สวัสดีค่ะทุก ทุก ค๊นนนนนนนน

55555555555555555

วันนี้ไม่มีสาระอะไรมากมายหรอกค่ะ แค่จะมาเล่าถึงช่วงเวลาที่ธรรมดาๆช่วงหนึ่งกับเพื่อนร่วมทางที่ธรรมดาๆกลุ่มหนึ่ง แต่กลับกลายทำให้ตลอดการเดินทางทั้งหมดนี้ดูพิเศษขึ้นมาทันที ^^

การเดินทางครั้งนี้ เราใช้ยานพาหนะเป็น “รถเก่าโบราณ” จ้า

อ่านไม่ผิดจ้า มันเก่า และโบราณจริงๆ และนางก็งอแงบ่อยมากกกกกก 5555555

อ๊ะๆๆ เริ่มเลยดีกว่า ตามชื่อกระทู้นะคะ การเที่ยวครั้งนี้เราเริ่มต้นจากจุดนี้และเพื่อนร่วมทางทั้งหมด 6 คนค่ะ

(การจะใช้รถแบบนี้ไปในสถานที่ที่ไปค่อนข้างลำบากนิดหน่อย อย่าลืมตรวจเช็คสภาพรถกันก่อนออกเดินทางนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจาก เจ้าของกระทู้ ฮ่าๆๆๆๆ)

เริ่มเดินทางจากจ.มหาสารคามเวลา 03.00 น. (แวะพักรถมาทุกปั้มน้ำมันระหว่างทาง)

แต่จุดนี้เป็นจุดที่เราพักกันค่อนข้างนานค่ะ เพราะเราต้อง ซ่อมรถ!!! ครับ นั่นละครับท่านผู้ชม 55555

คือจริงๆมันหนาวมากกว่าค่ะ เลยแวะพักกัน ที่หน้าอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ตอนนั้นอุณหภูมิประมาณ 5 องศา ขับรถมานี่แบบสั่นแบบเกร็งๆ จนระบมไปทั้งตัวราวกับว่าออกกำลังกายมาติดต่อกัน 24 ชม.(เวอร์ไปไหม ฮ่าๆๆๆๆ) และจะบอกว่าแม้แสงแดดงามตาแค่ไหนก็มิอาจทำให้ความหนาวนี้หายไปได้ บรืออออออ

แดดมันไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆนะแกรรรรร๊

หลังจากลูกรักของเราหายงอแงแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปเรื่อย แหมมมม มาถึงเพชรบูรณ์แล้วไม่ถ่ายรูปกับเขาก็จะกระไรอยู่เนาะ (สะพานห้วยตอง)

จากนั้นเริ่มเดินทางกันต่อค่ะ

เรามาถึงอ.เขาค้อเวลาประมาณ 11 โมงค่ะ แวะหาอะไรกินข้างทางจากนั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาที่ปั้มปตท.เขาค้อ ใครใคร่อาบน้ำอาบ ใครใคร่นอนพักนอน ใครใคร่ขี้ขี้ 5555555 เพราะเอาจริงๆนะ พวกเรายังไม่ได้นอนกันเลยตั้งแต่ออกเดินทางอ่ะ ทั้งหนาวทั้งง่วง แต่ก็อยากเที่ยวมากกว่าไง 555555 เอาละๆๆ พอเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัว ก็มุ่งหน้าไปยังจุดแรกของการเที่ยวคือ “ทุ่งกังหันลม เขาค้อ”

ทางขึ้นก็จะลำบากๆนิดนึง ของหล่นล่วงระหว่างทาง ปะปนกันไป ฮ่าๆๆๆ (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ จะมีทางขึ้นอีกทางอยู่แถวๆหมู่บ้านของชาวบ้าน ทางขึ้นก็จะเป็นซีเมนต์ทั้งหมด ขึ้นง่ายกว่า แต่ก็ไม่ได้ยากไปกว่ากันซักเท่าไหร่ ฮ่าๆๆๆๆๆ

เมื่อมาถึงทุ่งกังหันลมแล้วเราจะก็สามารถมองเห็นวิวเขาค้อได้สวยมากๆเลยค่ะ ถ้าตอนเช้าๆคงมีทะเลหมอกสวยๆให้เราได้ชมกันเป็นแน่(คิดว่า)

มาเป็นคู่ ก็ถ่ายเป็นคู่

มาเป็นคี่ ก็ถ่ายเป็นขี้ เอ้ย!! คี่ (อิอิ)

ที่นี่เราเก็บบรรยากาศ พักรถซักพักก็ออกเดินทางต่อ(เพราะแดดเริ่มร้อนมากแล้ว)

Next station Rout 12 (แน่ละ มาเขาค้อทั้งที ไม่มาร้านกาแฟร้านนี้ก็ยังไงๆอยู่เนาะ)

ขับออกมาประมาณ 12 กิโลเมตร(มั้ง) ก็จะถึง Rout 12 ร้านกาแฟและร้านขายของฝากน่ารักๆของเมืองเพชรฯจ๊ะ มีมุมงามๆให้ถ่ายรูปเล่นกันเยอะหน่อย (ดูจากรูปแล้ว ไม่น่าจะเรียกว่าหน่อยอ่ะเอาจริงๆ)

มุมร้านกาแฟส่วนตัวมุมนี้เอาหน่อยละกัน

ภายในร้านก็มีมุมนั่งชิคๆให้ถ่ายรูปเยอะแยะมากมายนะคะ

และนี่ก็เป็นเบื้องหลังการหาดอกสนหนึ่งดอกเพื่อมาถ่ายรูป 555555 และการพยายามถ่ายรูปของเรา(กว่าจะได้แต่ละรูปเด้อออ)

ก่อนกลับหาขโมยของเขาก่อน เอ้ย!!! ไม่ใช่ เค้าเรียกสอดส่อง อิอิ

อ๊ะๆๆ อยู่นี่มานานละ เดี๋ยวจะถึงทับเบิกมืดค่ำซะก่อน ออกเดินทางต่อจ้า

จุดนัดพบ(ความสนุก)จุดที่ 3 ของเราๆก็คือ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว (น่าเสียดายตอนที่พวกเราไป วัดกำลังทำการทำนุบำรุงเลยทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีอุปกรณ์ก่อสร้างมากมายติดเข้ามาด้วย แต่ก็ยังสวยเหมือนเดิม)

การเดินทางมาที่วัดนี้ก็ไม่ยาก ออกจาก Rout 12 ขับย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิม จะมีป้ายบอกเองว่าวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว น่าจะมีทางเข้าสองทาง ขับเข้าไปภายในวัด มีทั้งของกิน ของฝาก และที่จอดรถมากมายค่ะ

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด ในมงคลนามว่า “วัดพระธาตุผาแก้ว” เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ จากคณะกรรมการมหาเถรสมาคม โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เมื่อ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ตั้ง ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านเรียกกันว่า “ผาซ่อนแก้ว”

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วตั้งอยู่ในชัยภูมิธรรม ณ บริเวณเนินเขาในหมู่บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ โดย คุณภาวิณี และ คุณอุไร โชติกูล ได้มีจิตศรัทธาซื้อที่ดินถวายเริ่มแรกจำนวน ๒๕ ไร่ เพื่อก่อสร้างเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป ปัจจุบันมีผู้ร่วมถวายปัจจัยซื้อที่ดินเพิ่มรวมทั้งสิ้นมีที่ดินรวม ๙๑ ไร่ – ข้อมูลจาก http://www.phasornkaew.org -

และข้างล่างนี้เป็นรูปวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วตอนที่ยังไม่ได้ทำการทำนุบำรุงนะคะ(เราไปมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2560) เอามาให้ชมกันว่าสวยงามมากจริงๆ

มาๆๆๆ เรามาเดินทางไปยังจุดหมายของเราในวันนี้กันค่ะ

ออกจากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว มุ่งหน้าสู่ภูทับเบิกที่ใครๆบอกว่าทะเลหมอกสวยนักสวยหนา

และมันก็เป็นแบบที่ใครๆเขาบอกจริงๆค่ะ นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ฉันมาที่ภูทับเบิก ครั้งนี้ฉันตกหลุมรักภูทับเบิกเข้าอย่างจัง เมื่อได้เห็นแสงส้มอมทองที่สาดสะท้อนเข้ามาในตาคู่นี้ของฉัน (ขอเวอร์ๆ อิอิ)

จุดนี้ ถ้าใครเคยขึ้นไปที่ทับเบิกแล้ว จะมองเห็นได้ชัดเจนเลยค่ะ เพราะมันเป็นระหว่างทางไป ถ้าใครมีโอกาสได้ไปบ้าง แล้วเจอแสงสวยๆแบบนี้ อย่าลืมจอดแวะถ่ายรูปกันซักนิดนะจ๊ะ

เรามาถึงจุดกางเต็นท์ที่บนยอดภูทับเบิกเวลาประมาณ 18.00 น. เริ่มมืดมากแล้ว ขับรถวนหาที่พักอยู่ซักพักก็ตัดสินใจเลือกพักที่ ไร่ริมผา (สำหรับสถานที่ตรงนี้มีทั้งแบบห้องพัก และแบบกางเต็นท์นะคะ เลือกได้ว่าจะเช่าเต็นท์หรือเอาเต็นท์มาเอง ถ้ามีเต็นท์เองคิดค่าเข้าพักคนละ 100 บาทค่ะ ถ้าเช่าเต็นท์ก็มีหลายราคาตั้งแต่ 250 บาท/ต่อหลัง (ขออภัยหากข้อมูลผิดพลาด เพราะตรงนี้เราก็ไปหาเอาดาบหน้าเช่นกัน 555555)

เช้าๆกับทะเลหมอกและแสงแรกที่ไร่ริมผา ^^

สายๆมานิดหน่อย ยิ่งมองเห็นทะเลหมอกที่งามขึ้นเด้อออ

มองดูหมอกเพลินๆ กับอากาศที่ตอนเช้าหนาว และสายๆค่อนข้างร้อน 55555 ยังกับพระเอกเอ็มวีครับพี่น้องครับ

(ไปกันเยอะๆทำไมเห็นรูปแค่สองคน ฮ่าๆๆๆ สองคนที่มาเป็นคู่เขาก็ไปถ่ายรูปของเขา อีกสองคนยังไม่ฟื้นครับพี่น้อง)

มาๆ ชมวิวรอบๆกันหน่อย (จริงๆที่ทับเบิกไม่ว่าจะพักที่ไหนก็สามารถมองเห็นวิวได้ทั่วทุกมุมเหมือนกันนะเราว่า)

หลังจากที่เราทุกคนทำภารกิจส่วนตัวเสร็จกันหมดแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางเพื่อที่จะไปชมวิวชิคๆต่อที่ภูลมโลจ้า

แต่! แต่!! แต่!!! แต่ไม่เป็นแบบนั้นจ้า เนื่องจากลูกสาวของเรางอแงอีกแล้วแกรรรรร๊ ><

ซ่อมครับซ่อม ซ่อมกันไป เราต้องพร้อมที่จะดูแลลูกสาวของเราตลอดเวลา

ซ่อมเสร็จแล้ว ออกเดินทางได้

เราออกจากที่พัก ขับเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปไหว้พระที่วัดป่าภูทับเบิก มาถึงแล้วก็ต้องมาสักการะซักครั้ง

วัดป่าภูทับเบิก เป็นสถานปฏิบัติธรรมสายธรรมยุตินิกาย ชาวบ้านทับเบิกร่วมก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2534 มีเนื้อที่ 50 ไร่เศษ บริเวณวัดจะถูกปกคลุมด้วยป่าไม้ต่างๆ จึงทำให้บรรยากาศมีความหนาวเย็นตลอดทั้งปี และเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญโดยเป็นสถานที่รับน้ำฟ้ากลางหาวเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าถวายองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทำน้ำพุทธมนต์ในพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษาครบ 6 รอบ เมื่อปี พ.ศ. 2542

ภายในพระมหาธาตุเจดีย์จะประดิษฐานพระพุทธโคดมปางไสยาสน์ และ พระศรีอริยเมตไตรย์ทั้ง 2 พระองค์ และลงรักปิดทองประดับเพชรพลอยรัตนชาติ ภายในแต่ละชั้นจะประดิษฐานพระประจำวันทั้ง 4 ทิศ ในส่วนองค์พระมหาธาตุเจดีย์จะประดับด้วยกระเบื้องโมเสค ทั้งภายนอกและภายใน – ข้อมูลจาก http://www.welovetogo.com/th/travel/view/วัดป่าภูทับเบิกจังหวัดเพชรบูรณ์.html

จากจุดนี้ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังภูลมโลเลยจ้า แต่... (อีกแล้วหรอ?) ระหว่างทางอ่ะเนาะ อิอิ เดือนธันวาคมแบบนี้ดอกพญาเสือโคร่งก็เริ่มออกดอกให้เห็นกันบ้างแล้วน๊า ตรงนี้ก็คือทางเข้าไปภูทับเบิกเลยจ๊ะ

ทุกคนขา และแล้วเราก็ไปยังภูลมโลไม่ได้ เนื่องจากลูกสาวเราป่วยอีกแล้วค่ะพี่บัวลอยยยยยยยยยย (บัวผันเหนื่อยยยย) เหนื่อยทำไมไม่ได้ซ่อมกับเขาซักหน่อย 555555

อำลาทับเบิกที่รักก่อนที่จะลงไปหาข้าวกินกันและมุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบจุดต่อไป

และทริปนี้ของเราก็มุ่งหน้าสู่เชียงคานเลยค่ะ เพราะว่ากว่าลูกสาวจะเลิกงอแงก็ใช้เวลาเกือบเย็นเข้าแล้ว เรามาถึงเชียงคานประมาณ 21.00 น. และแน่นอนทริปประหยัดของเราในครั้งนี้ก็คงเป็นการไปกางเต็นท์นอนที่สภ.เชียงคาน (กางเต็นท์ฟรี มีห้องอาบน้ำที่สะอาด และห้องส้วมสะดวกสบายมากจ๊ะนายจ๋า) มาถึงก็ไปเดินเล่นถนนคนเดินหาอะไรกินกันก่อนโน๊ะ

ถ่ายกับมุมฮิตเขาหน่อยละกัน (ไม่รู้ว่าฮิตกันได้อย่างไร) แต่เราก็ยังมาถ่ายกัน

อ๊ะ ลืมบอก สภ.เชียงคานตั้งอยู่ห่างจากถนนคนเดินเชียงคานประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้นเด้ออ ไม่ต้องโทร.จองก่อน ไปถึงก็ไปมุมกางเต็นท์เลยจ้า และใกล้ๆกันก็มีบอลลูนสำหรับคู่รักหรือเพื่อนรักไว้นอนดูดาวด้วยกันนะจ๊ะ โรแม๊นนนนนนนนสุดๆค๊า ที่ดีงามไปอีกอย่างคือ นางอยู่ริมแม่น้ำโขงเลยคร้าบบบ งานนี้มีหนาววว ทั้งตอนเย็นและตอนเช้าเลยทีเดียว

เวลา 06.00 น. บรรยากาศริมแม่น้ำโขง

เสร็จภารกิจตอนเช้า รีบขับรถดิ่งไปที่ภูทอกให้ทันดูทะเลหมอกกันนนน

ค่าบริการ 25 บาท/ต่อ ไป-กลับ จากจุดจอดรถถึงจุดชมวิวทะเลหมอกภูทอกนะจ๊ะ

เอาจริงๆ เราไปถึงภูทอกก็เกือบจะเก้าโมงแล้วอ่ะ นี่ยังมีหมอกบางๆให้เห็นอยู่ก็นับว่าเป็นบุญหัว 5555555

ด้วยเวลาอันเร่งรีบ ออกจากภูทอกปุ๊ป มุ่งหน้าสู่แก่งคุดคู้ โลเคชั่นดีๆอีกที่ของเชียงคาน แต่ก็ไม่มีอะไรมากนะเราว่า มีของฝากเป็นมะพร้าวแก้วมากมายก่ายกอง กับน้ำมะพร้าวที่มีขายตลอดทางเดิน

ตรงนี้เราแทบจะไม่ได้ถ่ายรูปกันเลย มาสูดโอโซนดีดีเฉยๆ

ในเส้นทางเดียวกัน จะเจอ(เขาเรียกว่าไรไม่รู้เป็นทางผ่านไปแก่งคุดคู้อ่ะแหล่ะ มาแล้วก็แวะหน่อย เขาจัดสวนที่เขาจัดสำหรับนักท่องเที่ยวไว้ถ่ายรูปกัน มีมุมสวยๆมากมาย ค่าเข้าชมคนละ 20 บาท) มา 6 เข้า 2 ก็จะมีแต่รูปเราสอง 5555555

เที่ยวกันเหนื่อยแย้ววว กลับสารคามกันดีกว่าจ้าววววววววววว

กลับไปเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าที่สภ.เชียงคาน ไปกินของดีเมืองเชียงคาน “ข้าวเปียกเส้น” ก่อนกลับ (จริงๆเราว่ามันก็ก๋วยจั๊บอุบลนี่แหล่ะมั้ง (ว่ะ)) อิอิ ไม่ได้ถ่ายรูปข้าวเปียกเส้นให้ดูเพราะตอนนั้นหิวมากกกกกก ได้มาก็กินเลยย

อำลาสุดท้ายก่อนจากเชียงคาน (มุมฮิตๆอีกมุม)

สิ้นสุดการเดินทางในครั้งนี้ เป็นทริปที่ไม่สามารถสรุปค่าใช้จ่ายให้เพื่อนๆรู้ได้ เพราะไม่รู้ว่าใครจ่ายอะไรบ้าง 555555

และก็เป็นทริปส่งท้ายปีที่โคตรมีความสุขและสนุกมากๆ ขอบคุณผู้ร่วมทริปทุกๆคนนะคะ

“บางครั้ง มิตรภาพที่สวยงาม อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างทางที่เราไป”...

และสุดท้าย บทเรียนที่ได้จากการไปเที่ยวในครั้งนี้ สอนให้เรารู้ว่า

“ ไม่ว่าชีวิตคนเราจะพบเจออุปสรรคหรือเจอเรื่องแย่ๆมากมายแค่ไหน แต่ตราบใดที่เราไม่ท้อและถอยมันซะก่อน เราก็จะข้ามผ่านมันไปได้”...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและอ่านจนจบนะคะ รูปและข้อความอาจจะเยอะไปหน่อย ต้องขออภัย

ขอให้ทุกคนโชคดีกับทุกๆการเดินทางนะคะ

เราไม่ขอเรียกกระทู้นี้ว่ากระทู้รีวิว แต่ขอเรียกมันว่า “บันทึกจากฉัน นัก(ชอบ)เดินทาง”

ทับเบิกที่รัก ฉันรักเธอ

ปล.ขออภัยในความปรับแสงไม่เป็นของเรา

ปล.รูปทั้งหมดไม่ได้ผ่านการแต่งโดยโปรแกรมใดๆ อาจทำให้ภาพบางภาพมัว ดำ หรือไม่ชัด ขอโทษด้วยเด้อออ อิหล่าแต่งรูปบ่เป็น อิอิ

ความคิดเห็น