ทริปนี้เดินทางเมื่อ 4 มิ.ย. - 9 มิ.ย. 2561
Day 0 - เดินทางสู่ญี่ปุ่น Narita Airport
Day 1 - เที่ยวเมือง Tokyo ย่าน Shibuya / Harajuku / Shinjuku
Day 2 - เที่ยวย่าน Asakusa / ตลาดปลา Tsukiji / Akihabara / Ueno
Day 3 - Hakone
Day 4 - Hakone / Shinjuku / Kabukicho
Day 5 - Yokohama / Akihabara
Day 6 - บินกลับไทย
การเตรียมตัว
โตเกียวช่วงนี้ อากาศไม่ร้อนไม่หนาว อุณหภูมิในช่วงเช้า ราวๆ 25-27 องศา
แดดแรงหน่อย แต่มีลมพัดตลอดเวลา
ส่วนช่วงเย็น อากาศจะเย็นลง ราวๆ 19-20 องศา ใส่ชุดธรรมดา ก็ยังสบายๆ
ค่าใช้จ่าย
ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ (จองล่วงหน้า 2 เดือน) ดอนเมือง - โตเกียว 5,382 บาท
แลกเงินไป 14,500 บาท จาก Superrich ได้ 50,000 เยน (เรท ¥100 = ฿29)
ค่าที่พัก ราคา x 2 คน
คืนที่ 1-2 Anne Hostel Yokozuna ราคา 1,920 บาท (2 วัน)
คืนที่ 3 K's House Hakone ราคา 1,687 บาท (1 วัน)
คืนที่ 4-5 Japanize Guest House ราคา 1,930 บาท (2 วัน)
Sim Net ใช้ Sim2fly ของ Ais ราคา 399 บาท ซื้อที่ไทยก่อนออกเดินทาง
จากการใช้งานถือว่าโอเครในระดับนึง แต่ถ้าอยู่ใต้ดินจะจับสัญญาณไม่ค่อยได้
ถ้าอยู่ใต้สะพานหรือที่มีเหล็กเยอะๆ GPS ตำแหน่งก็จะไม่ตรง ทำเอาเดินผิดทางไปหลายทีอยู่เหมือนกัน
Day 1 - เที่ยวเมือง Tokyo ย่าน Shibuya / Harajuku / Shinjuku
เดินทางจากสนามบินดอนเมือง บินประมานตี 1
ถึงสนามบิน Narita 9 โมงเช้า 1 มิ.ย. (เวลาญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชม.)
มาถึงสนามบินสิ่งแรกที่เราต้องทำคือ หาซื้อ Tokyo Subway
บัตรใบนี้สามารถใช้ขึ้นรถไฟใต้ดิน Metro Line ภายใน Tokyo ได้ทุกสาย
โดยสามารถหาซื้อได้ที่ทางออก Lobby B จะมีเคาเตอร์ของ Keisei Bus อยู่
โดยจะมี Tokyo Subway 48 ชม. ราคา ¥1200 สามารถใช้ได้ 48 ชม.
นับเวลาการใช้ตั้งแต่เริ่มใช้บัตรที่สถานี ซึ่งแพลนรอบนี้ เราซื้อคนละ 2 ใบ รวมเป็น ¥2400
การเดินทางจากสนามบิน Narita - Tokyo รอบนี้ เราใช้รถไฟ Narita sky access line ราคาตั๋วอยู่ที่ ¥1170 เป็นรถไฟธรรมดา ผ่านสถานีหลักๆ ในเมืองโตเกียวที่นั่งภายในขบวนรถไฟนี้เป็นแบบหันหน้าเข้าหากันใช้เวลานานกว่าแบบอื่นๆ แต่ราคาประหยัดกว่า และไม่มีที่เก็บกระเป๋า
มาถึง Tokyo ประมาณเที่ยงครึ่ง
ที่แรกที่เราตั้งใจไปคือ ร้าน Taiko Chaya เป็นร้านบุฟเฟ่ปลาดิบ (ร้านเปิดเวลา 11.30-14.00 น.)
ในราคาเพียง ¥1300/คนเท่านั้น โดยร้านนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Asakusabashi เดินไปราวๆ 450m จากสถานี
ภายในร้านมีปลาแซลมอน ทูน่า หอยเซล ปูอัด ไข่กุ้ง ปลาหมึก สาหร่าย ซุปมิโสะ ฯลฯ
และเครื่องเคียงต่างๆ จากที่ได้ลองก็ถือว่าคุณภาพตามราคา แซลมอลดูเป็นเศษๆไปหน่อย
ไข่กุ้งเค็มเกินไป แต่ทูน่าชิ้นใหญ่จริง ราคานี้ ถือว่าถูกในญี่ปุ่นแล้ว
หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อย เราเดินทางเข้าที่พักไปเก็บของกันก่อนจะออกมาแรดกัน
โดยที่พักเราอยู่แถวสถานี Ryogoku ชื่อว่า Anne Hostel Yokozuna ราคา ¥6,400 (พัก 2 วัน)
สำหรับที่พัก ถือว่าค่อนข้างดี มีแอร์ น้ำอุ่น ลิฟท์ ครัว และอยู่ใกล้สถานีรถไฟ
ใกล้ๆมีร้านสะดวกซื้ออยู่หลายที่ 7-11 Family Mart มีร้านราเมง ร้านขนมปัง
หลังเก็บของเรียบร้อย เราออกเดินทางไปจุดหมายแรก Harajuku เดินเล่น Takeshita Street
เป็นถนนคนเดิน ย่านวัยรุ่นของญี่ปุ่นเค้าละ ภายในซอยคนแออัดกันสุดๆ
ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นสาวๆ ม.ต้น - ม.ปลาย มาเดินช้อปปิ้งกัน
จากนั้นเราเดินมาที่ ตึกกระจก Tokyo Plaza กลางสี่แยก Jingu-Mae
บริเวณทางเข้าประดับกระจกตัดหลายชิ้นสะท้อนกันไปมา ดูแปลกตาดี
และอีกจุดสำคัญ ถ้าไม่มาถือว่ามาไม่ถึง ห้าแยก Shibuya ในตำนาน
สุดท้ายของวันนี้ เราแวะมาถ่ายรูปวิวตึกยามค่ำคืนที่ World Trade Center Building Observatory
โดยตึกนี้อยู่ไม่ห่างจากสถานี Daimon เสียค่าขึ้นตึก ¥620 (ถ้าพก Brochure มาด้วยลดเหลือ ¥500)
เป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูป ที่สามารถมองเห็นวิว Tokyo ได้ 360 องศา
หลังจากใช้เวลาอยู่ที่นี่จนราว 2 ทุ่ม ก็กลับออกมาเพื่อหามื้อเย็นกินกัน
เดินแถวๆสถานีมีหลายร้าน แต่ยังไม่ถูกใจ เลยกลับที่พัก เดินตระเวรแถวนั้นดู
บังเอิญเจอร้านนึง อยู่ด้านหลังที่พักนี่เอง เป็นร้านขายราเมง เอาร้านนี่แหละ
วิธีสั่งอาหารที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะใช้ตู้หยอดเหรียญ บางร้านก็จะมี English Menu ให้
แต่ร้านนี้ไม่มี โชคดีมีลูกค้าในร้านช่วยอธิบาย แต่ก็ยังงงๆ ก็เลยเลือกเอาอันกลางๆมาลองดู
ชามนี้ราคา ¥850 เส้นเหนียวนุ่ม อร่อยใช้ได้เลย อีกชามไม่ได้ถ่ายรูป แต่เป็นราเมงน้ำซุปกลมกล่อมดี
Day 2 - เที่ยวย่าน Asakusa / ตลาดปลา Tsukiji / Akihabara / Ueno
เริ่มต้นมื้อเช้าด้วย อาหารกล่อง 7-11 ที่นี่มีที่ให้นั่งกินในร้านด้วย มื้อนี้หมดไปประมาณ ¥1000
จากนั้นขึ้นรถไฟที่สถานี Ryogoku นั่งสาย Oedo Line ไปลงสถานี Kurame
เพื่อต่อสาย Asakusa Line เดินประมาณ 500m ก็จะถึงวัด Sensoji
**แนะนำควรมาก่อน 9 โมงเช้า เพราะเป็นช่วงที่คนยังน้อยอยู่ ถ้ามาหลังจากนี้ คนเพียบแน่นอน**
ถ้าหลัง 9 โมง คนก็จะเยอะๆหน่อย
จากนั้นไปยังจุดหมายต่อไป "ตลาดปลาสึกิจิ" โดยขึ้นรถไฟสถานีเดิม นั่งสาย Asakusa Line
ลงสถานี Ningyocho ต่อสาย Hibiya Line ลงสถานี Tsukiji ก็จะถึงตลาดปลา สึกิจิ
ตลาดปลาที่นี่ ของกินขายเยอะมากกกกกกกกกกก แต่ละอย่างดูน่ากินทั้งนั้น
แต่เท่าที่ดู ราคาแพงกว่าที่อื่นๆ
หอยนางรม ชิ้นละ ¥560 ตีเป็นเงินไทยก็ 162 บาท
หอยเชลล์ ไม้ละ ¥500 ตีเป็นเงินไทยก็ 145 บาท
ไข่หอยเม่น มีหลายขนาดให้เลือกกิน ตั้งแต่ ¥500 ¥1000 ¥1500 ¥2000
ได้ลองกินไม้นี้ไม้เดียว ราคา ¥250 รสชาติเหมือนขนมชั้น ที่โรยด้วยผงชาเขียว
กับอีกอย่างที่ลองสั่งมากินดู Takoyaki อยู่ฝั่งตรงข้ามตลาดปลา ราคา ¥470 รสชาติก็พอใช้ได้
ถ้าให้อร่อยจริงๆ ต้องไปกินที่ Osaka แถบนั้นยอมรับว่าอร่อยจริง
จากตลาดปลา นั่งรถไฟสาย Hibiya Line ไปลง Akihabara ก็จะมาโผล่หน้า Yodobashi พอดีm ในนี้ส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ราคาแพงกว่าบ้านเราอยู่เยอะเหมือนกัน
เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ ก็มาถึงโซน Akihabara ของที่นี่ เป็นเกมส์ โมเดล การ์ตูน ฯลฯ เดินทั้งวันก็ไม่หมด ใครสายนี้มาไม่มีเบื่อแน่นอน
ระหว่างเดิน ก็จะเจอน้องเมทคาเฟ่ร้านนี้ คอยแจกใบปลิวร้านอยู่ตลอด เดินไปที่ไหนก็เจอ ร้านนี้ดังมาก เฉพาะโซนๆนี้ มีไม่น่าต่ำกว่า 5 สาขาละ
เดินมาโซนบนหน่อย ก็จะเจอ AKB48 Cafe หน้าร้านมีรูปรวมเหล่า AKB48 จากหลายๆประเทศ แน่นอนมี BNK48 ด้วยนะ
เดินจนเริ่มเมื่อย บวกกับใกล้เที่ยงแล้ว เราเลยไปหามื้อเที่ยงที่ Ueno กัน
ร้านนี้ชื่อ ร้าน Minatoya อยู่ในตลาด Ameyoko เปิด (11.00-19.00) จะมีขายข้าวหน้าปลาดิบหลากหลายแบบ แถมราคาถือว่าถูก ปริมาณเยอะจุใจ ถ้าเทียบกับที่ตลาดปลาสึกิจิ บอกเลยว่ามากินที่นี่คุ้มกว่าเยอะ อ่อ มีภาษาไทยให้อ่านด้วยนะ!
เมนูที่สั่งมาประเดิม คิอ ข้าวหน้าปลาดิบ มี แซลม่อน ทูน่า กุ้ง ไข่หอยเม่น หอยเชลล์ ไข่ปลา สนนราคาจานนี้แค่ ¥1000 เท่านั้น!
หอยเม่นตัวเบ้อเริ่ม กินกันจุใจเลย
ข้าวหน้าปลาไหล ¥1000 อีกเมนูที่พลาดไม่ได้ ส่วนน้ำดื่มมีชาบริการตัวเองฟรี
นอกจากนี้ยังมี Takoyaki ขายอีกในราคา 4 ลูก แค่ ¥200 (มีปลาหมึกแห้ง สาหร่าย เติมได้ฟรีอีกด้วย)
มื้อนี้อิ่มจุใจ เดี๋ยวต้องมีมาซ้ำอีกรอบแน่นอน
หลังกินอิ่ม เราเจอร้านนึงน่าสนใจ Hobby-off สาขา Ueno
ร้านนี้เป็นร้านขายของมือสองหลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็น เครื่องใช้ไฟฟ้า กล้อง นาฬิกา เครื่องดนตรี เกมส์ โมเดล ตุ๊กตา ฯลฯ
สภาพดีในราคาถูกมากๆ
ตุ๊กตา พวงกุญแจ ราคาอยู่ที่ราวๆ ¥100 - ¥300 เท่านั้น
สภาพส่วนใหญ่ ยังดูใหม่ๆอยู่ นอกจากนี้ก็มีพวกโมเดล ราคาย่อมเยาว์
ทั้งแนวโมเอะ ไปยัน โรบอท กันดั้ม ราคามีตั้งแต่ ¥500 ขึ้นไป บางตัวถูกมาก สภาพดีๆก็มีเยอะ
บางตัวชิ้นส่วนไม่ครบ แต่สภาพยังพอไหวอยู่นะ
เราใช้เวลาอยู่ร้านนี้นานเลยทีเดียว
จากนั้น เราแวะสถานี Tokyo ไปถ่ายรูปวิวโตเกียวยามค่ำคืน ที่ตึก kitte
จุดนี้ขึ้นฟรี หากแต่ห้ามใช้ขาตั้งกล้อง แต่ก็พอจะวางกล้องตรงแถวๆราวกั้นได้นะ
แต่อย่านาน เพราะ ยามจะมาเตือนอยู่เรื่อยๆ
หลังชมความงามยามค่ำคืนของโตเกียวจนดึก
เราก็บังเอิญเดินผ่านเจอร้านราคาถูกแถว hongo-sunchome ระหว่างทางกลับ
แต่ไม่มี English menu เลยลองเสี่ยงดวงสั่งอาหารแบบสุ่มกับเงินที่มีอยู่ ¥450
สรุป เราได้หมี่เย็นพร้อมน้ำซุป 2 แบบ ซ้ายน่าจะเป็นซุปถั่ว ขวาเป็นโชยุ
เสียดายไม่มีเนื้อสัตว์ ส่วนรสชาติถือว่าโอเคร เส้นให้เยอะมาก
Day 3 - Hakone
เช้านี้เรามาที่สถานี Shinjuku เพื่อที่จะเดินทางสู่ Hakone
โดยขั้นแรกเราต้องมาซื้อตั๋วสำหรับขึ้นรถไฟที่สถานีนี้ที่ Odakyo Sight seeing service center
Hakone Free Pass ราคา ¥5140 ใช้ได้ 2 วัน โดยตั๋วใบนี้ สามารถใช้เดินทางในฮาโกเน่ได้ฟรี
รถไฟ เรือ กระเช้า รถบัส ช่วยประหยัดความยุ่งยากไปได้เยอะเลย
เราเดินทางด้วยรถไฟ ใช้ระยะเวลาราว ชม.กว่า มาลงสถานี Odawara
จากนั้นจึงต่ออีกสายไปลงสถานี Hakone-yumoto
มาถึงสถานีแล้ว ก็ข้ามไปฝั่งตรงข้ามไปป้ายรถเมล์
ป้ายรถเมล์ที่นี่ จะมีแบ่งแยกชัดเจนว่า สายไหน ผ่านป้ายไหน และมีชื่อกำกับไว้อย่างละเอียด
โดยที่พักวันนี้เราต้องนั่งสาย K เพื่อไปลงป้าย Dino-Chaya ต้องขึ้นป้ายหมายเลข 4
K's House Hakone ราคา 1,687 บาท เป็น Hostel แบบนอนรวม
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมี ออนเซ็น ทั้งแบบ Indoor และ Outdoor ให้แช่กันด้วยนะ
โชคดีมากที่วันนี้คนน้อย ทำให้เราได้นอนห้องพักแบบเดี่ยวสบายๆ ไม่มีคนอื่นให้รบกวน
หลังจากเก็บของเรียบร้อย เราก็ดูตารางเวลารถบัสของที่นี่
เราขึ้นรอบ 12.14 เพื่อเดินทางไป MotoHakone-ko ไปชมทะเลสาป Ashi Lake กัน
(*เนื่องจากวันแรกที่ไป ฝนตกตลอดทั้งวัน มีหมอกบดบังทัศนียภาพ
ทำให้ไม่ได้ภาพสวยๆเท่าไหร่ เราจึงตัดสินใจไปซ้ำอีกทีในวันที่สอง โชคดีมากที่ฝนไม่ตก)
จากจุดที่ลงรถบัสนั้นเดินอีกราวๆ 800m เพื่อไป ศาลเจ้าชินโต
บริเวณที่มี โทริอิแดงริมทะเลสาป ที่เห็นในภาพนั่นแหละ
จากนั้นกลับมาจุดเดิม เตรียมขึ้นเรือโจรสลัด ไปยัง Togendai Station
วันแรกที่ฝนตก ท้องฟ้ามืดหม่นผิดกับวันที่สองมากๆ แต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เราก็มาถึง Togendai Station จากจุดนี้ ปกติต้องขึ้นกระเช้า
แต่เนื่องด้วยปิดปรับปรุงอยู่ เราจึงต้องขึ้นรถบัสเพื่อไปต่อยัง Owakudani station
วันแรกที่มาถึง หมอกปกคลุมทั่วพื้นที่ มองไม่เห็นอะไรเลย
ของขึ้นชื่อที่นี่คือ ไข่ต้มภูเขาไฟ ราคา ¥500 ได้มา 5 ฟอง
เปลือกสีดำ อยากรู้จังว่ารสชาติเป็นยังไง ........ ก็เหมือนไข่ต้มธรรมดานี่แหละ
ใกล้ๆกันมีร้านขายของที่ระลึก หันไปเจอเบียร์คราฟ ¥300 ขอลองสักหน่อย รสชาติเบียร์อ่อนๆไม่ขม มีรสเปรี้ยวจากส้มแซมๆมา กลิ่นหอมละมุน จัดว่าดีงาม
เก็บตกบรรยากาศวันแรก So sad ที่ไม่เห็นอะไรเลย
จากนั้นก็ตัดสินใจกลับ เพราะต้องคำนวนเวลารถบัสที่จะกลับถึงที่พักด้วย
จากจุดนี้ เรานั่งกระเช้าลงไปยังสถานี Gora
แล้วนั่งรถรางกลับไปสถานี Hakone-Yumoto เพื่อต่อบัสสาย K อีกทีเพื่อกลับที่พัก
แต่ทว่า ... เรามาช้าไป
รสบัสสาย K รอบสุดท้ายคือ 16.40 เรามาถึงสถานีก็ 5 โมงกว่า เอาไงดีล่ะเนี่ย
ฝนก็ยังตกไม่หยุด รถบัสก็หมด จะนั่ง Taxi ก็แพง
ดูจากสถานีไปที่พักก็ราวๆ กม. กว่าๆ งั้นเดินไปละกัน ถือว่าสำรวจเส้นทางไปด้วย
ระหว่างทางกลับ เจอร้าน Hatsuhana Soba Shinkan หลบอยู่ในซอกซอยนึง
ใจจริงก็ไม่ได้อยากกินโซบะ เลยเดินไปอีกทางเพื่อจะไปร้านราเมง
แต่มันดันปิด เราจึงต้องย้อนกลับมา
ชามนี้ ราคา ¥800 ได้ซดน้ำซุปร้อนๆท่ามกลางบรรยากาศฝนตก ถือว่าเยี่ยม!
ชามนี้เป็นโซบะแกงกระหรี่ รสชาติเข้มข้น ราคา ¥950
วันนี้ก็เดินกลับที่พัก ทางชันเยอะอยู่นะ แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก
ไปนอนแช่ออนเซ็นให้สบายตัว ถ้าพรุ่งนี้อากาศดี เราจะกลับไปเยี่ยมอีกที
Day 4 - Hakone / Shinjuku / Kabukicho
โชคดีมากๆ ที่วันนี้อากาศเป็นใจ ท้องฟ้าแจ่มใส มองเห็นฟูจิเต็มตา
เราใช้เวลาช่วงนี้ซึมซับบรรยากาศ ซื้อแซนวิส ขนมปัง จาก 7-11 ใกล้ๆ
นั่งกินพร้อมมองดูวิวไป ชื่นใจสุดๆ
เราใช้เวลาช่วงนี้ซึมซับบรรยากาศ ซื้อแซนวิส ขนมปัง จาก 7-11 ใกล้ๆ
นั่งกินพร้อมมองดูวิวไป ชื่นใจสุดๆ
แถมวันนี้ได้ขึ้นเรือลำใหญ่กว่าเมื่อวาน อากาศดีผิดกับเมื่อวานลิบลับ
จากที่นั่งกระเช้าเมื่อวาน เห็นแต่หมอก มาวันนี้ วิวชัดเจน
Okuwadani ตรงจุดนี้อยู่ใกล้กับภูเขาไฟ จะมีควันและไอน้ำปะทุจากพื้นตลอดเวลา
ได้กลิ่นกำมะถันมาเป็นระยะๆ
จากนั้นก็เดินทางกลับ Shinjuku ไปเก็บของที่พักใหม่ อยู่ใกล้กับสถานี Kodemmacho
เราพักที่ Japanize Guest House ราคา 1,930 บาท (2 วัน)
สำหรับที่พักที่นี่ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ พื้นที่คับแคบ แถมไม่มีลิฟท์ ต้องเดินขึ้นบันไดเอา
พักชั้น 4 ห้องอาบน้ำอยู่ชั้น 2 นอกนั้นก็พอไหวอยู่
จากที่ตอนแรกแพลนว่าจะไป Yokohama ต่อ แต่ดูเวลาแล้วกลัวจะถึงดึกเดินไป
เลยเปลี่ยนเป็นเที่ยว Shinjuku อีกรอบละกัน แวะ bunkyo civic center ขึ้นไปถ่ายรูปวิวโตเกียวอีกมุม (ห้ามใช้ขาตั้งกล้อง แต่มีโต๊ะวางได้)
จากนั้นเราแวะทานมื้อเย็นที่ Ichiryu
ร้านนี้เวลาสั่งอาหารต้องเลือกใน tablet ดูไฮเทคมาก แต่ทำไมไม่มีภาษาอังกฤษ!
ต้องอาศัยดูรูป+ราคา สั่งเอา
ข้าวผัด ราคา ¥580 รสชาติเหมือนข้าวผัดหนามเลี๊ยบบ้านเรา
ชามนี้ราคา ¥730 น้ำซุปเข้มข้นดี รวมเบ็ดเสร็จ หมดไป ¥1310
จากนั้นแวะเดินย่านบันเทิงกลางคืน Kabukicho ย่านนี้ส่วนใหญ่ก็ร้านอาหาร
ร้านบันเทิงของเหล่าท่านชาย อาบอบนวด อะไรประมาณนี้แหละ รูปเลยไม่ค่อยได้ถ่ายมาเท่าไหร่
Day 5 - FreeTime/Yokohama / Akihabara
ช่วงเช้าเราแวะหาอะไรกินแถวที่พัก
ร้าน Yoshinoya ข้าวหน้าเนื้อ ร้านนี้เปิด 24 ชม. และราคาประหยัด
เซตนี้ราคา ¥450 เท่านั้น
วันนี้ช่วงเช้าเลยตัดสินใจมาดูร้านขายอุปกรณ์ มอเตอร์ไซค์ ชื่อดังของที่นี่
Ricoland ซึ่งอยู่แถวๆ Tokyo Bay (ร้านเปิด 11.00 นะ)
อยากรู้ว่าของที่นี่ราคาเท่าไหร่เป็นยังไงบ้าง
สำหรับใครที่อยากรู้บรรยากาศเป็นยังไง เข้าไปดูรูปได้ที่ลิ้งนี้ครับ (รูปเยอะมาก)
หลังจากเดินชมบรรยากาศในร้านจนเวลาเที่ยงกว่าๆ
ก็ไปหาอะไรกินที่ร้าน Minatoya แถว Ueno เช่นเดิม
รอบนี้คนมาร้านเยอะมาก เลยทำให้รออยู่นานกว่าจะได้กิน
แถมรู้สึกว่า ไข่หอยเม่นมีกลิ่นคาว ผิดกับวันแรกที่มากิน แอบผิดหวังเล็กๆ
จากนั้นเราเดินไปสถานี Ueno ซื้อตั๋วรถไฟไป Yokohama ¥550 เยน
ใช้เวลาเดินทางประมาณ ชม.กว่าๆก็มาถึง Yokohama
จากนั้นเดินข้ามสะพานมาถ่ายรูปวิวที่ Minato Mirai 21
จุดนี้เราใช้ขาตั้งกล้องตั้งถ่าย Timelape ไว้อยู่นาน
แต่ด้วยที่นี่เป็นพื้นไม้บวกกับมีคนเดินอยู่ตลอดเวลา ทำให้สุดท้ายภาพก็สั่น T-T
วิวยามค่ำคืนได้มาประมาณนี้แหละ
หลังจากนั้นก็เดินทางกลับ Tokyo แวะหามื้อเย็นทานแถว Akihabara
เจอร้าน Yaro Ramen ว่ากันว่าร้านนี้ ต่างชาติมากินกันเยอะ แต่ไหงไม่มี English Menu ละเนี่ย
ชามนี้ราคา ¥850 ให้เยอะพอสมควร สังเกตลูกค้าคนอื่นๆ
บางคนได้แบบพูนชาม ไม่รู้ต้องสั่งยังไง แต่แค่นี้ก็เยอะแล้วละ
Day 6 - บินกลับไทย
วันนี้เดินทางกลับแต่เช้า นอนตี 2 ตื่นตี 5 เดินหาร้านอาหารแถวที่พัก เจอร้านนึงเปิด 24 ชม.
แถมราคาย่อมเยาว์มากๆ ชื่อร้าน Sukiya
เซตนี้ราคาแค่ ¥390 เท่านั้น ได้ข้าว ซุปมิโสะ ปลาซาบะ มันบด ผักเครื่องเคียง ไม่หนักท้อง กำลังดี
จากนั้นรีบนั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานีโตเกียว เพื่อซื้อตั๋วนั่งรถุบัสไปสนามบิน ราคา ¥1000 เท่านั้น
มีที่เก็บกระเป่า นั่งสบายกว่ารถไฟแถมถูกกว่าด้วย ใครจะเข้าเมืองแนะนำวิธีนี้ดีกว่าเยอะ
ก็ถือว่าจบวันสุดท้ายในญี่ปุ่น กับทริป 6 วัน 5 คืน ถือว่าได้สัมผัสชีวิตของคนในโตเกียวแบบเรียลลิตี้
ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าสู่กันฟังใหม่
สรุปค่าใช้จ่ายในทริปนี้
ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ดอนเมือง - โตเกียว 5,382 บาท
Sim Net ใช้ Sim2fly ของ Ais ซื้อที่ไทยก่อนออกเดินทาง 399 บาท
ค่าที่พัก ราคา/คน
คืนที่ 1-2 Anne Hostel Yokozuna (2 วัน) 960 บาท
คืนที่ 3 K's House Hakone (1 วัน) 843 บาท
คืนที่ 4-5 Japanize Guest House (2 วัน) 965 บาท
ค่าอาหาร น้ำ กินเที่ยว ตั๋วเดินทาง 30,000 เยน (ตลอดทริป) 8,700 บาท
เหลือกลับ 20,000 เยน ประมาณ 5,800 บาท
สรุปใช้เงินไปราวๆ 17,249 บาท
ขอบคุณที่ติดตามฮะ
Freeman Rider
วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 15.00 น.