เขาว่ากันว่า "คนไปเที่ยวคนเดียว ไม่หนีรัก, หนีปัญหาความวุ่นวาย, ก็หนีแม่" .... บังเอิญผมเป็นพิเศษใส่ใข่เลยขอรวบทีเดียวทั้งหมด!!! .... (กลางตุลา ปลายฝนต้นหนาว ณ ภูกระดึง)

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในวันที่เรียกได้ว่า Hang มากมายหลังจากไม่ได้เอาแอลกอฮอลเข้าคอมานาน ลืมตามาด้วยความสลึมสลือแล้วควานหาโทรศัพท์ด้วยความเคยชินก่อนจะเปิดมาเช็คว่ามีใครติดต่อมาบ้าง... "เงียบกร๊บ"...ก็ไม่แปลกอะไร ผมเลือกที่จะอยู่คนเดียวเองนี่ งั้นเปลี่ยนไปเช็คข่าวสารบ้างดีกว่า นิ้วกดปุ่ม Facebook พร้อมยกน้ำขวดขึ้นกระดกเพื่อดับกระหาย ... พรวดดดด!!! ... น้ำแทบพุ่งออกจากปากเมื่อเห็นรุ่นน้องของผมไปเช็คอินอยู่ที่ภูกระดึง เคยคุยกับมันว่าอยากไป มันชิ่งไปก่อนซะละ!! บักปอบบบบ!!! เอาไงดีวะ? ไอ้อยากไปก็อยากไป แต่ถ้าไปรอบนี้นี่ตะลุยเดี่ยวแบบฉายแสงเลยนะ ผมนั่งวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการไป จัดแจงร่างกายลุกขึ้นมาเพื่อดูการจองเต้นท์บนภูกระดึง ... เวปล่ม ... โทรไปสอบถามเจ้าหน้าที่บอกว่าตอนนี้ยังพอไปได้คนไม่เยอะ แต่ถ้าหลังจากนี้ช่วงเสาร์-อาทิตย์ อย่าคิดมาเลย เพราะล้น ... ผมวางสายก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอีกรอบ ... เอาไงดีวะ?! ... ผมถามตัวเอง อันที่จริงแผลในใจมันไม่ได้เหมือนแผลพุพองที่จะทาโทนาฟแล้วหาย กลิ่นเลือดนี่ยังสดๆอยู่เลย "แผลจริงทายารักษาก็หายได้ แต่แผลใจใช้เวลาล้วนๆ" แต่ด้วยความเป็นผู้ชายและเลือกทางนี้เอง มีสิทธิ์บ่นไหม??? ... ก็ไม่ ... เลยมาตรองดูตามตำราที่เขาว่ากันว่า หากมีแผลที่ใจ ไม่เซไปภูเขาก็เอาตัวไปลงน้ำทะเล ซึ่งแน่นอน ตัวเลือกผมมาที่ภูกระดึงแบบไม่ต้องสงสัย เลยตัดสินใจ ... เอาวะ!! เป็นไงเป็นกัน ไปตายเอาดาบหน้า เฮ่!!! ...

ผมแพคกระเป๋าพร้อมออกเดินทางไป บขส.2 นครราชสีมา เพื่อไปขึ้นรถรอบเที่ยงคืนเป๊ะ ... แต่ด้วยการคำนวนที่ผิดพลาดเล็กน้อยเลยทำให้ผมต้องนั่งรอ 2 ชม. ยังไม่ถึงก็เอาซะแล้ว แต่โชคของผมยังดีที่ได้นั่งสนทนาเป็นหลวงตาและพระอาจารย์ที่จะเดินทางไป จ.เลย เช่นกัน สนทนากันไป 2 ชม. เต็มๆ ก่อนขึ้นรถท่านให้พระและของขลังมาเรียกว่าฟูลออฟชั่นตั้งแต่ค้าขายยันแคล้วคลาดปลอดภัย เพียงเพราะท่านบอกว่าถูกชะตาให้พกไปติดตัวเพื่อปกป้องดูแล ...สาธุ... เอาหละเครื่องรถสตาร์ทละ ไปกันเล้ยยยย


ผมนั่งแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นไปตลอดทาง ไอ้ครั้นจะหลับสนิทปล่อยหายไปเลยก็เกรงว่าพี่เขาจะลืมเรียกแล้วพาผมไปไกลกว่าที่ต้องการ ซึ่งการเดินทางรอบนี้เราจะไปลงที่ ผานกเค้า ตรงข้ามกับร้าน เจ้กิม เปิดโทรศัพท์เช็ค GPS ทุกครั้งที่ตื่นเพื่อดูว่าเลยรึเปล่าหลังจากนั้นต้องปิดเพื่อเซฟแบตโทรศัพท์ไว้ จนในที่สุด ผมก็สะดุ้งตื่นครั้งสุดท้าย รถทัวจอดพอดี เมื่อดูแล้วมั่นใจเลยว่าใช่เพราะคุ้นตามาก ผมก็คว้ากระเป๋าโดดลงจากรถทันที นี่ไงเจ้กิมในตำนาน

ขณะนี้เวลา 04.00 น. "ผมมาถึงเร็วเกินไป" อาหารยังทำไม่เสร็จ ... ผมเดินเข้าไปในร้านด้วยใบหน้าแบบซอมบี้มากกกก เพื่อไปหาเครื่องดื่มมายัดลงคอเพื่อดับความกระหายแต่เผอิญว่าพอสายตาหันไปเจอของกิน อุต๊ะ หิวเลย ... ไม่แปลกหรอกที่ผมจะหิว ก่อนออกมายังไม่ได้ยัดอะไรเติมลงไปให้กระเพราะมีของย่อยเลย งั้นระหว่างรอ จัดมาม่าของประทังชีวิตซะหน่อยแล้วกัน

เมื่ออิ่มแล้วก็ได้เวลาหาที่ชาร์ตแบตหละครับ ซึ่งที่นี่มีบริการรับชาร์ตแบต 20 บาท ผมจึงยังไม่ปักใจเสียเงินชาร์ตที่นี่ ผมเดินไปดูรถแล้วสังเกตเห็นป้อมตำรวจ ... สวรรค์หละ ... แน่นอนครับ ที่นี่มีปลั๊กและน้ำดื่มฟรีไว้ให้บริการ ผมไม่รอช้าจับเสียบทันที!!! ... เสียบเสร็จนั่งรอให้ฟินๆซักครู่ได้ยินเสียงเขาเอาหารมาตั้งรอบริการแล้ว จะรออะไรหละ มาม่าไม่อยู่หรอก เราต้องเดินอีกหลายกิโล ยัดตุนไว้ก่อนท่าจะดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยในชีวิต มิเช่นนั้นอาจจะเป็นลมได้

รสชาติอาหารถือว่าใช้ได้ ไม่ทำให้รู้สึกเสียดายเงิน 35 บาท ผมซัดด้วยความไวแสงเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไป เมื่อกระซวกลงท้องเสร็จแล้ว ผมเห็นคนเดินขึ้นสองแถวแว๊บๆ ฮั่นแหนะ จะรีบไปไหน ผมไปด้วยยยยย


นี่คือรถที่จะพาเราไปยังภูกระดึง หาไม่ยากเลยครับ จอดเรียงกันเป็นแถวข้างร้านเจ้กิม ราคาหากเต็ม10คน จะตกอยู่คนละ 30 บาท แต่ถ้าหากใจร้อนทนไม่ไหวหรือขี้เกียจรอ สามารถตกลงกันเพื่อหารให้ครับ 300 ได้ครับ ซึ่งรถที่ผมนั่ง มีผู้ร่วมเดินทางกันทั้งหมด 8 คนแล้ว และเราขี้เกียจรอพวกที่เหลือ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจหารกันแล้วเดินทางไปสู่ภูกระดึง เย้!!!

ระยะทางจากเจ้กิมมาภูกระดึงไม่ได้ใกล้อย่างที่คิดไว้ กว่าจะมาถึงฝ่าหมอก ความเย็น และท่อไอเสียรถมาไม่น้อย แต่ในที่สุดเราก็ถึง อุทยานแห่งชาติภูกระดึง


ที่นี่จะเปิดทำการตอนเวลา 07.00 น.นะครับ เป็นเวลาเข้างานของ จนท. ซึ่งหากคุณมาก่อนเวลาคือความได้เปรียบในการจองคิวเพื่อซื้อบัตรผ่านเดินขึ้นอุทยานนั่นเอง เราจะเสียค่าเดินขึ้นคนละ 40 บาท และหากไม่มีเต้นท์มา (ซึ่งผมไม่มี) ที่นี่มีบริการ 225/คืน ซึ่งสามารถอยู่ได้ 3 คน ในการจ่ายค่าเต้นท์และอุปกรณ์การนอนต่างๆ เขาจะให้ขึ้นไปจ่ายที่จุดบริการนักท่องเที่ยวซึ่งอยู่ด้านบน แบบนี้ไปถึงก่อนมีสิทธิ์จองก่อนแน่นวลลลลล ...


(สภาพความเวิ้งว้างตอนก่อน 7.00 น.)

เมื่อเวลามาถึง ผมเป็นผู้เสนอหน้าอยู่คนแรก ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะผ่าอุปสรรคไปหาธรรมชาติที่ใฝ่ฝันให้ได้ ผมจึงรีบซื้อตั๋วแล้วเดินไปอย่างรวดเร็วและทิ้งทุกความทุกข์ไว้เบื้องหลัง ... ต่อจากนี้ขอเติมความสุขให้ตัวเองหน่อยนะ ...


ก่อนขึ้นเขามีภาพแผนที่ข่มขวัญก่อนซะด้วย ... หึหึ เคยมาแล้วของแค่นี้ หมูๆ ... เสียงในสมองดังกรุ๊มกริ่มทำให้แอบยิ้มเงียบๆเหมือนคนโรคจิต 555+


ก่อนขึ้นมีป้ายปลุกใจเหมือนเป็นการตอกย้ำว่า "มาถึงแล้วนะ ห้ามถอยแล้วนะ สู้ลูกเดียว" ในใจของผมยังคงชิลแบบสุดๆเพราะด้วยความประมาทของผมเอง ... ผมลืมไปว่า ครั้งที่แล้วที่มาก็เกือบ 10 ปีเข้าไปแล้ว ตอนนี้ร่างกายไม่ได้ฟิตปั๋งดังเดิม ... การเดินขึ้นภูกระดึงจะแบ่งความโหดเป็นสองที่หลัก ได้แก่

  1. ซำแฮก - ชื่อก็บอกแล้วว่าแฮกแน่นอน ระยะการเดินไปซำหรือจุดพักนี้ไม่ง่าย ด้วยความที่เป็นเนินสูงตลอดและมีความชันเป็นตัวตัดกำลัง ดังนั้น หากไม่วางแผนเรื่องการประหยัดพลังงานแล้วไซร้ ได้หอบแฮกเกือบตายในซำนี้แน่นอน
  2. หลังซำสุดท้าย - ลูกหาบเรียกว่าช่องหินแคบ คุณต้องใช้ทักษะในการปีนป่ายเพื่อข้ามกองหินที่วางสลับสับเปลี่ยนตลอดทาง ผนวกกับความชันและลื่นของหินบางก้อน ทำให้แรงของคุณต้องถูกเผาไปตรงนี้ก็ไม่น้อย ไหนจะบรรไดแดงมหาโหดที่รอต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อพิสูจน์กล้ามขอ บอกเลยว่า มีปวดแน่นอน!

นี่คือทางขึ้นสู่ภูกระดึง ... ระหว่างทางผมแทบไม่ได้ถ่ายรูป มัวยุ่งอยู่กับการเอาชีวิตรอด ผมไม่รู้จริงๆว่าจะอธิบายให้เข้าถึงความเหนื่อยได้สมจริงๆขนาดไหน เอาเป็นว่าซักครั้งหนึ่ง คุณต้องไปเอง

ที่นี่มีบริการแบกสัมภาระในนามลูกหาบอย่างที่เรารู้จัก ตกกิโลละ 30 บาท ซึ่งรอบนี้ผมไม่ได้ใช้บริการเพราะอย่างเสพความเป็น bag packer แบบเต็มที่ ซึ่งหากใครมีคนแก่ไปด้วยแล้วขึ้นไม่ไหว ที่นี่มีบริการหาบคนขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ราคาก็แพงสมกับน้ำหนักตัวเลยทีเดียว

ในการเดินทาง ระหว่างทางหากคุณไม่รีบนักหรือไม่เหนื่อยจนเกินไป ลองสังเกตรอบๆตัวคุณดู จะเห็นธรรมชาติที่หาไม่ได้จากในเมือง นอกจากความเหนื่อยแล้ว นี่แหละที่ภูกระดึงมอบให้แก่คุณ ... ความสวยงามของธรรมชาติ ...

มดที่นี่ตัวใหญ่เช่นเดียวกับแมลงชนิดอื่นๆ ดังนั้นอย่าไปโดนมันกัดจะดีกว่า แนะนำว่าก่อนนั่งให้สังเกตพื้นก่อนดีๆ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตูดพอง เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

นักท่องเที่ยวที่เดินแซงกันไปแซงกันมาที่นี่มักไม่ค่อยแซงพ้นกันเท่าไหร่ เช่นผมนั่งพักแล้วเห็นคนเดินแซงไป เมื่อผมเดินต่อจะเจอพวกเขานั่งพักอยู่ สลับกันไปๆมาๆแบบนี้ เพราะถ้าไม่พักเลย ผมแนะนำให้ไปสมัครเป็นคนเหล็กเถ๊อะ!!!

นอกจากวิวสวยๆจากธรรมชาติ มิตรภาพที่ดีเกิดขึ้นได้ที่นี่เช่นกัน ผมเดินไปเจอ 2 หนุ่มจาก กทม. มาเที่ยวกันแบบ 2 ต่อ 2 แต่มันไม่ใช่แฟนกันนะ มันโดนเพื่อนเทมา 55+ คุยไปคุยมาถูกคอกัน เลยตัดสินใจเดินร่วมทางกันไปซะเลย 3 หัวดีกว่าหัวเดียว


ถึงแล้วซำแฮก ... หอบแฮกสมชื่อ ต้องหาเครื่องดื่มช่วยทดทนน้ำที่ร่างกายขาดหายไปซะหน่อย เมื่อร่างกายร่วมกลับมามีกำลัง ขาทั้งสองข้างก็พร้อมแบกร่างกายและกระเป๋าเดินทางขึ้นไปต่อ ลุย!!!

เดินมาถึงซำที่สองบอกเลยตอนนี้ร่างกายเริ่มไม่โอเคอย่างรุนแรง ความเหนื่อยล้าเริ่มเข้ามาแทนที่ความฟิตแบบเต็มๆ กระเป๋าเดินทางและกระเป๋ากล้องเริ่มหนักขึ้นตามระยะทาง ไม่เชื่อดูสภาพ

อยากทำหน้าให้ดีกว่านี้แต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้ววววววว เส้นเลือดนี้แข่งกันปูดเลยทีเดียว คงจะต้องพักอีกเพื่อเซฟพลังงานเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ

หายเหนื่อยได้ซักแปป เราสามคนตัดสินใจเดินต่อเพื่อล่าความฝัน 2 หนุ่มกับ 1 เกือบหนุ่ม เลยเดินแบกร่างกายไปอย่างต่อเนื่อง โดยตกลงกันว่า ไว้นั่งแวะพักระหว่างทางเอาหากไม่ไหวจริงๆ ทริคเล็กๆในการเดินทางขึ้นภูกระดึงคือ เราจะไม่เดินขึ้นที่เป็นบรรไดเด็ดขาดหากไม่จำเป็น เพราะการก้าวขึ้นเนินเดินที่เป็นทางลาด จะง่ายกว่าการแบกร่างกายขึ้นบรรได ไม่เชื่อลองดู ...


เซลฟี่กันซะหน่อยขณะพักเหนื่อย ...

แต่ละซำจะมีวิวสวยๆไว้บริการเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ถือเป็นการปลอบใจไปในตัว

หากคุณเป็นผู้ที่อยู่รอดมาถึงซำสุดท้าย ... ยินดีด้วย ... คุณกำลังเข้าสู่ด่านหินแคบที่ผมยกให้เป็นอีกด่านมรณะ ด้วยเส้นทางที่แคบและยากแก่การเดินทางขึ้น-ลง ผมไม่มีโอกาสถ่ายภาพมาให้ดูเพราะกำลังพยายามเอาชีวิตรอดอยู่ครับ 555+

แต่อันนี้อดไม่ได้จริงๆ! ดูจากในรูปอาจไม่เท่าไหร่ แต่ของจริงบอกเลย ใครกลัวความสูงมีขาสั่นแน่นอน ทั้งยังเป็นตัวกินแรงชั้นดี แต่ที่สำคัญ มันไม่จบแค่นี้ มันยังมีบรรไดอีกหลายจุดรอต้อนรับนักท่องเที่ยว ... โปรดเตรียมใจปวดขาได้เลย 55+

เมื่อเอาชีวิตรอดมาได้ถึงหลังแป สภาพของผมคือทิ้งทุกอย่างลงพื้นรวมทั้งร่างกายนี้ด้วย แทบจะลงไปกองกลิ้งอยู่กับดิน มันเป็นอะไรที่สุดๆจริงๆ ไม่เคยเหนื่อยบ้าอะไรขนาดนั้นมาก่อน ระยะทางทั้งสิ้นรวมอยู่ที่ประมาณ 5.5 กิโลเมตรแบบขึ้นเขา! มันไม่เหมือนกับการเดินบนภาคพื้น ซึ่งสาวๆบางคนอาจจะเดินช็อบปิ้งได้หลายกิโลต่อวัน

ข้างบนนี้มีแผนที่และจุดถ่ายภาพเพื่อบริการเป็นกำลังใจก่อนต้องเดินทางต่ออีกประมาณ 3 กิโลเมตรเพื่อไปให้ถึงค่าย

เมื่อมาถึงจุดนี้ ไม่มีทางถอยกลับอย่างเต็มตัว มีแต่ทนเดินต่อไปอีก 3 กม. เพื่อเข้าที่พัก ซึ่งขาเริ่มไม่มีแรงแล้ว แต่ทำไงได้หละ มาแล้วต้องเอาให้สุด! ผมกับน้องๆเดินแบบวิญญาณหลุดไปเรื่อยๆ ฝ่าแสงแดด ลมเย็น และสายฝนมาตลอดทาง เรียกได้ว่าเป็นแบบทดสอบร่างกายขนานแท้ แต่เสียงใจ ตอนนี้ไม่มีอะไรหยุดเราจากการพุ่งหาเต้นท์ได้หรอกเฟ้ย!!!

และในที่สุด เราก็แบกสังขารมาถึงจนได้ "ค่ายพักแรม" จังหวะนี้ความเหนื่อยเริ่มหายเป็นปลิดทิ้ง อาจเพราะดีใจจนไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมรีบเข้าไปจองเต้นท์โดยทันที

ที่นี่จะเป็นศูนย์รวมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกระจายเสียง เรียกรวมพล จ่ายเงินค่าเต้นท์และเครื่องนอน รวมไปถึงบริการชาร์ตแบตต่างๆ เรียกว่า ครบครันที่สุดในที่นี้ ... เมื่อเราได้ใบเสร็จแล้ว เราจะต้องเดินไปที่จุดจำหน่ายเต้นท์ด้านหลัง ซึ่งใช้บัตรประชาชนในการมัดจำ โดยจะสามารถไปเลือกเต้นท์ที่กางไว้แล้วซึ่งเป็นลายทหารได้เลยครับ อ่อลืมบอก ... ค่าอุปกรณ์การนอน 60 บาท รวมหมอน ถุงนอน เบาะรองนอน ครบ! ไม่จำเป็นจริงๆไม่ต้องแบกมาหรอก มันหนัก!!!

ผมกับน้องๆเราอยู่เต้นท์ข้างๆกัน เพื่อง่ายต่อการตามตัวและเดินทาง เราวางแผนอาบน้ำและนอนพักก่อนจะเดินทางไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก ซึ่งต่อให้น้ำจะเย็นแค่ไหนเราก็ไม่หวั่น เพราะเปียกมาจากเหงื่อตลอดทาง ไม่อาบไม่ไหวจริงๆ

นอนไปได้1งีบผมตื่นมาเรียกน้องๆเพื่อเตรียมลุยกันต่อ วันนี้เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกเพื่อพักเหนื่อยให้ได้!

เดินจากค่ายไปอีกประมาณ 2 กิโล ซึ่งรหว่างทางเป็นป่าช่วยสร้างบรรยากาศเหมือนจูราสสิคปาร์คได้อย่างดีเยี่ยม ต้นไม้นอกจากสน ก็จะมีเฟิร์นนี่แหละ ที่ขึ้นพรึบพรับเยอะแยะไปหมด

นอกจากป่าแล้วก็มีป่า และ ป่า ให้เราได้มองตลอดทางสุดลูกหูลูกตา ซึ่งนับว่าเป็นอะไรที่ดีมาก ดีกว่าเจอช้างในบริเวณนี้ 55+

ในที่สุดเราก็มาถึงผาหมากดูกครับ นั่งรอดูพระอาทิตย์ตกอย่างใจเย็น ทอดน่องไปเรื่อยๆเพื่อให้ความเหนื่อยล้าหายไป และมันก็หายไปจริงๆ ทันทีที่แสงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ลมเย็นประทะเข้าหน้า อากาศบริสุทธิ์พาให้ร่างกายและจิตใตพักผ่อนได้เต็มที่ ... ขอโทษนะที่เราไม่ได้มาด้วยกันตามสัญญา ...

เมื่อพระอาทิตย์ลับของฟ้าไป ท้องฟ้าก็มืดลง ดวงดาวเข้ามาแทนที่ก้อนเมฆ มันเยอะละลานตาไปหมดแต่ผมถ่ายไม่ได้ น่าเสียดายมากกกกก เอาเป็นว่าต้องไปดูเอง เชื่อสิไม่ผิดหวัง ... อากาศที่นี้เย็นลงแต่ไม่ถึงกับหนาว เพราะเดินอย่างต่อเนื่องร่างกายนี่ร้อนมากกกก เราเดินกันไปเรื่อยๆ ไปเจอะ แมงมุมคล้ายเทอรันทูร่าเลย!!! แค่ไซด์เล็กกว่าประมาณ 1 ฝ่ามือ พระเจ้า กูช็อค!!! จังหวะนั้นไม่มีแล้วความแมน มันวิ่งผ่านขาผมไประยะประชิดมาก ขนนี่สะท้อนแสงไฟฉายเป็นสีน้ำตาลอ่อน ผมกับน้องจวกฝีเท้าเดินหนีอย่างไวเลยจ้าาาาา

ถึงเต้นท์ประมาณ 20.00 น. ต่างคนต่างลาตายตัวใครตัวมัน ปล.ก่อนนอนเช็คทากทุกครั้งนะครับ ไม่งั้นได้มีทากดูดเลือดนอนเป็นเพื่อนแน่นอน!

เสียงปลุก "อีก 15 นาทีนักท่องเที่ยวที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเตรียมตัวพร้อมกันที่หน้าศูนย์บริการนะครับ" เจ้าหน้าที่ตะโกนบอก ผมตะโกนปลุกน้องๆให้ฟื้นขึ้นมาจากการซ้อมตาย พวกเราเดินแบบสลึมสลือเหมือนวิญญาณยังไม่เข้าร่างเพื่อไปรวมตัวกัน ขบวนออกเดินทางตอน ตี 5 เป๊ะ! นทท. เดินเรียงแถวกันไปตามทางเพื่อไปสัมผัสไออุ่นและความสวยงามกับแสงแรกของวัน

ลมแรงมาก พัดใส่หลังเราเรื่อยๆจนหลังเริ่มชา แนะนำว่าให้หาเสื้อหนาๆใส่ไปหน่อย เพราะอากาศค่อนข้างจะโหดร้ายสำหรับคนที่ไม่ชินอากาศเย็น อยู่บนนี้คุณจะสามารถเห็นไอหมอกที่ถูกลมพัดได้อย่างง่ายดาย รวมถึงแสงไฟบนพื้นถนนที่ส่องสว่างอยู่ไกลๆ เป็นบรรยากาศที่โคตรจะฟินเวอร์

เรานั่งรอแสงแรกของวันอย่างใจจดใจจอ ผานกแอ่นไม่เคยทำให้คุณผิดหวังจริงๆ

เมื่อชื่นชมกับพระอาทิตย์เสร็จแล้ว ได้เวลาเดินกลับหละจ้าาาา อีกประมาณ 2กิโล จัดไป ระหว่างเดินทางกลับ วิวจากธรรมชาติสวยๆมีให้ชมตลอดทางกลับค่าย ไปดูกันเล้ยยย

ก่อนแยกย้ายไปนอนต่อเพื่อรอเวลาเดินทาง เราไปหาอะไรยัดลงท้องกันก่อน ปล.น้ำเปล่าที่นี่ขวดขนาด 1.5 ลิตร ราคา 50 บาท เพราะฉนั้น วางแผนเรื่องการใช้เงินดีๆนะจ๊ะ แต่อยากลำบากแบกขึ้นมาเองเลย เดี๋ยวตาย!

ระหว่างกินข้าวมีพี่กวางแวะมาทักทาย เชื่องมากกกก เชื่องขนาดดีดนิ้วเรียกก็เดินมาหาอ่ะ!

เมื่อกินเสร็จแยกย้ายกันเข้าเต้นท์เพื่อเก็บแรงอีกสักรอบ วันนี้เราจะเดินทางกันแบบโหดที่สุดเท่าที่เคยเดินมา นั่งคือการเดินทางไปผาหล่มสัก สิริรวมระยะทางไปกลับกว่า 30 กิโลเมตร!!!

ผมสะดุ้งตื่นเพราะแสงอาทิตย์ที่กำลังเผาเต้นท์เวลา 9.00 น. ไม่พ้นตะโดนเรียกน้องๆให้ตื่นก่อนเวลานัด ถือสะว่ารีบเดินทางก่อนเส้นทางลัดจะห้ามเข้า เนื่องจากเวลา 15.00 น. เป็นเวลาที่ช้างป่าจะออกมาอาจเกิดอันตรายได้ ช้างป่านะครับไม่ใช่ลูกแมว ผมคนนึงไม่เสี่ยงเด็ดขาด!

เซลฟี่ความโทรมซักรูปก่อนเดินทาง....

เราไปยืนมุงกันที่แผนที่ตอนประมาณเกือบ 10.00 น. เพื่อวางแผนการเดินทาง อยากไปดูน้ำตกด้วย อุตส่ามาปลายฝนเพื่อให้มีน้ำตกให้เราได้ดู พลาดไม่ได้เป็นอันขาด!!


ระหว่างทางเป็นอะไรที่คุ้นตาที่สุด เพราะมันเป็นป่า หันไปทางไหนก็เป็นต้นไม้ ห้ามเดินออกไปจากทางเดินเด็ดขาด เพราะถ้าไม่หลง ก็อาจเจอสัตว์ป่าหรือสัตว์มีพิษที่พร้อมจะโจมตีเราแบบไม่ลังเลหากไปรุกรานถื่นของมัน

ที่แรกที่เราจะไปคือน้ำตกวังกวาง ไปดูความสวยงามของที่นี่เลยครับ ปล. ภาพไม่อาจทำให้เห็นความสวยงามเหมือนตาของเรา ดังนั้น ไปเยือนสักครั้งแล้วจะรู้ว่าคุ้ม!!!


น้ำนี่เย็นเจี๊ยบบบบบบบบบบบบบบบบบบ...ไม่กลัวไข้ก็ลงไปเล่นได้เลยจ้า

หมดเวลาชื่นชมจุดนี้ รีบไปเก็บจุดอื่นต่อ เดี๋ยวไม่ทันเวลา

จุดต่อไปนั่นก็คือ ลานพระพุทธเมตตา เป็นสถานที่ที่ ร.9 เคยเสด็จมากสักการะพระพุทธเมตตา สวยงามมากกกกกก




นี่คือ ... หมานักกล้าม! ... เดินไปไหนก็เจอมัน แม้แต่ผาหล่มสัก เรียกได้ว่าพี่แกไปทุกที่รอบภู แข็งแรงมากกกกกก

เอาหละ ... ไหว้พระจนสุขใจพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว ไปกันต่อครับบบบ!!

จังหวะนี้อุปกรณ์ที่เรียกว่าลำโพงเริ่มมีบทบาท เพราะเมื่อเปิดเพลงมันทำให้ช่วยลืมความเหนื่อยไปได้บ้าง ... เรามาต่อกันที่น้ำตกถ้ำใหญ่ครับ

เอกลักษณ์ของน้ำตกนี้คือหินที่ยื่นออกมาเหมือนผาและไม้ค้ำยันครับ ไม่รู้จะอธิบายยังไง ไปดูเองดีกว่า


ภาพอาจจะไม่ค่อยชัด แต่ไม่มีปัญญาแบกขาตั้งไปด้วยจริงๆ ... ชื่นชมบรรยากาศเสร็จ เอ้าไปต่อสิครับรออะไร

สิ่งที่เราจะได้เห็นตลอดทางก็คือลูกสนครับ เยอะแยะอย่างกับอยู่แถวทะเล

ที่น่าเสียดายใบเมเปิ้ลยังเขียวอยู่ เพราะฉนั้นเราจะไม่เห็นมันตกลงมาบนพื้นเป็นสีส้มให้ได้ถ่ายรูปกัน ได้อย่างเสียงอย่างหละครับ

น้ำเป็นอีกสิ่งที่ห้ามลืมเอาไปเด็ดขาด และควรจะบริหารการดื่มให้ดี เพราะระหว่างทางไม่มีให้ซื้อ จะมีก็คือหลายทางนั่นคือผาหล่มสักเลยทีเดียว เพราะฉนั้น อย่ากินทิ้งกินขว้างเป็นอันขาด ใช้การจิบเอาครับ

เดินมะสักพักจะถึงจุดพัก ชิลและแช๊ะ นั่นก็คือ สระอโนดาตนั่นเองครับ


อีกแค่ 5.5 กม. สู้โว้ย!!!


ย้ำกันอีกครั้ง เส้นทางนี้ต้องรีบมานะครับ เกิน 15.00 น. อันตรายมาก ฟังจาก จนท.เล่า ก็สังเวยกับช้างป่ากันไปหลายศพแล้ว

เหมือนในหนังป่ะหละ!!!

เดินไปเรื่อยๆจะถึงน้ำตกถ้ำสอเหนือครับมาถึงที่นี่ผมต้องถอดรองเท้าเอาเท้าแช่น้ำแล้ว เนื่องจากอาการปวดฝ่าเท้าด้านหน้าเริ่มมาทักทาย เป็นอาการที่ทำให้การเดินทรมานมากขึ้นและกินแรงเพิ่มมากขึ้นอีก 20% เลยทีเดียว เพราะต้องเปลี่ยนจากการก้าวขาโดยใช้ฝ่าเตียนนนเป็นส้วนเตียนนนแทน

ที่นี่ทำให้ผมคิดถึงหนังเรื่อง The Lord Of The Ring ยังไงไม่รู้ ได้ฟิลมากก ทำให้เหมือนกับเป็น โฟรโด้ที่เอาแหวนมาทิ้ง ผิดกันที่ผม เอาความเศร้ามาทิ้งแค่นั้นเอง


สิ่งที่ นทท. ควรทำคือการรักษาป่า เพราะฉนั้น แบบนี้ไม่เอานะครับ

รอบนี้คงต้องพักนานหน่อย เพราะเท้าเหมือนจะไปไม่ไหวจริงๆ อารมณ์แบบ กลับตัวก็ไม่ได้...ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง



ระยะทางอีกแค่ 3.2 กม. มันช่างดูยาวไกลมากจริงๆ

ดูสิ วิวสวยนะ!!! (เมื่ออยากมีรูปตัวเองในรีวิว)

เมื่อเราพักกันจนเริ่มดีขึ้นมา(หน่อย)แล้ว เราก็กัดฟันเดินกันต่อจนมาถึง "ผาหล่มสัก" ณ จุดๆนี้บอกเลยเพลง We Are The Champion ดังก้องหูทันที รอดตายแล้วโว้ยยยยยยยยย!!!!



ที่นี่มีเปลไว้บริการฟรีๆด้วยนะเออออออ....มาก่อนได้ก่อนครับ

ทำตามคำเตือนกันด้วยนะครับ

มุมมหาชน มาที่นี่ ตรงนี้แหละต้องไปลองยืนดูจะรู้ว่าหวิวมากกกกกกกก

โชคร้ายที่วันนี้เราไม่มีดวง เนื่องจากฝนมาเยี่ยม ดังนั้นหมดสิทธ์ดูพระอาทิตย์ตกครับ



และอย่างที่บอก ชื่นชมธรรมชาติยังไม่พออิ่มดี ฝนก็เล่นงานนักท่องเที่ยวกระเจิงหาที่หลบฝนกันเป็นแถบ พวกเราก็ได้แต่รอและหวังว่าเมื่อตกเสร็จอาจจะได้ดูแสงพระอาทิตย์ซักนิดก็ยังดี

เอาหละ แค่นี้ก็แค่นี้ กลับกันก่อนดีกว่า เนื่องจากหมดสิทธิ์ได้เห็นพระอาทิตย์ตกแล้วอย่างแน่นอนแต่ฝนที่ตกลงมาอาจทำให้การเดินทางของเราไปถึงช้าลงอีกเพราะพื้นแฉะ รอบนี้เดินอีกเส้นทางเป็นเส้นทางที่เลาะริมผา ดังนั้นหากไม่มีไฟฉาย รอเกาะกลุ่มคนมีไฟเลยครับ มืดมาก มืดขนาดเดินตกเหวได้เลย อย่าเสี่ยง

ผมฝืนร่างกายมาจนถึงเต้นท์ได้โดยปลอดภัย แต่ปวดฝ่าเท้าบรรลัยไส้เลย! เลยขอนอนพักผ่อนเผื่อว่าพรุ่งนี้จะดีขึ้นเพราะต้องเดินทางกลับแล้ว

คืนนี้มีแค่แสงไฟอยู่เป็นเพื่อนเหมือนเช่นเคย

...............

ผมตื่นมาพร้อมกับเสียงปลุก นทท.ให้ไปดูพระอาทิตย์ พระเจ้า!!! พอตื่นมาปุ๊บหลับไม่ลงสิทีนี้ เวรกรรม ... ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมากับด้วยร่างกายหนาวสั่นซักพัก จึงตัดสินใจลุกขึ้นมาเตรียมข้าวของ เราจะออกจากที่นี่กัน ...

การเดินทางกลับในยามเช้า นอกจากจะได้สูดอากาศพร้อมไอหมอกแล้ว ยังได้เจอกับธรรมชาติที่ถูกระบายสีด้วยหมอกจางๆ ได้ฟิลไปอีกแบบนะ ^^

ได้เวลาเซลฟี่รูปสุดท้ายก่อนกระเผกลงภูแล้วววววว

ก่อนลงภูหมวกมันก็จำเป็นอยู่หรอกครับ แต่ระหว่างทางเดินลงไป ถอดอะไรได้นี่อยากถอดออกให้หมดเลย ร้อนและเหนื่อยมาก การเดินลงภูจะเหนื่อยแตกต่างกับการเดินขึ้นตรงที่ การเดินขึ้นเราจะปวดต้นขาเพราะใช้ในการค้ำตัวเราขึ้นไป แต่ตอนลง น่องกับสะโพงจะทำงานในการพยุงตัวเพื่อไม่ให้หน้าทิ่มลงไปด้านล่าง แต่สำหรับผม งานยากที่สุดคือการที่ฝ่าเท้าซ้ายใช้การไม่ได้ ทิ้งน้ำหนักปุ๊บเตรียมร้องอ๊ากกกก ไอ้ทันทีดังนั้น ส้วนเตียนจึงต้องทำงานแทนและผิดสรีระในการเดินอย่างรุนแรง หากให้ลงมาตอนเช้าเหมือนกับผม ช่วงหินแคบผมแนะนำว่าควรจะช้าเข้าไว้ เพราะความชื้นทำให้มีน้ำเกาะตามหินทำให้ลื่นได้พอสมควร หากขาคุณติดเข้าร่องหิน แล้วล้มแบบผิดท่า ขาอาจจะหักได้ในทันที และและการที่จะขอความช่วยเหลือ คือการให้คนหาบลงไป ดังนั้นปลอดภัยไว้ก่อนเป็นดีที่สุดครับ ....

ระหว่างทางลงผมเจอมิตรภาพระหว่างทางมากมาย ลงมาคนเดียวแต่ชิลสุดๆ (น้องๆมันยังไม่ตื่น เลยออกมาก่อน) ผมคิดแค่ว่า ลงให้เร็วถึงให้ไว กลับบ้านเร็ว ได้พัก รอดตายยย! ... ระหว่างทางมีแต่คนถาม อีกไกลไหม? เอาแบบให้กำลังใจหรือความจริงหละครับ 5555555555555+ การขึ้นกับการลงสำหรับผมไม่ต่างกันเท่าไหร่ เหนื่อยโฮกเหมือนกัน แค่ลงนั้นไม่เหนื่อยเท่าขึ้นแค่นั้นเอง! ผมใช้เวลาเดินลงรวมระยะเวลาออกจากค่าย 5 ชม. ถึงข้างล่าง 11.00 พอดี สิ่งแรกที่ทำ คือการพุ่งไปอาบน้ำในห้องน้ำซึ่งทางอุทยานมีไว้ให้บริการฟรี!

เดินไปหารถกลับไปเจ้กิม ถ้าไม่เหมาก็ต้องรออีก 9 คนลงมา ผมเหมา! ไม่งั้นตูจะรีบลงมาทำมะเขือเผาอะไร อยากกลับแล้ววววว!!! 300 ก็ 300 เถ๊อะ!!! เมื่อไปถึงเจ้กิมรถเข้าโคราชก็มาพอดี ข้าวเขิ่วไม่ต้องกินมันละ ขึ้นรถเลยรออะไร

และนี่ก็คืออาหารมื้อแรกที่ผมได้กิน น้ำตาจะไหล อร่อยฝุดๆ (บนรถแจกฟรี)


สำหรับการเดินทางรอบนี้ นอกจากความสุข มิตรภาพ และการได้ชาร์ตแบตชีวิตแล้ว ผมยังได้รู้ว่า ความทุกข์ความสุข มันอยู่ใกล้ๆกัน มันอยู่ที่เราจะเลือกมองสิ่งไหน .... และหากไม่ไหว มันไม่ได้จบลงแค่นั้น อย่าปล่อยให้ตัวเองนอนตายอยู่บนเตียงแบบไม่ทำอะไร แล้วปล่อยให้ชีวิตค่อยๆหมดกำลังใจไปเรื่อยๆ สำหรับผม ผมเลือกมานอนชาร์ตแบตในอ้อมกอดของขุนเขา แล้วคุณหละ เลือกแบบไหน ... อย่าคิดเยอะเลย เราไม่รู้ว่าจะมีเวลาอยู่ได้อีกที่วัน ทำให้เต็มที่ เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกนี้มีอะไรที่เราไม่ได้เรียนรู้อีกเยอะ ^^ สวัสดีครับ ปล.สอบถามรายละเอียดได้โดยแสดงความคิดเห็นข้างล่างนะครับ ถ้าตอบได้ยินดีตอบครับผม บ๊ายยย


อาแป๊ะมีหนวด

 วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 23.30 น.

ความคิดเห็น