การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นได้เพราะความเสี้ยนอยากเดินป่าล้วนๆ และก็มีตัวเลือกอยู่ไม่มากว่า "ฤดูฝน" สถานที่แห่งใดที่สามารถเดินป่าในฤดูฝน ใช้งบไม่เยอะและคงความสวยงามให้เราได้ไปซึมซับบรรยากาศได้บ้าง

คำตอบที่ได้ก็คือ " เขาหลวงสุโขทัย อ. คีรีมาศ " และไหนๆ ก็ไปจังหวัดสุโขทัยทั้งที ถ้าจะไม่ไป " อุทยานประวัติศาสตร์ " มันก็จะแปลกๆ รู้สึกเสียเที่ยวเหมือนมาไม่ถึงจังหวัดสุโขทัยยังไงก็ไม่รู้ และเพื่อให้การท่องเที่ยวในครั้งนี้ซึมซับความเป็นสุโขทัยให้มากที่สุด เราจะใช้เวลา 3 วัน 2 คืน กับการใช้ชีวิตในจังหวัดสุโขทัย โดยวางกำหนดการไว้ดังนี้

วันที่ 25 - 28 พ.ค. 2561

- วันแรก 26 พ.ค. 2561 : เดินป่าพิชิตเขาหลวงสุโขทัย และค้างแรม 1 คืน
- วันที่สอง 27 พ.ค. 2561 : ลงจากเขา และมุ่งหน้าเข้าเมืองเก่า ปั่นจักรยานเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และค้างแรมอีก 1 คืน
- วันที่สาม 28 พ.ค. 2561 : ช่วงเช้า เก็บตกบรรยากาศอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยยามเช้า และเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ


วันที่ 25 พ.ค. 2561

เวลา 21.00 น. ณ สถานีขนส่งหมอชิต 2 รอเวลาออกเดินทางสู่ จังหวัดสุโขทัย โดยใช้บริการของบริษัท สุโขทัย วินทัวร์ ในรอบเวลา 22.00 น. เพื่อให้ถึงปลายทางที่เราจะลง คือ อ. คีรีมาศ ประมาณ ตี 4-5 ต้องบอกก่อนว่ารอบรถที่เรามาเป็นรถประภท ป.1 ก็ตามสภาพอย่างที่เคยนั่งๆ กัน แต่สำหรับบางคนถ้าอยากได้รถนั่งสบายกว่านี้ก็อาจจะได้รอบเวลา ที่เร็วหน่อย แต่ก็จะถึงปลายทางประมาณ ตี 1-2 หรือเร็วกว่านั้นก็แล้วแต่รอบเวลา การเดินทางก็จะใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง


วันที่ 26 พ.ค. 2561

เวลา 05.00 น. เราก็เดินทางมาถึงยัง อ. คีรีมาศ ซึ่งเป็นปลายทางที่เราจะเหมารถต่อไปยัง อุทยานแห่งชาติรามคำแหง หรือเขาหลวงสุโขทัย นั่นเอง ซึ่งการเหมารถนั้น เขาจะคิดราคาเป็นกลุ่ม ซึ่งเราโทรแจ้งไว้ว่ามาแค่ 2 คน ก็ได้ราคาที่ 350 บาท แต่วันนั้นบังเอิญมีเพื่อนเดินทางเพิ่มอีก 2 คนที่ อ. คีรีมาศ ขอไปด้วย ก็เลยโดนเรทราคาเท่ากับเรา คือ 2 คน 350 บาทเหมือนกัน เพราะถือว่าเป็นคนละกลุ่มกัน
(สมมุติถ้าแจ้งว่ามา 4 คน ตั้งแต่แรก ก็จะอาจจะแค่ 4 คน 350 บาท ประมาณนี้)

ระหว่างรอคนมารับก็กักตุนเสบียงอาหารให้เรียบร้อย เพื่อเอาไว้กินระหว่างเดินทางขึ้นเขา และระหว่างใช้ชีวิตอยู่บนนั้น จริงๆ ข้างบนก็มีร้านค้าของเจ้าหน้าที่นะ แต่ว่าของน้อยอาจไม่เพียงพอสำหรับบางคน

05.40 น. รถที่เราได้ทำการเหมาไว้ก็มารับ และพาแวะซื้อเสบียงตุน ข้าวเหนียวหมู ไว้ไปกินระหว่างทางเดินขึ้นเขา ใช้เวลาเดินทางไม่นานเราก็มาถึงยัง อุทยานแห่งชาติรามคำแหง หลังจากนี้ก็ไปล้างหน้า แปรงฟัน รอเวลาที่ทำการอุทยานเปิด ประมาณ 7.00 น. เพื่อเช่าเต๊นท์ และมัดจำขยะ ค่าใช้จ่ายก็จะมีประมาณนี้

- ค่าเต๊นท์ 1-3 คน 225 บาท
- ค่าที่รองนอนแผ่นละ 20 บาท
- ค่ามัดจำขยะ 200 บาท

หลังจากนี้ ก็ได้เวลาของการ “พิชิตเขาหลวงสุโขทัย ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก” เราเริ่มเดินขึ้นเขาในเวลา 7.40 น. บรรยากาศในวันนั้นไม่ร้อนมากนัก เพราะเมฆค่อนข้างหนา

ก่อนจะขึ้นนั้นก็แวะขอพร พระแม่ย่า และพระพุทธรูปที่ศาลาข้างๆ เพื่อเป็นศิริมงคลกันก่อน

จากจุดนี้เราจะเดินทางด้วยระยะทาง 3,720 ม. สู่ค่ายพักแรมด้านบน ต้องบอกก่อนเลยว่ามีแต่ทางชัน 98% ฮ่าๆ

เดินมาประมาณเกือบ 40 นาที กับระยะทาง 1 กิโลเมตร เราก็มาถึงยังจุดแรก นั่นคือ “ประดู่ใหญ่“ แค่ด่านแรกก็เล่นเอาเสียเเหงื่อไปพอสมควร และทางที่เหลือจะเป็นอย่างไร รอดูได้เลย

เดินมาอีก 30 นาที ก็มาถึง “มออีกหก“ ระยะทางแค่ 400 เมตร แต่ทำไมเดินนาน ก็เพราะว่าเรามีแอบแวะพักระหว่างทางนิดหน่อย แล้วอีกอย่างทางมันค่อนข้างชัน และไม่มีรูปมาให้ได้ดูเลย

ตอนนี้เราก็เดินมาระยะทาง 1,600 เมตร จากจุดที่แล้ว ใช้เวลาในการเดินไม่ถึง 10 นาที ก็มาถึงยัง “จุดชมวิว“ ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองลงไปเห็นวิวด้านล่างได้ มองดีๆ จะเห็นหลังคาที่ทำการอุทยานด้านล่างเลย และจุดนี้ยังเป็นจุดให้นั่งพักด้วย

หลังจากนั่งพักให้พอหายเหนื่อย เราก็เดินทางกันต่อซึ่งระหว่างทางนั้นก็ผ่าน จุดพัก “น้ำดิบผามะหาด” ที่ระยะทาง 2,320 เมตร ซึ่งเป็นจุดของต้นน้ำดิบที่ต่อท่อลงไปด้านล่างให้เราได้ดื่มกินกันตลอดทาง และเดินต่อมาอีก 400 เมตร ก็มาถึงยังจุด “ชานเบิกไพร” ซึ่ง 2 จุดที่ผ่านมานั้นไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชม

และตอนนี้เราก็เดินทางมาเป็นระยะทาง 3,000 เมตร ซึ่งจุดนี้เรียกว่า “ไทรงาม” ซึ่งก็งดงามสมกับชื่อ ซึ่งผ่านมาถึงจุดนี้ต้องบอกเลยว่าอากาศค่อนข้างเย็นสบายมากถ้าเทียบกับที่ผ่านๆ มา

เดินต่อมาอีกนิดเราก็ผ่านจุด “ ถ้ำพระนาราย” 3,030 ม. “ถ้ำพระ” 3,040 ม. “ถ้ำค้างคาว” 3,100 ม.
20 นาทีถัดมาก็มาถึงยังจุด “ปล่องนางนาค” ซึ่งเป็นจุดที่มีเรื่องราวความเชื่อที่เราสืบต่อกันมา หากอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรก็ลองอ่านได้ที่รูปถัดไปเลย

จากปล่องนางนาคเดินมาอีกอึดใจเดียวก็มาถึงยังจุด “พระยาแล่นเรือ” ที่ระยะทาง 3,520 ม. ซึ่งขอบอกเลยว่าเตรียมดีใจได้เลย เพราะอีกไม่ถึง 200 เมตร คุณก็จะเป็นผู้พิชิตเขาหลวงสุโขทัยแล้ว

และในที่สุด เวลา 11.40 น. เราก็มาถึงยังค่ายพักแรม ณ ยอดเขาหลวงสุโขทัย ที่ ระยะทาง 3,720 เมตร กับความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ผมใช้เวลา 4 ชม. ซึ่งก็เป็นมาตรฐานสำหรับคนที่เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักอย่างผม

เดินมา 4 ชม. ผมขอทิ้งตัวนอนบนยอดเขาสักหน่อยซึมซับบรรยากาศสักพัก มันฟินเหลือเกินนนนน

หลังจากนี้เราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เลือกจุดที่จะกางเต๊นท์นอนในค่ำคืนนี้ ซึ่งมาถึงแรกๆ พื้นที่ก็มีให้เลือกเยอะอยากนอนตรงไหนก็บอกเจ้าหน้าที่ได้เลย

หลังจากได้นอนสักชั่วโมง เวลา 14.30 เราก็ลุยกันต่อเลยซึ่งจุดหมายของเรานั่นก็คือ ยอดเขาเจดีย์ ยอดเขาภูกา และไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขาพระแม่ย่า ซึ่งระยะทางก็ตามรูปด้านล่างนี้เลย

เดินมายังไม่ทันจะถึงยอดเขาเจดีย์ เมฆฝนก็ลอยมาเต็มหัวเเล้ว และในที่สุดก็ตกลงมาจนได้ ต้องบอกว่าฝนตกหนักมาก ทำให้กังวลเรื่องความปลอดภัย ซึ่งพื้นนั้นค่อนข้างที่จะลื่น และทางเดินก็เป็นทางชัน ทำให้เราตัดสินใจที่จะเดินกลับที่ไปยังค่ายพักเเรม หวังว่าฝนจะหยุดและจะมาลุยกันใหม่ และสุดท้ายก็ผิดหวังเพราะฝนตกยัน 6 โมงเย็น ทำให้เราตัดสินใจอาบน้ำ เข้านอน และภาวนาให้ฝนหยุดเพื่อทีตอนเช้าหวังจะได้เห็นแสงอาทิตย์ และทะเลหมอก ที่ยอดเขาพระนาราย์


วันที่ 27 พ.ค. 2561

เช้าวันรุ่งขึ้น รีบตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน และรีบเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขาพระนารายณ์ ที่อยู่เพียงแค่ 400 เมตรเท่านั้น ซึ่งต้องบอกว่าเป็นความทรงจำที่ประทับใจมาก ซึ่งเช้าวันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งมาก และพระอาทิตย์ก็โผล่ออกมาให้เราเห็น

ต้องบอกเลยว่าชัตเตอร์ของแต่ละคนนั้นรัวกันไม่หยุดเลยทีเดียว เราใช้เวลาถ่ายรูปและเก็บบรรยากาศ ณ จุดนี้ประมาณ ชั่วโมงนึง เราก็เดินเท้าไปกันต่อยัง ยอดเขาพระแม่ย่าที่เมื่อวานเราไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ตกเนื่องจากท้องฟ้าปิด และฝนตกหนัก

ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงยอดเขาพระแม่ย่า ซึ่งต้องบอกเลยว่าวิวสวยมาก เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้มาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่

และที่เห็นอยู่นั่นก็คือ “ยอดเขาภูกา” ซึ่งเป็นยอดเขาที่อยู่ไกลที่สุด ตอนแรกว่าจะไปให้ได้แต่ด้วยลางสังหรณ์ที่ไม่ดีคือ ทางเดินลงจากยอดเขาพระแม่ย่าชันมาก 60 - 70 องศา ทำให้ค่อนข้างที่จะลื่นมากๆ และบังเอิญไปเจอกับลูกงูเล็กอีก รู้สึกใจคอไม่ดีเลยตัดสินใจกลับ และไปแวะที่ “ผาชมปรง” แทน

เดินกลับมาประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้ว “ผาชมปรง” จริงๆ แล้วมันอยู่ใกล้ๆ “ผานารายณ์” นั่นแหละ แต่แค่ไม่ได้แวะในตอนแรก ซึ่งถ้าใครขี้เกียจเดินมาเขาพระแม่ย่า ก็เลือกที่จะมาผาชมปรง แล้วกลับก็ได้ ที่เห็นอยู่ไม่ไกล 2 ยอดนั้นถ้าไล่จากซ้ายไปขวานั่นก็คือ ยอดเขาพระแม่ย่า และยอดเขาภูกา นั่นเอง

เอาจริงๆ วิวตรงนี้ก็สวยงามไม่แพ้ที่อื่นเลย พูดง่ายๆ ยอดเขาทุกยอดที่นี่สวยงามหมดทุกที่เลย

หลังจากเรากลับมาถึงยังค่ายพักแรม ก็แวะนั่งกินมาม่า เป็นอาหารเช้ารองท้องสักหน่อย ส่วนสัมภาระฝากลูกหาบลงไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว และเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ รอติดตามตอนต่อไป

ในเวลา 9.00 น. เราก็เริ่มเดินลงจากเขา ต้องบอกว่าบรรยากาศระหว่างทางลงเขาเป็นวันที่เมฆเยอะมาก และอากาศแจ่มใส ทำให้ระหว่างทางเราได้สัมผัสกับเมฆ อากาศเย็นสบายเลยทีเดียว

และนี่คือสัมภาระที่เราแบกลงมาเอง นั่นก็คือ ถุงขยะ เพราะได้มัดจำไว้ 200 บาท ตั้งแต่ตอนขึ้น และขอบอกว่าก่อนลงอย่าลืมให้เจ้าหน้าที่ชั่งน้ำหนักถุงขยะก่อนนะ

ขออนุญาติแอบถ่าย พี่ๆ คู่นึงซึ่งผมเห็นแล้วเป็นภาพที่ประทับใจมากๆ แฟนพี่เขาเหมือนจะปวดขาหรืออะไรสักอย่าง แต่พี่เขาคอยประคองแฟนค่อยๆ ลงเขาอย่างๆ ช้าๆ บ่งบอกให้รู้เลยว่าพี่เขารักแฟนมาก ความรักมันวัดกันตอนที่เจอความลำบากนี่แหละ

เวลา 13.00 น. เราก็ลงมาถึงที่ทำการอุทยานฯ ด้านล่าง ใช้เวลาลงเขา 4 ชม. เหมือนกับตอนขึ้นเลย

หลังจากนี้เราก็เอาถุงขยะ ไปขอเงินมัดจำคืน และกลับรถรับจ้างที่เราได้นัดแนะไว้ ซึ่งหลังจากนี้เราจะไปเที่ยวต่อยัง “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย” ซึ่งก็โดนราคาเหมาไป 700 บาท ไปกันแค่ 2 คนก็เลยหารเฉลี่ยแล้วตกที่ราคา 350 บาท คน หรือถ้าใครไม่ต้องการจะเที่ยวต่อจะเดินทางกลับไปขึ้นรถที่ อ. คีรีมาศ ที่เป็นจุดลงรถตอนมา รถรับจ้างก็คิดราคาเดิม 350 บาท ราคานี้ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการด้วยนะครับ

(**ขอเตือน หากใครจะขึ้นรถที่ อ. คีรีมาศ ก็เช็ครอบรถกันให้ดีๆ นะครับ เพราะคุณอาจจะได้กลับรถรอบ 20.00 น. ซึ่งจะรอนานมาก และแถวนั้นไม่มีอะไรให้คุณฆ่าเวลาเลย)

** แนะนำ หากลงจากเขามาไม่เกิน บ่ายโมง หรือ บ่ายสอง แนะนำให้นั่งรถเข้าไปเมืองเก่า เที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยก่อน แล้วขึ้นรถจากเมืองเก่า กลับกรุงเทพฯ ในรอบเวลา 20.00 น. จะดีกว่า

หากใครมีเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ก็เดินทางตามที่ผมรีวิวแค่นี้ก็ได้นะครับ


แต่หากใครมีเวลาเหลืออยากเที่ยวต่อในเมืองเก่า เราขอเสนอทริปที่มีชื่อว่า
“ ปีนเขาหลวง ปั่นรถถีบ นอนสักงีบเมืองเก่าสุโขทัย 3 วัน 2 คืน ”

มาลุยกันต่อในยามบ่าย วันที่ 27 พ.ค. 2561 ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการเดินทางเราจะไปต่อกันที่ ต. เมืองเก่า จ. สุโขทัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของ " อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย " ไหนๆ ก็มีเวลามา จ.สุโขทัย ทั้งทีแล้วหากจะไม่ปั่นจักรยานเที่ยว “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย” มันก็จะรู้สึกเหมือนไม่ได้ซึมซับความเป็นสุโขทัยเมืองเก่าของเราแต่ก่อน

เมื่อรถมาส่งเรายังเมืองเก่า นำสัมภาระเก็บเข้าที่พักเรียบร้อย อาบน้ำแต่งตัวให้สดชื่นสักหน่อย และเราก็ไปปั่นจักรยานผจญภัย “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย” กันได้เลย

ก่อนเข้าชมอุทยานนั้นก็ซื้อบัตรค่าเข้า โดยราคาผู้ใหญ่ 30 บาท และค่าจักรยานเข้าอีก 10 บาท ก็ตกคนละ 40 บาทถ้วน หรือใครขี้เกียจปั่นเขาก็มีบริการให้เช่ารถสามล้อพลังงานไฟฟ้าด้วยนะ ซึ่งภายในอุทยานแห่งนี้เขาไม่ให้ใช้รถที่มีน้ำมันเลย

เส้นทางในการปั่นนั้นก็ขอแนะนำให้ดูแผนที่ได้เลย ชอบวันไหนก็ไปวัดนั้น ประทับใจทุกวัดแน่นอน

วัดที่เราไปซึ่งอยู่ภายในอุทยานฯ นั้น ก็ได้แก่ วัดมหาธาตุ วัดศรีสวาย วัดตระพังเงิน วัดสระศรี อนุเสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช วัดชนะสงคราม

ต่อที่ วัดศรีสวาย

วัดตระพังเงิน

อนุเสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

วัดชนะสงคราม

และไฮไลต์ที่สำคัญที่ฝันอยากจะไปให้ได้เลย ก็คือ วัดศรีชุม ไหว้พระอจนะ ตำนานพระพูดได้ ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากตัวอุทยานประมาณ 1-2 กม. ซึ่งก็เสียค่าเข้าคนละ 20 บาทเท่านั้นเอง

และนี่ก็คือความงดงามของ “พระอจนะ” ตำนานพระพูดได้ แห่งวัดศรีชุม

มาถึงตอนนี้ก็เย็นพอดี ระหว่างทางที่ขี่จักรยานกลับก็มีงานตลาด ๘๐๐ ปี กรุงสุโขทัยพอดี ต้องบอกเลยว่ามีทั้งการแสดงท้องถิ่นต่างๆ และของกินมากมายที่สำคัญราคาถูกมากกกกกก

เป็นอันสิ้นสุดวันที่ 2 ของเรา


วันที่ 28 พ.ค. 2561

เช้าวันสุดท้ายของการเที่ยวจังหวัดสุโขทัย เราก็รีบตื่นแต่เช้าไปถ่ายรูปบรรยากาศยามเช้า ณ วัดตระพังทอง และก็หาข้าวเช้ากิน และกลับไปอาบน้ำ เก็บของเตรียมตัวกลับ

ในเวลา 12.00 น. ซึ่งวินรถทัวร์ของเราอยู่ข้างๆ ที่พักเลย ขากลับเราใช้บริการของ สุโขทัยวินทัวร์ และเดินทางถึง กทม. ประมาณ 2 ทุ่ม เป็นการเดินทางที่ใช้ระยะเวลานานมาก เพราะรถแวะเกือบตลอดทาง แอบเซ็งนิดๆ

ขอขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยครับ
“ปีนเขาหลวง ปั่นรถถีบ นอนสักงีบเมืองเก่าสุโขทัย 3 วัน 2 คืน”


สามารถติดตามการเดินทางอื่นๆ ของผมได้ที่

เว็บไซต์ : www.iwillgothailand.com

Facebook : https://www.facebook.com/iwillgo.thailand

Instagram : https://www.instagram.com/iwillgo.thailand

ฉันจะไป : I Will Go

 วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 18.07 น.

ความคิดเห็น