การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการสนทนากับวงเพื่อนๆ ในกลุ่มว่า วิสาขบูชา จะไปร่วมทำบุญ และเวียนเทียนที่ไหนดี



บทสนทนาในกลุ่ม



พี่ A : วัดทุ่งเศรษฐี ไปมั้ย เค้าว่ากันว่าวัดสวยมาก และเค้าจัดงานวิสาขบูชาด้วยนะ

ยัยตัวร้าย : หรอๆๆๆ ดีเลย จะได้ไปถ่ายรูปด้วย ไม่เคยถ่ายตอนเวียนเทียนเลย ตกลงไป

พี่ A : งั้น พรุ่งนี้ ล้อหมุน ตี 5 นะ

ยัยตัวร้าย : เอ้ย เดี่ยวนะ วัดทุ่งเศรษฐี อยู่จังหวัดไหนอะ ไม่ใช่อยู่ใน กรุงเทพฯ หรอ

พี่ A : ตรูว่าแล้ว อยู่จังหวัดขอนแก่น ตกลงจะไปมั้ย ถ้าไป พรุ่งนี้ ตี 5 ล้อหมุน ห้ามเรท ตรงเวลาด้วย

ยัยตัวร้าย : OK ตกลงไปค่ะ พรุ่งนี้เจอกัน




I am Devil ยัยตัวร้าย ใจง่ายมาก ใครชวนไปไหนก็ไป อิอิ พี่เค้าว่าวัดสวยมาก ไอ้เราก็ชอบถ่ายรูปด้วยสิ อีกอย่างไม่เคยไปถ่ายตอนเค้าเวียนเทียนด้วย แถมมีจัดงานวิสาขบูชา ก็เลยอยากไปสักครั้งนึง



ถามว่ารู้จักไหม วัดทุ่งเศรษฐี ไม่รู้จักค่ะ ฮ่าๆๆๆ หลายๆ คน คงไม่รู้จักเหมือนกัน ไม่เป็นไรค่ะ เรามาทำความรู้จักวัดทุ่งเศรษฐี จังหวัดขอนแก่น พร้อมๆ กัน กับ I am Devil ยัยตัวร้าย กันค๊า



พร้อมมั้ย พร้อมมั้ย รัวๆๆๆๆ 3..4 12312312121 เอ้ย!!! ไม่ใช่ แหๆๆ
พร้อมตาม I am Devil ยัยตัวร้าย ไปเที่ยววัดทุ่งเศรษฐี จังหวัดขอนแก่น แล้วยังคะ
พร้อมแล้ว Let’s Go…Go



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สามารถพูดคุยและติดตามผลงานได้ที่ https://www.facebook.com/IamDevilTh

และดูรีวิวได้ที่ http://www.bloggertrip.com/

เช้าวันรุ่งขึ้น เวลา 05.00 น. ล้อหมุน เดินทางออกจากกรุงเทพฯ มุ่งสู่ขอนแก่น

เราเปิด อากู๋ map ค่ะ ระยะทางใน อากู๋ map 435 กิโลเมตร ใช้เวลา 5 ชั่วโมง 35 นาที

เราตั้งพิกัดเริ่มต้นจาก ท่าอากาศยานดอนเมือง มุ่งหน้าไปทางสระบุรี โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 2 วิ่งตามถนนมิตรภาพค่ะ

เราขับมาตามเส้นทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ ก่อนจะถึงตัวเมืองขอนแก่น จะมีทางเลี่ยงเมืองป้ายบอกทางไปจังหวัดกาฬสินธุ์ ให้เลี้ยวขวาขึ้นสะพาน วัดทุ่งเศรษฐี จะอยู่ด้านซ้ายมือ จะมีป้ายบอกทางเข้าวัด

ทางเข้าวัดมีป้ายบอกชัดเจนค่ะ

ทางเข้าจะเป็นดินแดง ดินลูกรัง ในอนาคตกำลังจะปรับปรุงถนนทางเข้าค่ะ

ขับไปตามทางเลยค่ะ ประมาณ 500 เมตร จะเจอวัดอยู่ทางขวามือค่ะ

ถึงแล้ว “วัดทุ่งเศรษฐี” ตามมาข้างในกันค่ะ

ก่อนที่จะตาม I am Devil ยัยตัวร้าย เข้าไปภายในวัด เรามาดูแผนผังภายในวัดกันก่อนค่ะ ว่าภายในวัดมีสถานที่ที่เราสามารถเดินชมมีตรงจุดไหนบ้าง

แผนผังวัดทุ่งเศรษฐี


1. มหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุ Maha Rattana Chedi Sri Trai Lokd Dhatu (The Great Jewel Chedi of the three worlds)

2. วิหารพระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) Avalokitesvara (Kuan-Yim) Shrine

3. มณฑปองค์ปฐม (พระพุทธสิกขีทศพล) Mondop Ong Pathom (Chapel of the First Buddha)

4. พญายม / นรกภูมิ / พญานาคราช Yamraja / Hell Outdoor Musem / King of Naga

5. สะพานศีลอุดมทรัพย์ Siludomsarp Bridge

6. ที่พักผู้ปฏิบัติธรรม Pilgrims Accommodation

7. แท่นแว่นฟ้า – ท่านาคิน Vanfah – Nagin Worshiping Pier

8. พระสีวลี Phra Arhant Sivali

9. ศาลามาลัย Flower Kiosk

10. หอฉัน Multi – Purpose Hall

11. โรงครัว Service Quarter

12. กุฏิ Monk Living Quarter

ก่อนเราจะไปเดินชมภายในวัด มาทราบประวัติความเป็นมากันก่อนค่ะ



“ประวัติวัดทุ่งเศรษฐี จ.ขอนแก่น”


วัดทุ่งเศรษฐี ตั้งอยู่ที่ ตำบลพระลับ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น บนเนื้อที่ 73.2 ไร่ เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2542 ริเริ่มก่อสร้างโดย “หลวงตาอ๋อย” (สวาสดิ์ ศีลอุดมทรัพย์) หรือรู้จักกันในนาม หลวงตาอ๋อย ย่ามแดง



ความเป็นมาของวัดทุ่งเศรษฐี เริ่มเมื่อหลวงตาท่านเที่ยวไปมาในจังหวัดต่างๆ ทางภาคอีสานอยู่หลายปี ช่วยเหลือพ่อแม่ครูบาอาจารย์ในสายพระกรรมฐานของพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นส่วนใหญ่ ท่านได้ช่วยทำนุบำรุงพระศาสนาทั้งทางตรง และทางอ้อม ใช้ทั้งอิทธิฤทธิ์ และบุญฤทธิ์ ชักจูงให้ชาวบ้านเกิดศรัทธา เข้าวัดทำบุญประปฏิบัติธรรมได้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี การสงเคราะห์ผู้คนของท่านเป็นเช่นนี้อยู่ระยะหนึ่ง ท่านจึงพิจารณาแล้ว เห็นว่าได้โปรดผู้คนในถิ่นต่างๆ เป็นเวลาพอสมควรแล้ว ถึงเวลากลับมาโปรดลูกหลานในภูมิลำเนาของท่านเองที่จังหวัดขอนแก่นเสียที



ครั้นกลับมายังขอนแก่นได้ไม่นาน หลวงตาระลึกได้ว่ามีที่ดินเก่าเก็บอยู่ผืนหนึ่ง เนื้อที่ราว 5 ไร่ จึงไปสำรวจดู จากการสำรวจในครั้งนั้น ท่านเกิดรู้ด้วยญาณวิถีขึ้นว่าเป็นผืนดินศักดิ์สิทธิ์ด้วยว่าเป็น “ผืนดินสามโลกธาตุ” ท่านจึงร่วมกับลูกศิษย์ซื้อที่ดินเพิ่มเติม เพื่อสร้างเป็นวัด โดยตรงจุดสำคัญสามโลกธาตุนั้น ท่านกำหนดให้สร้างพระมหาเจดีย์ครอบไว้ แต่เป็นที่รู้จักกันในหมู่ลูกหลานใกล้ชิดว่า หลวงตาไม่ได้เพียงแต่จะสร้างพระมหาเจดีย์แห่งนี้ ได้ค้ำจุนไปถึงประเทศชาติ และพระราชวงศ์จักรี ดังที่ท่านมักกล่าวอยู่เนืองๆ ว่า “สร้างถวายในหลวง”

ชื่อวัดทุ่งเศรษฐีนี้ หลวงตาท่านว่า “เพราะจะมีเศรษฐีที่มาทำบุญกับเรา มีทั้งเศรษฐีน้อย เศรษฐีใหญ่ และว่าที่เศรษฐีน้อยทั้งนั้น แม้วันนี้บางคนยังไม่ได้เป็น วันหน้าก็ต้องได้เป็นอยู่ดี”

ตรงจุดที่เรายืน คือ “คุณอยู่ที่นี่ 1” ตอนเราขับเข้ามาในวัด ทางขวามือ เราได้ผ่าน โรงครัว และหอฉันค่ะ ส่วนเบื้องหน้าของเรา



หมายเลข 8 คือ “พระสีวลี (Phra Arhant Sivali)”


“พระสีวลี” เป็นพระอรหันต์สาวกพระองค์หนึ่งที่มีผู้คนศรัทธา และกราบไหว้บูชาเป็นจำนวนมาก ด้วยเป็นเอตทัคคะ และบารมี เป็นผู้เลิศด้วยลาภ

รูปลักษณ์ของพระสีวลีที่เป็นภิกษุ มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายแบกกรด สะพายบาตรบ้าง สะพายย่ามเครื่องอัฐบริขารบ้าง

ไม้เท้า หมายถึง คนคอยช่วยเหลือ อุปถัมภ์ ค้ำจุน

กลด หมายถึง ความร่มเย็นเป็นสุข

บาตร หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ ทรัยพ์สินเงินทอง

ย่าม หมายถึง ชีวิตจะพร้อมไปด้วยจัตุปัจจัยมิได้ขาดเลย

จากนั้นเราเดินเลี้ยวซ้ายมายัง

หมายเลข 9 คือ “ศาลามาลัย (Flower Kiosk)”


ศาลามาลัย เป็นที่สอบถามข้อมูล และจุดประชาสัมพันธ์ และยังเป็นจุดจำหน่าย ดอกไม้ ธูป เทียน ด้วยค่ะ

I am Devil ยัยตัวร้าย จะพาไปชมด้านในสุดกันก่อนนะคะ สถานที่ต่อไปที่จะไปชมกัน นั่นคือ นรก ค่ะ ฮ่าๆๆๆ อย่าเพิ่งแอบกลัวค๊า เราไปดูกันสิคะว่า นรก นั้นเป็นอย่างไรกัน



หมายเลข 4 “พญายม / นรกภูมิ / พญานาคราช (Yamraja / Hell Outdoor Musem / King of Naga)”


เดินตาม I am Devil ยัยตัวร้าย ไปยังลานพยายมกันค่ะ

ใกล้ถึง “นรก” กันแล้วค๊า เลี้ยวซ้ายไปอีกเพียง 10 เมตรเท่านั้น

“Welcome to Hell” นรก ยินดีต้อนรับ


สวนนรกภูมิ สร้างขึ้นเนื่องจากคนยุคหลังๆ นั้นจะห่างจากศีลธรรมขาดความเกรงกลัวต่อบาปกรรม เลยสร้างจำลองสำนักพญายมราชขึ้นมา ภายในจะแสดงภาพนรกขุมต่างๆ ประกอบด้วยรูปปั้นเปรต และนรก 5 ขุม แสดงวิบากกรรม ของสัตว์นรกหมู่ต่างๆ ที่กำลังเสวยผลกรรมจากการล่วงละเมิดศีลห้า ในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์

จำศีลห้า กันได้มั้ยคะ ว่ามีอะไรกันบ้าง มา...มาค่ะ I am Devil ยัยตัวร้าย จะทวนความจำศีลห้า กันค่ะ

“ศีลห้า” นั้นประกอบด้วย

1. เว้นจากการฆ่าสัตว์ (ปาณาติปาตาเวรมณี)

2. เว้นจากการลักทรัพย์ (อทินนาทานาเวรมณี)

3. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี)

4. เว้นจากการพูดปด (มุสาวาทาเวรมณี)

5. เว้นจากการดื่มน้ำเมา (สุราเมรยมัชชปมาทัฎฐานาเวรมณี)



อาจกล่าวแบบอนุโลมได้ว่า “ผู้ใดผิดศีลห้า ผู้นั้นไม่ใช่คน ผู้ใดผิดศีลห้า ผู้นั้น คือ สัตว์เดรัจฉาน, เปรต หรือสัตว์นรก”




มาดูกันค่ะ ถ้าเราผิดศีลห้า จะต้องเจออะไรกันบ้าง

พญายม


ท้าวพญายม หรือ พระยม ในเทวตำนานยุคต้น ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ มีอิทฤทธิ์มาก ทำหน้าที่พิพากษา และปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ มีบริวาร คือ ยมฑูต หรือ นายนิรยบาล มีหน้าที่นำวิญญาณทั้งหลายไปยังสำนักพญายม และลงโทษแก่ดวงวิญญาณในนรก

I am Devil ยัยตัวร้าย จะพาไปชมนรกทั้ง 5 ขุม โดยจะพาไปดูการทำผิดศีลห้าแต่ละข้อ ว่าการผิดศีลห้าแต่ละข้อ เราจะโดนอะไรบ้าง



เริ่มจาก ศีลข้อ 1 เว้นจากการฆ่าสัตว์ (ปาณาติปาตาเวรมณี)


ผลจากตอนที่เราเป็นมนุษย์ เราได้ฆ่าสัตว์ชนิดไหนไว้ เมื่อเราตาย เราจะลงมานรก เพื่อเป็นสัตว์ที่คุณฆ่า ลงกระทะทองแดง ด้วยน้ำเดือดๆ โดยมียมฑูตควบคุม

ศีลข้อ 2 เว้นจากการลักทรัพย์ (อทินนาทานาเวรมณี)


ใครทำผิดศีลข้อนี้ จะถูกยมฑูตลงโทษ จะถูกขึงแขน ตรึงข้อมือไว้ จะถูกเฆี่ยนตี หรือกระบองทุบตี

ศีลข้อ 3 เว้นจากการประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี)


ประพฤติผิดในกาม จะถูกปีนต้นงิ้ว ควบคุมการปีนต้นงิ้ว โดยยมฑูต และสุนัขในขุมนรก

ศีลข้อ 4 เว้นจากการพูดปด (มุสาวาทาเวรมณี)


ใครที่พูดปด จะถูกการทรมาน โดยยมทูตจะดึงลิ้น ตัดลิ้น ตัดลิ้นไก่

ศีลข้อ 5 เว้นจากการดื่มน้ำเมา (สุราเมรยมัชชปมาทัฎฐานาเวรมณี)


ผิดศีลข้อนี้ จะถูกยมฑูต กรอกน้ำเมา ตลอดเวลาเมื่ออยู่ในนรก

เปรต


เคยได้ยินมั้ยคะว่า โบราณเค้าว่า ทำร้ายพ่อแม่ หรือด่าพ่อแม่ ชาติหน้าจะเกิดเป็นเปรต

ในทางศาสนาพุทธ เปรต หมายถึง อมนุษย์พวกหนึ่งที่เกิดในเปตวิสัยซึ่งเป็น 1 ใน 4 อบายภูมิ เปรตมีหลายประเภท เช่น ประเภทหนึ่งเรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต คือ เปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ส่วนบุญที่มีผู้ทำอุทิศให้ หากไม่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ ก็มักจะกินเลือด และหนองของตัวเองเป็นอาหาร

เปรต ตามความเชื่อไทย เป็นผี มีรูปร่างสูงเท่าต้นตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซ ผิวดำ ท้องโต มือเท่าใบตาล แต่มีปากเท่ารูเข็ม และเปรตจะหิวอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากกินอะไรไม่ได้ จึงชอบมาขอส่วนบุญในงานบุญต่างๆ ซึ่งเมื่อสะสมบุญได้แล้วเกิดใหม่ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่

เป็นยังไงบ้างคะ ได้มาท่องเที่ยวในนรกภูมิ กับขุมนรกทั้ง 5 ขุม กับการผิดศีลห้า รู้แบบนี้แล้วจะผิดศีลห้า กันอีกหรือเปล่าคะ ยังไม่สาย ยังกลับตัวกลับใจรักษาศีลห้าได้ค่ะ และควรทำบุญควบคู่ไปด้วยนะคะ

บริเวณใกล้เคียงกับนรกภูมิ จะมีพญานาคราชตั้งอยู่ใกล้ๆ กันค่ะ

พญานาคราช


เป็นรูปปั้นพญานาคตนใหญ่ 7 เศียร อยู่ในท่ากำลังเลื้อยขึ้นมาจากสระน้ำใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง หลวงตาท่านว่า เป็นพญานาคเจ้าที่ เจ้าถิ่น ณ แห่งนี้

ใกล้ๆ กัน มีพระพุทธรูป ประดิษฐานให้เราได้ไหว้สักการะด้วยค่ะ

เราจะไปยังจุดต่อไป เดินออกมาจากนรกภูมิ ทางซ้ายมือ จะเป็นกุฏิ

หมายเลข 12 คือ “กุฏิ (Monk Living Quarter)”


ณ ตอนนี้ เราอยู่ตรง “คุณอยู่ที่นี่ 2” เราจะเข้าไปไหว้สักการะ หมายเลข 2 และ 3 กันค่ะ

หมายเลข 2 “วิหารพระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) (Avalokitesvara (Kuan – Yin) Shrine”


อวโลกิเตศวร มาจากคำสันสกฤตสองคำ คือ อวโลกิต กับ อิศวร แปลได้ว่า ผู้เป็นใหญ่ที่เฝ้ามองจากเบื้องบน หรือพระผู้ทัศนาดูโลก ซึ่งหมายถึง เฝ้าดูแลสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์นั่นเอง

พุทธศาสนิกชนชาวจีน จะรู้จักพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ในพระนามว่า กวนซีอิม หรือ กวนอิม ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า อวโลกิเตศวร ในภาษาสันสกฤต คือ ผู้เพ่งสดับเสียงแห่งโลก แต่โดยทั่วไปแล้วมีใจความว่า หมายถึง พระผู้สดับฟังเสียงคร่ำครวญของสัตว์โลก (ที่กำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์)

“กูดูกู...ม_งดูม_ง”
Examine your own mind, not others.
ภาษิตจากหลวงตาอ๋อยย่ามแดง – Proverb from Luangta Oy


ถัดจากวิหารพระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) เราจะเดินเข้าไปบริเวณ มณฑปองค์ปฐม

เราเดินเข้ามายังบริเวณ มณฑปองค์ปฐม ด้านหลัง จะมีพระพุทธรูปปางนาคปรก ประดิษฐาน

หมายเลข 3 คือ “มณฑปองค์ปฐม (พระพุทธสิกขีทศพล) (Mondop Ong Pathom (Chapel of the First Buddha))”


มณฑปองค์ปฐม


มณฑปองค์ปฐม เป็นวิหารขนาดย่อม รูปแบบมณฑป คือ มีเรือนยอดสูง ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นอย่างล้านช้างประยุกต์ มณฑปองค์ปฐม นี้เป็น “ปฐม” สมชื่อ คือ เป็นศาสนคารแรกที่สร้างขึ้นเป็นหลักชัยเริ่มต้นของวัด หากเทียบคติการก่อสร้างอย่างพวกพราหมณ์ ก็คงเทียบกับการสร้างเสาหลักเมืองนี่เอง

ภายในมณฑปองค์ปฐม ประดิษฐาน พระพุทธรูปองค์ปฐม (พระพุทธสิกขีทศพล) พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของจักรวาล

และรูปหล่อบูรพาจารย์อีกสามองค์ ได้แก่

- หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค

- หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

- และ หลวงปู่สา อาภัสสโร วัดสวนมอน (วัดป่าศรีอุดมสมพร) ขอนแก่น

ใครรู้บ้างคะ ว่านี่คือดอกอะไรเอ๋ย ช่วยบอก I am Devil ยัยตัวร้ายหน่อยค๊า

สวยแปลกตาดีค่ะ นำกรวดสีต่างๆ มาวางเรียงจนเป็นรูปดอกไม้

มีคำสอนเกี่ยวกับ “บุญกิริยาวัตถุ 3”


บุญกิริยาวัตถุ 3 หมายถึง ที่ตั้งแห่งการทำความดี 3 ประการ หรือวิธีทำบุญ 3 ประการ ประกอบด้วย

1. การทำบุญด้วยการให้ทาน (ทานมัย)

2. การทำบุญด้วยการรักษาศีล (สีลมัย)

3. การทำบุญด้วยการภาวนา (ภาวนามัย)

เริ่มต้นการทำบุญ 3 ประการกันค่ะ

รอบมณฑปองค์ปฐม จะลายล้อมด้วยสระน้ำ บริเวณทางเดิน จะมีจระเข้ ประดับไว้ด้วยค่ะ

ถึงจะเป็นจระเข้ ที่ชื่อเสียงจะดุร้าย แต่ก็มีความรักให้แก่กันค่ะ

พอตกเย็น ภายในมณฑปองค์ปฐม จะเปิดไฟค่ะ แต่ไม่มีการจุดตะเกียงไฟ รอบๆ อย่างที่ I am Devil ยัยตัวร้ายถ่ายมานะคะ เนื่องจากวันที่มาเป็นช่วงวันวิสาขบูชา และทางวัดได้มีการจัดประกวดภาพถ่าย เลยเซตขึ้นมาค่ะ

ต้องบอกไว้ก่อน เดี่ยวมาเที่ยวชมแล้วไม่เห็นเหมือนที่รีวิวเลย จะโดนว่าเอา อิอิ

เหนื่อยแล้วยังคะ อย่าเพิ่งเหนื่อยน๊า ยังมีสถานที่ไฮไลท์ ที่ I am Devil ยัยตัวร้าย ยังไม่พาไปชมเลยค่ะ ของดีๆ ต้องอดใจรอค่ะ

ณ ตรงจุดนี้ ติดกับท่าน้ำ ใครที่เขียนลงใบโพธิ์ เมื่อเขียนเสร็จ นำมาผูกไว้ตรงจุดนี้ สามารถติดต่อได้ที่ ศาลามาลัย

หาไม่ยากเลยค่ะ อยู่ตรงด้านหน้าของศาลามาลัยค่ะ

หมายเลข 6 คือ “ที่พักผู้ปฏิบัติธรรม (Pilgrims Accommodation )”


อยู่ใกล้เคียงกับ แท่นแว่นฟ้า – ท่านาคิน

วัดทุ่งเศรษฐี เปิดให้บุคคลทั่วไปที่สนใจอยากปฏิบัติธรรม มาปฏิบัติธรรมที่นี่ได้ค่ะ

หมายเลข 7 คือ “แท่นแว่นฟ้า – ท่านาคิน (Vanfah – Nagin Worshiping Pier)”


ทางทิศตะวันออกของพระมหาเจดีย์ข้ามคูน้ำไปอีกฟากหนึ่ง เป็นแท่น และท่าน้ำ สำหรับลอยโคม และประทีปบูชา

ผู้ปฏิบัติธรรม ได้ลาสิกขา พอดีกับวันที่ I am Devil ยัยตัวร้าย ไปพอดีค่ะ

จากแท่นแว่นฟ้า – ท่านาคิน เราจะเดินไปชมยังจุดหมายต่อไป นั้นก็คือ



หมายเลข 5 คือ “สะพานศีลอุดมทรัพย์ (Siludomsarp Bridge)”


เป็นสะพานข้ามไปยังมหาเจดีย์ฯ ด้านทางทิศตะวันออก

ชื่อสะพาน เป็นนามสกุลของหลวงตาอ๋อย ค่ะ

เราข้ามสะพานศีลอุดมทรัพย์ มายังมหาเจดีย์ฯ



หมายเลข 1 คือ “มหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุ
(Maha Rattana Chedi Sri Trai Lokd Dhatu (The Great Jewel Chedi of the three worlds))”


ก่อนจะไปชมความงามของมหาเจดีย์รัตนะทั้งภายใน และภายนอก I am Devil ยัยตัวร้าย จะพาไปชม “ห้องปริศนาธรรม วงศ์ไวศยวรรณ” ซึ่งอยู่ใต้มหาเจดีย์ฯ ค่ะ

ห้องปริศนาธรรม วงศ์ไวศยวรรณ เป็นห้องแสดงภาพปริศนามธรรม เกี่ยวกับวงจรชีวิต คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

เดินลงมาจะเห็นที่อยู่ตรงกลางห้องโถงใหญ่ นั้นคือ ศิลาฤกษ์ และสามมังกรผู้พิทักษ์

มาทราบประวัติกันค่ะ ว่าทำไมถึงได้สร้าง ศิลาฤกษ์ และสามมังกรผู้พิทักษ์ขึ้นมา

ในราว ปี พ.ศ. 2542 หลวงตาย่ามแดง (สวาสดิ์ ศีลอุดมทรัพย์) ได้ริเริ่มสร้างวัดทุ่งเศรษฐีแห่งนี้ขึ้น โดยเห็นด้วยญาณวิถีว่า พื้นที่วัดเป็นพื้นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ กล่าวคือ เป็นที่ซึ่งภพทั้งสาม คือ โลก, สวรรค์, บาดาล มาสมาสบรรจบพบกัน เป็นช่องทางเทพยดาเบื้องบน และชาวบาดาลเบื้องล่าง สัญจรขึ้นลงสังสรรกัน โดยมีโลกเป็นศูนย์กลาง

ครั้นเมื่อถึงกาละอันสมควร ท่านจึงให้สร้างพระมหาเจดีย์ขึ้นในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2548 พระมหาเจดีย์ก่อสร้างอยู่ราว 7 ปี ก็สำเร็จลง มีการเฉลิมนามพระเจดีย์ว่า “มหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุ” พร้อมทั้งจัดพิธีสมโภชขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตำแหน่งศิลาฤกษ์ จัดทำเป็นแท่นศิลาขึ้นครอบ มีจารึกการสถาปนาเจดีย์เป็น 4 ภาษา คือ ไทย จีน อังกฤษ และมคธี หรือบาลี (อักษรเทวนาครี)

ล้อมรอบแท่นศิลาฤกษ์ ปั้นเป็นมังกรสามตัวผู้พิทักษ์ศิลาฤกษ์ และโลกบาดาลแห่งนี้ มังกรทั้งสามเป็นมังกรดุร้ายทว่าซื่อสัตย์ และมุ่งมั่นในหน้าที่ของตนเองอย่างยิ่ง ต่างก็มีชื่อ และอุปนิสัยเฉพาะตน ดังนี้

1. มังกรโมหิณี มีนิสัยดักดาน มักลุ่มหลงมัวเมาในเรื่องต่างๆ เป็นเจ้าของหีบสมบัติชื่อ “หีบโมหะ” ทั้งยังครอบครองกุญแจ “หีบแห่งปัญญา”

2. มังกรโลภิณ มีนิสัยทะเยอทะยาน อยากมักมาก เป็นนักสะสม เป็นเจ้าของหีบสมบัติชื่อ “หีบโลภะ”

3. มังกรโทสัน มีนิสัยดุร้าย ขี้หงุดหงิด ฉุนเฉียว ชอบทำลาย เป็นเจ้าของหีบสมบัติชื่อ “หีบโทสะ”

ทั้งสามมีชีวิตเป็นอมตะ เป็นที่มาของสุภาษิตประจำใจของเหล่ามังกรก็คือ “มีโลก มีเรา”

รูปปั้นผู้หญิงนั่งปฏิบัติธรรม

“มหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุ”


องค์พระเจดีย์ออกแบบให้เป็นวิหารเจดีย์ลักษณะเป็นคัพภวิสัย (Chamber) คือ เป็นห้องโถงโล่งทรงระฆังคว่ำ เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน

ภายในองค์เจดีย์อันเป็นห้องโถง ใช้เป็นสถานที่ให้ประชาชนเข้าไปสักการะพระพุทธรูป และประกอบศาสนพิธีต่างๆ



ผู้ปฎิบัติธรรมทำพิธีลาสิกขา

อย่างที่ I am Devil ยัยตัวร้าย ได้กล่าวไปข้างต้นว่า เรามาช่วงวันวิสาขบูชา ภายในห้องโถง พระมหาเจดีย์ฯ มีการสวดมนต์ก่อนเริ่มต้นการเวียนเทียนค่ะ

เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมทำพิธีลาสิกขา เวียนรอบพระมหาเจดีย์ฯ

ในช่วงวันสำคัญทางศาสนาจะมีการเวียนเทียนรอบพระมหาเจดีย์ฯ นี้ด้วยค่ะ

เชียงเทียน ไว้สำหรับวางเทียน

เทียนของที่นี่จะเป็นในรูปแบบหล่อใส่แก้วค่ะ

เราขอเข้าไปไหว้พระสักการะพระประธาน ในองค์เจดีย์ กันค่ะ

ประตูใหญ่ทางเข้าองค์เจดีย์ เป็นบานไม้มะค่าแผ่นใหญ่ ประดับภาพดุนเงินรูป 12 นักษัตร

ช่องแสงส่วนบนเหนือประตูเป็นงานกระจกสีออกแบบเป็นรูปปูรณกฏะ (หม้อน้ำทิพย์แห่งความอุดมสมบูรณ์) ซ่อนนัยยะว่า ผู้คนทุกหมู่เหล่า (ทั้ง 12 นักษัตร) เมื่อได้ผ่านเข้าออกทางช่องประตูแห่งนี้ก็จะได้รับพรให้ชุ่มเย็น และสมบูรณ์พูนสุข ตามความหมายของสัญลักษณ์ของหม้อน้ำปูรณกฏะนี้นั่นเอง

พระประธาน คือ พระนีลวรรโณศีโลทรัพยอุดม (หลวงปู่เจ้าพริงค์ดำ) หรือที่เรียกเป็นสามัญว่า “หลวงปู่ดำ”



หลวงปู่ดำ เป็นพระพุทธรูปสำริดทรงเครื่องจักรพรรดิหน้าตักกว้าง 145 นิ้ว หรือ 3.63 เมตร องค์พระเป็นสีดำ (นิลวรรณ) เครื่องทรงปิดทองประดับด้วยอัญมณีต่างๆ

แท่นพระประธานมีลวดลายดุนเงิน เป็นรูปสมบัติแห่งมหาจักรพรรดิทั้ง 7 หรือเรียกว่าแก้ว 7 ประการ คือ จักรแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว และศถุงคารแก้ว เป็นเรื่องราวที่สอดคล้องกับลักษณะของพระประธานที่เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ

ฝ้าเพดานภายในโถงองค์เจดีย์ ที่เป็นทรงระฆัง (รูปโดม) 8 เหลี่ยม แสดงระบบสุริยจักรวาล มีพระอาทิตย์ที่จุดกึ่งกลางโดม โดยใช้ดาวเพดานสีทอง ห้อยช่อไฟแซนเดอเลียร์เป็นสัญลักษณ์ รายล้อมด้วยดาวนพเคราะห์ที่เหลือ 8 ดวง แทนด้วยงานกระจกสี (Stained glass) รูปเทวดานพเคราะห์ประจำแต่ละทิศ

หน้าต่างกระจก 6 ด้าน ขององค์เจดีย์ แกะกระจกเป็นเรื่องราวอันเกี่ยวกับคำสอนในพระศาสนา ว่าด้วยเรื่องของกิเลศ 3 อันได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง ตลอดจนหลักธรรมที่เป็นทางแก้กิเลศทั้ง 3 คือ ทาน เมตตา และปัญญา

กระจกบานนี้แกะสลักเป็นเรื่องราวความอดอยาก และตายไปในที่สุด

มิกกี้เม้าท์ เปรียบเปรยในนิทาน ราชสีห์ กับ หนู ตอนที่หนูช่วย ราชสีห์ กัดบ่วง กับดักนายพราน

ออกจากองค์เจดีย์ เรามาเดินรอบพระมหาเจดีย์ฯ กันค่ะ บริเวณรอบนอกจะมีเจดีย์อยู่ด้วยกัน 4 เจดีย์ ซึ่งเจดีย์ทิศทั้งสี่ แทนมหาภูตรูป 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นธาตุองค์ประกอบพื้นฐานของโลก

ท้าวจตุโลกบาล ที่มุมทั้ง 4 ของฐานทักษิณามีวิหารเจดีย์ประจำทิศ ตั้งอยู่เพื่อเป็นที่สถิตของเทวรูป แทนองค์ท้าวจาตุมหาราชิกาทั้ง 4 เทวราชผู้ดูแลมนุษย์ พิทักษ์โลก และพระพุทธศาสนา ซึ่งในที่นี้มีองค์พระมหาเจดีย์เป็นสัญลักษณ์ ทั้งนี้แต่ละทิศ มีความหมาย ดังนี้

ทิศใต้ ธาตุดิน


เป็นที่สถิตของท้าววิรุฬหก จ้าวแห่งกุมภัณฑ์ จ้าวแห่งปฐพี และจตุบาท (สัตว์บก)


ทิศเหนือ ธาตุไฟ


เป็นที่สถิตของท้าวเวสสุวัณ หรือท้าวกุเวร จ้าวแห่งจิตวิญญาณ และโชคลาภ ท่านท้าวเวสสุวัณ นับเป็นอธิบดีในหมู่จตุโลกบาลทั้ง 4


ทิศตะวันออก ธาตุลม
เป็นที่สถิตของท้าวธตรฐ จ้าวแห่งคนธรรพ์ จ้าวแห่งเวหา และทวิบาท(สัตว์ปีก)


ทิศตะวันตก ธาตุน้ำ
เป็นที่สถิตของท้าววิรูปักษ์ เจ้าแห่งนาค จ้าวแห่งห้วงน้ำแดนบาดาล และอปาทิกะ (สัตว์ไม่มีเท้า สัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และสัตว์เลื้อยคลาน)

บันไดทางขึ้นเจดีย์ จากพื้นดินสู่ลานประทักษิณ ออกแบบราวบันไดให้มีลวดลายของสัตว์สี่ตระกูลยุดยื้อคาบเคี่ยวเกี่ยวกันในลักษณะของแสดงความขัดแย้งอันไม่สิ้นสุดของโลก

ทางขึ้นบันไดเป็นพญานาคทอดยาวไปถึงด้านบน

ส่วนด้านปลายของบันได จะเป็นสิงห์คาบเคี่ยวหางพญานาค

การตกแต่งมหาพระเจดีย์ สวยงามมากค่ะ แต่ละชั้นมีความหมายแตกต่างกันไป

ยอดพระเจดีย์


ออกแบบเป็นรูปดอกบัว ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการระลึก และบูชาองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พระอรหันต์ผู้สืบส่วนสายปฏิบัติวัดป่าเนื่องมาแต่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต



รูปดอกบัวตูม


ที่เตรียมแบ่งบาน สะท้อนนัยยะถึงสภาวะแห่งพระอนาคตพุทธเจ้าที่ตั้งมั่นแล้ว พุทธภูมิอันพระโพธิสัตว์ผู้สถาปนาพระมหาเจดีย์ ได้ตั้งความปรารถนาไว้

ภายในยอดพระเจดีย์ ยังเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุชิ้นสำคัญต่างๆ หลายองค์ รวมถึงพระธาตุแก่นพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาล่างอันพระโพธิสัตว์ได้อธิษฐานจิตอาราธนาอัญเชิญมาประดิษฐสถานไว้ด้วย



ยอดฉัตร 9 ชั้น


เพื่อให้สะท้อนความมุ่งหมายที่จะให้พระมหาเจดีย์ฯ นี้ เป็นมหาบุญ ถวายแด่พระมหาโพธิสัตว์ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระภัทรมหาราชผู้เป็นที่รักแห่งปวงชาวไทย

โดมชั้นนิพพาน


เป็นโดมว่าง แทนนิพพานภาวะรูปดวงตาที่สลักบนกระจกทั้ง 8 ด้านใน ชั้นนี้เป็นภาพรูปดวงตา ความหมายของภาพดวงตานี้มีนัยยะแฝงในหลายระดับ



โดมชั้นพรหม


มีกระจกหน้าต่างแต่งด้วยสัญลักญณ์ธรรมวิชัยอันเป็นลวดลายที่มีมาแต่อินเดียโบราณ คือ เป็นรูปธรรมจักร ประกอบด้วยเปลวเพลิงสามยอด หมายถึง การหมุนเผยแผ่ไปของรัตนะทั้ง 3 ประการ เป็นธรรมวิชัย คือ ธรรมะของพระพุทธองค์เผยแผ่ไปที่ใด ย่อมเอาชนะมารทั้งหลาย คือ กิเลสมารของเวไนยสัตว์ ลงได้ในที่นั้น

ชั้นเทวภูมิ


กำหนดด้วยตัวโดมใหญ่ มีรูปปั้นลอยดัวเป็นเทพนมคู่หนึ่งชุลีกร ประจำอยู่ทั้ง 8 ด้าน พร้อมกับที่สันโดมมีพญานาคอันเป็นสัตว์ในป่าหิมวันต์ ประคองพุ่มดอกไม้โคมไฟบูชาพระมหาเจดีย์ฯ เคียงอยู่ด้วยกัน

อยากทราบมั้ยคะว่าทำไมถึงชื่อ “มหาเจดีย์รัตนะ เจดีย์แห่งสามโลกธาตุ”

เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2542 ท่านหลวงตาอ๋อย ระลึกขึ้นได้ว่าท่านยังมีที่ดินเก่าแก่อยู่แปลงหนึ่งพื้นที่ราว 5 ไร่ ตั้งอยู่ที่ ตำบลพระลับ ในเขตอำเภอเมืองขอนแก่น จึงได้ว่าจ้างรถแบคโฮมาปรับที่ดิน เพื่อเตรียมพื้นที่ไว้ทำเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมส่วนตัวของท่านเอง รถแบคโฮนั้นขุดปรับแต่งดินอยู่พักหนึ่งก็มีเรื่องอัศจรรย์ คือ ไปขุดเจอเอาพระขรรค์โบราณเข้า ทำให้ท่านเกิดฉุกใจขึ้นมาว่าที่ดินของท่านแปลงนี้คง “ไม่ธรรมดา”

เมื่อกำหนดจิตดูจึงรู้ด้วยญาณวิถีในทันทีว่า ผืนแผ่นดินที่ว่านี้เป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ท่านเรียกว่าเป็น “แผ่นดินสามโลกธาตุ” เป็นจุดบรรจบกันของสามโลก คือ แดนมนุษย์ สวรรค์ และบาดาล (นาคพิภพ และนิรยภูมิ) เป็นช่องทางสำคัญอันเหล่าเทวดาทั้งเบื้องบน และเบื้องล่างสัญจรติดต่อถึงกัน

ครั้นเมื่อก่อสร้างมหาเจดีย์แล้วเสร็จ ท่านเจ้าคุณสมาน (พระธรรมดิลก เจ้าอาวาสวัดป่าแสงอรุณ) ได้ให้ความเมตตาแนะนำให้ขยายนามมหาเจดีย์รัตนะให้มีความหมายกว้าง และลึกซึ้งมากขึ้นจากเดิม จึงได้ถวายนามใหม่แด่มหาเจดีย์ว่า “มหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุ” มีความหมายสอดคล้องกับแนวคิดที่หลวงตาอ๋อยได้วางไว้ คือ เป็นมหาเจดีย์แก้วรัตนะแห่งสามโลก




มหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุ


ชั้นมนุษยภูมิ คือ วิหารเจดีย์อันเป็นส่วนที่ให้มนุษย์ คือ พุทธบริษัททั้งหลายได้เข้าไปกราบไหว้บูชาพระประธาน และสิ่งศักดิ์ และประกอบศาสนพิธีต่างๆ ตามแต่วาระ

มหาเจดีย์ศรีนาคพิภพ


ที่ท่าน้ำ ท่านาคิน เมื่อหันหน้ามาเบื้องทิศใต้ เงาสะท้อนพระมหาเจดีย์ฯ ที่ปรากฏบนผิวน้ำนั้น ท่านหลวงตาอ๋อยกำหนดเป็นนิมิตแห่งนาคเจดีย์ในนาคพิภพ ทิศใต้นั้นแฝงนัยว่าเป็นภูมิภพ “ใต้บาดาล” พึงบูชาด้วยดอกบัว ลอยประทีป ระลึกถึงพระเขี้ยวแก้วองค์ล่างซ้ายของพระพุทธองค์

มหาจุฬามณีศรีไตรตรึงส์


ที่แท่นแว่นฟ้าจุฬามณี ครั้นบ่ายหน้าไปทางทิศเหนือจะมีแว่นฟ้า หรือคันฉ่อง สะท้อนภาพพระมหาเจดีย์ฯ ให้ระลึกถึงภพภูมิที่อยู่เหนือโลกขึ้นไป คือ ดาวดึงส์สวรรค์ ภาพสะท้อนบนกระจกแว่นฟ้านั้นให้หมายว่า เป็นพระเจดีย์จุฬามณี พึงบูชาด้วยการตาม หรือลอยโคมประทีป และระลึกถึงพระเขี้ยวแก้วองค์บนขวาของพระพุทธองค์

มาถึงในส่วนของในงานวันวิสาขบูชา ซึ่งกิจกรรมจะประกอบด้วยกัน 3 กิจกรรม คือ การเวียนเทียน, การลอยประทีป และการลอยโคมประทีป ซึ่งทั้ง 3 กิจกรรม ทางวัดได้เซตขึ้นมา เนื่องจากมีการประกวดภาพถ่ายค่ะ



การเวียนเทียน


จัดขึ้น ณ มณฑปองค์ปฐม ซึ่งจัดก่อนวันวิสาขบูชา 1 วัน และในวันวิสาขบูชา จะมีการเวียนเทียน ณ มหาเจดีย์ ซึ่ง I am Devil ยัยตัวร้าย ไม่ได้เก็บภาพมาให้ชมค่ะ เนื่องจากฝนตกกระหน่ำ เลยอดเก็บภาพเลยค่ะ

การลอยประทีป


จัด ณ แท่นแว่นฟ้า – ท่านาคิน ทางเจ้าหน้าที่เริ่มจุดตะเกียงไฟ

ตะเกียงไฟ จะถูกวางบนหยวกกล้วย เพื่อให้ลอยได้บนผิวน้ำ ส่วนหยวกกล้วยจะถูกไม้ยึดตรึงกับดินใต้น้ำอีกทีค่ะ

เริ่มต้นลอยประทีป โดยสามเณร 3 รูป

การลอยประทีป ระลึกถึงพระเขี้ยวแก้วองค์ล่างซ้ายของพระพุทธองค์

เจ้าหน้าที่ พายเรือมายังกลางท่าน้ำ เพื่อให้สามเณรทั้ง 3 รูป ลอยประทีปกันค่ะ

การลอยโคมประทีป


จัด ณ แท่นแว่นฟ้า – ท่านาคิน พึงบูชาลอยโคมประทีป เพื่อระลึกถึงพระเขี้ยวแก้วองค์บนขวาของพระพุทธองค์

เป็นยังไงบ้างคะ เที่ยวชมวัดทุ่งเศรษฐี จังหวัดขอนแก่น จุใจกันมั้ยเอ๋ย ทั้งได้ความรู้ทราบประวัติความเป็นมา และความหมายของสถาปัตยกรรมภายในวัดแห่งนี้ แถมได้ไปเยือนนรกภูมิมาด้วย คราวนี้ เราคงงดทำบาปรักษาศีลห้ากันแล้วใช่มั้ยเอ๋ย



I am Devil ยัยตัวร้าย ได้กราบไหว้สักการะ ตรงพญานาคราช และหลวงปู่ดำ อีกทั้งยังได้ร่วมพิธีเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาด้วยค่ะ ก่อนที่ฟ้าฝนจะกระหน่ำลงมาให้ชุ่มฉ่ำกันถ้วนหน้า

ความงดงามของ “มหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุ” สวยงาม สมดั่งคำร่ำลือเลยค่ะ ทั้งแนวคิดในการสร้าง ความหมายขององค์เจดีย์ และยอดเจดีย์แต่ละชั้น



ใครที่ผ่านมาเที่ยวจังหวัดขอนแก่น หรือผ่านไปจังหวัดกาฬสินธุ์ แวะมาเที่ยวชมความงดงามของวัดทุ่งเศรษฐีกันค่ะ เค้าว่ากันว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” ต้องลองตาม I am Devil ยัยตัวร้าย มาเที่ยวชมวัดทุ่งเศรษฐี จังหวัดขอนแก่นกันดูค่ะ




สามารถเข้าไปติดตาม หรือพูดคุย สอบถามเกี่ยวกับวัดทุ่งเศรษฐี จังหวัดขอนแก่น ได้ที่ -----> http://on.fb.me/1edS4Hj

ขอขอบคุณข้อมูลจาก วัดทุ่งเศรษฐี จังหวัดขอนแก่น ค่ะ

ขอบคุณค๊า พี่นุ

ความคิดเห็น