทางสวนสัตว์จะมีอุโมงใต้น้ำให้เราได้ดูเข้าแพนกวิ้นว่ายโชว์ตัวไปมา หากมาถึงที่นี่แล้วอย่าพลาดเด็ดขาด!
วันนี้พี่หมีดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ประกอบกับฝนก็โปรยลงมาปรอยๆ
ทำให้การเดินเที่ยวของเราต้องพบกับจุดจบยอมสยบต่อธรรมชาติ เผ่นขึ้นรถเพราะรอมานานแล้วก็ไม่หยุด จนจะถึงเวลานัดขึ้นรถแล้วเนี่ย! ฝนเวร!
ขาวิ่งกลับเจอสมาชิกกาเดี้ยนออฟเดอะกาแลคซี่ "Rocket!!!" แวะถ่ายแปปแล้วฝ่าฝนต่อไป..
อากาศที่นี่ค่อนข้างจะสวิงเอาแน่เอานอนกับมันไม่ได้ ใครจะมาก็พกดวงมาเผื่อไว้หน่อยเด้อพี่น้องงงง
เข้ามาสู่ไฮไลท์ (มั้ง) ของที่นี่ นั่นก็คือ
สระอะโออิเคะ (Aoiike) หรือบ่อน้ำสีฟ้า นั่นเอง โดยที่นี่เป็นสถานที่ที่เน้นไปในเรื่องของการสัมผัสและดื่มด่ำกันในแบบธรรชาติ มองทอดสายตาออกไปยังบ่อน้ำสีฟ้าที่เนือยนิ่งอยู่ในบ่อโดยมีสีน้ำตาลของต้นไม้ที่ตายแล้วแซมอยู่ไกลๆ มีวอลเปเปอร์เป็นภูเขาสีเขียวอยู่ข้างหลังตัดแบ่งกับท้องฟ้าที่คอยลุ้นเอาว่าจะเป็นสีอะไร 5555+
บ่อน้ำนี้จะเปลี่ยนสีไปตามแสงแดดด้วยนะเออ เขาบอกว่าถ้าแดดดีจะฟ้ามากกว่านี้ วันนี้มีเมฆมากมาทักทายจึงออกสีเป็นเขียวๆ
ที่แห่งนี้จะไม่มีอะไรเลยนอกจากการได้นั่งดูและสูดอากาศไปนานๆ มีมุมให้ถ่ายรูปเพื่อเป็นหลักฐานพี่สูจน์ว่ากูมาแล้วบ้างในบางจุด เพราะฉนั้นหากใครไม่สนใจหรืออินกับธรรมชาติ อย่าไป! จะเบื่อและรู้สึกไม่คุ้มค่าเอาเสียเปล่าๆ แต่ถ้าใครเป็นสายผจญภัยและก้าวไปในจิตวิญญาณแห่งป่าเขาแล้วมีความสุข ที่นี่ผมแนะนำครับ
วันที่ 2...
ไฮไลท์ของวันที่สองคือการที่ได้ไปสถานที่แห่งความฝันซึ่งมาบรรจบกันกับความจริง อาจจะเกริ่นแล้วดูเวอร์วังไปซักนิดแต่บอกเลยถ้าได้มาที่นี่จริงๆแล้ว จะเข้าใจว่าบรรยากาศมันเป็นอย่างไร
ที่นี่คือ "พิพิฒพันธ์กล่องดนตรี โอตารุ"
ขอให้ลองเดินหลงเข้ามาซัก 1 ที กว่าคุณจะกลับตัวออกมาได้ใช้เวลานานทีเดียว ปล.เตรียมเงินไปให้เต็มที่หากมีผู้หญิงไปด้วย!
ที่นี่มีแต่กล่องดนตรีน่ารักๆเรียงรายเต็มไปหมด และแน่นอน มีหลายเสียงให้เลือกเช่นกัน คุณจะต้องลองไปหมุนๆลองฟังดูก่อนว่าใช่เสียงที่คุณชอบหรือไม่ เพราะฉนั้น เสียงของกล่องดนตรีจะดังไปทั่วร้านเลยจ้าาา
นี่คือส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ่ายมาไม่หมดจริงๆขอรับ!..
"ซับโปโร"
เมืองซับโปโรในช่วง มิ.ย. ยังคงมีความหนาวหลงเหลืออยู่เนื่องจากมีเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ทำให้มีลมเย็นๆแวะมาทักตลอดวัน โดยอุณหภูมิที่เจอต่ำสุดอยู่ที่ 12 องศาครับ
เมืองนี้ไม่วุ่นวายขนาดโตเกียวเนื่องจากเป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ทำให้บรรยากาศการเดินเล่นในเมืองเป็นไปได้อย่างชิลๆสบายใจ ไม่เร่งรีบเบียดเสียดแออัดจนต้องแย่งกันหายใจ แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่นที่เหมือนกันหมดไม่ว่าจะเมืองไหนนั่นก็คือ..
ความมีวินัยและความรักในประเทศของตนเอง บ้านเมืองของเขาจะสะอาดมาก แทบไม่เห็นเศษขยะหล่นเลยแม้แต่น้อยทั้งๆที่ถังขยะในเมืองแทบจะหาไม่ได้ รถราก็มีวินัยกันมากไม่มีการขับผิดกฎให้เห็นเหมือนบ้านเรา เขาว่ากันว่าหากอยากดูความมีวินัยของประชาชน ให้ลองดูจากการใช้วินัยบนท้องถนน...ถ้าจะจริง
หากได้ลองมาเที่ยวญี่ปุ่นอย่าลืมแวะเวียนมาที่นี่กันดูบ้าง คุณอาจจะไม่อยากกลับบ้านเหมือนที่ผมกำลังเป็นอยู่ก็เป็นได้...
.
.
.
ปล.แถมรูปเนื้อวากิว 5A ให้ดูซักหน่อย มันเป็นบุฟเฟต์ที่ถูกมากกกก ตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1080 บาทเท่านั้น! หาที่ไทยไม่ได้นะโว้ยราคานี้ มาแล้วต้องแดก!!!
อาแป๊ะมีหนวด
วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 15.55 น.