“ห๊ะ ถ้ำอะไรนะ” เป็นประโยคที่ได้ยินทุกครั้งที่พูดถึงถ้ำนี้ให้ใครฟัง

ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อถ้ำนี้ ก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่าถ้ำแห่งนี้มันอยู่ในอาณาเขตประเทศไทยจริงหรือ และทำไมจึงมีเรียกชื่อเรียกแปลกหูเช่นนี้

ก่อนอื่นจึงขออธิบายที่มาของชื่อถ้ำสักหน่อย “ถ้ำเล” หมายถึง ถ้ำที่ภายในมีน้ำทะเลไหลลอดผ่านตามการขึ้นลงของน้ำทะเล ส่วนคำว่า “สเตโกดอน” เป็นชื่อช้างดึกดำบรรพ์ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่เมื่อ 1.8 ล้านปีก่อน นับว่าเก่าแก่กว่าช้างแมมมอธ และเนื่องจากได้มีค้นพบฟอสซิลของช้างสายพันธุ์นี้ในถ้ำ ถ้ำแห่งนี้จึงถูกตั้งชื่อซะใหม่ว่า ถ้ำเล-สเตโกดอน แทนชื่อที่เคยเรียกขานกันแต่เดิมว่า ถ้ำวังกล้วย

ถ้ำเล-สเตโกดอน ตั้งอยู่ในเขตอุทยานธรณีสตูล เป็นถ้ำน้ำเค็มที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 4 กิโลเมตร เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานธรณีโลกจาก UNESCO เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

การเตรียมตัวไปเที่ยวชมถ้ำแห่งนี้ เราควรเข้าไปเช็คระดับน้ำในเฟซบุ๊คเพจ “ถ้ำเล สเตโกดอน” เสียก่อน หรือติดต่อสอบถามไปที่ อบต. ทุ่งหว้า เพราะหากเป็นวันที่น้ำทะเลลดลงต่ำมาก จะไม่มีการนำชม เพราะไม่สามารถพายเรือคายัคเข้าไปได้

เมื่อได้วันที่เหมาะสมแล้วจึงทำการจอง ปกติทาง อบต.จะรับจองเป็นกรุ๊ป กรุ๊ปละ 8 คน ต่อวัน ราคาคนละ 300 บาท หากเราไปกันไม่ถึง 8 คน ก็สามารถร่วมกับกลุ่มอื่นได้ แต่หากในวันนั้นไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น อย่างเช่นเรา 4 คน ก็ต้องจ่ายในราคาเหมา 2,400 บาท ตกคนละ 600 บาท

วันที่เราไปเที่ยว ระดับน้ำสูงสุดที่เหมาะกับการเข้าชมถ้ำอยู่ในช่วงสี่โมงเย็น เราค่อนข้างกังวลอยู่เหมือนกันว่ากว่าจะเที่ยวชมเสร็จออกมาจากถ้ำก็มืดค่ำ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าใช้เวลาประมาณ 1.5 - 2 ชั่วโมง ออกมาหกโมงเย็นช่วงหน้าร้อนก็น่าจะยังไม่มืด

เราไปถึง อบต. ทุ่งหว้าประมาณสามโมงครึ่ง พี่เจ้าหน้าที่ซึ่งจะเป็นไกด์นำชมถ้ำของเราด้วยพาเดินชมศูนย์การเรียนรู้ด้านนอกอาคาร ซึ่งจัดแสดงภาพและโมเดลวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตยุคสมัยต่างๆ มีภาพประกอบคำอธิบายง่ายๆ ต่อจากนั้นก็เข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ในตัวอาคารที่ได้เปิดแอร์เย็นฉ่ำรออยู่แล้ว โดยจัดแสดงภาพพื้นที่การสำรวจขุดค้น สิ่งที่ค้นพบเช่นฟอสซิลของสัตว์ดึกดำบรรพ์ต่างๆ โดยมีไฮไลท์คือ ฟอสซิลช้างสเตโกดอน อายุประมาณ 1.8 ล้านปี ฟอสซิลช้างเอลลิฟาส อายุประมาณ 1.1 ล้านปีนอกจากนี้ ยังมีซากแรดโบราณสกุลเกนดาธิเรียมและคิโลธิเรียม และค้นพบมนุษย์ถ้ำ กระดูกมนุษย์โบราณด้วย

พี่ไกด์ยังบอกอีกว่าในถ้ำยังมีคนค้นพบฟอสซิลของสัตว์โบราณอยู่เรื่อยๆ ให้เราลองมองหาดู เราอาจจะเป็นผู้ค้นพบฟอสซิลชิ้นใหม่ก็ได้ ได้ยินแบบนี้เรายิ่งรู้สึกตื่นเต้นและกระตือรือร้นที่จะไปถ้ำเร็วๆ

เดินชมพิพิธภัณฑ์ได้ไม่นาน ก็ต้องรีบออกเดินทางไปที่ปากถ้ำเพื่อเริ่มการผจญภัยย้อนรอยโลกดึกดำบรรพ์ ปกติเจ้าหน้าที่จะให้จอดรถไว้ที่อบต แล้วขึ้นรถกระบะไปที่ถ้ำ แต่ด้วยว่าเราเริ่มช้าเจ้าหน้าที่จึงให้เราขับรถตามไปจอดที่หน้าถ้ำเลย และรถของเจ้าหน้าที่ก็จอดแวะรับฝีพายซึ่งก็คือชาวบ้านละแวกนั้นนั่นเอง

ถนนเข้าไปหน้าถ้ำรายล้อมด้วยสวนยางปลูกเรียงเป็นแนวสวย จนอดใจลงไปถ่ายรูปเล่นไม่ได้

เมื่อถึงปากถ้ำ บรรยากาศเงียบมาก มีแต่เรากับไกด์และฝีพายจริงๆ หน้าถ้ำเป็นหน้าผาหินปูน มีป้ายพร้อมรูปปั้นช้างสเตโกดอนเพื่อให้เรารู้ว่าเจ้าช้างสเตโกดอนนี้มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร

ไกด์ให้เราเลือกเสื้อชูชีพและหมวกนิรภัยกันตามใจชอบ จากนั้นจึงเดินข้ามสะพานแขวนน้อยๆ ก็เห็นเรือคายัค 4 ลำจอดรออยู่พร้อมฝีพาย พี่ไกด์ยิ้มและบอกว่า วันนี้พิเศษหน่อย ปกติจะให้นั่งลำละ 2 คน (ไม่รวมฝีพาย) แต่วันนี้จะให้นั่งลำละคนไปเลย เราคิดว่าเป็นการกระจายรายได้ที่ดีจัง แทนที่จะจ้างชาวบ้านมาแค่สองคน ก็จ้างไปสี่คนเลย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วพี่เค้าคงเห็นว่าพวกเราตัวใหญ่ๆ กันทั้งนั้น บวกกับระดับน้ำต่ำมาก ขืนนั่งลำละสองคน คงพายไม่รอดท้องเรือติดพื้นไปยาวๆ แน่

ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในถ้ำ ไกด์กำชับให้เราใส่เสื้อชูชีพและหมวกกันน็อคอยู่เสมอแม้ว่าในวันนั้นน้ำจะสูงเพียงแค่หน้าแข้งก็ตาม ไกด์จะถือสปอตไลท์นำทางให้ตลอดเวลา อีกทั้งนักท่องเที่ยวจะได้รับแจกไฟฉายคนละอัน ฉะนั้น คนที่กลัวความมืดก็สามารถเข้าชมถ้ำได้อย่างสบายใจ

ในถ้ำมีเกาะแก่งมากมาย ช่วงที่เราไปน้ำลดลงเหลือน้อย เราจึงต้องลงเดินบ้างเป็นบางจุด มีฝีพายเป็นคนลากเรือคายัคและคอยอำนวยความสะดวก ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่มีแร่แคลไซต์เป็นประกายระยิบระยับสวยงามให้ชมไปตลอดทาง แต่ที่เราประทับใจก็จะมีผมนางฟ้าซึ่งเป็นหินย้อยมีลักษณะคล้ายผมของผู้หญิงสีแดงไว้ผมหน้าม้า ม่านน้ำตก แท่นประทับ หินย้อยคล้ายหลอดกาแฟ หินย้อยรูปหัวใจ

พอใกล้ถึงทางออกปลายถ้ำไกด์ถามพวกเราว่าอยากจะเห็นความมืดที่แท้จริงมั้ย จึงสั่งให้ทุกคนปิดไฟฉาย ทุกอย่างรอบตัวเรามืดสนิท เงียบ เย็นยะเยือก เราเกาะกาบเรือไว้แน่น ไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอื่นใด นอกจากคลื่นน้ำเบาๆ เรารู้สึกเหมือนกายหยาบของเราหายไป บางคนก็จินตนาการกลัวไปถึงสัตว์ประหลาดแบบในทะเลสาบล็อคเนส แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครรู้สึกกลัวผีเลย ในถ้ำนั้นคงไม่มีอะไรแบบนั้นจริงๆ กว่าจะหายใจทั่วท้องได้ก็ตอนที่ไกด์เปิดไฟฉายอีกครั้ง

ใกล้ทางออกไกด์ชี้ให้เราดูฟอสซิลหอยนอร์ติลอย หรือหอยงวงช้างฝังแน่นบนผนังถ้ำ ฝีพายผลัดกันพายเรือให้เราเข้าไปชมฟอสซิลใกล้ๆ แม้จะเล็กแต่ก็คงความสมบูรณ์ ไว้อย่างดี แต่ทั้งนี้มีข้อห้ามไม่ให้แตะสัมผัสเพื่อรักษามรดกทางธรรมชาตินี้ให้คงอยู่ต่อไป พอไปถึงสุดถ้ำไกด์บอกว่าจะมีโพรงที่มีแสงลอดผ่านเข้าถ้ำได้ แต่ด้วยเราไปถึงทางออกค่ำมากเราจึงไม่มีโอกาสเห็น ไกด์บอกว่าปกติการนำเที่ยวเช่นนี้จะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง แต่กลุ่มของเราใช้เวลาอย่างเต็มที่กินเวลาไปกว่าสี่ชั่วโมง ออกมาฟ้าก็มืดแล้ว

ทางขึ้นจากถ้ำค่อนข้างชัน ว่าไปก็ลำบากและอันตราย ทางลงก็ชันและลื่นไม่แพ้กัน ทำเราขาสั่นไปเลยทีเดียว เราเดินตัวเปล่าก็ลำบากแล้วแต่เจ้าหน้าที่ต้องขนเรือคายัคออกมาด้วยหนักไม่ใช่เล่น เรานั่งเรือคายัคผ่านป่าโกงกางในคืนเดือนมืดบรรยากาศวังเวงและยุงเยอะมาก

พี่ไกด์บอกว่าตั้งแต่พี่เค้านำเที่ยวมา กลุ่มเราเป็นกลุ่มที่ใช้เวลาอยู่ในถ้ำนานที่สุดและเป็นกลุ่มแรกที่ออกจากถ้ำในเวลาฟ้ามืดแบบนี้ จนพี่เจ้าหน้าที่ที่รับจองทริปต้องโทรตาม ไหนจะคนเรือหางยาวและรถกระบะที่มารอรับเป็นทอดๆ ก็นึกว่าโดนหลอกให้มารอเก้อเสียแล้ว แต่เราก็กลับออกมาอย่างปลอดภัยด้วยการดูแลเป็นอย่างดีของเจ้าหน้าที่ อบต. และชาวบ้านตำบลทุ่งหว้า

คายัคพาเรามาขึ้นเรือหางยาวลำใหญ่ซึ่งจะพาเราขึ้นฝั่งไปต่อรถกระบะอีกทอดหนึ่ง เพื่อกลับไปเอารถของเรา เป็นอันจบทริปล่องเรือเที่ยวถ้ำอันน่าตื่นตาตื่นใจของเราลงอย่างสมบูรณ์

Tag AlonG

 วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 18.41 น.

ความคิดเห็น