เมื่อกาลเวลาเวียนบรรจบมาถึง ผมก็ได้มาพิชิต "เชาช้างเผือก" เสียที จะว่าไปที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่อยู่ในลิสต์ที่อยากจะมาให้ได้ตั้งแต่ 5 ปีก่อน ในตอนที่เริ่มออกเดินทางใหม่ๆ และก็ไม่รู้ด้วยอะไรก็แล้วแต่อยู่ๆ เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานก็มาชวนไปเฉยเลย และก็ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด 555
ก็อย่างที่รู้กันว่าช่วง ปี 2021 โควิดทำพิษแค่ไหน ผมเองก็เลยมิอาจปฏิเสธได้ลง และการจะพิชิตเขาช้างเผือกได้นั้น ทุกคนคงทราบกันดีว่าความยากไม่ได้อยู่ที่การเดินขึ้นเขา แต่มันคือการโทรจองที่เรียกว่าซิกเนเจอร์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ ซึ่งการจองนั้นกฏของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ มีอยู่ว่าต้องจองล่วงหน้า 7 วันก่อนวันเดินทาง ซึ่งผมนัดแนะกับเพื่อนๆว่าจะขึ้นเขาวันที่ 2 ม.ค. 2565 นั่นก็หมายความว่าผมและเพื่อนจะต้องโทรจองกันวันที่ 26 ธันวาคม 2564
และเมื่อวันจองมาถึงก็เป็นเพื่อนผมเองที่โทร 170 กว่าสายจนการเดินทางครั้งนี้ได้เกิดขึ้น ก่อนวันขึ้นเขาหนึ่งวันผมได้ไปนอนกางเต๊นท์ที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิก่อนหนึ่งคืน เพราะว่าเราจะต้องลงทะเบียนที่ อุทยานฯ ตอนช่วงเวลา 06.00 - 08.00 น. ซึ่งสะดวกกว่าการไปนอนที่หมู่บ้านอิต่อง ไม่งั้นคุณต้องย้อนไปย้อนมา
ค่าใช้จ่ายที่คุณจะต้องเสีย
- ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท/คน
- ค่ากางเต้นท์ 30 บาท/คน/คืน
- ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง 300 บาท/คน แต่วันที่ลงเขาตอนมารับใบประกาศจะได้เงินคืนคนละ 50 บาท ผมก็จำไม่ได้ว่าเพราะอะไร
- ค่าประกันอุบัติเหตุ 10 บาท/คน
- ค่าพาหนะรถยนต์ 30 บาท/คัน (ถ้ามี)
หลังจากที่ลงทะเบียนที่อุทยานเรียบร้อย เราก็ต้องมุ่งหน้ามายังหมู่บ้านอิต่อง เพื่อเริ่มต้นเดินขึ้นเขา หากใครต้องการลูกหาบก็ติดต่อกันที่นี่แหละ ส่วนใครจะหาเสบียงยามเช้า หรือตุนไว้ยามเที่ยงก็เลือกกันตามสบายเลย ตลาดเช้าของกินเพียบ
และตรงนี้เองก็จะมีเจ้าหน้าที่อุทยานประจำการอยู่เพื่อ ให้เราแสดงตัวเช็คชื่อ ถ่ายรูป และตรวจสอบข้อมูลที่เราลงทะเบียนมาจากอุทยาน เจ้าหน้าที่เขาก็จะรอจัดกลุ่มให้เราเพื่อจัดสรรเจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มให้เราเพื่อพาเราขึ้นเขา สำคัญมากควรพกบัตรประชาชนไว้ ที่ต้องทำแบบนี้เพราะป้องกันพวกที่เเฝงตัวมาแทน
และนี่ก็คือพี่เจ้าหน้าประจำกลุ่มผมเอง เราเริ่มออกเดินกันตอน 8.50 น.
เดินมาสักพัก เราก็จะมาถึงจุดเริ่มเดินอย่างเป็นทางการ จุดนี้เองจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลเราอีกครั้งนึง เหมือนตอนที่ตรวจในหมู่บ้านก่อนหน้านี้
และนี่ก็คือบรรดาสมาชิกในกลุ่มผมเอง
ที่คุณเห็นยอดเขาไกลๆ ก็คือปลายทางของเราในครั้งนี้นี่แหละครับ
เดินมานานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่รู้แค่ว่าปลายทางคืออีก 4.39 กม.
และนี่ก็คือวิวระหว่างทาง
เส้นทางพิชิตเขาช้างเผือก ส่วนมากจะเป็นการเดินลัดเลาะอยู่บนยอด ซึ่งแตกต่างจากที่ที่ผมเคยไปมา ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ของตัวผมเองด้วย
และปลายทางของผมก็ขยับเขามาเรื่อยๆ
เดินมานานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่รู้แค่ว่าปลายทางคืออีก 4.39 กม.
และนี่ก็คือวิวระหว่างทาง
เส้นทางพิชิตเขาช้างเผือก ส่วนมากจะเป็นการเดินลัดเลาะอยู่บนยอด ซึ่งแตกต่างจากที่ที่ผมเคยไปมา ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ของตัวผมเองด้วย
และปลายทางของผมก็ขยับเขามาเรื่อยๆ
ที่คุณเห็นร่องเขาเว้าๆ ตรงกลางนั้นก็คือจุดกางเต๊นท์ของเราในค่ำคืนนี้
ให้ภาพนี้บรรยายความชันไปแล้วกัน
จากรูปก่อนหน้าที่ดูเหมือนจะมีเขาอีกลูกเดียว แต่ปรากฏว่าหลังเขาลูกเดียวนั้น มันมีอีกหลายลูกเลย 555
ตอนนี้ถึงดงไผ่ละ อีก 2.3 กม. เท่านั้น
และสักพักก็มาถึงเขาช้างน้อย ที่เล่นเอาซะผมปวดน่องเลย แต่นั่นก็หมายความว่าเป้าหมายของผมใกล้เข้ามาแล้วล่ะ ขอแค่อดทนอีกนิด
และนี่ก็คือหนึ่งในกลุ่มของผม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพใหม่ในทริปนี้ของผมเอง
และนี่ก็คือหนึ่งในกลุ่มของผม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพใหม่ในทริปนี้ของผมเอง
ส่วนคนนี้ใครก็ไม่รู้ แต่บรรยากาศมันได้ ผมก็ขออนุญาตใช้รูปหน่อยนะครับ
และนี่เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ บนเขาช้างเผือก
อีกอึดใจเดียวเท่านั้น
และคุณเห็นด้านล่างของภาพมั้ย นั่นคือจุดกางเต๊นท์ที่เราจะไปกัน
เอาล่ะเตรียมตัวลงเขาลูกนี้ ก็ถึงจุดหมายละ
เห็นลานกางเต๊นท์กันหรือยังเอ่ย
เหมือนง่าย แต่ได้เหนื่อยอยู่นะครับ ซึ่งทางลงชันพอสมควร ผมเองต้องจับเชือกตลอดกันผิดพลาดทางเทคนิค
และยอดเขาลูกนั้นก็คือที่เราพึ่งลงมาเมื่อกี้ เดินมาตอน 8.50 น. ผมเองได้มาถึงลานกางเต๊นท์ตอน 12.30 น. รวมเวลาประมาณ 3.30 ชม. ได้เวลากินข้าวเที่ยงพอดีเลย
และยอดเขาลูกนั้นก็คือที่เราพึ่งลงมาเมื่อกี้ เดินมาตอน 8.50 น. ผมเองได้มาถึงลานกางเต๊นท์ตอน 12.30 น. รวมเวลาประมาณ 3.30 ชม. ได้เวลากินข้าวเที่ยงพอดีเลย
หลังจากนี้เราก็พักผ่อน และตอน 15.00 น. เจ้าหน้าที่จะเรียกเราไปรวมที่เชิงเขา เพื่อชี้แนะข้อปฏิบัติในการจะขึ้นไปบนยอดเขาช้างเผือก เพื่อความปลอดภัยของทุกๆคน
เป็นเรื่องที่ดีมากที่เจ้าหน้าที่คอยชี้แนะเรา ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าเคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากความประมาทของนักท่องเที่ยวเอง
และนี่ก็คือ "สันคมมีด" ในตำนานที่เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่ บางคนกลัวความสูงก็ไม่ขึ้นมา บางคนร้องไห้เลยก็มี ส่วนตัวผมมองว่ามันไม่ได้น่ากลัว และอันตรายมากนัก เพราะเจ้าหน้าที่เขาดูแลดีมากๆ สบายใจหายห่วงได้เลย
หลังจากผ่านสันคมมีด เราก็จะเดินข้ามเขาไปอีก
เส้นทางที่เห็นคือทางที่เราพึ่งเดินผ่านมา ซึ่งมันสวยมากๆ
ระหว่างทางจะมีเชือกให้จับด้วย ซึ่งจากที่ผมคิดอุบัติเหตุที่เกิดคงก็คงเป็นช่วงนี่แหละ เพราะช่องว่างระหว่างทางเดินไม่ถึง 1 เมตรเลย หากใครประมาทอาจพลัดตกได้เหมือนกัน
และยอดนี้เป็นยอดเขาช้างเผือก ที่มีป้ายผู้พิชิตอยู่บนนั้น ซึ่งเป็นจุดหมายของเราในทริปนี้
ผมเองทำท่าลงให้ดูเว่อร์วังไปงั้นแหละ 5555
ถึงแล้วจ้า 5 ปีที่รอคอยมาแสนนาน "ผู้พิชิตเขาช้างเผือก 1,249 เมตร"
ท่า I Will Go ประจำตัวผมเอง
อีกยอดนึงนั้นอนาคต อาจจะเปิดให้เดินไปพิชิตจากที่ฟังๆ มา
วิวรอบๆ ยอดเขา
ที่เห็นผืนน้ำไกลๆ นั้นคือ "เขื่อนวชิราลงกรณ์"
และด้านนี้ก็คือทางที่เราเดินมาจนถึงยอดเขานี้
สวยมั้ยล่ะ
หลังจากนี้ก็คือการเดินกลับลงไปลานกางเต๊นท์เหมือนกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะให้เวลาเราอยู่บนยอดเขาช้างเผือกจนถึง 17.30 น. หรือใครจะลงก่อนก็ได้
ตอนเดินมาว่าสวยแล้ว ตอนเดินกลับก็ได้มองอีกมุมหนึ่งซึ่งสวยไม่แพ้กันเลย
ตอนเดินมาว่าสวยแล้ว ตอนเดินกลับก็ได้มองอีกมุมหนึ่งซึ่งสวยไม่แพ้กันเลย
และนี่ก็คือผมเองที่กำลังจะปีนลงสันคมมีด
ตรงนั้นคือ ยอดที่เราเดินขึ้นไป
และเรื่องราวการพิชิตเขาช้างเผือกของผมก็ได้จบลง ส่วนใครอยากเสพวิวสวยๆ ต่อก็อ่านกันต่อได้เลยจ้า
เช้าวันที่ 3 ม.ค. 2565 วันเดินทางกลับ แสงพระอาทิตย์ก็เริ่มสาดส่องทั่วท้องฟ้า แต่การดูพระอาทิตย์ขึ้น และตกที่เขาช้างเผือกคงไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะทิศตะวันออก และทิศตะวันตกตรงกับยอดเขาพอดี กว่าจะพ้นยอดเขาก็คง 8 โมงแล้วล่ะ ใครจะไปรอ เดี๋ยวตอน 7 โมงเราจะเตรียมตัวเดินลงเขาแล้วล่ะ
หลังจากที่วันแรกแสงของพระอาทิตย์มันอยู่ตรงหน้าเรา จะมองวิว หรือถ่ายรูปมันก็ย้อนแสงจนมองไม่เห็นความสวยงาม วันนี้ระหว่างเดินกลับก็เลยขอบเก็บบรรยากาศสักหน่อย และนี่ก็เป็นภาพบรรยากาศทั้งหมดระหว่างเดินทางกลับ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้า สวัสดีครับ
ฉันจะไป : I Will Go
วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 22.43 น.