เช้าแรกในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของพวกเราเป็นเช้าที่แปลกประหลาดกันสักนิดค่ะ เพราะตอนที่เราไปเยือนที่นั่นย่างเข้าสู่ฤดูร้อนทำให้ท้องฟ้าที่นี่สว่างโร่ปลุกพวกเราให้ตื่นกันตั้งแต่ตีสองครึ่ง เล่นเอางงๆ กันเล็กน้อยเพราะเพิ่งจะนอนหลับกันไปได้เพียงสักครู่ ดีที่ว่าพวกเรางีบหลับกันมาระหว่างการเดินทางอันยาวนานจึงไม่ได้รู้สึกเพลียอะไร จึงตื่นกันแต่เช้า ราวๆ ตีสี่กว่าๆ ก็ตื่นมานั่งพูดคุย จัดการอาหารเช้า นั่งคิดแผนเที่ยวกันว่าวันนี้จะไปไหนกันได้บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องรอให้ Host เอาพาสปอร์ตของเรากลับมาคืนพร้อมเอกสารลงทะเบียนวีซ่าที่ไปจัดการมาให้เรียบร้อย ไม่งั้นก็คงไม่อาจเบาใจไปเดินเที่ยวหัวหกก้นขวิดกัน ก็จริงอยู่ที่การตรวจนั้นเป็นการสุ่มตรวจ เราอาจจะไม่เจอเจ้าหน้าที่เรียกตรวจก็ได้ แต่การมาต่างถิ่นแบบนี้ก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยง หากเกิดอะไรขึ้น จะคุยกับเจ้าหน้าที่รู้เรื่องหรือเปล่ายังไม่รู้เลย

เช้าวันนั้นเราจึงไม่อาจไปไหนได้ไกล จึงได้แค่เดินออกไปสำรวจรอบๆ ที่พักเพราะเมื่อคืนมาค่ำมืดดึกดื่นจนไม่เห็นเลยว่ารอบๆ ที่พักเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้เห็นว่าแม้ที่พักเราจะผ่านการรีโนเวทภายในจนใหม่กิ๊ก แต่เมื่อก้าวออกจากห้อง เราก็พบว่า ที่พักของเราอยู่ในตึกโบราณที่น่าจะมีอายุขัยไม่น้อยตึกหนึ่ง น่าจะเป็นกลุ่มที่พักอาศัยซึ่งตรงกลางเป็นเพื้นที่สีเขียวอย่างสวนสาธารณะและสนามเด็กเล่น โดยรอบค่อนข้างเงียบสงบ ไม่วุ่นวายดี นับเป็นที่พักที่ทำเลที่ตั้งใช้ได้แห่งหนึ่งทีเดียว การไปมาก็นับว่าสะดวก เพราะเดินไม่ไกลนักก็จะถึงสถานีรถไฟใต้ดิน และจากการสำรวจรอบๆ มีซุปเปอร์มาร์เก็ตให้เราจับจ่ายได้ 24 ชั่วโมงด้วยแค่นี้ก็สบายที่สุดแล้ว

แค่บันไดทางขึ้นก็เห็นได้ชัดถึงความโบราณ

ประตูทางเข้าที่พักของเราค่ะ เมื่อคืนมองไม่เห็นอะไรเลย

มีดอกไม้สวยๆ ที่ด้านหน้าตึกด้วย

กว่าที่ Host จะนำพาสปอร์ตและเอกสารกลับมาคืนเราก็ราวค่อนวัน ทำให้เรานอนเล่นไปครึ่งวันชดเชยการเดินทางอย่างระห่ำเมื่อวันก่อน และแผนของวันนี้ปรับเหลือเพียงแค่การนั่งรถไฟใต้ดินเข้าไปใจกลางเมืองเพื่อชมบรรยากาศรอบๆ แบบชิลๆ ไม่ต้องไปจริงจังอะไรมาก แต่ถ้าสามารถเข้าชมด้านในของสถานที่แห่งไหนได้ก็ค่อยเ­ข้าชม ตามที่ว่าค่ะ ไม่เน้นเก็บแต้ม เอาที่สบายใจ หักโหมมาแล้วเมื่อตอนเดินทางมา จากนี้เบาๆแล้วค่ะ

ถนนด้านนอกใกล้ๆ ที่พัก มีรถรางวิ่งผ่านด้วย

เราพากันออกเดินทางจากสถานีรถไฟใต้ดิน Novocherkasskaya (Новочерка́сская) เพื่อจะเดินทางไปยังถนน Nevsky Prospekt (Не́вский проспе́кт) ไปเปลี่ยนขบวนจากสายสีส้มเป็นสายสีเขียวที่สถานี Ploshchad Alexandra Nevskogo (Плóщадь Алексáндра Нéвского)

กระจกสีภายในสถานีรถไฟใต้ดิน

การตกแต่งเก๋ๆ ภายในสถานี

เพื่อไปลงยังสถานี Gostiny Divor (гостиный двор) ซึ่งเป็นสถานีที่เชื่อมกับสถานี Nevsky Prospekt ของสายสีฟ้าที่เราต้องการไปถึงซึ่งเราต้องเดินเท้าต่อไปเอง แต่สุดท้ายก็หลุดค่ะ กลายเป็นเราโผล่ออกมาจากสถานีมาเดินอยู่ริมถนน แต่ไม่เป็นไร เพราะจริงๆ ที่โผล่ออกมานี้ก็ถนน Nevsky Prospekt แล้ว

ทางเดินรอบห้าง Gostiny Divor

สถานที่แรกที่เราขอไปชื่นชมความงดงามก็คือ Kazan Cathedral (Каза́нский кафедра́льный собо́р) เป็นมหาวิหารสไตล์ Russian Orthodox ที่ถูกสร้างในช่วงศตวรรษที่18 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกผสมกับแบบโรมัน

Kazan Cathedral จากด้านหลัง

ทำให้มหาวิหารแห่งนี้มีลักษณะเป็นรูปทรงครึ่งวงกลม โดยมีเสาหินโรมันวางเรียงแถวยาวอย่างเป็นระเบียบจำนวน 96 ต้น และมีโดมขนาดใหญ่ที่มียอดสูงถึง 90 เมตร โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากมหาวิหาร St. Peter's Basilica ที่กรุงโรม เพื่อฉลองชัยชนะของรัสเซียภายหลังการสิ้นสุดสงครามกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1812 ร่างของจอมพล Mikhail Kutuzov นายทหารที่เก่งที่สุดนายหนึ่งในช่วงราชวงศ์ Romanov และมีบทบาทสำคัญในการสู้รบกับฝรั่งเศสได้ถูกฝังไว้ที่นี่ด้วย

เสาหินขนาดใหญ่ตามแบบโรมัน

ปัจจุบันที่นี่ยังคงใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ในการเข้าชมจึงไม่ควรส่งเสียงดังและหากอยากเข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตามสาวๆ ก็ควรเอาผ้าคลุมศีรษะเข้าไปค่ะเพราะเป็นธรรมเนียมในการเข้าโบสถ์ของที่รัสเซีย ทริปนี้เราเตรียมไปกันด้วยจึงคลุมกันเข้าไป และเมื่อเปิดเข้าไปด้านในกำลังมีการประกอบพิธีอะไรสักอย่างพอดิบพอดีเลย เราก็เลยได้ดูการทำพิธีของชาวคริสต์ที่ดูจริงจังและศักดิ์สิทธิ์มาก ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าค่ะ

สักพักใหญ่ๆ เราก็ออกมาเดินชมความงดงามใหญ่โตด้านนอก และพยายามเก็บภาพมหาวิหารแบบเต็มๆ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับนักเดินทางธรรมดาๆ อย่างหนูเล็กและมีแค่กล้องแบบบ้านๆ คู่ใจที่พกพาไปไหนมาไหน 1 ตัว ได้มาเป็นที่ระลึกเท่านี้ก็ดีแล้ว

ตึกที่เห็นนั้นคือ อดีตอาคารสำนักงานบริษัทจักรซิงเกอร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟยอดนิยม

จากนั้นก็เดินข้ามถนน Nevsky เพื่อไปยังโบสถ์สำคัญ Church of the Savior on Spilled Blood (Церковь Спаса на Крови) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า โบสถ์แห่งหยดเลือด ซึ่งดูเวลาแล้ว แม้จะฟ้าสว่างอย่างนี้ก็ตาม แต่เข้าไม่ทันแล้วค่ะ เพราะเขาเปิดให้เข้าชมเวลา 10.30 – 18.00 น. เสียค่าเข้าชม 250 RUB จึงคิดว่าไว้ค่อยหาโอกาสมาใหม่วันหลังก็แล้วกัน

ระหว่างทางเดินสู่โบสถ์แห่งหยดเลือดด้านซ้ายจะเป็นคลอง Griboyedov (кана́л Грибое́дова) ระหว่างทางจะมีรถเข็นขายของที่ระลึกเรียงรายเป็นระยะๆ สินค้าส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตา Matryoshka (матрёшка) หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ตุ๊กตาแม่ลูกดก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และความมีชีวิตยืนยาว สำหรับราคาของตุ๊กตาแม่ลูกดกนั้นจะขึ้นอยู่กับขนาด ความละเอียดในการเพ้นท์ และจำนวนลูกภายในที่ยิ่งมีมากก็ยิ่งราคาสูงขึ้น แต่เดิมจะมีแต่แบบดั้งเดิมคือที่เป็นผู้หญิง หลังๆ มาจะมีแบบประยุกต์คือเป็นรูปร่างหน้าตาแบบต่างๆ ทั้งสัตว์ นักการเมือง ตัวการ์ตุน มีหมดค่ะแล้วแต่ความชอบ นักการเมืองไทยยังมีเลย นอกนั้นก็เป็นงานฝีมือต่างๆ ผ้าพันคอ เครื่องประดับ ไข่อีสเตอร์ และช่วงนี้พิเศษหน่อยคือมีสินค้าเกี่ยวกับฟุตบอลโลก2018 ที่จะมาถึงเพราะปีนี้รัสเซียเป็นเจ้าภาพค่ะ

คลอง Griboyedov ซึ่งมีจุดบริการล่องเรือออกไปแม่น้ำ Neva จนถึง Peter and Paul Fortress

เมื่อเดินไปสุดทางจะพบกับโบสถ์แห่งหยดเลือด เป็นโบสถ์ที่มีสถาปัตยกรรมแบบรัสเซียในยุคกลาง โดยได้แรงบันดาลใจจาก St.Basil’s Cathedral (Собор Василия Блаженного) ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1883 โดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 สร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ผู้ที่โดนลอบปลงพระชนม์ในปี ค.ศ.1881 โดยได้สร้างทับรอยเลือดของพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ที่กระเซ็นมาจากแรงระเบิดด้วยสาเหตุจากการยกเลิกระบบทาส ทำให้หลายฝ่ายมีความไม่พอใจเป็นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าว จึงเป็นที่มาของชื่อโบสถ์แห่งหยดเลือด ในวันนี้ยอดด้านบนมีการปิดซ่อมไปหนึ่งยอด นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีความงดงามมากจริงๆ

ด้านข้างของโบสถ์เป็นทางเข้าสวน Mikhailovsky (Миха́йловский) ซึ่งจะมีพวกศิลปินมาวางขายภาพอยู่ริมรั้วมากมายไปหมด ลานกว้างแถวโบสถ์ก็มีพวกนักดนตรีเปิดหมวกมาเล่นดนตรีขอเงินจากผู้ที่ผ่านไปผ่านมากันหลายคนเหมือนกัน

เราเดินอ้อมโบสถ์กลับมาอีกด้านหนึ่งของคลองกลับไปยังบริเวณริมถนน Nevsky ตรงข้าม Kazan Cathedral เพื่อจะหาที่นั่งเล่นซึมซับบรรยากาศงามๆ ริมถนนสายสำคัญแห่งนี้กัน

เท่าที่ดูแล้วน่าจะไม่มีร้านใดที่บรรยากาศดีมากไปกว่าร้าน Café Singer (кафе Зингеръ) เพราะเห็นวิวของ Kazan Cathedralร้านนี้อยู่บนชั้นสองของร้านหนังสือที่ชื่อว่า House of Books (Дом книги) ซึ่งตึกหลังนี้ในอดีตเคยเป็นตึกของบริษัทจักรซิงเกอร์มาก่อนก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว

ไปจิบกาแฟยามบ่ายกันค่ะ

โต๊ะที่อยู่ริมกระจกบานกว้างจะไม่เคยว่าง เมื่อเราเดินขึ้นไปทุกโต๊ะเต็มหมด บางโต๊ะแม้จะว่างอยู่ก็จะมีป้าย “Reserve” ไว้อีก ส่วนโต๊ะอื่นๆ ที่อยู่ตรงกลางร้านว่างหลายโต๊ะ พวกเราเลือกนั่งโต๊ะถัดออกมาระดับหนึ่งเพราะคิดว่า อย่างน้อยก็คงพอได้ซึมซับ บรรยากาศเล็กๆ น้อยๆ บ้าง ซึ่งก็นับว่าเป็นอีกมุมที่ดีไม่น้อยเลย หลังจากที่ได้เลือกโต๊ะนี้แล้ว

แม้โต๊ะจะว่าง แต่ก็ไม่ว่างสำหรับเรา

ราคาอาหาร เครื่องดื่มและของหวานค่อนข้างสูง อาจเพราะมีเรื่องทำเลที่ตั้ง กิตติศัพท์ชื่อเสียงของร้านเข้ามาเกี่ยว แต่ถ้าคิดว่าเป็นเพราะต้องแลกกับรสชาติอร่อยๆ คุณภาพดี และวิวงามๆ ก็พอยอมรับได้ค่ะ

อร่อยทุกอย่างค่ะ

เราใช้เวลาอิ่มอร่อยกับเครื่องดื่ม อาหารหวานและอาหารตาเคล้าบรรยากาศเงียบๆ สงบๆ ของร้านจนเห็นว่าสมควรแก่เวลา ก็พากันออกไปเดินเล่นกันต่อ คราวนี้เดินไปตามถนน Nevsky ย้อนไปอีกฟากหนึ่งซึ่งหากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าบนถนนมีธงติดเหมือนเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นเพราะเขาเพิ่งฉลองวันชาติไปเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา วันชาติของรัสเซียก็คือวันที่ประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน ประกาศแยกประเทศรัสเซียออกจากสหภาพโซเวียตเมื่อปี ค.ศ.1994

เราเดินชมบรรยากาศเมืองและผู้คนบนถนนเส้นหลักนี้ที่ค่อนข้างหนาตาต่อไปยัง St.Isaac’s Cathedral (Исаа́киевский Собо́р)

จุดเด่นแรกเห็นของ St.Isaac’s Cathedral คือ เสาหินแกรนิตขนาดใหญ่ด้านหน้า ซึ่งแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของมหาวิหารนี้สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันได้ทันทีถึงความยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือ

วันนี้เราไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการมาเข้าชมซึ่งเขาจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าได้ระหว่างเวลา 10.30-18.00 น. แต่สำหรับฤดูร้อนเช่นนี้ถ้าจะเข้าชมเวลานี้ก็ได้ค่ะ ค่าธรรมเนียมสำหรับยามเย็น (Evening admission : 18.00-22.30 น.) เช่นนี้ทั้งภายในตัวมหาวิหารและทางเดินด้านนอก (Colonnaded walkway) ราคาประเภทละ 400 RUB ค่ะ ขี้นมาเป็นเท่าตัวเลย เราจึงขอเปลี่ยนเป็นวันพรุ่งนี้ในเวลาปกติดีกว่า ขอชื่นชมความงามแต่เพียงด้านนอกไปก่อน

ด้านหน้ามีตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ แต่ต้องซื้อด้วยบัตรเครดิต

จากนั้นจึงข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามกับมหาวิหารที่เป็นสวนสาธารณะและเดินเลยไปซึ่งมีอนุสาวรีย์พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 ทรงม้าตั้งอยู่

อนุสาวรีย์พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 ทรงม้า

แม้ว่าฟ้าจะยังไม่ค่อยมืดนัก แต่เมื่อเหลือบตาดูนาฬิกาตอนนี้ก็ใกล้จะสามทุ่มกว่าแล้ว เป็นเรื่องแปลกดีที่เวลาเช่นนี้เรายังมาใช้ชีวิตล่องลอยเดินเที่ยวเล่นอยู่นอกบ้าน เป็นเพราะฟ้ายังสว่างบรรยากาศทั่วไปจึงยังดูปลอดภัย ไม่น่ากลัวอะไร เราจึงเดินกันได้อย่างสบายใจแต่ก็ไม่ลืมที่จะระแวดระวังกันตามประสาการมาต่างบ้านต่างเมือง

วันนี้ถือเป็นการมาเดินชิมลางชมสีสัน บรรยากาศบ้านเมืองและย่านท่องเที่ยวของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ขอจบความชิลวันนี้เพียงเท่านี้กลับไปจัดการกับอาหารมื้อเย็นกันก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยเริ่มทำความรู้จักกันจริงๆ จังๆ อีกที บรรยากาศของที่นี่ทำให้เราเหมือนไม่อยากเร่งรีบอะไรเอาเลย

ติดตามการเดินทาง แวะชมรูปถ่ายและไปทักทายกับพี่ใหญ่และหนูเล็กกันได้ค่ะ ที่ https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

Piyai&Noolek

 วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 15.26 น.

ความคิดเห็น