China Trip Day 1-2 เดินทางสู่ฉางซา พามาชมละครฉากใหญ่ ไปวัดใจที่สะพานแก้ว
ทริปนี้ใช้ระยะเวลาทั้งหมด 6 วัน 5 คืน (19-24 ต.ค.)
ครั้งนี้ได้มีโอกาสไปเยือน สถานที่ชื่อดังที่เคยเป็นที่ถ่ายทำของหนังดังระดับโลก
นั่นคือ อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย มณฑลหูหนาน ประเทศจีน ซึ่งถือเป็น เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ
แห่งแรกของจีนมาตั้งแต่ปี 1992
ฉางซา - จางเจี่ยเจี้ย - หุบเขาอวตาร - ประตูสวรรค์
โดยเดินทางไปกับบริษัททัวร์ ดังนั้นเรื่อง Visa การเดินทาง อาหารและที่พัก จึงมีการจัดเตรียมไว้
ครบหมดแล้ว จุดนี้ต้องขออภัย คงแนะนำอะไรไม่ได้
(ค่าทัวร์ราวๆ 16,000 บาท + ค่าไกด์ 1,500 บาทรวม 17,500 บาท)
============ การใช้อินเตอร์เนต ============
เนื่องจากที่จีนไม่สามารถเล่น Social Media ต่างๆ อย่าง Facebook , Line , Twitter , Google ได้
แต่จะมีซิมท่องเที่ยวอยู่ตัวนึง ที่สามารถใช้งานได้จากที่ลองใช้งานมา สามารถเล่นได้จริง
แต่สัญญาณไม่ค่อยมี ใช้งานได้ดีเฉพาะในเขตตัวเมืองยิ่งถ้าออกนอกเมืองไปไกลๆ ส่วนใหญ่จะขึ้นตัว E หรือไม่มีสัญญาณเลยซะมากกว่า
============ การแลกเงิน ============
อัตราแลกเปลี่ยน จะอยู่ที่ 1 หยวน = 5.01 บาท (เรท ณ วันที่ 17/10/60)
ซึ่งสามารถเดินทางไปแลกได้ที่ Super Rich Thailand ลองดูสาขาไหนใกล้บ้าน ก็เดินทางไปแลกได้เลย
ส่วนจะแลกไปเท่าไหร่ ถ้าไม่ค่อยใช้อะไรก็สัก แนะนำแลกไปสัก 10,000 บาท (2,000 หยวน)
ก็น่าจะพอใช้แบบเหลือๆนะ
============ สภาพอากาศ ============
เนื่องด้วยช่วงที่เดินทางอยู่ในช่วงปลายเดือน อุณหภูมิจะอยู่ราวๆ 15- 22 องศา โดยจะหนาว
ในช่วงเช้าและดึกๆ ส่วนช่วงกลางวันจะเย็นสบายๆ ไม่หนาวมาก 17-22 องศา ควรเตรียมเสื้อกันหนาว
ที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายตัวเองที่สุดครับ
============ วันแรก ============
เดินทางโดยสายการบิน Air Asia ใช้ระยะเวลา 4 ชม. เราก็มาถึงฉางซา เมืองหลวงของมณฑลหูหนาน
จากจุดนี้เรานั่งรถไปทานข้าวกลางวันในตัวเมืองก่อน
มื้อแรกที่นี่ รสชาติอาหารพอไหว แต่ไม่ถึงกับอร่อย ส่วนใหญ่แค่พอกินได้ รสชาติจะออกไปในทางเค็มๆ
ถ้าเป็นน้ำซุปก็จะออกจืดจาง ไม่ค่อยเข้มข้น
หลังจากกินอิ่ม ก็แว่บออกมาเดินสำรวจทาง เห็นมินิมาร์ทอยู่ข้างๆ เลยขอตรวจราคาสินค้าหน่อย
โดยพวกน้ำดื่มและขนมขบเคี้ยว จะอยู่ที่ราวๆ 4-6 ¥ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ประมาณ 2.5-3 หยวน (แบบซอง)
และ 6-8 หยวน (แบบถ้วย) ส่วนพวกข้าวของเครื่องใช้ ราคาก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านเรามาก
(หลักการคิด เอาเงินหยวน คูณด้วย 5 = เงินบาท) แน่นอนว่า ภารกิจประจำ คือการหาซื้อน้ำแปลกๆดื่ม
ซึ่งก็ได้มา 2 ขวด
ซ้าย คือ น้ำเกลือแร่ รสชาติเหมือนเครื่องดื่มชูกำลัง แต่จะไม่หวานมาก ออกบางๆ ถือว่าอร่อยดีให้ผ่าน
ขวา คือ น้ำสาลี่ รสชาติเหมือนสาลี่เลย แต่หวานกำลังดี ดิ่มแล้วชุ่มคอ
จากนั้นเราจึงนั่งรถต่ออีกราวๆ 4 ชม. เพื่อเดินทางเข้าสู่ เมืองอู่หลิงหยวน ซึ่งระหว่างนี้ ก็แวะกินมื้อเย็นกันอีกที
ซึ่งรสชาติก็ยังคงมาแนวๆเดิม แนวผัดจะออกเค็มๆ ส่วนแกงจะจืดๆ ที่เด็ดสุดมื้อนี้น่าจะเป็นปลานึ่งซีอิ๊ว
ไม่รู้ว่าเป็นปลาอะไร แต่ถือว่าอร่อยสุดเท่าที่กินมาติดอยู่อย่างเดียว คือ ก้างปลาเยอะ กินยากไปหน่อย
จากนั้นก็ขึ้นรถไปยังที่พัก อีก 2 ชม. โดยเราจะพักที่นี่กัน 3 คืน ณ โรงแรม WulingYuan Hotel
วันแรกไม่ได้เที่ยวไหน มีแต่เรื่องกินอย่างเดียวเลย
============ วันที่สอง ============
วันนี้เราเดินทางไปชมละครฉากใหญ่ เชื่อว่าถ้าใคร ที่เคยมาจีนแล้วก็คงเข้าใจ กับการโดนพามาฟัง
บรรยายสรรพคุณสินค้าต่างๆ รอบนี้โดนพามาร้านขายยาบำรุงของจีน
เมื่อเริ่มเข้ามาภายในร้าน พนักงานก็จะพาไปรับรอง ณ ห้องบรรยาย บรรยากาศเหมือนเข้าไปฟังขายตรงสักพักก็จะมีผู้บรรยายชาวจีน ที่สามารถพูดไทยได้ มาอธิบายสรรพคุณต่างๆ เมื่อฟังบรรยายได้สักพักระหว่างนั้นจะมีเหล่าลุงป้าเดินเข้ามาพร้อมกับกาละมังใบใหญ่ ที่ใส่น้ำร้อนเดือดปุๆ (ย้ำว่าเดือดปุๆ)
มาให้เราแช่ขากัน ในระหว่างที่เรากำลังนั่งฟัง ลุงป้าเหล่านั้นก็จะมานวดขาเราไปพลางๆ
พร้อมกับแนะนำสินค้าแบบ Hard Sale สุดๆ สักพักผู้บรรยายก็จะแนะนำ หมอที่ใช้กำลังภายใน
โดยให้จะมองผ่านฝ่ามือ ก็บอกได้ว่าเป็นโรคอะไร(ขนาดมองไกลๆ 3-4 เมตร ยังเห็น ตาดี๊ดี)
ถ้าใครที่เข้าข่ายน่าสงสัย ก็จะโดนตรวจถึงที่
วิธีการคือใช้ฝ่ามืออังๆบริเวณ แขน ขา หลัง ท้อง พร้อมกับเปล่งเสียงดัง เหมือนใช้กำลังภายใน
ความรู้สึกคือ จะรู้สึกจี๊ดๆ เหมือนมีไฟมาช๊อตเบาๆ ทำอยู่ราวๆ 3-4 ครั้ง เมื่อเสร็จแล้ว ก็จะเสนอ
ขายยาเพื่อสุขภาพ ในราคาที่แพงหูฉี่ (ระหว่างหมอตรวจ ก็จะมีล่ามคอยแปลไทยให้อีกที ขนาดบอกไม่มีตัง บอกให้ยืมเงินคนอื่นมาซื้อ)
ใครปฎิเสธไม่เป็นนี่หลุดพ้นไปได้ยากมาก หลังจากโดนตื้อมานาน รีบอาศัยช่วงจังหวะนี้
อ้างว่าไปห้องน้ำแล้วหลบออกมา ซึ่งนี่แค่ประเดิม เพราะต่อไปเราจะเจออีกหลายร้าน
สำหรับผู้ที่สงสัย ว่าทำไมต้องโดนพามาร้านเหล่านี้ ปกติถ้าจะมาเที่ยวเอง ราคาจะแพงมาก
ซึ่งร้านเหล่านี้จะมีการแบ่งเปอร์เซ็นต์กันเพื่อช่วยค่าใช้จ่าย แต่ต้องแลกกับการมาที่ร้าน
ซึ่งร้านก็ไม่บังคับซื้อ แต่จะตื้อจนกว่าจะใจอ่อน
ใครไม่สตรองพอก็แพ้ไปนะฮะ...
หลังจากรอดจากขายยา เราก็มาที่ร้านเล็กๆร้านนึง มาชมหนังตะลุงของจีนกัน ดูๆไปก็ไม่ต่างอะไรกับ
หนังตะลุงบ้านเรา เปลี่ยนแค่ลักษณะของตัวละครแต่ด้วยความที่ไม่เข้าใจภาษา ทำให้ดูจนจบ
ก็ยังไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง จุดนี้เราเสียเวลาไปประมาณ 30 นาที
หลังจากดูหนังตะลุงแบบงงๆเสร็จ ก็พาไปฟังขายของต่อ คราวนี้มากันที่ ร้านผ้าไหม
ซึ่งก็มาแนวเดิม คือเชิญเราชมบรรยากาศภายในร้าน ก็พามานั่งฟังบรรยายเช่นเคย นั่งฟังได้สักพักใหญ่
ขอไปเข้าห้องน้ำ แล้วออกมาดูบรรยากาศภายนอกพร้อมกับถ่ายรูปเล่นดีกว่า
สามแยกที่นี่กว้าง รถราค่อนข้างเยอะ แตรบีบกันปกติ แต่ที่แปลกคือ ถ้ามีรถเข้าแล้วใครจอดขวางทาง
ก็ขยับให้แค่พอเข้าได้แบบเบียดๆ แล้วก็ก้มหน้าเล่นมือถือต่อ เฉยๆ ไม่สนใจ หลบให้แล้วเข้าได้ก็เข้า
ที่น่าสนใจคือ มอเตอร์ไซค์ที่นี่ จะมี Acessory แปลกๆ ให้เห็นอย่างเช่นในรูป เป็นร่มติดมอเตอร์ไซค์
ซึ่งเห็นกันบ่อยมาก เท่าที่ดูก็ใช้งานได้จริง แต่คนที่นี่ขับกันไม่เร็วนะ เพราะกฎหมายที่นี่จำกัด
ความเร็วในเมืองแค่ 40 กม./ชม.
สำหรับที่นี่ จะใช้ได้เฉพาะมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเท่านั้น ไม่อนุญาติให้นำมอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมันเข้าตัวเมือง
โดยเด็ดขาด แต่ตามนอกเมือง ก็ยังมีแบบน้ำมันให้เห็นอยู่บ้างนะ
ในส่วนของการชาจน์ไฟ ก็อย่างที่เห็นในภาพสามารถต่อชาจน์ไฟบ้านได้เลย สำหรับราคา
มอเตอร์ไซค์ที่นี่ จากที่ถามมาเห็นว่าราคาไม่แพง อยู่ประมาณหลักหมื่นต้นๆเท่านั้น
แต่ที่ราคาแพงน่าจะเป็นแบตเตอรี่ เห็นว่าเกือบครึ่งของราคารถเลย
หลังจากรอดจากขายผ้าไหมและยา เราก็มาทานอาหารกลางวันกัน ซึ่งจากร้านที่ผ่านๆมา
ถือว่ายังไม่เข้าตาเท่าไหร่นัก โดยร้านนี้ทางไกด์บอกมาว่าเป็นร้านอาหารไทย กุ๊กก็คนไทย
แต่หลังจากชิมมาแล้ว ก็ยังไม่โดนใจเท่าไหร่ อาจด้วยการปรับแต่งรสชาติให้เหมาะสมกับผู้คนที่นี่
วัตถุดิบที่แตกต่าง ทำให้รสชาติไม่แซ่บเท่าบ้านเรา
หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็มาทานอาหารตากันบ้างที่ จวินเซิงฮาเยี้ยน พิพิธภัณฑ์แสดง ภาพวาดเม็ดทราย
โดย ลี่จวินเซิง เป็นผู้ริเริ่มศิลปะแบบสมัยใหม่ ที่เรียกว่า จิตรกรรม ซึ่งจะใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น กรวดสี เม็ดทรายย กิ่งไม้ หิน ฯลฯ มาจัดแต่งเป็นภาพทิวทัศน์ ถือเป็นงานจิตรกรรมที่รังสรรค์ขึ้นมาและได้รับการเลื่องลือไปทั่วโลก
ซูมให้เห็นชัดๆ กว่าจะทำเสร็จสักรูปนี่ไม่ได้ง่ายเลย
หลังจากชมภาพวาดเสร็จ ติดๆกันกับพิพิธภัณฑ์มีเหมือนเป็น Avenue เล็กๆของที่นี่ เป็นลานกว้างๆ
มีเมืองดูเป็นเอกลักษณ์ เหมือนฉากไว้ถ่ายหนัง บางส่วนก็ยังสร้างอยู่ เราเดินเล่นกันสักพัก จากนั้น
ก็กลับออกไปเดินทางต่อ
จากนั้นก็ถึงเวลาที่เรารอคอย กับการเดินทางไปแลนด์มาร์คแรกในจางเจียเจี้ย "สะพานแก้ว"
สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ที่ถือว่าเป็นสะพานแก้วข้ามเขาที่ยาวที่สุดในโลก
ซึ่งการจะเข้าชมที่นี่ บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยต้องต่อคิวที่ยาวเยียดถึง 5 รอบ ด้วยกัน ก็คือ จะแบ่งเป็น 5 โซน จังหวะที่ปล่อยโซนแรกผู้คนก็จะวิ่งกันอลหม่าน เพื่อไปต่อแถวโซนที่สอง
ทำแบบนี้วนไปจนโซนที่ 5 คาดว่าวันนึงน่าจะมีคนเข้าชมเป็นหมื่นคน
ช่วงนี้ใช้เวลาต่อคิวน่าจะเกือบๆ 2 ชม. และที่นี่ห้ามไม่ให้นำกล้องถ่ายรูปเข้าไป จะเล็กจะใหญ่ ก็ห้ามเอาเข้า และกระเป๋า ใบใหญ่ก็เข้าไม่ได้ แต่ให้พกมือถือมีกล้องได้นะ (ขึ้นอยู่กับอารมณ์คนตรวจ ขนาดพกกล้องตัวเล็กกว่ามือถือ ยังโดนจับ แถมคุยกับมันไม่รู้เรื่องฝากก็ไม่ได้ จะไล่ให้เอาไปเก็บที่รถอย่างเดียว)
และหลังจากต่อคิวมาอย่างยาวนา เราก็มาถึงปลายทางของจุดหมายที่นี่
ด้วยความยาวถึง 430 เมตร กว้าง 6 เมตร สูง 300 เมตร โดยพื้นสะพานจะสร้างด้วยกระจกคริสตัล
ทำให้สามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้ ถามว่า น่าหวาดเสียวไหม ส่วนตัวคิดว่าไม่เท่าไหร่ เพราะกระจกมันไม่ได้ใสขนาดนั้น มีเงาสะท้อนบ้าง เลยทำให้ดูมัวๆ ถ้าไม่ตั้งใจจ้องจริงๆ ก็ดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่นัก
ด้วยความที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเปิดใหม่ ทำให้มีคนหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวที่นี่กันเยอะมากๆ การรอคิวที่ยาวนานและเจอมารยาทของผู้คนที่นี่ ทำให้เรารู้สึกหมดสนุกไปกับการเที่ยวตั้งแต่ต้นๆ จากภาพคงไม่ต้องบอกว่าถ่ายมุมไหนก็ติดคน และคิดว่าคงมารอบเดียวในชีวิตพอ
เราใช้เวลาอยู่ที่สะพานแก้วไม่นานนัก จากนั้นเราจึงเดินทางมาทานมื้อเย็นกัน
มื้อนี้ที่ดูดีเข้าท่า เห็นจะมีเป็นไก่เสียบไม้อย่างเดียวนอกนั้นธรรมดาๆไปหน่อย
วันนี้ก็ถือว่า ได้มาเที่ยวจริงๆจังๆสักที แต่ที่เบื่อๆคงเป็นช่วงต่อแถวรอคิวเข้าสะพานนี่แหละ
เจอทั้งการแซงคิว ปีนรั้วกั้น ยืนเบียด นั่งบนราวกั้นแล้วเบียดเราแบบไม่สนใจ ตะโกนเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย ขากถุยน้ำลายนี่เจอหมด
ซึ่งวัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่นก็ต่างกันไป อย่างในโรงแรมหรือลิฟท์ ก็ยังมีสูบบุหรี่กันเฉย
บ้านเมืองดูเจริญ แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยเดิมมากนัก
เท่าที่สังเกตุ พฤติกรรมเหล่านี้จะเป็นในช่วงวัยกลางคนขึ้นไป วัยรุ่นยังไม่ค่อยพบเห็น
ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจะหาได้ยาก ถ้าไม่ได้มาเจอกับตัวจริงๆที่นี่
China Trip Day 3-4 จิบชาและชมหยก ไปหมกตัวที่เขาอวตาร เดินเลียบทางกระจกที่ประตูสวรรค์ ชมฉากรักนิรันดร์นางพญาจิ้งจอกขาว
วันที่ 3 ของการเดินทางช่วงเช้าอากาศเย็นสบาย ก็โดนพาไปนั่งฟังบรรยายกันที่ร้านชาก่อน
ซึ่งรอบนี้ทางผู้บรรยายก็จะมีชาดำจากมณฑลหูหนาน อ้างสรรพคุณเรื่องสุขภาพให้ได้ฟังกันอย่างเช่นเคย
ซึ่งราคาใบชาก็แพงใช่เล่นเลยทีเดียวและ เหมือนทางร้านจะรู้ดี รอบนี้หนีไปเข้าห้องน้ำแล้วชิ่งไม่ได้
เพราะ พนักงานดักทางไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส... ยอมทนฟังต่อก็ได้
หลังจากฟังบรรยายเรื่องชาจบ เราก็มาต่อที่ร้านหยก ฟังไปให้จบๆไป บรรยากาศร้านกว้าง
รอบนี้มีลูกเจ้าของร้านมาบรรยายให้ฟัง แรกๆเหมือนไม่ค่อยอยากขาย แต่พูดไปชายคนนี้ก็จิตวิทยาสูงเหมือนกัน โดยทำทีเหมือนพูดไทยไม่เก่ง ใช้ภาษาออกห้วนๆ ให้เราตลกจนตายใจ แต่ลึกๆนี่ ขายเก่งใช้ได้เลย
นอกจากนี้ราคาหยกที่นี่แพงกว่าเมืองไทยแต่ใช้กลยุทธลดราคา จากหลักพันเหลือหลักร้อย
แถมบางชิ้นซื้อ 1 แถม 1 ด้วย ที่ขนาดพนักงานร้านยังทำหน้าแปลกใจ ทำไมลดราคาให้ได้ขนาดนี้
หลังจากทำตามหน้าที่เสร็จ เราก็แวะกินมื้อเที่ยงกัน
สังเกตุมาหลายวัน อาหารที่นี่เน้นรสหวาน มัน เค็ม แต่ไม่มีรสเปรี้ยว พวกเนื้อสัตว์ มันจะค่อนข้างเยอะ
ถ้าเป็นน้ำซุปก็จะจืดไปเลย แต่นาทีนี้ก็ต้องกินกันตายให้ท้องอิ่ม เพราะ เดี๋ยวเราจะขึ้นไปหุบเขาอวตารกัน
ซึ่งไม่ไกลจากโรงแรมที่พัก เดินไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงหน้าทางเข้า
จากจุดนี้เราก็มีตรวจเช็คแสกนกระเป๋ากันปกติ
หลังจากเดินเข้ามาด้านในสักพัก เราก็จะเจอลานกว้าง ต้องระวังให้ดี เพราะ มีแอบหลงไปคนละทาง
จากจุดนี้เลี้ยวซ้ายก็จะเจอลำธารแส้ม้าทอง เมื่อเราข้ามลำธารมาแล้ว ถ้าเลี้ยวขวาตามผู้คนไป
มันจะไปเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติ
หลังจากเดินๆไปแล้วยังไม่รู้สึกว่าขึ้นเขา แถมยังไม่เห็นคณะทัวร์ที่มาด้วยกัน เริ่มรู้สึกแปลกๆ
เลยเดินกลับไปทางเดิม สรุปเราเดินผิดทางมาคนละทิศกันเลย เกือบไปแล้วไหมละ
แต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์กับเส้นทางใหม่ๆ
ซึ่งจริงๆแล้ว เราต้องกลับไปยังจุดลานกว้าง แล้วเดินเยื้องมาทางขวาเพื่อขึ้นรถบัส ที่จะพาเราไปยัง
ลิฟท์แก้วไป่หลง ลิฟท์แก้วสูงที่สุดในโลกถูกสร้างขึ้นบนผาขนาดใหญ่ในอุทยานจางเจียเจี้ย
จากจุดนี้ แนะนำว่าให้พยายามอยู่เป็นคนแรกๆของแถวจะได้เห็นวิวชัดๆ โดยลิฟท์แก้วนี้ มีความสูง 330 เมตร และใช้เวลาเพียง 1 นาทีก็ถึงยอดแล้ว
หลังออกจากลิฟท์มา ด้านซ้ายจะมีระเบียงไม้ที่พอให้เราชมวิวงามๆแบบนี้ให้เห็น
ซึ่งจุดนี้เรายังต้องนั่งรถบัสต่อไปอีกนิด กว่าจะถึงจุดหมายนี่ไม่ใช่ง่ายเลยนะ
จากจุดนี้เป็นระแนงไม้ทอดยาวพร้อมกับทัศนีย์ภาพของขุนเขาน้อยใหญ่สองข้างทาง ซึ่งเป็นฉากหนึ่ง
ในหนังเรื่อง Avatar วิวที่นี่เหมือนได้อยู่ในโลกของเซียนเลยก็ว่าได้
ลิงที่นี่ตัวใหญ่มาก บางตัวก็ไม่กลัวคนนะอย่างตัวนี้นี่เดินบนราวมาแบบชิลๆเลย
มาช่วงนี้ ใบไม้บางส่วนเริ่มมีการเปลี่ยนสีบ้างแต่ไม่ทั้งหมด ถ้าต้นๆเดือน พ.ย. น่าจะมากกว่านี้
สะพานอันดับหนึ่งใต้ฟ้า อีกชื่อว่า เทียนเสี้ยตี้อี้เฉียว ลักษณะเหมือนสะพานเชื่อมต่อกันระหว่างเขาสองลูก
แต่เดิม ก็เป็นเขาลูกเดียวกัน แต่เกิดจากปรากฎการณ์ธรรมชาติ ทำให้หินถล่มลงไปเฉพาะช่วงล่าง
จึงทำให้เกินเป็นเหมิือนสะพานดังที่เห็น
โดยสะพานนี้ถูกใช้ถ่ายทำภาพยนต์หลายเรื่อง และจากจุดนี้เป็นจุดที่ได้มีโอกาสครั้งแรกในชีวิต
กับการบินโดรน หลังจากพยายามเชื่อมต่อถึง 3 ครั้ง
โดยครั้งแรก สัญญาณดาวเทียมต่ำ ไม่สามารถบินได้ (ไม่ควรต่ำกว่า 8 ดวง)อาจเพราะบริเวณดังกล่าวมีผู้คนมุงกันเยอะมาก
ครั้งที่ สอง ขึ้นให้ลงทะเบียนเบอร์โทร ซึ่งต้องใช้เบอร์โทรของจีน และต้องใช้อินเตอร์เนต
ในการเชื่อมสัญญาณ ณ จุดนั้นสัญญาณคือขึ้น E หรือไม่มีเลย
และครั้งที่สาม เราก็สามารถบินได้สักที หลังจากมีสัญญาณเนตในการลงทะเบียน ก็สามารถบินขึ้นฟ้า
ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ด้วยความไม่มั่นใจเลยยังไม่กล้าบินไปไกลมากเท่าไหร่นัก
**ทริคสำหรับใครที่จะบินโดรน ควร calibrate ก่อนทุกครั้งนะ โดรนจะได้ไม่หลงทิศ**
การมาทัวร์มีข้อเสียในเรื่องของเวลา ทำให้ไม่สามารถเก็บภาพได้นาน แค่กว่าจะเชื่อมต่อให้บินได้แต่ละที
ก็กินเวลาไปนานแล้ว แถมภาพที่ได้เป็นช่วงแดดร่มลมตกแดดส่องมาฝั่งตรงบ้ามกับวิวด้านขุนเขา
เลยทำให้ภาพออกมามืดซะอีก T T
แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์การบินโดรนในต่างแดนได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เอาไว้ครั้งหน้าจะทำให้ดีกว่านี
หลังจากเดินทางชมวิวทิวทัศน์เสร็จ เราก็มากินปิ้งย่างเกาหลีกัน หลายๆคนใช้พลังงานไปเยอะ
จึงทำให้มื้อนี้กินกันเกลี้ยง แทบไม่เหลือต่างจากมื้ออื่น รสชาติก็ยังคงเน้นความเค็มไว้
ส่วนน้ำจิ้มยังสู้บ้านเราไม่ไหว ไม่แซ่บจริงๆ ซึ่งหลังจากกินอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็ได้เวลากลับที่พัก
ซึ่งจุดนี้ไกด์จะถามว่า มีใครต้องการเดินถนนคนเดินไหม ทุกคนส่ายหน้า เพราะคาดว่า วันนี้เดินกันเยอะจนเหนื่อย
เลยกลายเป็นว่า เหลือแค่ผมกับพ่อ 2 คน ที่ยังไหว มาเที่ยวทั้งที ก็ต้องไปให้ครบๆ กลับไปค่อยสลบ
ก็ยังไม่สาย เราจึงลงจากรถมาเดินถนนคนเดินกัน
ริมข้างทางจะมีอาหารเสียบไม้ให้เลือกมากมายไม่ว่าจะเป็น หมู ไก่ หมึก หรือเครื่องในดูๆไปก็คล้ายๆ หม่าล่า บ้านเรา แต่ด้วยความที่คนที่นี่เค้าไม่พูดอังกฤษกัน แถมเราก็ฟังจีนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้มันขายยังไง ราคาเท่าไหร่ และยังอิ่มท้องอยู่เลยทำได้แค่มอง
หลังจากเดินริมถนนอยู่สักพัก ก็จะเจอWalking Street ของที่นี่ ใหญ่โตมาก
ของที่ขายด้านในก็มีแทบทุกสิ่งอย่างส่วนใหญ่เน้นไปทางของกิน มีร้านค้า ผับ ร้านนั่งชิล
ระหว่างเดินได้ยินเพลงพี่ป้างในเวอร์ชั่นจีนด้วยนะ
เราใช้เวลาเดินที่นี่ประมาณ 1 ชมครึ่ง ก็คิดว่าคงถึงแก่เวลาอันสมควร กลับโรงแรมนอนกันเถอะ
โดยนั่ง Taxi จากที่นี่ไปถึงที่พัก คาดว่าไม่เกิน 5 กม.ราคา 10 หยวน
วันที่ 4 ช่วงเช้าเราเดินทางไปฟังบรรยายขายของต่อ รอบนี้มาร้านขายที่นอนยางพารา
ขอตัดตอนไปละกันเพราะไม่ใช่สาระสำคัญเท่าไหร่
หลังจากฟังบรรยายเสร็จเราก็แวะกินมื้อกลางวันคือ ชาบูเห็ด รสชาติเหมือน ต้มเห็ดหอม บ้านเรา
ช่วงบ่ายเราเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่คือ เทียนเหมินซาน เพื่อชม "ประตูสวรรค์"
เราจะไปโดยการขึ้นกระเช้ากัน
จุดรอขึ้นกระเช้าก็จะมีตรวจกระเป๋าอีก จะว่าไปที่จีนนี่ค่อนข้างเข้มงวดจริงๆ ซึ่งระหว่างรอต่อแถว
เราจะเห็นการปีนข้ามรั้วแซงคิว ดูจะเป็นเรื่องปกติของที่นี่กว่าจะได้คิวขึ้นกระเช้านี่ก็นานเลยทีเดียว
หลังจากขึ้นกระเช้า เราก็เดินเลียบเขามาเส้นทางน่าหวาดเสียวอยู่เหมือนกัน
ขึ้นมาถึงด้านบน ขอบอกเลยว่าอากาศ หนาวมาก น่าจะต่ำกว่า 15 องศา หมอกหนา แถมลมพัดแรง
โครงการที่จะเอาโดรนมาบินจุดนี้ เป็นต้องพับไปไอ้เราก็ไม่ได้เตรียมเสื้อหนาๆมา ขอบอกเลยว่า
สั่นหงิกๆตลอดทาง
ทางเดินช่วงนี้จะเป็นกระจก ประมาณ 60 เมตร ใครใจไม่ถึงอย่าได้มาลอง ทางที่นี่ดูน่ากลัวกว่าสะพานแก้วซะอีก
สูงไม่เท่าไหร่ แค่ 1400 เมตรจากระดับน้ำทะเลเอง หล่นไปก็บ๊ายบาย
ทางลงที่นี่ น่าเหลือเชื่อมากๆ เพราะที่นี่เขาเจาะเขาทำบันไดเลื่อนในอุโมงค์กันเลย ซึ่งกว่าจะถึงข้างล่างต้องลงบันไดเลื่อนวนไปประมาณ 5 รอบได้
เมื่อมาถึงด้านล่าง คนเยอะมากจริงๆ ทำให้ไม่มีมุมถ่ายสวยๆเลยสักที แถมเวลานี้ก็เย็นแล้ว
แสงน้อยลงจนเกือบจะมืด และยังต้องรีบขึ้นรถบัสให้ทัน เลยจำใจถ่ายมาได้พอประมาณ
กลับลงเมืองข้างล่างกัน
หากแต่ขากลับ เราไม่ได้นั่งกระเช้าเหมือนเดิม แต่จะไปสัมผัสถึงความมันส์กันแบบสุดๆ ด้วยการนั่งรถบัส ผ่าน 99 โค้งสุดระทึก ซึ่งดูแล้วก็น่าหวาดเสียวไม่ใช่เล่น จุดนี้แนะนำว่าให้กินยาแก้เมารถกันไว้ก่อน
เพราะ เส้นทางนี้จะโคลงเคลงสุดๆเหมือนนั่งรถไฟเหาะ ด้วยทางโค้งหักศอกแทบจะตลอดเส้น
แถมเลนยังแคบสุดๆ ทำให้การนั่งรถครั้งนี้แทบจะหยุดหายใจ มือต้องจับราวที่พนักพิงด้านหน้าตลอด
นั่งกันตัวเกร็งสุดๆ คนขับต้องมีอาชีพดริฟท์รถมาก่อนแน่ๆ
หลังจากลงจากประตูสวรรค์ ก็มาชมการแสดงโชว์กันเรียกว่า โชว์นางพญาจิ้งจอกขาว
The Love Story of a Woodenman and a Fairy Fox
โชว์นี้เป็นโชว์กลางแจ้ง ซึ่งบรรยากาศในช่วงนั้นดูฟ้าครึ้มๆ ซึ่งทางผู้จัดก็มีการแจกเสื้อกันฝนให้ฟรี
ซึ่งการแสดงนี้จะไม่หยุดแม้ว่าฝนจะตกถือว่าทุ่มเทกันจริงๆ
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับความรักของนางพญาจิ้งจอกขาวที่มีต่อชายผู้เป็นที่รัก ต้องพลัดพรากจากกัน
ทั้งที่ยังรักกัน ทั้งสองฝ่ายต่างถูกกีดกันจากฝั่งมนุษย์ และฝั่งจิ้งจอก จนเวลาผ่านล่วงไปนาน สวรรค์เห็นใจ
จึงบันดาลให้ทั้งคู่ได้เจอและลงเอยกันด้วยดี
พร็อตเรื่องก็จะประมาณนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ ฉากที่มีกลไกซ่อนอยู่ แสง สี เสียง น้ำพุ น้ำตก
หน้าผา ที่สามารถขยับได้ ช่วยเพิ่มสีสันให้การแสดง และฉากหลังที่เปิดกว้าง ความอลังการงานสร้าง
ของเวทีนั่นเอง
China Trip Day 5-6 ชมภาพปักเหมือนจริง แล้วไปชอปปิ้งที่หวงซิงลู่
วันที่ 5 ในช่วงเช้ามาชมศูนย์หัตถกรรมผ้าไหม ปักเซียงซิ่ว ซึ่งเป็นการปักผ้าเป็นลวดลายต่างๆ บางรูปสวยงามเหมือนภาพวาด ทำได้เหมือนมากจนไม่น่าเชื่อว่าคือภาพปักจริงๆ
ที่เห็นนี่คือการปักด้วยเส้นด้ายทั้งสิ้น เป็นงานฝีมือที่ต้องใช้เวลา+ความละเอียดอ่อนช้อย ความอดทน
จึงออกมาได้สวยงามเหมือนภาพวาดคนจริงๆ
หลังจากชมความงามของงานฝีมือไปแล้วเราก็มายังถนนคนเดิน หวงซิงลู่ ที่นี่เปรียบเสมือนแหล่งชอปปิ้ง
ของวัยรุ่น ใหญ่โตมากๆของที่นี่ก็จะมีเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า โทรศัพท์ และของแบรนด์เนมต่างๆ
นอกจากนี้ก็ยังมีร้านอาหาร ได้ลองทาน เต้าหู้เหม็น ร้านขึ้นชื่อของที่นี่ ราคาถ้วยเล็ก 10 หยวน
ได้ประมาณ 6-7 ชิ้น น้ำจิ้มแซ่บเหมือนบ้านเราส่วนเต้าหู้จะกรอบนอก นุ่มใน อันนี้อร่อยให้ผ่านฮะ
ระหว่างนี้ เราใช้เวลาเดินเล่นชมเมืองไปพลางๆ เพราะส่วนตัวเป็นคนไม่ค่อยซื้อของอะไรกลับบ้าน
แถมกระเป๋าก็ไม่มีช่องว่างอะไรให้ใส่ของอีกแล้ว เราจึงนั่งรอฆ่าเวลาไปเรื่อยจนกลับโรงแรม
สิ่งที่ชอบทำเวลาไปต่างประเทศจริงๆ คือ การหาของกินมากกว่า ซึ่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ก็เป็นหนึ่งในสินค้าที่กินประจำ ราคาถ้วยนี้ อยู่ที่ 6-7 หยวนนี่แหละ น่าจะเป็นรสเนื้อวัว
ส่วนรสชาติต้องยกนิ้วให้เลย ตัวเส้นจะเป็นหมี่ขาว มีความเหนียวนุ่มละมุมลิ้นส่วนน้ำซุปก็เข้มข้นกลมกล่อม
แต่เนื้อที่แถมมา ชิ้นเล็กมากจนไม่รู้สึกว่ามีถ้ามีใส่เพิ่มเองได้น่าจะแจ่มกว่านี้
ส่วนวันที่ 6 ถือเป็นวันเดินทางกลับไม่มีภารกิจอะไรนอกจากนั่งรถไปสนามบิน
สำหรับรีวิวการเที่ยวจีนก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้หากมีอะไรขาดตกบกพร่องไปบ้างต้องขออภัย
ครั้งหน้าถ้ามีประสบการณ์เดินทางไปประเทศไหนอีกจะมาเล่าสู่กันฟังนะฮะ
ขอบคุณที่ติดตามครับ^^
Freeman Rider
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 15.52 น.