Trip นี้มี Youtube ด้วยนะ ฝากติดตามกันด้วยครับผ้มมม...

สัญญาณเตือนถึงโรคภัยไม่ได้มีมาให้เรารู้ตัวเสมอ เมื่อโรคที่ผมเป็นมันย้อนรอยกลับมาหาอีกครั้ง ผมจึงตกอยู่ในวังวนของความทุกข์อยู่ซักพักใหญ่ๆ เมื่อรักษาและเริ่มตั้งตัวได้ "อาการโรคซึมเศร้าและไบโพล่า" ทุเลาลง จึงนึกขึ้นได้ว่าเวลาเราเข้าป่าเขาไปเจอต้นไม้และอากาศบริสุทธิ์ ธรรมชาติมันจะช่วยเยียวยาทุกสิ่งจริงๆ ผมจึงตัดสินใจขออนุญาติแฟนแยกไปเที่ยวตามลำพังเนื่องจากแฟนต้องทำงาน...

ทริปนี้ผมนั่งหาอยู่นานว่าจะไปที่ไหนดีที่มีความสงบร่มรื่นเหมาะแก่การท่องเที่ยวและทำรีวิว สรุปได้เรื่องว่าจะไปสุโขทัยเพราะที่นี่มี "อุทยานแห่งชาติรามคำแหง" หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า "เขาหลวงสุโขทัย" นั่นเองงงงงงง...

ผมเดินทางจากสถานีขนส่งแห่งที่ 2 จังหวัดนครราชสีมาเวลาประมาณ 20.30 นาที

โดยต้องไปลงที่พิษณุโลกเพื่อต่อรถไปยังจังหวัดสุโขทัย เนื่องจากไม่มีรถคันไหนจากโคราชพุ่งตรงไปยังปลายทางของเรา ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 6-7 ชั่วโมง โอ้วแม่เจ้า! สิริรวมเวลาเมื่อไปถึงประมาณตี2นิดๆ

รถเป็นแบบคอกเล็กๆความกว้างประมาณครึ่งเมตร มีจอให้นั่งดูอะไรไปเรื่อยๆระหว่างทาง ถามว่าเวลานี้ได้ดูไหม๊ ... ไม่! นอนจ้านอน

ถึงพิษณุโลกตามเวลาที่ประเมินไว้หารถทัวร์ต่อไปยังสุโขทัยในราคา 50 บาท เดินทางประมาณ 1 ชม.นิดๆ ผมก็ถึงจังหวัดสุโขทัยเป็นที่เรียบร้อย แต่ปัญหาคือ...จะไปต่อยังไง จังหวะที่ก้าวขาลงจากรถมามีพี่วินมอไซเดินมาหาและเสนอตัวไปส่งเราที่อุทยานในราคา 350 บาท โดยระยะทางอยู่ประมาณ 30 กว่ากิโล เห้ย! ถูกกว่าต่อรถและต้องเหมารถเข้าไปอีกนะนี่! รอช้าอยู่ใย ขึ้นซ้อนมอไซแล้วบึ่งไปสิครับ

ไปถึงจุดหมายปลายทางเวลาประมาณ 05.10 น. ร้านอาหารยังไม่เปิดเลยได้นั่งรอพักใหญ่จน 6 โมงกว่าๆร้านสะดวงซื้อก็เริ่มมีเจ้าหน้าที่มา

ลมช่วงที่ผมไปนั้นพัดแรงมาก แรงจนหนาว นั่งขดหลบลมอยู่จนร้านอาหารเปิดก็ได้กินข้าวเช้าเสียที

เมื่อกินข้าวอิ่มแล้วที่เหลือก็รอเวลาเจ้าหน้าที่มาเปิดให้จ่ายเงินเพื่อเข้าไปยังอุทยานเวลา 08.00 น.จ้า

เมื่อเจ้าหน้าที่มาก็งานเข้ากระผมทันที เนื่องจากเต้นท์ที่จะเช่าซึ่งเป็นขนาด 2 คนมันไม่มีฟรายชีตท์กันน้ำ ..อ่าวววว.. แล้วหน้าฝนแบบนี้กระผมจะอยู่อย่างไร โดย จนท.บอกว่าหากต้องการแบบกันน้ำต้องเช่าแบบ 3 คนซึ่งเป็นการอัพราคาขึ้นไป ประเด็นก็คือ เต้นท์แบบ 3 คนก็ตั้งอยู่ในที่ร่ม (ในตัวอาคาร) 555555 แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม เลือกจะกางข้างนอกได้หรือเปล่า!?!?!? ตอบ. ไม่ได้! ... อะ ไม่เป็นไร สรุปจบเต้นท์ 3 คนกางในร่มพร้อมแผ่นรองนอน รวมราคาค่าเสียหายไปทั้งสิ้น 490 บาทสำหรับ 2คืน

เมื่อจ่ายค่าเสียหายเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าเดินเข้าซุ้มแห่งความเมื่อล้าทันที โดยตั้งใจไว้ว่าจะพิชิตยอดเขาให้ได้ภายใน 3-4 ชม.เหมือนที่เขารีวิวกันไว้ หุหุ ปล.ที่ีนี่มีลูกหาบไว้ให้บริการนะ แต่นทท.ควรติดต่อกับทางอุทยานก่อนเพื่อทางอุทยานจะได้หาลูกหาบไว้ให้ แต่รอบนี้ผมแบกทุกอย่างขึ้นไปเองเลยไม่ทราบราคาว่ามันตกกิโลกรัมละกี่บาท

อนึ่งเมื่อเห็นทางขึ้นและลองเดินดูซักพัก เป้าหมายในหัวผมก็เปลี่ยนไป เพราะการเดินขึ้นยอดเขาของที่นั้น ไม่ได้มีทางราบเรียบเหมือนเช่นภูกระดึง มีก็เพียงแต่ทางขึ้นเขาอันลาดชัน Only! ...เอาแค่ให้ถึงก็พอวะ อย่าไปกำหนดเวลาเลย 55555+...

หากลองดูทางเดินในรูปมันอาจจะดูเหมือนไม่ชันสักเท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะ เอาความชันในรูปคูณ3ไป เพราะมันชันจนขาสั่นกันเลยทีเดียว ในการเดินบางจุดถึงต้องกับเอามือช่วยปีนป่ายเพื่อกันไม่ให้ตัวเองไถลหน้าทิ่มลงมาให้หน้าแหก

ที่นี่ไม่มีซำพร้อมร้านสะดวกซื้อเหมือนภูกระดึงนะเออ..มีก็แต่แคร่น้อยกลอยใจให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักเป็นช่วงๆพร้อมกับถังน้ำประปาสะอาดดื่มได้ (บางจุดมีตะกอนดื่มไม่ได้) แต่ก่อนดื่มแนะนำให้ลองดูดีๆก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

ขึ้นไปพักไปสะภาพก็จะเริ่มเป็นอย่างที่เห็น หอบและเหนื่อยเฮียๆ! ทางเดินด้านหน้าก็ยังคงเป็นทางชันเรื่อยๆ เรื่อยๆ กล้องยังเริ่มไม่อยากสะพาย หวังพึ่งแต่กล้อง Gopro อย่างเดียวแล้วจ้า

ขณะใต่ขอบไปตามทางก็มีวิวสวยๆให้ได้พักชมให้หายเหนื่อยกันเป็นระยะๆ

เมื่อแบกกระเป๋าแล้วเดินต่อจนเริ่มล้า ก็รู้สึกว่าจริงๆเราน่าจะจ้างลูกหาบนะ 555555+ บางทีก็คิดว่า ข้างบนจะสวยสมใจอย่างที่เหนื่อยเดินขึ้นมาขนาดนี้ไหมน้า ช่างเป็น 4กม. ที่เหนื่อยและยาวนานมากเหลือเกิน ในขณะที่ท้อไปเดินไปก็ใช่ว่าจะโดดเดี่ยวจนวังเวง เพราะการเดินทางครั้งนี้มันทำให้ผมได้พบเพื่อนใหม่อีกตั้ง 6คน...

เมื่อถึงยอดเขาผมไม่พูดพล่ามทำเพลง เดินดิ่งไปเก็บของพร้อมอาบน้ำนอนอย่างสบายใจให้น้ำเย็นๆดับร้อนก่อนจะละลายตายไปกับคราบเหงื่อ ก็มันเหนื่อยเนอะให้ทำไง เนื่องจากฝนตก เลยนอนมันจนลืมถ่ายภาพที่กางเต้นท์ให้ดู 5555+ เรื่องนี้ต้องขอภัยอย่างสุดซึ้ง ไว้ถ้ามีโอกาสวันหลังจะขึ้นไปถ่ายซ่อมให้นะครับ หุหุ

นอนไปได้ 1 ตื่น พี่ที่เจอกันมาระหว่างทางก็ปลุกให้ไปกินข้าว อันที่จริงผมพกมาแค่มาม่าเพื่อประทังชีวิตเนื่องจากไม่คิดว่าข้างบนจะมีแค่อาหารแห้งไว้ขายให้บริการ นทท.ต้องทำอาหารเองท่ามกลางแคมป์กับอุปกรณ์ที่มีให้เช่าคือเตากับแกซกระป๋องราคา 150 บาท แต่เดชะบุญที่พวกพี่ๆเห็นใจ พวกพี่ๆเลยจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้กินแบบไม่ต้องกลัวอดตาย 55555+

เมื่อกินเสร็จฟ้าฝนเหมือนเป็นใจหยุดให้เดินไปดูวิวที่ผานารายณ์ พี่ๆแนะนำว่าให้ลองไปดูเพราะมันสวยจริงๆ แหม่!...ขายของมาขนาดนี้ไม่ไปได้อย่างไร เดินไปสิครับผ้ม....

การเดินทางไปตามจุดต่างๆของที่นี่ก็ยังคงเป็นทางขึ้นเช่นเดิม แต่ระยะทางไม่ได้ไกลมากนัก จากจุดกางเต้นท์ไปยังผานารายณ์ห่างกันแค่ 200 เมตร (แต่เป็น 200เมตรที่เดินขึ้น) ควรเลือกรองเท้าไว้เดินดีๆหน่อยเนื่องจากทางลาดเอียดและเป็นดินลื่นๆ ผมนี่แทบถอดรองเท้าเดิน

วิวบนนี้สวยจริงตามเขาว่า แต่ลมแรงชะมัด พัดผู้ชายตัวน้อยๆแบบผมจนเกือบปลิว

ต้องขออภัยในความคมชัด เพราะใช้ Gopro ถ่ายมาเนื่องจากฝนลงเม็ดมาเป็นระยะๆ ประกอบกับความชื้นของหมอกที่พัดผ่านเลยไม่กล้าหยิบกล้องไป

ชมหมอกและนั่งรับลมจนอิ่มใจและหูชาก็กลับเต้นท์มานอนตายอีกรอบเนื่องจากความล้าที่ถาโถมใส่น่องขา ปล.ที่นี่เดินชิลสบายใจไร้กังวลเรื่องทากดูดเลือด เพราะแม้จะเป็นป่าที่ดิบชื้นแต่ไม่มีสัญญาณชีพจรของฝูงตัวนิ่มกระหายเลือดเลยแม้แต่น้อย


เช้าวันที่2...

เสียงนาฬิกาคละคลุ้งเสียงกรนดังขึ้น

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเวลา 04.30 น. เมื่อประสาทหูทำงานเต็มที่ก็ได้ยินเสียงฝนพรำๆ นึกใจในว่า "เอาอีกแล้วตู อดดูวิวอีกแล้ว!!!" เลยพยายามนอนต่อท่ามกลางเสียงนาฬิกา เสียงกรน และเสียงสายฝนที่ร้องระงมปะปนกันไป ....

หลับไปได้ซักพักเสียงนาฬิกาก็ดังอีกระรอก แต่หาใช่เสียงของนาฬิกาปลุกผมเช่นเดิม ผมลืมตาตื่นมาเปิดมือถือดู เวลา05.00น. เสียงฝนหยุดไปแล้ว ... คงได้เวลาเดินทางไปดูแสงแรกของวันเสียหน่อย ผมลุกและเดินไปรอสมาชิกพวกพี่ทีม The Avenger (ผู้ช่วยชีวิตให้ข้าวให้น้ำผม55555+) เพื่อเดินไปดูแสงแรกด้วยกัน

ธรรมชาติไม่เคยทำให้ผิดหวัง ความสวยงามของแสงแรก ณ ผานารายณ์ทำให้ลืมความทุกข์ใจที่มีไปชั่วขณะ มนต์สะกดแห่งสายลมและเมฆหมอกใช้เวทย์มนต์ทำให้ผมโดนตรึงอยู่กับที่อย่างนั้น เพลิดเพลินไปกับการดูแสงและก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆสลับกับแสงอาทิตย์ที่ส่องมารำไร เป็นภาพที่ต่อให้ถ่ายเก็บไว้ก็ไม่ประทับใจเท่าของจริง ...

ใครมาแนะนำว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ยิ่งหากกลางคืนมีฝนตกแล้วตื่นมาเจอดาวในตอนเช้า (พี่เอกหัวหน้าทีม The Avenger สอนไว้) นั่นหมายถึงคุณกำลังจะได้เจอกับทะเลหมอกที่ตระการตา เพราะงั้น อย่าลืมสังเกตกันดีๆหละ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ^^

เมื่อชมความสวยงามเสร็จจนอิ่มหนำและหูชาจากความเย็น ผมก็กลับมาแคมป์และกินอาหารเช้ากับพวกพี่ๆ ก่อนจะตัดสินใจเป็นหนึ่งในผู้ติดตามทีมนี้เนื่องจากไหนๆก็ฝากตัวฝากท้องมากับเขาขนาดนี้แล้ว 55555+ ติดสอยห้อยตามไปด้วยคงมิเป็นไรมั้ง ...

หนึ่งในภาระกิจของทีมสำหรับวันนี้คือการเดินทางไปให้ครบทุกผาที่มี โดยเราจะเดินทางไปยังเขาเจดีย์ต่อไปยังภูกา และลงมาผ่านแม่ย่า ก่อนจะจบที่ผาชมปรง (หากลืมจุดไหนขออภัย แต่ไปครบจริงๆ)

เราลัดเลาะผ่านเขาเจดีย์อย่างเหน็ดเหนื่อย ที่เที่ยวที่นี่มีแต่ทางเดินขึ้นและขึ้นเรื่อยๆจนพาเมื่อยขา เว้นแต่ว่ายังมีหมอกและลมเย็นพัดมาให้กำลังใจเป็นระยะๆ

พักเหนื่อยชมวิวกันซักครู่ก่อนจะเดินทางกันต่อไป จังหวะนี้กล้องใหญ่แทบไม่ได้จับมาใช้ เหลือก็แต่ Gopro ตัวเก่งที่ทำหน้าที่บันทึกแทบทุกอย่าง เนื่องจากถืออย่างอื่นไม่ไหวแล้วจริงๆ

เส้นทางพาเราเดินต่อกันอย่างทุลักทุเล ดีที่มีผู้นำดีอย่างพี่เอกที่มาที่นี่เป็นรอบที่ 6 แล้ว ผมจึงสบายใจในการฝากชีวิตไว้กับพี่ 5555+ เห็นป้ายนี้แทบลมจับ เดินมาแทบตาย สุดท้ายเหลือ 1 กิโลเมตร! OMGGGG!!!

เดินสะสมความท้อและความเหนื่อยล้ามากซักระยะ ผ่านต้นไม้มานับพันต้น ไม่รวมความชัดที่ใต่ขึ้นมาเรื่อยๆจนเมื่อยขา ในที่สุด เราก็มาถึงที่นี่ ที่พักเที่ยง ที่ภูกา นั่นเองงงงงง

วิวที่นี่ทำหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง มันคุ้มค่าที่ดั้นด้นมาเสียจริง ไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย (โปรดมองข้ามความกระหม่อมบางของกระผม 5555+) สายหมอกพัดผ่านเราไปเลย มีความฟินเหมือนบินได้ เหมือนลอยได้ท่ามกลางเมฆหมอกเหล่านี้

เพลินไปจนลืมหิว .... เอ้า! ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว! .... โชคดีที่มีอภินันทนาการณ์จากทีมพี่เอก มื้อเที่ยงกับวิวสวยๆนี้จึงเป็นอะไรที่เข้ากันสุดๆ

ต่างคนต่างแยกย้ายหาที่ทางเหมาะกินข้าวกลางวันกันให้อิ่มหนำ เก็บแรงไว้เดินกลับต่อไป

เหนือกว่าภัตตาคารสุดหรู ก็คือการได้ดูวิวสวยๆพร้อมกินอาหารกลางวันท่ามกลางสายหมอกนี่แหละ ฟินเฟร่อ!

ได้เวลาเดินทางกลับเพื่อไปยังจุดหมายสุดท้ายผ่านแม่ย่าก่อนพระอาทิตย์จะตกท่ามกลางความรู้สึกเสียดายเมื่อเห็นสะภาพอากาศแล้วคาดเดาได้ว่าวันนี้เราคงไม่เห็นพระอาทิตย์ตกเป็นแน่ เนื่องจากเมฆฝนเริ่มมาก่อตัวกันอีกแล้ว ...

เดินมาจนถึงลานจอดฮอจึงขอถ่ายรูปทีม The Avenger เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกเอาไว้ระทึกในภายหลัง

แสงสุดท้ายที่ผาชมปรงกำลังจะจากไป แต่ความประทับใจไม่หายไปตามแสง ...


วันที่ 3

วันสุดท้ายก่อนการเดินทางกลับ...

ตื่นมาตอนเช้าพร้อมความครุ่นคิดว่าจะออกไปดูพระอาทิตย์ที่ผาชมปรงเป็นการอำลาดีหรือไม่ เนื่องจากคนเริ่มเยอะ บรรยากาศการไปชมวิวทัวทัศน์คงไม่เป็นส่วนตัวเท่าไหร่ แต่ในใจก็อยากลองเสี่ยงดูเพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่คงไปผานารายณ์กัน ฉนั้น เราแยกไปผาชมปรงกันดีกว่า...

อย่างที่คาดไว้ ผมเดินทางออกจากแคมป์เพื่อไปผาชมปรง โดยไปถึงเป็นคนแรกและเป็นคนเดียวที่ไป 5555+ ได้ความเป็นส่วนตั๊วส่วนตัวอย่างบอกไม่ถูก ถึงขั้นวังเวงกันเลยทีเดียว

ทะเลหมอกกับแสงแรกยามเช้าเป็นอะไรที่เข้ากั๊นเข้ากัน นั่งเพลิดเพลินอยู่นานจนพี่เอกและเหล่า The Avenger หนีฝูงหมู่มวลมหาชนตามมา

นั่งดูหมอกพัดไปและแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆขึ้นรำไรจนสว่างคาตา ก็ถึงเวลาเตรียมเดินทางกลับ โดยนัดแนะกับทีมพี่เอกว่าจะเดินลงไปตอนเวลา 9.00 น.โดยประมาณ เนื่องจากบุญที่มียังไม่หมดพี่เอกเลยจะไปส่งที่ขนส่งพิษณุโลก จะได้ไม่ต้องหารถไปต่อให้มากความ ปล.พวกพี่กลับกทม.ทางนั้น

จ่ายเงินได้ตั๋วเรียบร้อย รถเดินทาง 01.00 น.

...สั่งลาทีม The Avenger และขอบคุณมิตรภาพดีๆที่มีให้ผมมาตลอดและแยกย้ายกันไป...

ปัญหาต่อมาของผมคือการรอคอยอย่างไรไม่ให้เปื่อยตายคา บขส. เพราะเวลาที่ไปถึงมันยังไม่บ่าย3ด้วยซ้ำ ... เอาวะ ตัดสินใจเช่าห้องพัก 350 บาทแถวนั้นเพื่อนอนรอดีกว่า จะได้ไม่ทรมานร่างกายจนเกินไป ........

ปิดฉากด้วยดีโดยเดินทางถึงโคราชเวลา 07.30 น. ปิดทริปนี้อย่างเป็นทางการ

...สิ่งที่ผมได้จากการเดินทางครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ธรรมชาติบำบัดแต่เป็นมิตรภาพดีๆที่ทุกคนมีให้อย่างเต็มเปี่ยม มันคือรสชาดแห่งการเดินทางและการผจญภัยที่ใครไม่ลองไม่มีวันรู้ บทเรียนที่ได้จากครั้งนี้คือการที่เราไม่วันรู้หรอกว่าชีวิตข้างหน้าเราจะเจออะไร แค่เตรียมตัวให้พร้อมกับมันไว้เท่านั้นเอง...

ติดตามเรื่องราวของเราได้ที่

Fb

https://www.facebook.com/mustachejourney/

Youtube

https://www.youtube.com/channel/UCsDKHJpJaK8sfBj0A...

อาแป๊ะมีหนวด

 วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 22.07 น.

ความคิดเห็น