สิ้นเดือนพฤษภาคม ถือว่าเป็นช่วงสุดท้ายของ High season ของการเที่ยวทะเลกันแล้ว
ทริปซัมเมอร์ คงไม่มีอะไรดีกว่าการหยุดพักร้อนพาตัวเองไปติดเกาะ
ทริปนี้ ต้องยกให้เค้าเลย ..เกาะกูด จ.ตราด.. อันดามันแห่งทะเลตะวันออก

‘เกาะกูด’ เกาะกลางน้ำของจังหวัดตราด ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย และใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเกาะช้างในท้องทะเลตราด เป็นเกาะที่ได้ชื่อว่ามีความงามมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย เกาะกูดมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นชายหาดและน้ำทะเลที่ใส และยังเงียบสงบเหมาะสำหรับการพักผ่อน จนได้รับฉายาว่า “อันดามันแห่งทะเลตะวันออก” .. เกาะกูดอยู่ทางใต้สุดของทะเลตราด แม้ระยะทางค่อนข้างไกล แต่ความงดงามก็คุ้มค่าแก่การเดินทาง

:: DAY 1 ::
27 พฤษภาคม 2561
วันแรกของการเดินทาง

เราเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ตี 5 จุดหมายแรกที่เราจะต้องไปคือ บริษัท บุญศิริเรือเร็ว จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนข้าวสาร นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่เราเลือกใช้บริการของบุญศิริ เป็นการเดินทางแบบจองรถแล้วต่อเรือเลย ถือว่าสะดวกมาก ไม่ต้องไปหาต่อรถต่อเรือเองให้เสียเวลา แถมราคายังคุ้มกว่าหารถหาเรือเองอีกด้วย .. ครั้งแรกเราใช้บริการบุญศิริตอนไปเที่ยวเกาะหมาก .. เกาะในท้องทะเลตราดเราเคยไป แทบจะครบทุกเกาะแล้ว ขาดก็แต่เกาะกูดนี่แหละ ครั้งนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะได้นำมารีวิวให้เพื่อนๆอ่านกัน ^^

บริษัทบุญศิริตั้งอยู่ถนนข้าวสาร บริเวณถนนตานี บริเวณหน้า The Street Hostel โดยรอบรถที่จะไปเกาะกูดในช่วง Low Season จะมีแค่รอบเดียวจากกรุงเทพ จะเป็นรอบ 7.00 น. ไปถึงเกาะกูดประมาณ 14.30 น. (หลัง 15 ต.ค. จะมี 2 รอบ) .. เมื่อมาถึงที่บริษัท ก็นำVocher ที่เราจองมา Check-In เพื่อรับตั๋วเรือทั้งขาไปและขากลับ เก็บรักษาให้ดี เพราะ เราต้องใช้ Check-In อีกทีก่อนที่จะขึ้นเรือ ..

ส่วนรถที่ใช้จะมีเป็นรถตู้หรือไม่จะเป็นรถบัส ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางในรอบนั้นๆ

แผนที่บริษัทบุญศิริ (กรุงเทพ)

พิกัด 13.7604281 , 100.4977219

เรามาถึงออฟฟิศบุญศิริที่แหลมศอก ประมาณ 12.30 น. นำตั๋วที่ได้ทั้งตั๋วขาไปและขากลับมา Check-In ที่เค้าเตอร์ของออฟฟิศบุญศิริแหลมศอกได้เลยค่ะ .. ที่บริษัทจะมีบริการรับฝากรถ คืนละ 50 บาท หากใครขับรถมาเองสามารถนำมาฝากจอดที่นี่ได้ค่ะ

รถรางที่จะพาเราจากบริษัทมาที่ท่าเรือ รูปร่างหน้าตาก็ประมาณนี้

ก่อนขึ้นเรือพี่พนักงานของบุญศิริจะตรวจตั๋วเราอีกทีนึงค่ะ .. เรือมี 2 ชั้น ใครชอบชั้นไหนเลือกได้เลย ภายในเป็นห้องแอร์เย็นฉ่ำ มีที่นั่งทั้งหมด 200 ที่นั่ง เราใช้เวลานั่งอยู่ในเรือข้ามไปเกาะกูดประมาณ 1.15 ชั่วโมง แต่วันนี้เรือออกจากเกาะมาเลทจากที่เราต้องขึ้นเรือตอน 13.00 น. เรือของเราออกจากท่าเวลา 14.00 น. ซึ่งเลทไป 1 ชม.

เรามาถึงบริเวณท่าเรืออ่าวสลัดเวลา 15.30 น. ซึ่งจะมีรถสองแถวมารับเราเข้ารีสอร์ทตามที่เราแจ้งไว้ตอนที่ Check-In (รถสองแถวที่นี่เค้าเป็นเจ้าถิ่นจริงๆ ขับแว๊นซ์มาก)

เราพักที่ Siam Beach Resort Koh kood (บังกะโลพร้อมวิวทะเล) เราจองมาทาง booking.com ซึ่งช่วงที่เรามาเป็นช่วง Low season ราคาห้องพักอยู่ที่คืนละ 1,100 บาท (ไม่รวมอาหารเช้า) ตั้งอยู่ที่หาดบางเบ้า ..

แถมมีบาร์ให้เรานั่งจิบค็อกเทลริมทะเล ฝั่งเสียงคลื่นคลอเบาๆด้วยนะ ชื่อว่า Monkey Bar

ทางเข้าโรงแรมก็จะฮาร์ทคอหน่อยๆ แต่มีที่อื่นฮาร์ทคอกว่า .. บางช่วงเป็นทางคอนกรีต บางช่วงจะเป็นลูกรัง แต่ก็ไม่ลำบากเท่าไหร่นัก

ที่รีสอร์ทมีบริการนวดไว้รองรับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติด้วย

และนี่ก็เป็นวิวแรกจากหน้าห้องพักของเราเอง

เนื่องจากเราเข้าที่พักเลทและการเดินทางก็ค่อนข้างนาน เลยรู้สึกว่าเพลียไปสักหน่อย เราเลยต้องรีบมาเติมพลังกันที่ห้องอาหารของโรงแรมกันก่อนเลย ราคาอาหารก็เริ่มต้นที่ 170 บาท .. เราหมดค่าเสียหายกับค่าอาหารมื้อแรกของวันอยู่ที่ 880 บาท .. บนเกาะก็จะมีร้านสะดวกซื้อของชาวบ้าน ATM มีเพียงธนาคารออมสิน แนะนำให้กดเงินสดติดมาให้เพียงพอนะคะ

นี่เป็นบรรยากาศยามเย็นของชายหาดแถวๆบริเวณที่พักเราค่ะ

รีสอร์ทของเราสามารถชมพระอาทิตย์ตกดินได้อย่างสวยงาม ในระหว่างที่เรานั่งทานข้าวก็ได้ตั้งกล้องเพื่อเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดิน แต่วันนี้ท้องฟ้าไม่เป็นใจเลยค่ะ เมฆเยอะทำให้พระอาทิตย์ตกหลังเมฆเลยไม่ได้ภาพพระอาทิตย์ตกดินมาเลย ..

สำหรับการเดินทางวันแรกก็มีเพียงเท่านี้ ~ พบกับที่ท่องเที่ยวในเกาะกูดได้ ในวันที่สองของการเดินทางกันได้เลยค่ะ


:: DAY 2 ::
28 พฤษภาคม 2561
วันที่สองของการเดินทาง

อรุณสวัสดิ์ค่าาา ~ ทริปนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องตื่นเช้ามาเก็บพระอาทิตย์ขึ้น เพราะ ฝั่งที่เราอยู่เป็นฝั่งตะวันตก (แต่ก็ตื่น 6 โมงเช้าด้วยความเคยชิน) .. ทริปนี้เป็นทริปที่แพลนทริปน้อยมาก ไม่อยากฟิกอะไรมาก ปล่อยตามสบาย ให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

ก่อนไปทานอาหารเช้า แดดยังไม่แรงมากนัก เราเลยไปเดินเล่นเลียบชายหาด และเดินบนสะพานหน้าโรงแรมตัวเอง .. รูปก็จะเยอะหน่อยๆ ฮ่าๆ

ดูน้ำทะเลสิ !! เวลาที่แสงแดดกระทบผืนน้ำยิ่งทำให้น้ำทะเลสวย น้ำใสแจ๋ว .. จากประสบการณ์นักเที่ยวสายเกาะแบบเรา เวลาที่เหมาะแก่การถ่ายน้ำทะเล ต้องช่วงเป็นช่วง 8.00-10.00 น. และวันนั้นต้องมีแดดนะคะ จะได้ภาพทะเลหรือน้ำทะเลที่สวย แบบนี้ ^^

มา ! ไปดูอาหารเช้ามื้อแรกของที่นี่กัน .. เช้านี้เราเลือกทานอาหารเช้าที่โรงแรม (หากจองที่พักบาง season จะรวมอาหารเช้านะคะ) แต่ช่วงที่เราไปพักไม่รวมค่ะ ต้องเสียตังค์เอง .. เช้านี้จัดไปเบาๆ 340 บาท ซึ่งสั่งไป 3 อย่าง คือ ข้าวต้มหมู แพนเค้ก ขนมปังชุบไข่ โดยรวมรสชาติอาหารก็เยี่ยมค่ะ ไม่ได้ขี้เหร่มาก

กินเสร็จแล้วเราจะแปลงร่างเป็นเด็กแว๊นซ์กันค่ะ แว๊นซ์รอบเกาะคืองานของเรา 555 .. ก่อนแว๊นซ์เราต้องเช่ามอเตอร์ไซด์กันซะก่อน ที่เกาะมีให้เช่าตลอดทางค่ะ ราคาจะอยู่ราวๆ 200-300 บาทต่อวัน แต่เราเลือกความสะดวกเลยจองของทางโรงแรมไป วันละ 300 บาท (24 ชั่วโมง) ส่วนเรื่องน้ำมันไม่ต้องกังวลค่ะ น้ำมันมีให้เติมรายทางเลย ขวดนึง 40 บาทได้ 1 ลิตร .. รถมอเตอร์ไซด์ที่เกาะจะไม่มีป้ายทะเบียน ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลก็จะไม่มี ตร. ไม่ต้องกังวลเรื่องหมวกกันน็อค ต้องระวังอย่างเดียวเลย คือ รถเจ้าถิ่น ซิ่งแรงแซงทางโค้งมากค่ะ

เราพาไปเที่ยวกันต่อ .. จุดหมายแรกของเราที่จะไปกันวันนี้ ก็คือ น้ำตกคลองเจ้า .. เป็นไฮไลท์ของการมาที่นี่เลย มาน้ำเค็มแล้วต้องแวะมาเล่นน้ำจืดด้วยค่ะ .. การลงเล่นน้ำควรสวมชูชีพด้วยนะคะ เพราะ น้ำค่อนข้างลึกน้ำตกที่นี่น้ำไหลตลอดทั้งปีค่ะ ช่วงที่เหมาะสำหรับการเล่นน้ำคือเดือนสิงหาคม-พฤษภาคม .. ไม่เสียค่าเข้า แต่มีกล่องตั้งรับบริจาคไว้บำรุงเกาะ ตามแต่จิตศรัทธาค่ะ

การเดินทางไปน้ำตกคลองเจ้า ไปง่ายมาก สามารถขับรถไปจอดไว้ที่ปากทางเข้าได้ค่ะ มีห้องน้ำบริการ ต่อด้วยการเดินเท้า 400 เมตรนิดๆ ทางเดินง่ายมากค่ะ

น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกประวัติศาสตร์ เป็นน้ำตกที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่เคยเสด็จมาประพาส .. ด้านหน้า มีก้อนหินใหญ่จารึกพระปรมาภิไธยย่อ "วปร" ของหัว ที่ได้พระราชทานนามน้ำตกแห่งนี้ว่า "น้ำตกอนัมก๊ก" เพื่อเป็นที่ระลึกแก่ "องค์เชียงสือ" กษัตริย์ญวน อีกด้วย

หลังจาก ออกจากน้ำตก เราตั้งใจว่าจะไป Good view cafe’ แต่ดันหาร้านไม่เจอ สุดท้าย เลยจบลงที่ ร้านส้มตำหน้าทางเข้าน้ำตกซะเลย ค่าเสียหายมื้อนี้ 350 บาท รสชาติจัดจ้านใช้ได้เลยค่ะ

ที่เกาะกูด ถ้าไม่นับชายหาด จะมีสถานที่เที่ยวเด่นๆอยู่ไม่กี่ที่ แต่ทริปนี้เราไม่ได้ไปดูต้นมะค่ายักษ์และต้นไทรยักษ์ค่ะ เพราะ อยู่ห่างจากที่พักไปสักหน่อย จากน้ำตกเราเลยเลยกลับมาทางที่จะกลับที่พักและได้แวะตรงชายหาดแถวรีสอร์ท tinger bell

ชายหาดที่นี้สวยมากๆๆๆๆๆ หาดนี้สวยสุดเลยสำหรับเราที่ขับรถผ่านๆมา .. หาดนี้จะคนละฟีลกับชายหาดรีสอร์ทของเรา ที่นี่จะให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า คนจากรีสอร์ทอื่น สามารถเดินเล่น ถ่ายรูปที่ชายหาดได้จ้า

หลังจากได้ภาพสวยๆไปหลายภาพแล้ว เราก็สตาร์ทรถขับต่อไปยัง เขาเรือรบ .. ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สร้างสรรค์ให้แนวภูเขาหินสองกลุ่มมีลักษณะคล้ายเรือรบสองลำจอดคู่กัน จึงเป็นที่มาของเขาเรือรบ ด้านบนของตัวหินนั้น ชาวเกาะกูดและกองทัพเรือพร้อมใจกันสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรฯ พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทยเอาไว้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้ขึ้นไปกราบสักการะเพื่อความเป็นศิริมงคลค่ะ

เสร็จจากเขาเรือรบเราก็ตรงดิ่งกลับรีสอร์ทเพราะเห็นว่าฝนเริ่มตั้งเคล้ามาลางๆ .. พอถึงรีสอร์ทปุ๊บแดดออกปั๊บ เปลี่ยนชุดว่ายน้ำสิคะ รออะไร อิอิ .. วิ่งไปเช่าอุปกรณ์ดำน้ำ อันละ 100 บาท เราเช่าหน้ากากดำน้ำกับฟินมา 2 อย่างจ่ายไป 200 บาท สำหรับเรือคายัคสามารถเช่าเล่นได้ฟรี แค่มัดจำไว้ 200 บาท ได้เงินคืนตอนเอาเรือมาคืนจ้า

พอถึงเวลาบ่ายแก่ๆ ประมาณ 3-4 โมง เราจึงออกมาเดินถ่ายรูปเล่นในละแวกใกล้เคียง .. (รูปก็จะเยอะประมาณนึง หมายถึงรูปตัวเองนะ 555) .. รีสอร์ทที่อยู่ใกล้ๆเราก็จะเป็น ‘To The Sea’ ที่ช่วงนี้เหล่า Blogger ท่องเที่ยวทั้งหลายต่างมี content แนะนำรีสอร์ทนี้ ถัดไปอีกหน่อยก็จะเป็น ‘เกาะกูดรีสอร์ท’ เป็นรีสอร์ทแห่งแรกบนเกาะกูด

'ชิงช้า' จุดแลนด์มาร์คสำคัญของ To The Sea เค้าล่ะ .. แต่ตอนนี้น้ำขึ้นเลยไปถ่ายรูปด้วยไม่ได้เลย

ส่วนนี่ก็เป็นที่พักของ To The Sea น่านอนเชียวล่ะ .. ได้มานอนสักคืนก็คงดีเน๊อะ

หน้ารีสอร์ทของ To The Sea ก็มีสะพานไม้เหมือนกัน เก๋ตรงมีตู้โทรศัพท์แบบหยอดเหรียญตั้งไว้ด้วย

อีกด้านนึงก็จะเป็นที่ให้นอนเล่นที่เป็นตาข่าย .. ตอนนอนแอบกลัวว่าตาข่ายจะขาดเหมือนกันนะ ไม่ค่อยไว้ใจน้ำหนักตัวเองเท่าไหร่ >”<

พอหอมปากหอมคอ จุดหมายถัดไปเราจะไปทานข้าวเย็นกันที่ หมู่บ้านชาวประมงบ้านอ่าวใหญ่ มาทั้งที่ต้องมาให้ทั่ว แว๊นซ์มอเตอร์ไซด์กันมันส์เลยค่ะ สุดเกาะจริงๆ .. ระหว่างทางจะมีจุดชมวิว บริเวณนี้เราจะสามารถมองเห็นชุมชนชาวประมงบ้านอ่าวใหญ่ในมุมกว้างได้ค่ะ

ชุมชนที่นี่ร่วมกันปกป้องสภาพแวดล้อมของเกาะ เช่น ไม่อนุญาตให้นำกีฬาทางน้ำที่มีเครื่องยนต์เข้ามา จำพวกเจ็ทสกี หรือบานาน่าโบ๊ท ทำให้ธรรมชาติ น้ำทะเลที่นี่ยังดีและอุดมสมบูรณ์ .. ชาวบ้านก็น่ารัก ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น ใช้ชีวิตเรียบง่าย สบายและสงบ ทำให้เรารู้สึกสบายใจ

มาถึงชุนชนประมงทั้งที่ก็ต้องจัดอาหารทะเลกันสักหน่อย .. เราเลือกทานอาหารเย็นกันที่ ร้าน Noochy Seafood

เมนูที่เราสั่งก็มีไม่เยอะมาก ก็จะมีกุ้งเผา กุ้งแช่น้ำปลา ต้มข่าไก่ ค่ะ ราคามื้อนี้อยู่ที่ 650 บาท รสชาติใช้ได้เลย อาหารทะเลสด น้ำจิ้มแซ่บ โอเคเลย ถือว่าคุ้มที่ขับรถมา ใครเบื่ออาหารโรงแรมลองขับรถมาทานที่ชุมชนชาวประมงดูนะคะ ^^

เราขับมอเตอร์ไซด์มาก็ช่วงเย็นแล้ว ขากลับทำให้เราต้องกลับตอนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว หากใครมาช่วงเวลานี้ก็ขับรถระมัดระวังกันด้วยนะคะ ทางบางช่วงจะมีเพียงไฟหน้ารถเราเท่านั้น .. การเลือกที่มาทานอาหารที่นี่ทำให้เราพลาดที่จะเก็บพระอาทิตย์ตกในวันนี้ น่าเสียดาย ~ เลยนำภาพบรรยากาศกลางคืนมาฝากแทน ทะเลตอนกลางคืนเรามองไปนึกว่ามาดูแสงเหนือ แต่ไม่ใช่เป็นแค่เพียงไฟที่ใช้ในการไดหมึก หากมีโอกาสอยากลองไปไดหมึกตอนกลางคืนดูสักครั้งจัง

ในช่วงวันที่เราไปโชคดีมากที่ไม่เจอฝนในตอนกลางวัน ฝนตก ฟ้าร้อง จะตกในช่วงก่อนรุ่งสางตลอด โชคดีมากๆเลย การมาเที่ยวทะเลในหน้าฝนนี่ต้องมีเรื่องให้ลุ้นอยู่เสมอ .. พรุ่งนี้วันที่ต้องเดินทางกลับแล้ว เจอกันวันสุดท้ายของการเดินทางค่ะ ^^


:: DAY 3 ::
29 พฤษภาคม 2561
วันสุดท้ายของการเดินทาง

กำหนดการของวันนี้ คือ เตรียมตัวเดินทางกลับ ซึ่งรถสองแถวจะมารับไปท่าเรือตอน 8 โมงเช้าที่ reception ของโรงแรม .. เลยต้องรีบตื่นเพื่อทำเวลาในการอาบน้ำแต่งตัวและทานอาหารเช้า .. วันนี้เราทานอาหารเช้าเน้นให้อยู่ท้องเพราะเราต้องเดินทางกันนาน เลยสั่งเป็นข้าวผัดหมูและข้าวต้มหมูมาทาน ค่าเสียหาย 180 บาท

เมื่อทานเสร็จแล้วเรารีบเก็บสัมภาระ รีบตรงดิ่งมาที่ reception ซึ่งมีสองแถวสายแว็นซ์มารออยู่ก่อนแล้ว ..

รถสองแถวมาส่งเราที่บ้านอ่าวสลัด ซึ่งเป็นหมู่บ้านประมงเล็กๆในอดีตอ่าวแห่งนี้เคยเป็นที่หลบพักเรือของพวกโจรสลัดที่ปล้นสะดมอยู่ในน่านน้ำแถบนี้ เพื่อนำข้าวของที่ปล้นมาถ่ายเทออก จึงเป็นที่มาของชื่อว่า “อ่าวสลัด” .. ตรงบริเวณท่าเรือ หากมีเวลาก็อย่าลืมแวะมาไหว้พระและสักการะสมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์กันที่วัดบ้านอ่าวสลัด ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธปทีปศรีสถาพร”

เรานำตั๋วเรือขากลับมาเชคอินที่บริเวณที่เค้าจัดเตรียมไว้ แล้วขึ้นไปจับจองที่นั่งบนเรือได้เลย .. เราจะใช้เวลาบนเรือเท่ากับขามาประมาณ 1.30 ชั่วโมง ก็จะถึงท่าเรือแหลมศอก .. จากนั้น ก็ยิงยาว 5-6 ชั่วโมงเพื่อเดินทางกลับ กทม. ด้วยรถของบริษัท บุญศิริเรือเร็ว จำกัด

ถึงเวลาโบกมือ บ๊ายบาย แล้วเกาะกูด .. เกาะสุดท้าย ท้ายสุดแห่งท้องทะเลตราด ที่ In My Eye ได้มาเยือน

เรามองว่าเกาะกูดเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนชอบเที่ยวทะเล อยากไปพักผ่อน พาครอบครัวไปเที่ยว ไปกับเพื่อน ไปกับแฟน .. สายทะเลไม่ควรพลาด รับรองว่าไม่ผิดหวัง .. ใครที่อยากเริ่มต้น Backpack ที่นี่เป็นที่นึงที่น่าสนใจ .. สุดท้าย เที่ยวเป็น ต้องดูแลให้เป็น ช่วยกันรักษาท้องทะเลไทยเพื่อความสวยงามแบบนี้จะได้อยู่ได้อย่างยั่งยืนกันด้วยนะคะ

ขอบคุณ SONY A6000 + Lens kit 16-50 / 50 F1.8 และ Gopro HERO5
ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้

แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr

ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม

สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง กดไลท์ได้เลย มีเรื่องราวดีดีรอคุณอยู่
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand

รับชมในรูปแบบวีดีโอเราก็มีนะจ๊ะ (อย่าลืมกด HDด้วยนะ)

.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..


สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 2 คน)

ค่ารถ+เรือเฟอรี่ (ไป-กลับ) 3,400 บาท

ค่าที่พัก (2 คืน) 2,200 บาท

ค่าเช่ามอเตอร์ไซด์ (1 วัน) 300 บาท

เติมน้ำมัน 40 บาท

ค่าอาหารเย็นที่โรงแรม 880 บาท

ค่าอาหารเช้าที่โรงแรม 340 บาท

ค่าส้มตำ 350 บาท

ค่าอุปกรณ์ดำน้ำ 200 บาท

ค่าอาหารเย็นร้าน noochy 650 บาท

ค่าอาหารเช้าที่โรงแรม 180 บาท

รวมทั้งสิ้น 8,540 บาท (เฉลี่ยคนละ 4,270 บาท)

In My Eye

 วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 08.10 น.

ความคิดเห็น