บ่อยครั้งที่นักท่องเที่ยวที่รู้จักสวิตเซอร์แลนด์ มักนึกไม่ออกว่าเมืองหลวงคือเมืองอะไร ด้วยเพราะกรุง Bern เมืองหลวง ไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเท่าเมืองอื่นๆ ไม่มีวิวทิวทัศน์สวยขาดบาดตา ไม่มีเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุม และคนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวก็พากันไปใช้เวลากับเมืองท่องเที่ยวชื่อดังๆ ไปขึ้นเขาสารพัดลูก ที่ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่มีเงินก็จะขึ้นได้ เพราะถ้าเวลาไม่พอหรืออากาศปิดก็อดขึ้นอีก ทำให้เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมอย่าง Bern บ่อยครั้งต้องเป็นเมืองรั้งท้าย ผู้คนจะมาเยือนหลังจากไม่รู้จะไปไหนแล้วเสียบ่อยครั้ง ที่นี่จึงกลายฐานะเป็น "เมืองหลวงที่ถูกลืม" แต่สำหรับพวกเรา ไม่ลืมค่ะ วันนี้ปรับอารมณ์ให้สนุก ออกเดินทางไปเที่ยว Bern กันดีกว่า

แรกเริ่มเดินทาง ท้องฟ้าไม่เป็นใจเอาเลย

เมื่อเข้าเขต Bern ฟ้าใสรอต้อนรับ

เมื่อมาถึง เราเอารถไปจอดตรงลานใกล้ๆ กับทางเข้าเขตเมืองเก่า เพื่อจะได้เดินเข้าไปเที่ยว แต่ก่อนจะเข้าไปคงต้องแวะที่บ่อหมีเพื่อดูเจ้าหมีตัวเป็นๆ สัญลักษณ์ของ Bern กันก่อน

ก่อนเข้าเขตเมืองเก่า แค่แหงนหน้าขึ้นไปก็เจอเจ้าตัวนี้ก่อนเลย

ข้ามสะพาน Nydeggbrucke นี้จะพาเข้าสู่เขตเมืองเก่า

บ่อหมี (Bear Pit) ที่จะมีหมีสัญลักษณ์ของ Bern อาศัยอยู่ แต่ตอนนี้ไปไหนเอ่ย?

หันไปเจอป้ายนี้พอดีเลย

เมือง Bern มีแม่น้ำ Aare ล้อมรอบ มุมนี้เป็นมุมที่สวยที่สุดของ Bern

จริงๆ แล้วนั้น หากได้พิจารณากันจริงๆ Bern เป็นเมืองเก่าที่มีความสวยงามและสมบูรณ์สุดๆ เมืองสร้างขึ้นบนเนินเขา ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ Aare บ้านเรือนสีสันน่ารักสดใส เป็นเมืองที่โดนใจอีกเมืองหนึ่งเลยทีเดียว ให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศบ้านเมืองแบบยุโรปโบราณ เหมือนที่เคยได้เห็นแบบเมืองในเยอรมนี อะไรแบบนั้น การเดินเล่นบนถนนที่ปูด้วยหิน (cobble stone) ให้อารมณ์ย้อนยุคไปอีกแบบ

เห็นร้านอาหารไทยแบบนี้ รู้สึกดีบอกไม่ถูก

สาวหนึ่งงามสดใส เยื้องกายเดินผ่านมา

บ่อน้ำพุแบบนี้มีไว้ให้ดื่มกินทั่วเมืองเลย น้ำใสสะอาด เย็นเจี๊ยบ

สถาปัตยกรรมและอาคารต่างๆ ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี

มหาวิหารแห่ง Bern

รถดีไซน์แปลกๆ สงสัยมาจากเยอรมนี

ใครจะไปคาดคิดว่าการมาเที่ยว Bern ของเราจะถูกที่ ถูกเวลาราวกับจับวาง เพราะเราได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลที่หนึ่งปีจะมีครั้งเดียว เทศกาลนี้คือ Zibelemärit (Onion Market) หรือเทศกาลหัวหอมพื้นบ้านดั้งเดิมที่จัดขึ้นในทุกๆ วันจันทร์ที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน ทั้งที่ในความเป็นจริงขอกระซิบดังๆ เลยว่า ไม่ได้มีข้อมูลอะไรเล้ยยย ขนาดเป็นสายเที่ยวตัวยงยังมาเจอโดยบังเอิญจริงๆ แต่ก็ถูกใจเป็นที่สุดของแจ้เลยทีเดียว เพราะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศความสนุกไปกับชาวเมือง

งานนี้จัดกันกลางเมืองเลยทีเดียวเชียว บรรยากาศคึกคัก ปิดถนนเส้นตรงตั้งแต่สถานีรถไฟยาวไปเรื่อยๆ หรือถ้าเดินผ่านหอนาฬิกา Zytglogge เข้าเมืองไปก็ปิดมาตั้งแต่นั่น จัดเป็นตลาดขนาดใหญ่ ประกอบด้วยร้านค้ามากกว่า 100 ร้านมั๊ง เกษตรกรในแถบใกล้เคียงและในรัฐ Fribourg จะนำหัวหอมมาขายมากกว่า 100 ตัน นอกจากนี้ยังมีผักฤดูหนาว ขนมและผลไม้ เกษตรกรนำหัวหอมมาประดิษฐ์เป็นพวงสวยงาม ทั้งเป็นพวงระย้า หรือเป็นช่อกลมๆ ประดับประตูบ้าน คนในเมืองและต่างเมืองก็จะมารวมตัวกัน มีผลิตภัณฑ์อื่นจากหัวหอมจำหน่ายมากมาย เช่น ซุปหัวหอม หัวหอมสดและไส้กรอก ชาวสวิสเชื่อว่า หัวหอมช่วยให้ร่างกายทนทานต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็นได้ดีในช่วงฤดูหนาว และยังช่วยป้องกันอาการหวัดได้อีกด้วย

เขาว่ากันว่าสิ่งที่ไม่ควรพลาดในระหว่างเดินเที่ยวก็คือ การแวะจิบไวน์ร้อน (Glühwein) แก้หนาว และพิซซ่าหน้าหัวหอม (Zwiebelkuchen) ที่ไม่มีซอสมะเขือเทศ ซึ่งเป็นเมนูที่เข้ากับงานเป็นอย่างดี พวกเราไม่ได้ลองค่ะ เพราะแค่ได้กลิ่นไวน์ก็เอียนๆ เวียนๆ(หัว) เสียแล้ว ถ้ากินเข้าไปดูจะเดินวนใน Bern อีกเป็นนานแน่เชียว

ส่วนสีสันสนุกๆ อีกประการคือการปากระดาษหลากสีใส่กัน คล้ายๆ การสาดน้ำสงกรานต์บ้านเรา แต่ดีตรงที่ไม่เปียก เพราะถ้าเปียกคงจะหนาว เสียแต่ว่าบางทีไม่ทันระวังตัวเข้าหน้า เข้าปากก็มี เป็นฤดูกาลที่ปาใส่กันได้ไม่มีโกรธกัน ไม่เว้นแม้แต่นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ยังโดนเลย จริงๆ นึกอยากอินกับบรรยากาศด้วยการซื้อกระดาษหลากสีแบบนี้มาปาใส่พวกเขาบ้าง แต่ก็ไม่ดีกว่า เพราะเท่าที่เห็นราคาถุงละประมาณ 3 ฟรังก์ คำนวนอัตราแลกเปลี่ยนแล้วเดินให้เขาปาใส่สนุกกว่ามั๊งเนอะ ว่างั้นมั๊ย...

นับเป็นอีกสีสันหนึ่งบนเส้นทางที่พวกเราได้มาพานพบ ช่วยทำให้ห้วงเวลาแห่งความรู้สึกเหงา คิดถึงบ้านจางหายจากความรู้สึกไปได้บ้างเหมือนกัน ว่าแต่เวลายังพอมีเหลือ ไว้ตามพวกเราต่อค่ะ จะพาไปเที่ยวเมืองถัดไปกันอีก พวกเทพจรลงเท้าอย่างเรา ต้องตะลอนเที่ยวให้มันสุดๆ ไม่มืดไม่กลับ...

หลังจากสนุกสนานกับสีสันปนกับความเวียนหัวของกลิ่นไวน์จากเทศกาลหัวหอมที่ Bern เมืองหลวง พวกเรานึกอยากหายใจแบบเต็มๆ ปอดกันขึ้นมาบ้างแล้ว ไปหาที่ที่อากาศโล่งๆ สูดหายใจเต็มๆ ปอดกันดีกว่าค่ะ คิดๆ กันว่าละแวกนี้ไปไหนได้อีก คิดขึ้นมาได้ว่ามีเมืองริมทะเลสาบที่เราน่าจะไปกัน อากาศโล่ง โปร่ง หายใจได้เต็มปอดแน่นอน ขับรถโดยใช้เวลาแค่ชั่วโมงครึ่ง ก็วาร์ปมาถึงเมืองริมทะเลสาบ Geneva แล้ว

เรามาเที่ยว Vevey กันค่ะ เมืองเล็กๆ น่ารักๆ บนชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลสาบ Geneva ที่นี่เป็นเมืองในยุคกลาง เป็นแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์และเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทเนสท์เล่ (Nestle) ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอาหารที่ไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อ

วันนี้เป็น Vevey ที่เงียบเหงา ไร้ผู้คนเอาจริงๆ

อาจเพราะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว จึงทำให้ไร้ผู้คน

ส้อมยักษ์สูง 8 เมตร สัญลักษณ์ของ Vevey ติดตั้งตอนฉลองครบรอบ 10 ปีพิพิธภัณฑ์ Alimentarium เมื่อปีค.ศ. 1995

รูปปั้น Charlie Chaplin อยู่ด้านหน้าของ Alimentarium: Musée de l’alimentation

อากาศที่ Vevey ไม่ค่อยอยากจะเป็นใจ มีฝนตกฝอยๆ ให้อากาศที่เย็นอยู่แล้วยิ่งหนาวเย็นเข้าไปอีก ไม่เข้าใจว่าธรรมชาติจะลงโทษอะไรขนาดนั้น ถ้ามาในวันฟ้าใส เชื่อว่า Vevey คงงามจับใจ คงโรแมนติกเกินจะกล่าว

Saint-Jean Tower and Fountain

ลมหนาวแบบนี้จะให้มัวยืนฝันหวานอยู่คงไม่ไหวแล้ว เพราะคงไม่มีหนุ่มไหนเดินหลงทางมาเป็นแน่ จะเห็นมีก็แต่พ่อ"ชาลี แชปปลิ้น" คนเดียวที่ยืนรอเราอยู่นั่นละ ไม่ไหวกระมัง... หนูเล็กมีที่หมายใหม่รออยู่อีกแห่ง ไว้ตามพวกเราไปค่ะ หนีหนาวไปหาที่อุ่นๆ กัน

หลังจากเดินโต้ลมหนาวริมทะเลสาบ Geneva กันได้ไม่นาน คิดขึ้นมาได้ว่ายังพอมีเวลาให้เที่ยวสถานที่น่าสนใจแถวทะเลสาบนี้อีกแห่งขับรถไปไม่ไกลนัก พวกเราก็เลยเดินทางไปกันดีกว่า เพราะไหนๆ มาแล้วก็เที่ยวเสียหน่อย จะได้ไม่เสียเที่ยว หนึ่งในปราสาทที่โด่งดังของสวิตเซอร์แลนด์ ก็คือ ปราสาทชิลยง (Chateau de Chillon) ซึ่งเดินทางมาตามถนน Avenue de Chillion หากมาจากเมือง Vevey และเมือง Montreux ปราสาทนี้มีเพียงด้านหน้าด้านเดียวที่ติดถนน นอกนั้นด้านอื่นๆ ถูกล้อมด้วยทะเลสาบ Geneva

จอดรถแล้วเดินเข้าทางนี้ทางเดียว

ทางเดินสู่ตัวปราสาท

พวกเรามากัน 5 คน แต่เมื่อสอบถามกันแล้ว สมาชิกบางคนไม่อยากเข้า ขออาสานั่งคอย ก็เลยทำให้มีเพียงหนูเล็กกับพี่อีกคนเท่านั้นที่เป็นตัวแทนพวกเราเข้าไปเดินที่ด้านใน ทำให้ครั้งนี้เราประหยัดค่าเข้าชมไปได้ถึง 3 คน แต่การเป็นตัวแทนก็คือ ต้องเก็บภาพด้านในออกมาแบ่งปันให้ทุกคนได้รับชม เรียกว่าไม่ได้เข้าไปเที่ยวเล่นธรรมดาๆ นะ มีภารกิจที่ได้รับมอบหมายค่ะ

ที่นี่นับเป็นปราสาทในยุคกลางของยุโรปที่มีสภาพดีที่สุด ซึ่งผู้ที่ทำให้ที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักดีก็คือ “ลอร์ด ไบรอน” (Lord Byron) กวีและนักวิจารณ์ชาวอังกฤษ สัญลักษณ์แห่งความเพ้อฝันและการแสวงหาเสรีภาพของยุคโรแมนติกที่เคยมาใช้ชีวิตในคุกใต้ดินที่นี่ ถ้ายังนึกไม่ออกว่าลอร์ดคนนี้เป็นใคร ก็ให้ลองนึกถึงตัวละครที่ชื่อ “ดอน ฮวน” (Don Juan) ชายชาวสเปนที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของหนุ่มเจ้าชู้ก็มาจากฝีมือของลอร์ด ไบรอนผู้นี้นั่นละ

เดิมทีชิลยงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นด่านเก็บค่าผ่านทางระหว่างเทือกเขาแอลป์ที่รู้จักกันดีว่า la route d'Italie หรือถนนสู่อิตาลีนั่นเอง ด้านหน้าปราสาทที่ติดถนนเป็นป้อมปราการมีหอคอย 3 ยอดห่างออกมาจากฝั่งเชื่อว่าเป็นที่พักของท่านเคานต์แห่งซาวอย (Savoy) ส่วนอีกด้านหันหน้าเข้าหาทะเลสาบ ซึ่งเงียบสงบร่มเย็นคาดว่าน่าจะเป็นที่ประทับของเจ้าชาย และฝั่งด้านติดทะเลสาบนั้นยากแก่การลอบเข้าโจมตีของศัตรู

ปราสาทนี้มีค่าเข้าชม เมื่อจ่ายค่าชมแล้วจะได้แผ่นพับวิธีเดินเที่ยวชมเพราะปราสาทที่เห็นนี้ใหญ่และซับซ้อนมาก ในคู่มือจะอธิบายการเดินตามลำดับหมายเลข "1-46 " โดยเดินตามลูกศรและเลขไปเรื่อยๆ มีเลขติดตลอดทุกห้อง ไม่ยากเย็นอะไร การใช้เวลาเดินชมแบบเอาสาระนิดๆ เรื่อยเปื่อยหน่อยๆ ก็ราวๆ ชั่วโมงเศษ แต่ถ้าสนใจมากกว่านั้นก็คงต้องสักสองชั่วโมงจะได้ไม่เป็นการรีบร้อนล่กๆ เกินไป หนูเล็กคงนำภาพมาให้ชมเพียงบางส่วนเพราะถ้าลงทั้งหมดคงไม่ไหว เพราะเยอะมากๆๆๆ เอาแค่พอเป็นน้ำจิ้มแล้วกันค่ะ

ซื้อตั๋วกันก่อน


พื้นที่ส่วนนี้เป็นบริเวณทารุณกรรมนักโทษ


เมื่อมองออกไปด้านนอกที่มีแต่น้ำ


ที่แขวนคอนักโทษ


ทางเดินด้านในทั้งแคบและมืด


ห้องประชุม

หีบไม้โบราณ

ห้องนี้รวบรวมหีบไม้โบราณไว้ให้ชม

ห้องนอน

ห้องครัว

ห้องจัดแสดงภาพเขียนผนัง

ห้องส้วมที่ใช้หลักการง่ายๆ โดยการปล่อยของเสียลงทะเลสาบโดยตรง

โรงอาหาร

เมื่อชะโงกหน้าออกมองนอกหน้าต่างจะได้วิวแบบนี้ มีแต่น้ำกับฟ้า

ตัวปราสาทโดนล้อมไว้ด้วยน้ำทั้งหมด ทางเข้า-ออกทางเดียว

จัดแสดงชุดเกราะไว้ให้ชม

ทางเดินบนกำแพงปราสาท

วิวงามๆ ของทะเลสาบ Geneva



ชมเสร็จก็ออกมาทางเดิม


ร้านขายของที่ระลึกที่ด้านหน้า

ถ้าเดินแบบไม่คิดอะไรมากก็เป็นบรรยากาศน่าสนใจใคร่รู้ดีนะคะ เพราะเป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์ ทำให้ได้เห็นถึงสภาพความเห็นอยู่ ข้าวของเครื่องใช้ของคนยุคก่อนคือมองในเชิงศิลปวัฒนธรรม แต่ถ้าเดินแบบมีจินตนาการร่วมออกแนว back to the future ก็อาจมีสะพรึงนิดๆ ยิ่งบริเวณที่มีเครื่องทรมานนักโทษแบบต่างๆ และหากคิดว่าสถานที่แห่งนี้เคยมีประวัติศาสตร์อย่างไร ผ่านความเป็นความตายของผู้คนมากี่ร้อยกี่พันแล้วก็ไม่รู้...บรื๋อออ กลับกันดีกว่าค่ะ

โปรแกรมวันนี้คงหมดลงเท่านี้ ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรสำหรับการเดินทางกลับที่พัก พรุ่งนี้ก็มีโปรแกรมถัดไปรออยู่ แม้ฟ้าวันนี้ไม่เป็นใจ ไม่เป็นไร ได้แต่หวังว่า พรุ่งนี้เราจะตื่นมาเจอฟ้าใสๆ รออยู่...

แวะไปทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

ความคิดเห็น