กลับมาอีกครั้งกับการมาเยือนจังหวัดกาญจนบุรี

รอบนี้เราจะพาทุกคนมาอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติกับที่พักสไตล์แคมป์ปิ้ง

แบบไม่ต้องกางเต็นท์เอง พกแค่กระเป๋าใบเดียวก็ไปเที่ยวพักผ่อนกันได้เลย

ใครอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศการพักผ่อนแบบเดิมๆก็ตามเรามากันเลย

จังหวัดกาญจนบุรี หรือที่หลายคนเรียกติดปากกันว่า "เมืองกาญจน์" เป็นจังหวัดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย ..  ในแต่ละอำเภอของกาญจนบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวซ่อนตัวอยู่มากมาย เที่ยวเท่าไหร่ก็ไม่ครบสักที ไม่ว่าจะเป็น น้ำตก แม่น้ำ ภูเขา สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ กาญจนบุรีมีให้ครบ! .. สนใจที่ไหนของกาญจนบุรีลองรับชมก่อนได้ค่ะ เราแปะลิงก์เที่ยวเมืองกาญจน์เก่าๆของเราไว้ด้านล่างนี้ .. ส่วนทริปนี้ เราจะพาไปเชคอิน กิน เที่ยวที่ไหน เก็บกระเป๋าตามเรามาได้เลย .. 

Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปกาญจนบุรี  3 วัน 2 คืน
Day 1 : ออกจากกรุงเทพ - The KeeRee - Fairest Domestay
Day 2 : Fairest Domestay - สะพานข้ามแม่น้ำแคว - ปาท่องโก๋
Day 3 :  ปาท่องโก๋ - ถ้ำธารลอด - อ่างเก็บน้ำห้วยกระพร้อย - เดินทางกลับกรุงเทพ


Place to Visit :
- สะพานข้ามแม่น้ำแคว
- ถ้ำธารลอด 
- อ่างเก็บน้ำห้วยกระพร้อย
Place to Eat :
- The KeeRee
- Rainforest Cafe
- น้ำเต้าหู้
- บ้านรักษ์อ่าง
Place to Stay :
- Fairest Domestay
- ปาท่องโก๋ 


วันแรกของการเดินทาง : 1 มิถุนายน 2565

เราออกเดินทางจากกรุงเทพประมาณ 9โมงเช้าด้วยรถยนต์ส่วนตัว ใช้เส้นเพชรเกษม (ถนนบรมราชชนนี) เข้าสู่นครชัยศรี มุ่งหน้าไปยังนครปฐม บ้านโป่ง ท่ามะกา ท่าม่วง และเข้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ เราก็มาถึงจุดเช็คอินแรกที่ The KeeRee คาเฟ่สไตล์โมเดิร์นที่ผสมผสานกลิ่นอายนอร์ดิค

ในส่วนของคาเฟ่มีทั้งเมนูเครื่องดื่ม ของหวาน ของคาว โซนที่นั่งก็มีให้เลือกหลายโซน ทั้งโซน Indoor ตากแอร์ให้เย็นฉ่ำ และ Outdoor รับลมธรรมชาติ (ถ้ามากลางวันก็อาจจะเป็นลมร้อนได้นะ) เลือกได้ตามชอบเลยค่ะ .. ช่วงเย็นบางวันก็จะมี Folk Song ให้ฟังกลางสวนด้วย

เราสั่งเป็น Almond Brownie และ Coffee Dirty มาทาน เราชื่นชอบ Dirty เป็นพิเศษ ถ้าไปที่ร้านไหนมี Dirty ให้สั่งจะเป็นเมนูที่ไม่พลาดเลย ต้องสั่งมาลองตลอดแบบไม่ต้องคิดเลยค่ะ

เราชอบคาเฟ่นี้มาก เป็นคาเฟ่ติดภูเขา มีมุมถ่ายรูปสวยๆหลายมุมเลย ถูกใจสาย cafe hopping แน่นอน .. ร้านเปิดทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ 10.00 – 19.00 น. (หยุดทุกวันอังคาร) และวันเสาร์ – วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 9.00 – 19.00 น.

เราออกจากคาเฟ่ประมาณ 14.00 น. ขับรถต่อไปอีกประมาณ 40 นาทีก็ถึงที่พักของเราในคืนนี้แล่วค่ะ .. รอบนี้เราเลือกที่พักค่อนข้างสูงกว่าทุกๆทริปที่ผ่านมา เราตั้งใจจะอยู่ที่พักเลยเลือกที่พักที่มี facibility ที่ค่อนข้างครบและดีในระดับที่เราพอใจ เราจึงไม่ได้เน้นที่สถานที่ท่องเที่ยวมากเท่าไหร่ แล้วเราก็มี Theme ในการเลือกที่พักของเราในครั้งนี้ด้วย นั่นก็คือ ที่พักสไตล์แคมป์ปิ้ง แบบไม่ต้องกางเต็นท์เองหรือขนอุปกรณ์แคมป์ปิ้งไปให้ลำบาก พกแค่กระเป๋าใบเดียวก็ไปเที่ยวพักผ่อนกันได้เลย .. พูดเยิ่นเย้อมาพอสมควรแล้ว ไปพบกับที่พักของเราในคืนนี้กันดีกว่าค่ะ 𝐅𝐀𝐈𝐑𝐄𝐒𝐓 𝐃𝐎𝐌𝐄𝐒𝐓𝐀𝐘 เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง

𝐅𝐀𝐈𝐑𝐄𝐒𝐓 𝐃𝐎𝐌𝐄𝐒𝐓𝐀𝐘 เป็นที่พักรูปแบบเต็นท์โดม สไตล์ทรอปิคอล ในคอนเซ็ปท์ Feeling Like Home มีเพียง 4 หลังเท่านั้น!! ราคาเริ่มต้นที่ 2,900 บาท (ราคาเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่นในแต่ละเดือน สอบถามทางที่พักโดยตรงนะคะ) .. เราจอง Dome 2 ในราคา 3,400 บาท รวมอาหารเช้า เป็นราคาโปรโมชั่นวันธรรมดาในเดือนพฤษภาคมค่ะ Check-In 14.00 น. - Check-Out 12.00 น.

ภายในโดมตกแต่งสไตล์มินิมอล มีห้องน้ำในตัว พักได้หลังละ 2 คน, Free Amenity & Minibar มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น เครื่องทำน้ำอุ่น, แอร์, Smart TV, Netflix แบบไม่ต้องล้อคอิน, Wifi, Wireless Charger เป็นต้น

ส่วนด้านนอกห้องพัก มีอ่างจากุซี่แบบระบบปรับน้ำอุ่น นวดผ่อนคลาย ให้ส่วนตัวทุกหลัง .. ส่วนใครอยากจะตีฟองก็สามารถนำ Bubble Bath มาเองได้ หรือจะมาซื้อที่ที่พักก็ได้ขวดละ 200 บาท (ระดับพรีเมียม)

เรามาถึงที่พักช่วงบ่าย หลังจากเชคอินเสร็จ ก็มี Welcome Drink เย็นๆชื่นใจมาต้อนรับ พร้อมกับ Set Afternoon Tea ที่เราสั่งจองไว้ล่วงหน้า

ส่วนมื้อเย็นสามารถนำอาหารมาทานจากข้างนอกได้นะคะแต่ทางที่พักไม่มีจานชามช้อนส้อมให้ หรือใครไม่อยากออกไปไหนแบบเราก็สามารถสั่งทานจากคาเฟ่ได้ค่ะ Last order เวลา 17.30 น. จะสั่งเป็นอาหารจานเดียวหรือเป็นกับข้าวก็ได้ค่ะ หรือจะสั่งเป็น Private Bar-B-Q ก็ได้ชุดเล็กสำหรับ 2 คนค่ะ

หากใครสนใจอยากติดต่อสอบถามหรือสำรองที่พักล่วงหน้า สามารถติดต่อได้ที่

Tel : 064-1366833
Line ID : @fairestdomestay
Facebook : Fairest Domestay
IG : fairestdomestay
Website : www.fairestdomestay.com

สำหรับคืนนี้ขอนอนแช่อ่างจากุซี่ นอนมองดูดาว เพลินๆก่อนนะคะ ฝันดีค่า ~



วันที่สองของการเดินทาง : 2 มิถุนายน 2565

ติ๊งต่อง ~ อาหารเช้ามาเสิร์ฟแล้วค่า .. เสิร์ฟให้ถึงหน้าห้องพักเลย เซทอาหารเช้าคือแบบจัดเต็มมาก!! .. ทางที่พักจะถามเราตอนที่เราเชคอินว่าอยากได้อาหารเช้าแบบไหนและจะรับอาหารเช้าตอนกี่โมง เราก็แจ้งกับทางที่พักได้เลย .. เราสั่งทั้งเซท A ABF และเซท B ข้าวต้มหมู ส่วนเครื่องดื่มเราเลือกเป็นนมสดและชามะลิเย็น ค่ะ

ก่อนจะเชคเอ้าท์เรายังมีเวลาเหลือ เราขอแวะมาถ่ายรูปเล่นบริเวณคาเฟ่ของที่พักสักหน่อย คาเฟ่นี้มีชื่อว่า Rainforest คาเฟ่สไตล์ป่าฝน

หลังจาก Check Out เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาออกเดินทางกันต่อ มากาญจนบุรีทั้งทีจะไม่แวะที่นี่ก็ไม่ได้ สะพานข้ามแม่น้ำแคว .. เอาจริงนะ เรามากาญจนบุรีหลายครั้งมากแต่ไม่เคยแวะเที่ยวสถานที่สำคัญอย่างที่นี่เลย วันนี้มีโอกาสแล้ว ก็ขอแวะสักหน่อย

สะพานข้ามแม่น้ำแคว มีประวัติมาอย่างยาวนาน สร้างขึ้นโดยกองทัพญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของเชลยศึกในยุคนั้น สะพานแห่งนี้จึงกลายเป็นอนุสรณ์สถานของเหล่าเชลยศึก และยังเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดกาญจนบุรีอีกด้วยนะ

เราเห็นว่าตอนนี้ก็บ่ายโมงแล้ว แม้จะยังไม่หิวก็ควรเติมอะไรลงท้องสักหน่อย เราเลยสุ่มร้านบริเวณที่เราอยู่จนได้ร้านศรชัย เป็นอาหารจำพวกอาหารอีสาน มื้อนี้เราหมดไป 275 บาท

แม้จะอิ่มแล้วแต่ก็ยังไม่หนำใจ เมื่อทุเรียนหมอนทองข้างทางเย้ายวนซะเหลือเกิน ก็จัดมาทานสัก 1 ลูกใหญ่ๆ กรอบนอกนุ่มใน อร่อยถูกใจสุดๆ ร้านนี้เค้ารับประกันความพึงพอใจด้วยนะ

จากนั้น เราก็ขับรถมุ่งตรงสู่ที่พักคืนที่สองของเราเลย ขับรถออกไปทางอำเภอหนองปรือ ใช้เวลาขับประมาณ 1.30 ชั่วโมง ก็มาถึงที่พักคืนที่สองของเรา นั่นคือ PATONGO CAMPING

PATONGO CAMPING เป็นที่พักและลานกางเต็นท์ ติดริมอ่างเก็บน้ำลำตะเพิน พื้นที่ล้อมรอบด้วยภูเขาเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม (อยู่ใกล้กับพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี) .. เหมาะแก่การมาพักผ่อน กับแก๊งค์เพื่อน, ครอบครัว, คู่รัก

ที่นี่มีที่พักให้เลือก 4 แบบ คือ

- Deluxe Private Room (ห้องน้ำส่วนตัว) : D1
- Deluxe Lake View (ห้องน้ำรวม) : D2-D4
- Deluxe Campgarden (ห้องน้ำส่วนตัว) : D5-D7
- Exclusive Room (ห้องน้ำส่วนตัว) : D8-D10

ราคาเริ่มต้น 2,500 - 3,000 บาท แล้วแต่วันที่เราเข้าพักและโดมที่เราเลือกค่ะ .. ส่วนพื้นที่ลานกางเต็นท์ : T1-T12 วันธรรมดา 300 บาท/คน/คืน วันศุกร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 350 บาท/คน/คืน (รวมอาหารเช้า)

เราทำการจองผ่านเว็บไซต์ เราจองเป็นโดมริมน้ำ (D2) ห้องน้ำรวม ราคาในวันธรรมดาอยู่ที่ 2,500 บาท รวมอาหารเช้า .. เราตัดสินใจเลือกห้องนี้ เพราะ เราอยากได้วิวหน้าเต็นท์ที่ไม่มีอะไรมาบดบัง

สิ่งอำนวยความสะดวกความสะดวกในเต็นท์มีให้ครบครัน มีแม้กระทั่งไม้ช๊อตยุงและไฟล่อแมลง

สัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยเสถียร แต่ไม่ต้องกังวลใจที่พักเค้าคิดเรื่องนี้มาให้เรียบร้อย Wifi อยู่รอบๆบริเวณที่พักเลยค่ะ

ส่วนเรื่องห้องน้ำรวมจะอยู่ห่างออกไป 50-60 เมตร แต่ไม่เป็นปัญหา เราสามารถเดินไปหรือขี่จักรยานไปก็ได้ค่ะ ห้องน้ำสะอาด มีน้ำอุ่นให้ทุกห้อง และยังมีที่ล้างจานส่วนกลางไว้ให้บริการอยู่ตรงส่วนนี้อีกด้วย

และที่นี่ยังมีกิจกรรมให้ทำโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จะเปิดบริการ 7.00 น. - 18.45 น. มีทั้งพายคายัค, พาย Sup Board, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ, ล่องแพเปียก จะมีบริการ 2 รอบ คือ รอบเช้าและรอบเย็น (มีชูชีพไว้คอยบริการ) หากใครอยากขับ ATV เป็นกิจกรรมพิเศษ จะมีค่าใช้จ่าย 400 บาทเล่นได้ 30 นาที

ช่วงหัวค่ำจะมีดนตรีโฟล์คซองเพราะๆเล่นให้ฟังทุกวัน ตั้งแต่ 18.00 น. - 21.30 น. บริเวณลานกิจกรรม

ส่วนมื้อเย็นสามารถเตรียมอุปกรณ์และนำอาหารมาทำเองได้ หรือจะสั่งหมูกระทะชุดละ 350 บาท (ทานได้ประมาณ 2 คน) สั่งตอนที่เชคอินแล้วพี่พนักงานจะมาจัดส่งให้ถึงโดม หรือใครกลัวไม่อิ่มสามารถสั่งอาหารมาทานจากคาเฟ่ด้วยก็ได้ค่ะ .. ไม่มีแอลกอฮอล์ขายแต่สามารถนำเข้ามาทานได้ และห้ามใช้เสียงดังหลัง 22.00 น. (ปล.แมลงจะมาเล่นไฟเยอะมาก โปรดระวัง)



วันสุดท้ายของการเดินทาง : 3 มิถุนายน 2565

อรุณสวัสดิ์ค่า ~ เช้านี้เราเอาวิวสวยๆมาฝากค่ะ เช้านี้เรามีกิจกรรมไปล่องแพชมวิวอ่างเก็บน้ำละตะเพินกันค่ะ จะบอกว่า เมื่อวานเราจองลงแพรอบเย็นไม่ทัน เราเลยได้ลงรอบเช้า 7 โมงมาแทน ตื่นเช้าหน่อยเพื่อไปอาบวิตามินดี อิอิ .. วันนี้ไม่มีคนจองล่องแพรอบเช้าเลย แพเรา Private สุดๆ ไม่มีใครเลย นอกจากเรา ไม่ต้องนั่งเบียดใครเลยค่ะ ชิลล์สุดๆ

พอเราขึ้นมาจากล่องแพ เราก็สั่งอาหารเช้ามาทานที่ห้องหรือใครจะเดินไปทานที่คาเฟ่ก็ได้นะคะ เวลาอาหารเช้า คือ 7.30 น. - 9.30 น. เมนูที่ทุกคนจะได้ คือ ไข่กระทะและข้าวต้มทรงเครื่อง คนละชุดไปเลย ใครไม่อิ่มเบิ้ลได้ค่ะ .. แม้แต่คนที่มากางเต็นท์เองไม่ได้พักเป็นโดมก็ได้ชุดอาหารเช้าคนละชุดเหมือนกันนะคะ Offer ดีสุดๆ

พอเราทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เราจึงออกไปอาบน้ำแต่งตัว และไปเยี่ยมคาเฟ่ชื่อน่ารักๆสอดคล้องกับชื่อที่พัก อย่าง น้ำเต้าหู้ คาเฟ่เล็กๆ ตกแต่งสไตล์มินิมอล เปิดบริการเวลา 8.00 น. - 18.00 น. มีมุมนั่งเล่น ถ่ายรูปน่ารักๆ พร้อมกับมีอาหารและเครื่องดื่มไว้คอยให้บริการ เราเลยจัดพีชโซดามาหนึ่งแก้วเพื่อความสดชื่นในเช้านี้ค่ะ

ถึงเวลาเชคเอ้าท์และออกจากที่นี่แล้วสิ ก่อนกลับกรุงเทพ นักล่าตราประทับ อช. อย่างเรา ขอแวะไปเก็บอีก 1 อุทยานในละแวกนี้ ซึ่งห่างจากที่พักประมาณ 28 กิโลเมตร นั่นคือ อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ หรือที่รู้กันในนาม ถ้ำธารลอด

เส้นทางศึกษาธรรมชาติของที่นี่จะมีด้วยกัน 2 เส้นทาง คือ
- เส้นทาง ถ้ำธารลอดน้อย-ถ้ำธารลอดใหญ่ ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร
- เส้นทาง น้ำตกธารเงิน-น้ำตกธารทอง ระยะทางประมาณ 1.8 กิโลเมตร

เส้นทางในวันนี้ที่เราจะเลือกเดินก็คือ เส้นทางถ้ำธารลอดน้อย-ถ้ำธารลอดใหญ่ .. เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่ชมสถานที่ท่องเที่ยวหลักของอุทยาน เราจะเริ่มเดินจากถ้ำธารลอดน้อยก่อน โดยตัวถ้ำจะยาวประมาณ 300 เมตร ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยเป็นรูปร่างต่างๆ แปลกตา มีธารน้ำไหลลอดผ่านในถ้ำ ทำให้ถ้ำมีอากาศเย็นสบาย ไม่มีกลิ่นอับ

สัตว์ที่จะพบได้ในถ้ำ ก็จะมี ค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัญฐ์ ปลาซิว ปลาสร้อย และยังมีสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของอุทยาน คือ “จงโคร่งหรือหมาน้ำหรือเขียดว้าก” ซึ่งส่งเสียงร้องคล้ายสุนัข เสียใจที่เราหาไม่เจอ T^T

เมื่อพ้นถ้ำธารลอดน้อยออกมาจะต้องเดินป่าต่อไปอีก 1.5 กิโลเมตร ก็จะเจอ น้ำตกไตรตรึงษ์ ต่อจากนั้น เดินต่อไปอีกราว 1 กิโลเมตร  ก็จะถึงถ้ำธารลอดใหญ่ .. รวมระยะทางจากถ้ำธารลอดน้อย-ถ้ำธารลอดใหญ่ 2.5 กิโลเมตร ไปกลับเกือบ 5 กิโลเมตร แต่วันนี้เรามาถึงช้าไปหน่อย ข้าวกลางวันก็ยังไม่ได้ทาน เลยหยุดแค่ถ้ำธารลอดน้อย .. เส้นทางนี้หากใครจะมาควรมาก่อน 13.00 น. นะคะ เพราะ จะใช้เวลาเดินประมาณ 3-4 ชั่วโมงได้ ตามแต่ความฟิตของร่างกายเราด้วย

หากใครอยากย่นระยะเวลาก็จะมีเส้นทางรถไปถึงถ้ำธารลอดใหญ่อีกหนึ่งเส้นทาง เอารถไปจอดที่วัดถ้ำธารลอดใหญ่ แต่เส้นทางคดเคี้ยวในบางช่วง เป็นดินลูกรัง รถทุกชนิดสามารถไปถึงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย เอาไว้เป็นอีกทางเลือกเผื่อใครต้องการไปเที่ยวถ้ำธารลอดใหญ่แต่ไม่อยากเดินป่า

จากนั้น เราแวะร้านอาหารข้างทางเพื่อทานมื้อเที่ยงกันก่อน ด้วยวิธีการสุ่มอีกแล้วครับท่าน สุ่มรอบนี้ เรามาแวะร้านที่มีชื่อว่า บ้านรักษ์อ่าง จัดเมนูสิ้นคิด ‘กะเพราหมูสับไข่ดาว’ ง่ายๆ เพื่อให้ท้องอิ่ม

ก่อนทริปจะจบลง จุดสุดท้ายที่เราจะแวะ นั่นก็คือ จุดชมวิวอ่างเก็บน้ำห้วยกระพร้อย เราขับรถผ่านด้วยความบังเอิญ เลยมาจอดรถชมวิวระหว่างทาง ก่อนจะขับรถยิงยาว 3 ชั่วโมงกลับกรุงเทพ

ทริปนี้เป็นทริป 3 วัน 2 คืน สุดชิลล์ แพลนหลวมๆ เน้นกินนอนอยู่ที่ที่พัก .. เป็นอีกทริปที่สร้างความประทับใจให้กับเราได้เป็นอย่างดี หากใครชอบที่พักสไตล์นี้ตามรอยกันมาได้นะคะ แล้วเจอกันใหม่ในการเดินทางต่อไปของเราค่ะ บายๆ

ขอบคุณ Sony A7iii + Tamron 17-28 f2.8 Di III RXD และ Sigma 24-70 f2.8 DG DN ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้

แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr

ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม

สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/inmyeyediary

และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ

.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..

สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 2 คน)
- ที่พัก Fairest Domestay 3,400 บาท
- Set afternoon tea 590 บาท
- ที่พัก ปาท่องโก๋ 2,500 บาท
- ค่าอาหารที่ Fairest Domestay 250 บาท
- ค่ากาแฟที่ Rainforest 90 บาท
- ค่าทุเรียน 285 บาท
- ค่าอาหารร้านศรชัย 275 บาท
- ค่าหมูกระทะ 350 บาท
- ค่าน้ำแข็ง 20 บาท
- ค่าน้ำคาเฟ่น้ำเต้าหู้ 135 บาท
- ค่าอาหารบ้านรักษ์อ่าง 142 บาท
- ค่าน้ำมัน 1,610 บาท

รวมทั้งสิ้น 9,647 บาท (ตกคนละ 4,823.50 บาท)

In My Eye

 วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 22.18 น.

ความคิดเห็น