หลังจากที่ร้างลาการท่องเที่ยวเพราะงานมันสุมหัวเป็นไฟลนอยู่นานแสนนาน และในที่สุด วันเวลาอันเหมาะเจาะของเราสองคนก็มาถึง เราวางแผนเดินทางเที่ยวกันโดยการเดินทางไปจังหวัดเลยซึ่งผมเองก็เคยไปเยือนบ่อยอยู่แต่ไม่เคยได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศหนาวๆกับคนรักเสียที คราวนี้แหละ เราจะไปเที่ยวให้จงได้.....

เราเริ่มออกเดินทางวันที่ 2 ม.ค. 61 ขับรถยาวพุ่งหน้าไปยัง จ.เลย

การเดินทางเป็นไปได้อย่างที่วางแผนไว้ เราถึง อ.ภูกระดึง จ.เลย เวลาประมาณ 22.00 น. กะว่าจะหาที่พักเอาดาบหน้าแต่ดันเสียดายเงินที่ต้องจ่ายเพื่อพักเพียงไม่กี่ชั่วโมง เลยแวะไปนอนกันที่ปั้ม ปตท. ผานกเค้า เปิดกระจกนิด เอนเบาะหน่อย แล้วนอนหลับท่ามกลางความมืดในปั้ม ...

นาฬิกาปลุกมือถือดัง "ปิ๊บๆๆๆๆ" บอกเวลาตี 4 ตามที่ตั้งไว้ อันที่จริงผมตื่นก่อนแต่ลุกไม่ขึ้นด้วยความที่ขดอยู่บนเบาะรถหลายชม.บวกด้วยอายุอานามที่ไม่ได้น้อยแล้วด้วย กลั้นใจลุกฮึ๊บแล้วปลุกแฟนผมขึ้นตามมา เราอาศัยห้องน้ำในปั้มเป็นที่ล้างหน้าแปรงฟัน อากาศน่าจะอยู่ที่ 10 กว่าอาศาได้ ไม่ต้องถามว่าน้ำเย็นขนาดไหน เอาเป็นว่าเย็นชนิดที่มือชาหน้าชากันเลยทีเดียว ผมเดินเข้าไปใน 7-11 เพื่อซื้อกาแฟกินให้คาเฟอีนเข้าไปปลุกสมองให้ตื่นแล้วเดินทางไปหาข้าวกิน ซึ่งแน่นอนว่าที่นั่นคือ "เจ๊กิม" เจ้าเก่าเจ้าเดิม

เราไปถึงตั้งแต่ร้านเพิ่งจะเปิดแบบว่าข้าวยังร้อนๆแต่อาหารยังไม่เสร็จ ถามพี่ที่่ร้านเขาว่ามีสองอย่างคือ พะโล้และต้มจับฉ่าย เรากระจายความเสี่ยงคือกินกันคนละอย่างเผื่ออันไหนไม่อร่อย

โชคยังดีที่ความอร่อยของเจ๊กิมไม่ได้หายไปตามเวลา เราจึงจัดเต็มกันแบบจุกพร้อมลุกไปลุยที่ภูกันแล้ววววว!!!

มาถึงหน้าอุทยานจ่ายค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย

ที่นี่มีบริการที่จอดรถ ใครจะเอารถมาก็เอามาจอดกันได้อย่างปลอดภัยสบายใจหายห่วง

เราตัดสินใจพักกัน 3 วัน 2 คืน

ใครที่กลัวไม่มีที่ว่างในช่วงเทศกาลสามารถเข้าไปลงทะเบียนจองได้ที่หน้าเวปหรือหากอยากจะ Walk-In เข้ามาก็ได้เสมอครับ

จนท. จะมาเปิดเพื่อให้เข้าเวลา 07.00 น. ซึ่งหากท่านจองและจ่ายแบบออนไลน์ไปแล้วสามารถต่อคิวเข้าไปที่ช่อง 1 ได้เลย ... เรายื่นเอกสารใบจ่ายเงินให้ จนท. แล้วไปละเบียนจ้างลูกหาบต่อ โดยที่นี่คิดค่าบริการ กก. ละ 30 บาทครับ ซึ่งถามว่าแพงไหม...ไม่นะ ไม่เชื่อลองไปดูว่ากว่าจะเดินขึ้นไปได้มันลำบากขนาดไหน

เราให้ลูกหาบแบกเต้นท์เราตามขึ้นไป ส่วนเรามีเป้คนละใบพร้อมกับถุงนอนและหมอนลม ... ได้เวลาแล้ว ลุย

ทางเข้าจะมีให้ Check-In โดยใช้บัตรประชาชนเสียบและเซ็นต์ลงชื่อ เตรียมบัตรประชาชนมาด้วยหละ จะได้ไม่พลาดดดด...

ผมจะไม่รีวิวเรื่องการเดินทางมากเพราะเคยรีวิวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ไปตามอ่านกันได้ที่นี่จ้า https://th.readme.me/p/5565

ซำแฮกยังคงทำให้เราเหนื่อยจนหอบแฮกได้สมชื่อ การเดินทางตอนเช้านอกจากจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ที่เย็นสดชื่น เรายังได้พบกับวิวสวยๆอีกด้วย

บนซำแฮกที่เพิ่งขึ้นมาไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิวสวยๆให้ยืนมองเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้านะเอ้อ

กว่าจะมาถึงซำแฮกได้เรียกว่าเกือบคลานกันขึ้นมาเลยทีเดียว เอาหละ ไหนๆก็ไหนๆ นั่งพักร้านประจำที่เคยมาหน่อยแล้วกัน

ที่ชอบนั่งร้านนี้เพราะว่ามันมีวิวสวยๆให้นั่งรับแสงอาทิตย์เพื่อสังเคราะห์แสงและสร้างพลังงานชีวิตต่อไป

แตงโมบนนี้ราคาแพงตามระยะทางที่เขาต้องหอบขึ้นมาแต่รับรองว่าอร่อยหวานเย็นคลายเหนื่อยได้สบายมากจ้า

การเดินทางอันทุลักทุเลของเราสองคน ในที่สุดเราก็มาถึงครึ่งทาง "ซำกกโดน"

วิวที่นี่มีดีมากกว่าซำอื่นๆด้วยความสูงและมุมชมวิวทิวทัศน์ให้หายเหนื่อย ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมซำนี้จึงมีคนนิยมนั่งพักตามโขดหินเพื่อมองดูธรรมชาติกันอย่างหนาแน่น

พักได้ไม่นานเพราะการเดินทางต่อไปยังไม่สิ้นสุด เราเดินแบกกระเป๋าและสัมภาระที่ดูเหมือนจะยิ่งเป็นภาระกับหัวไหล่และหลังของเรามากขึ้นเรื่อยๆเดินต่อไปยังจุดหมายนั่นก็คือหลังแปร เส้นทางในการเดินทางช่างบั่นทอนกำลังขาอย่างยิ่งยวด จากที่สามารถเดินได้นานๆตอนนี้ต้องแวะพักตามรายทางบ่อยขึ้นๆ

ในที่สุด เราก็มาถึงซำป้อมปราการสุดท้ายนั่นก็คือ แท่น แท่น แท่น แท๊นนนน ซำแคร่!!....... แคร่นิดนึงกูก็จะตายละส้าดดดดดดดดดดด

ซำนี้ดูจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนที่เดินทางมาเยี่ยมชมที่นี่ไม่ว่าจะมากี่รอบแล้วก็ตาม ซำนี้ผมก็ยังยกให้เป็นที่ 1 ไม่ก็ 2 แข่งกับซำแฮกแบบสูสีแบบที่กินกันไม่ลง ... เรานั่งพักบ้าง เดินบ้าง ไปเรื่อยๆตามประสาคนไม่ค่อยจะได้ออกกำลังกายจนเจอพี่สองคนนี้

เห้ยยยย...พี่เก็บขยะขณะเดินลงเขาหวะ เห็นแล้วอดขอถ่ายรูปไม่ได้ คนดีๆต้องประจาน...เอ้ย...ต้องชื่นชมกันให้สาแก่ใจ เห็นว่าถ้าเราสามารถพาขยะที่คนไร้ความรับผิดชอบและสามัญสำนึกลงพื้นได้ 1 กก. เราจะได้ใบประกาศคุณงามความดีเป็น "ผู้พิทักษ์ภูกระดึง" อันที่จริงใบประกาศมันไม่ได้สำคัญหรอก ใจรักธรรมชาติต่างหากที่สำคัญ นับถือครับผ้มมม...

ในที่สุดแบบยังเดินไม่สุดปลายฝัน (ค่ายพัก) เราก็ถึงหลังแปรจนได้ ตามธรรมเนียมอุตส่าแบกสังขานขึ้นมาได้มันต้องถ่ายรูปกับป้ายประกาศว่า "ครั้งนึงฉันคือผู้พิชิตภูกระดึง" แต่เราเลือกที่จะขอถ่ายตอนขากลับเพราะอยากนั่งหลับแบบโง่ๆไม่อยากเดินต่อไปแล้ว (คิดในใจว่าไม่น่าห้าวแบกของขึ้นมาเองเยอะขนาดนี้)

จังหวะนั่งพักขาพักไหล่ผมก็แหงะไปเห็นคนกำลังถ่ายรูปกับต้นอะไรอยู่ซักอย่าง เมื่อเพ่งพินิจดูแล้ว อ้าววววว ต้นเมเปิ้ลนี่นา (เลือกมาเดือนนี้ก็เพราะอยากถ่ายกับต้นเมเปิ้ลนี่แหละ) ทีแรกตกลงกันไว้ว่าวันกลับละกันเนอะ เพราะขี้เกียจลุกสุดๆ แต่สายตามันพาใจเดินนำร่างกายไปยืนอยู่ใต้ต้นเมเปิ้ลแล้วววว รอช้าอยู่ใย ลากคุณแฟนลุกไปถ่ายสิครับผ้ม

แฟนผมนี่แทบจะสิงต้นเมเปิ้ลเป็นนางไม้หน้าบาน...ใบเมเปิ้ลใหญ่มากไม่เชื่อลองเทียบกับหน้าแฟนผมดูสิ!

เมื่อชื่นชมความงามจนหายเหนื่อยก็ลุกเดินตะลุยไปต่อบนหลังแปร

กว่าจะถึงค่ายโดยรวมแล้วเราจะเดินประมาณ 8 กม. โดยแบ่งเป็น ทางขึ้นเขา 5 กม. (ซึ่งจริงๆผมว่ามากกว่านั้น) และบนหลังแปรเพื่อไปค่ายอีก 3 กม.

เดินจนขาลากยกแทบไม่ขึ้นและแทบจะเขวี้ยงกระเป๋าทิ้ง...ในที่สุดเราก็ถึงซักที (โว้ยยยยยย)

อาการเห็นค่ายเหมือนกับเจอสวรรค์ น้ำตาแทบจะไหล ปวดฉี่ก็ปวด ปวดตัวก็ปวด อยากทิ้งตัวลงนอนเหลือเกินนนน .... เมื่อเราถึงแล้วก็รอลูกหาบเราขึ้นมา เราถึงประมาณ 14.00 น. ส่วนลูกหาบตามขึ้นมา 16.00 น. เราใช้เวลากางเต้นท์และนอนพักซักครู่ก่อนจะเดินทางไปผาหมากดูกเพื่อดูพระอาทิตย์ตก ... การเดินทางไปผาหมากดูกมีระยะทางไปกลับรวมๆ 6 กม. ดังนั้นคำนวนเวลาให้ดีนะจ๊ะ เดี๋ยวจะไม่ทันพระอาทิตย์

มาถึงเร็วกว่ากำหนด (เหมือนแรงยังเหลือเลยจ้ำกันมา) งั้นถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานถึงการมาเยือนซะหน่อยแล้วกัน ... หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็ถึงเวลาตีตั๋วหาที่นั่งเหมาะๆรอชมพระอาทิตย์ตกท้าความหนาว

เราไม่ได้เลือกที่นั่งแบบใกล้ชิดติดขอบผา (อันที่จริงอยากไปนะ แต่แฟนผมขู่ฟ่อๆอยู่) แต่ก็ไม่เป็นไร มุมที่เราได้ก็สวยไม่แพ้กัน

พระอาทิตย์เล่นตัวซักพักกว่าจะยอมออกมาจากกลีบเมฆเหมือนจะอายนะ...พอหลุดกลีบเมฆมาได้ก็รีบมุดลงเขาไปอย่างรวดเร็วทันที แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่า "หนีแบบความไวแสง"

รอส่งพระอาทิตย์พร้อมมันเผาที่เย็นจัดด้วยลมหนาวที่พัดประทะเหมือนกลัวเราจะเน่าตายเลยแช่เราไว้ด้วยความเย็น

บ๊ายบาย แสงสุดท้ายของวัน....

เพลา 04.00 น.

เสียงนาฬิกาปลุกที่คุ้นชินดังขึ้นตามเวลาที่ตั้งไว้ เขาว่าจะเดินไปดูพระอาทิตย์ก็ต้องมารวมกันที่ศูนย์อำนวยการภายในเวลา 05.00 น. ตามประสาคนเคยมาก็จะรู้ดีว่าความเย็นคืออุปสรรค์ในการลุกตื่นขึ้นมาเป็นอย่างมาก ดังนั้นผมจึงต้องตั้งไว้ตี4 เพื่อให้มีเวลาให้นาฬิกาได้ปลุกรัวๆจนกว่าจะตื่น (ปลุกทีต้องรีบลุกมาปิด เกรงใจชาวบ้านที่เขานอนอยู่) พวกเราเรามาชุมนุมพร้อมกันแบบนัดหมายไว้ล่วงหน้าจากประกาศเสียงตามเสา (เสากระจายเสียง) แล้วรีบออกเดินทางไปยังผานกแอ่นเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ก่อนเดินทางทำบุญบริจาคโลหิตให้ทากไป 1 รอบ ... หน้าหนาวยังมีอยู่เร๊อะ!!

เมื่อถึงแล้วผมให้แฟนไปนั่งจับจองพื้นที่แล้วตัวผมเดินมาอุดหนุนกาแฟร้อนๆให้เราสองคนเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นต่อสู้กับความเย็นยะเยือกของผานกแอ่น

กว่าลำแสงของพระอาทิตย์จะส่องมาให้ความอบอุ่นกับเรา ตอนนี้เรากำลังจะถูกแช่แข็งตาย อารมณ์คงเหมือนปลาในช่องฟรีซหละมั้งงงง...

ที่ท่านเห็นอยู่นี้ไม่ใช่เสื้อกันหนาวแบบใหม่ แต่เป็นถุงนอนที่แท้ทรูของเรานี่เอง ห่มกันไปแบบนี้แหละ ถ้ายังหนาวอีกไม่รู้จะพูดยังไงละ

เช้านี้ก่อนเดินทางไกล แวะไหว้พระเป็นศิริมงคลก่อนแล้วกัน เย้! ....

การเดินทางบนหลังภูนั้นเป็นอะไรที่นรกแตกเหมือนเช่นก่อน อยากรู้เป็นอย่างไรย้อนกลับไปดูรีวิวก่อนหน้าได้ครับ

สำหรับช่วงฤดูนี้เป็นช่วงฤดูหนาวแบบเต็มตัว เพราะฉนั้น น้ำตกไม่มีให้ชม ถ้ามีก็เหมือนกับก๊อกน้ำปิดไม่สนิท อาจทำให้ผิดหวังสำหรับท่านที่ต้องการบุกเข้าไปดูน้ำตกซึ่งอยู่ห่างหลายกิโล ยังไงก็ลองตัดสินใจก่อนเดินเพื่อวางแผนการใช้แรงดูนะครับ

เดินมาจนขาลากในที่สุดก็แบกร่างมาจนถึงผาหล่มสักเพื่อดูแสงสุดท้ายของวัน สภาพของผมยังพอใช้การได้ แต่แฟนผมนี่ช่วงขาพังไปแล้ว ตัดสินใจกันอยู่นานสองนานว่าจะรอดูพระอาทิตย์ตกดีไหม หรือจะกลับก่อนดี เพราะเมื่อขาเจ็บจะทำความเร็วไม่ได้และกลัวจะถึงดึกเกินไป ... ในที่สุดก็ลงมติเป็นที่เรียบร้อยว่า ... กลับก่อนละกัน แค่ได้มาถึงที่นี่ ก็ถือว่าไม่เสียเที่ยวแล้วววววว...

4 ม.ค. 61

ถึงเวลาลาจากภูอันเป็นที่รักยิ่ง ตื่นเช้ามาด้วยอาการตกใจที่ใบหน้ามีเลือดไหลอย่างต่อเนื่อง...มาทราบทีหลังเมื่อเห็นต้นเหตุของการหลั่งเลือดครั้งนี้...นั่นก็คือ "ทาก..ดูด..เลือดดดด" วันนี้ล่อเข้าที่หน้าเลยโว้ยยยย ไม่เป็นไร ปิดแผลแล้วเดินลงเขาดีกว่า ก่อนลงเขาถ่ายรูปกับป้ายเป็นที่ระลึกหน่อยแล้วกัน


วันนี้ไม่เดียวดาย...

การเดินลงในวันนี้ดูไม่เหงาเพราะมีเพื่อนๆนักเดินทางทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่เดินลงเป็นเพื่อนกัน บ้างก็พรวดลงๆ บ้างก็เซฟแรงแบบกลัวไม่ถึง เช่นเดียวกับเราที่ขาลงนี้ เราไม่แบกเป้กันอีกต่อไป ตัดสินใจฝากลูกหาบเอาลงแล้วกัน (หากใครต้องการใช้บริการลูกหาบเอาของลง ต้องติดต่อก่อนวันที่เราจะลงเขา 1 วัน ก่อนเวลา 10.00 น.)


เดินทางสู่เชียงคาน............

การเดินทางจากภูกระดึงไปเชียงคานไม่ใกล้อย่างที่คิด กว่าจะขับรถไปถึงก็ร่วมๆ 100 กว่าโลได้ (ไม่คิดว่าจะไกลขนาดนี้) ขณะที่ขับเราก็หาพื้นที่กางเต้นท์ของเราไปตลอดทางเพราะไหนๆก็ซื้อเต้นท์มาเองแล้ว นอนแบบประหยัดการเต้นท์ซึบซับบรรยากาศกันหน่อยดีกว่า ...

ไกด์ในการหาที่พักของเราคือผู้ที่เชี่ยวชาญมีประสบการณ์มากความรู้อย่างยิ่งยวด เราขอแนะนำให้คุณรู้จักกับ แท่น แท่น แท่น แท๊นนนน...Google เราหาที่จนกระทั่งพบกับ "ดอนไข่แคมป์อินน์" มันตั้งอยู่ห่างจากตลาดคนเดินไม่มาก **แต่หากไม่มีรถคงเดินมาไม่ไหวเช่นกัน** ดังนั้นมันจึงเป็นตัวเลือกที่ 2 ของผม แต่ในขณะที่เดินทางก็พยายามแวะโน่นนี่นั่นเพื่อสอบถามราคาไปเรื่อย แต่ก็ยังไม่ถูกใจ (คิดในใจว่าไปดูๆก่อนแล้วกัน ไม่พอใจค่อยกลับมาหาที่ใกล้ๆ) จนกระทั่งเดินทางมาจนถึงดอนไข่แคมป์อินน์ซึ่งหากไม่สังเกตดีๆมองไม่เห็นนะขอบอก

เปิดไฟเลี้ยวหักเข้ามาเกิดคำพูดในใจที่ว่า "คุณพระ ที่เนี่ยะหร๊อ จริงดิ"

เมื่อเลี้ยวเข้ามาแล้วจะหักรถกลับก็ไม่ได้เลยทำใจลองแวะมาดูๆหน่อยแล้วกัน ... ที่นี่สภาพภายนอกดูเหมือนไม่มีอะไรเลยจริงๆนะ แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งที่เหนือความคาดหมายมันรอเราอยู่ข้างใน ...

นี่คือค่าบริการครับ มีน้ำอุ่นให้ ไฟฟ้ามีให้ชาร์ต(แล้วแต่บริจาค) ที่มาที่นี่สารภาพว่าส่วนนึงคืออารหารเช้าฟรี! 5555+

เราเดินไปดูวิวที่ไม่คิดว่าจะมีอะไรเนื่องจากไม่รู้เช่นกันว่าเขามีสองชั้น! ชั้นแรกอย่างที่เห็นในภาพด้านบน ชั้นที่สองต้องลงบันไดมาครับ ... บอกเลยว่าในราคาหลัก 100 ต่อคืน เจอวิวเข้าไป คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

ทั้งสามรูปนี้ขอเอาภาพเช้าอีกวันมานะครับเนื่องจากตอนเย็นกางเต้นท์เสร็จก็ไปแรดต่อที่ตลาดเลยไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ดู ถามว่าเด็ดยังไง วิวฝั่งตรงข้ามเป็นประเทศลาว ตอนเช้าตื่นมาเปิดประตูเต้นท์ปุ๊บมีหมอกยามเช้าเข้ามารับปั๊บ(ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละวัน) ช่วงที่ผมไปอากาศกำลังเย็นสบายพาลอยากนั่งๆนอนๆกินบรรยากาศไม่อยากไปไหนจริงๆ หากใครนำรถมาแล้วอยากมาลองหาที่กางเต้นท์ ผมแนะนำว่าอยากให้ลองไปดูที่นี่ก่อน แล้วคุณอาจจะไม่อยากไปหาที่อื่นเลยก็ได้ ไม่ว่าจะวิวอย่างที่กล่าวมา เจ้าของก็เป็นกันเองอย่างสุดๆ ห้องน้ำสะอาด กับราคาแค่นี้ ไปเถอะครับ คุ้มเชื่อผม!

กลับมาที่วันนั้น...

ไปเดินตลาดคนเดินเหมือนลงทางอยู่ในเมืองวินเทจ......

จริงอยู่ที่เมืองสวยน่าเที่ยวบวกกับอากาศเย็นๆยิ่งคลาสสิคเข้าไปใหญ่ แต่แปลกใจที่เสน่ห์และกลิ่นอายมันน้อยลงไปทุกทีๆ

เราเดินช็อปปิ้งหาของกินใต้แสงสีกันอยู่ซักพักก็หมดแรง


กลับเต้นท์ดีกว่าพรุ่งนี้เช้ามาทำบุญกัน...


5 ม.ค. 61

05.00 น. ลุกไปทำบุญกัน..

สิ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาที่นี่คือการไปตัดบาตรพระในตอนเช้า ดังนั้นเพื่อให้ได้ทั้งความสุขและบุญ ต้องไม่ลืมไปทำบุญกันด้วยนะคร้าบบบบ


แถวถนนคนเดินมีบริการข้าวเหนียวและอาหารต่างๆไว้บริการนักท่องเที่ยวซึ่งแม้จะทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยแต่ก็ดีกว่าต้องเตรียมเอง


ทำบุญกันเสร็จก็เดินทางกลับเต้นท์ไปเตรียมเที่ยวกันเป็นวันสุดท้ายเนื่องจากเงินหมด! หมดจริงๆ หมดแบบกระเป๋าแบนตะโกนไปได้ยินเสียงแอคโค่!


อำลาดอนไข่แคมป์อินน์ด้วยอาหารมื้อเช้าที่ทางที่พักจัดไว้ให้แล้วเก็บของไปลุยต่อจ้าาา..

ไอ้ครั้นจะไปเที่ยวที่เขาฮิตๆกันมันก็น่าเบื่อเหมือนไปตามรอยคนเยอะๆ เลยปรึกษาเจ้าของที่พัก เขาแนะนำหลายที่มากกกกกกกก แต่ 1 ที่ที่เราสามารถไปได้ด้วยระยะทางที่ขับรถไปไหวนั่นก็คือองค์พระใหญ่นั่นเอง


ที่นี่ค่อนข้างจะเงียบสงบ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ (ตอนที่ไป) แต่ดูแล้วน่าจะเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมากันอยู่ประจำเนื่องจากมีร้านอาหารบริการกันอยู่เยอะพอสมควร ทางขึ้นมาที่นี่จะโหดๆนิดๆ ชันมากถึงมากที่สุดแต่แค่ช่วงสั้นๆ ดังนั้นดูสภาพรถกันก่อนขึ้นมาก็ดีครับ

ไหว้พระกันจนสบายใจแล้วก็ถึงเวลาต้องจากเมืองเชียงคานอันเป็นที่รัก จะได้มาใหม่อีกทีเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าขอบคุณสำหรับการเดินทางดีๆที่ จ.เลย มีให้เราสองคน บ๊ายบาย



ติดตามทาง FB Fanpage ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/mustachejourney/

Email: [email protected]


ความคิดเห็น