คิดถึงการไปเที่ยวต่างประเทศกันไหม? ส่วนเรา ‘คิดถึงมาก’
แต่ถ้ามันยังไปต่างประเทศไม่ได้ ก็คงต้องหาที่ไปให้ได้ฟีลเหมือนไปต่างประเทศสักหน่อย
ฟิน ครบ จบในที่เดียว ไปที่นี่ละกัน .. ‘เดอะ เวโรน่า แอท ทับลาน’ จ.ปราจีนบุรี
เดอะ เวโรน่า แอท ทับลาน (The Verona at Tublan) ตั้งอยู่ในอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ขับรถมาจากกรุงเทพประมาณ 2-3 ชั่วโมง จะมาแบบค้างคืน หรือ One Day Trip ก็ได้ .. แต่ก่อนเราเคยมาแวะพักรถที่นี่ก่อนที่จะไปวังน้ำเขียวแต่ไม่เคยคิดที่จะแวะมาเที่ยวเลย .. รอบนี้ คิดไงไม่รู้ชื่อ ‘เวโรน่า’ ก็แล่นเข้ามาอยู่ในหัว กดจองในทันที 1 คืน ในวันธรรมดา วันลาพร้อมแล้ว ทริปนี้จะเป็นอย่างไร ตามมาเที่ยวพร้อมๆกับเราได้เลยค่ะ
Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปปราจีนบุรี 2 วัน 1 คืน
Day 1 : ออกจากกรุงเทพ - อำเภอเมือง - อำเภอนาดี (ทับลาน)
Day 2 : อำเภอนาดี (ทับลาน) - วังน้ำเขียว - เดินทางกลับกรุงเทพ
Place to Visit :
- The Verona at Tublan
- วังน้ำเขียว
Place to Eat :
- บ้านเล่าเรื่องเมืองสมุนไพร
- Bliss & Bloom Cafe
- ครัวคุณต๋อย
- คาโนนะคาเฟ่แฟฟินฟาร์ม
Place to Stay :
- verona at Tunlan Boutique Hotel & Resort
วันแรกของการเดินทาง : 24 พฤศจิกายน 2564
การเดินทางของเราในครั้งนี้เป็นทริปสั้นๆ 2 วัน 1 คืน เราออกเดินทางจากกรุงเทพประมาณ 10 โมงเช้าด้วยรถยนต์ส่วนตัว ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 3481 เข้าสู่จังหวัดปราจีนบุรี
ก่อนจะไปถึงจุดหมายหลัก เราขอแวะเติมพลังกันก่อนที่ตัวเมืองปราจีนบุรี ที่ที่เรามาแวะทานข้าวกัน ก็คือ บ้านเล่าเรื่อง เมืองสมุนไพรปราจีนบุรี .. บ้านไม้หลังนี้เป็นทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การเรียนรู้ฯ จากอดีตถึงปัจจุบันของเมืองปราจีน .. ร้านหยุดทุกวันจันทร์ ร้านเปิด 10.00 น. ครัวปิด 19.00 น.ค่ะ
เมื่อเดินเข้ามา ทางด้านซ้ายมือจะเจอกับภาพวาดบนกำแพงที่เป็นพิกัดแหล่งท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดของจังหวัด ผู้วาดคือนักวาดการ์ตูนนามปากกาว่า ชัย ราชวัตร เจ้าของผลงาน ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน .. นอกจากนั้น รอบๆบ้านยังมีการปลูกสมุนไพรต่างๆไว้ พร้อมป้ายที่บอกสรรพคุณทางยาของสมุนไพรนั้นๆไว้ให้เราได้เดินชมและศึกษาอีกด้วย
ก่อนเข้าบ้านเราต้องถอดรองเท้า และเปลี่ยนเป็นรองเท้าที่ทางร้านจัดเตรียมไว้ให้ พร้อมวัดอุณหภูมิ และลงทะเบียนไทยชนะ ซึ่งบ้านเล่าเรื่องฯ สามารถนั่งทานในร้านได้ตามปกติ ตามแนวปฏิบัติวิถีชีวิตใหม่ ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย SHA แล้ว
เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณตัวบ้านจะมีการจัดแสดงความเป็นมาของจังหวัดปราจีนบุรี สมุนไพรต่างๆที่ใช้ดูแลสุขภาพ .. เมื่อเดินมาถึงส่วนในสุดของบ้านจะพบกับร้านอาหารที่มีทั้ง Indoor และ Outdoor พร้อมชมวิวแม่น้ำ เสพย์บรรยากาศในระหว่างทานอาหาร จุดเด่นของอาหารที่นี่ คือ นำสมุนไพรมาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารและเครื่องดื่ม
จานหลักเราสั่งเป็นข้าวราดปลากระพงทอดน้ำปลา, ต้มข่าไก่ใส่หัวปลี, ไข่พระอาทิตย์, ชาไทยลัลล้า, สามเกลอโซดา (พุทราจีน+กระเจี๊ยบ+ใบเตย) ค่าเสียหายมื้อนี้เราจ่ายไป 460 บาท
หลังจากที่เราทานอาหารกลางวันเสร็จ เราวางแพลนว่าจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร แต่เราลืมหาข้อมูลมาตั้งแต่เนิ่นๆว่า ทางพิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมตึกทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ รอบละ 50 คน ต้องจองลงทะเบียนมาก่อนล่วงหน้า ซึ่งวันที่เราเดินทางไปคือวันพุธ เลยอดเข้าชมไปตามระเบียบ
เราเลยต้องเปลี่ยนแผน ขับรถตรงเข้าสู่ที่พักของเราเลย ซึ่งใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะถึงที่พักของเราในค่ำคืนนี้ นั่นก็คือ verona at Tunlan Boutique Hotel & Resort .. ต้องสังเกตทางเข้าโรงแรมดีดี จะมีป้ายใหญ่ๆสีดำเขียนว่า ‘ล็อบบี้โรงแรม’ เนื่องจาก มีการแยกประตูทางเข้าของลูกค้าที่เชคอินโรงแรมกับลูกค้าเที่ยวทั่วไปไม่เข้าพักค่ะ
เดอะ เวโรน่า แอท ทับลาน (The Verona at Tublan) เป็น Boutique Hotel สไตล์อิตาลี ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมืองเวโรน่า แคว้นเวเนโต้ ในประเทศอิตาลี เมืองแห่งความรักต้นกำเนิดนวนิยายโรมิโอและจูเลียต นวนิยายชื่อดังของโลก ของ William Shakespeare โดยแบ่งพื้นที่ภายในโครงการเป็น 5 โซน ได้แก่
- เวโรน่าบูทีคโฮเท็ล (Verona Boutique Hotel)
- เวโรน่าคอมมูนิตี้มอลล์ (Verona Community Mall)
- เวโรน่าเท็กซัสคาวบอยทาวน์ (Verona Texas Cowboy Town)
- เวโรน่า แอดเวนเจอร์ (Verona Adventure)
- เวโรน่าฟาร์ม (Verona Farm)
ก่อนอื่นเราต้องแวะไปเชคอินที่ Lobby กันก่อนจ้า เชคอินได้ตั้งแต่ 14.00 น. และเช็คเอ้าท์ได้ถึง 12.00 น. .. เราจองห้องพักโดยใช้สิทธ์เราเที่ยวด้วยกัน เราจ่าย 60% รัฐจ่าย 40% คุ้มเลย! แถมพอเราเชคอินเราจะได้ Vocher มาใช้อีก 600 บาท เอาไว้ใช้เป็นส่วนลด 40% ในการทานอาหารหรือเล่นกิจกรรมต่างๆของโรงแรมได้อีกด้วย ..
พอเราเชคอินเสร็จจะมีรถพาเราไปยังห้องพัก (สามารถเรียกรถให้พาเราไปยังที่ต่างๆของโรงแรมได้นะคะ)
คืนนี้ เราพักห้อง Deluxe เตียงเดี่ยว วิวทะเลสาบ Garda สำหรับ 2 คน รวมอาหารเช้า ชมทุ่งดอกไม้ ใช้สระว่ายน้ำ ได้ฟรี! .. ภายในห้องก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
เราพามาดูวิวหลังห้องของเราบ้างดีกว่า เป็นวิวทะเลสาบ Garda ตรงโซนที่เราอยู่นี้ บุคคลภายนอกจะไม่สามารถเข้ามาได้นะคะ เพราะฉะนั้น วิวนี้ก็จะเห็นแค่ผู้เข้าพักเท่านั้นนะจ้า ~
15.00 น. เวลากำลังดี ถึงเวลาเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำลงไป โพสต์ท่าสวยๆ ริมสระกันแล้ว .. Infinity pool สระว่ายน้ำไร้ขอบ ที่ยื่นออกไปท่ามกลางทะเลสาบ ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องพักของเรา ส่วนตัวแบบสุดๆ โพสต์ท่าได้แบบไม่ต้องเคอะเขิน เพราะ เราไปวันธรรมดา คนที่เข้าพักไม่เยอะเลยค่ะ นับคนได้เลย ^^
16.00 น. เราก็ได้กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเดรสสีขาว เตรียมตัวไปคาเฟ่และทุ่งดอกไม้ .. ระหว่างที่เรารอรถมารับ เราก็ขอถ่ายรูปกับตึกหลากสี ฟีลเหมือนอยู่ต่างประเทศสักหน่อยก่อน บอกแล้วทริปนี้เรามาในคอนเซ็ปท์ ‘เที่ยวเมืองไทยยังไงให้เหมือนอยู่ต่างประเทศ’ ก็แบบนี้ไงจ้า ..
นั่งรถมาได้แปปนึงเราก็มาถึง Bliss & Bloom Cafe คาเฟ่กลางสวนดอกไม้ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าถึงคาเฟ่ เราต้องผ่านแปลงดอกไม้หลากสีก่อนเลย จึงไม่พลาดที่จะแวะแช๊ะรูปก่อน .. หรือใครที่พักที่นี่แล้วอยากมาเก็บแสงเช้าก็แนะนำนะคะ เพราะ นทท. Walk in ยังไม่เข้ามา
พอเราถ่ายรูปกับสวนดอกไม้จนหนำใจ ก็ถึงเวลาที่เราจะนั่งคาเฟ่แต่งรูปลง Social ชิลล์ๆ ที่ Bliss & Bloom Cafe คาเฟ่เปิดทุกวัน 9.00 น. - 18.00 น. เราสั่งเมนูเค้กบลูเบอรี่ชีสพาย, ลาเต้สตอเบอรี่, cotton candy sky ค่าเสียหาย 387 บาท เราใช้คูปองส่วนลดที่ได้จากห้องพัก 40 บาท (สองคนคนละ 20 บาท)
จุดชมวิว ชั้น 2 สามารถขึ้นไปชมวิวได้แบบ 360 องศา ดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดอลังการในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน
หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว แต่ยังไม่มืดมาก เราข้ามสะพานมาเดินเล่นแถวหอคอย Lamberti และเดินเล่นเก็บบรรยากาศบริเวณ Community Mall ที่มีทั่งร้านอาหาร, 7-11, ร้านขายของที่ระลึก และยังมีสินค้าทั้งแบรนด์ไทยแบรนด์นอกถึง 120 ร้านค้า ให้คุณได้เลือกซื้ออย่างจุใจ (แต่เราไปเย็นมากร้านปิดไปเรียบร้อย)
เมื่อเราเดินเล่นถ่ายรูปจนเต็มอิ่ม เราจึงเดินไปยังห้องอาหาร Blackwood Bar & Restaurant เราเลือกที่นั่งเป็นโซนเทอร์เรสริมทะเลสาบ ดินเนอร์ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติก .. สำหรับอาหารในค่ำคืนนี้ที่เราสั่งก็จะมีเมนูต้มยำกุ้งแม่น้ำ ยำวุ้นเส้นโบราณ ซี่โครงหมูทอดกระเทียม ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 747 บาท แต่เราใช้สิทธ์คูปองเราเที่ยวด้วยกันเป็นส่วนลดค่าอาหารไปได้อีก 40%
หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็ถึงเวลาพักผ่อน .. ตอนที่กำลังจะหลับ เวลาประมาณเที่ยงคืน ท่อน้ำที่อ่างล้างหน้าแตกจ้า น้ำท่วมห้องน้ำอย่างรวดเร็ว โทรหา Reception ก็ไม่มีคนรับ สุดท้าย ต้องค้นหาวาล์วน้ำปิดเอาเอง ไม่งั้นคืนนี้คงไม่ได้นอนแน่ๆ เป็นประสบการณ์ที่แสนประทับใจจริงๆ (ประชด) .. สุดท้าย ก็ได้หลับอย่างสงบ พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่ สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ ค่ะ ~
วันสุดท้ายของการเดินทาง : 25 พฤศจิกายน 2564
เริ่มเช้าวันใหม่ด้วยชุดสีแดงแรงฤทธิ์ ~ เปิดเช้านี้ด้วยการออกไปเดินเล่นถ่ายรูปยามเช้ากัน
จุดแรกที่เราไป คือ Juliet Seminar ห้องสัมมนาจูเลียต ตรงนี้จะจำลองเหมือน Casa di Giulietta (บ้านของจูเลียต)
และอีกมุมนึงที่ต้องไม่พลาดก็คือ สะพาน Castelvecchio สะพานอิฐที่ทอดตัวยาวไปจนถึงหอคอย Lamberti ออกมาเดินสะบัดกระโปรงสวยๆแบบเราได้เลย .. ตอนเช้าๆแสงสวยเหมาะกับการถ่ายรูปมาก
เมื่อเดินเล่นถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว เราก็ไปทานอาหารเช้ากันที่ ห้องอาหาร Blackwood อาหารเช้าที่นี่จะเป็นแบบบุฟเฟต์ เราสามารถเลือกทานได้เลยค่ะ .. ไลน์อาหารก็มีประมาณนี้
เราออกไปเดินย่อยกันบริเวณเมืองคาวบอย (Verona Texas Cowboy Town) มาวันธรรมดาก็จะดูเงียบๆเหงาๆหน่อย ตรงโซนนี้ช่วงที่เรามากำลังปรับปรุง เรามาเดินเล่นดูสัตว์ และสามารถป้อนอาหารสัตว์ หรือขี่ม้า นั่งรถม้าได้ด้วยนะ
เรากลับไปเก็บของ เปลี่ยนชุดให้ทะมัดทะแมงที่ห้องพัก เพื่อเตรียมเช็คเอาท์และออกไปทำกิจกรรม Adventure .. แวะ Check out และให้พี่พนักงานขับรถไปส่งฐานกิจกรรม
ฐานกิจกรรมสามารถเล่นได้ทุกวัน 9.00 น. - 18.00 น. ซึ่งกิจกรรมที่นี่มีให้เลือกหลากหลายตามนี้เลยค่ะ
อย่างแรกที่เราเลือกเล่นเลย ก็คือ Archery Games บอกเลยว่า เข้าเป้าทุกดอกจะพี่ที่เฝ้าฐานกิจกรรมแซว ราคาเกมนี้อยู่ที่ 5 ดอก 50 บาท เล่นไปเล่นมาก็ติดลม ฮ่าๆ
กิจกรรมต่อมาเป็นกิจกรรมไฮไลต์ที่ควรต้องมาเล่น นั่นก็คือ Swing Rope ตอนอยู่ข้างล่างก็รู้สึกชิลล์ๆ พอเริ่มไต่ระดับความสูงไปถึง 6 เมตรก็มีอาการเสียวอยู่น้อยๆ เสียวสุดก็อีตอนที่พี่เค้ากระตุกเชือกเนี่ยแหละ .. อยากรู้อาการเป็นอย่างไรต้องมาลองนะคะ
กิจกรรมสุดท้ายที่เราเลือก คือ การขับ ATV ที่นี่ มีให้เลือก 2 สนาม คือ สนามวิบาก และ สนามทางเรียบ เราก็ลองทั้ง 2 สนามเลยค่ะ
ถ้าใครอยากเที่ยวแล้วได้ฟีลต่างประเทศ ไม่ต้องบินไปไกลถึงอิตาลีแบบเรา ก็มาเช็คอินที่ The Verona at tublan ได้นะคะ กิน เที่ยว พัก ครบจบในที่เดียว
หลังจากเราทำกิจกรรมเสร็จก่อนที่จะตีรถกลับกรุงเทพ เราตัดสินใจเดินหน้าไปอีกหน่อย มุ่งสู่วังน้ำเขียว .. แต่ก่อนทัพต้องเดินด้วยท้องเลยแวะทานข้าวสุ่มเลือกเอาระหว่างทางไปจนได้ร้านที่ชื่อว่า ครัวคุณต๋อย หมดค่าเสียหายมื้อนี้ไปที่ 315 บาท ใช้สิทธิ์คนละครึ่งประหยัดไปครึ่งนึง
ที่เราเลือกมาที่วังน้ำเขียว เพราะ อยากจะมาคาเฟ่คาเฟ่นึงที่เราเปิดเจอโดยบังเอิญ มาในคอนเซ็ปท์เที่ยวไทยยังไงให้เหมือนเที่ยวต่างประเทศแล้วนี่เนอะก็ต้องไปให้สุดค่ะ เราเลยวาร์ปจากอิตาลีมาญี่ปุ่นซะเลย .. ที่นี่มีชื่อว่า คาโนนะ แฟฟินฟาร์ม บรรยากาศจะเป็นยังไง ตามเรามาเที่ยวกันต่อได้เลยค่ะ
คาโนนะ แฟฟินฟาร์ม เป็นคาเฟ่ที่จำลองบรรยากาศสถานที่สำคัญๆต่างๆของประเทศญี่ปุ่นมาไว้ในที่เดียว
ใครอยากใส่ชุดยูคาตะ ชุดกิโมโน ชุดคอสเพล ชุดนักเรียนญี่ปุ่น ที่นี่ก็มีให้เช่านะ ชุดละ 100 บาท พร้อมแต่งตัวให้ด้วย ทำให้เราสนุกกับการถ่ายรูปเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 น. – 18.00 น. เข้าชมฟรี มีอาหารและเครื่องดื่มให้บริการ
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่จนถึงเวลาบ่ายสามโมง เราคิดว่าถึงเวลาอันสมควรที่จะกลับกรุงเทพได้แล้ว จะได้ถึงที่พักไม่ดึกจนเกินไป .. สำหรับทริปนี้เป็นทริปสั้นๆ เติมความสุขเล็กๆให้เรากับแฟน .. หวังว่า ทริปนี้ของเราจะช่วยให้หลายคนรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ เรายังคงต้องเผชิญกับวิกฤตโควิดกันต่อไป ขอให้ทุกคนสู้ๆ ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ .. ทริปหน้าเราจะพาไปเที่ยวไหนต่อ รอติดตามกันได้นะคะ ^^
ขอบคุณ Sony A6500 + Lens CZ 16-70mm F4 และ Sony A7 M2 + FE 35mm f1.8 ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้
แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม
สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand
และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ
.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..
สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 2 คน)
- ค่าที่พัก 1,800 บาท (ใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกันจากราคา 3,000 บาท)
- บ้านเล่าเรื่องเมืองสมุนไพร 460 บาท
- Blackwood 448.20 บาท (ใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกันจากราคา 747 บาท
- กิจกรรม Adventure 450 บาท (ใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกันจากราคา 750 บาท)
- ครัวคุณต๋อย 165 บาท (ใช้สิทธิ์คนละครึ่ง จากราคา 315 บาท
- คาโนนะแฟฟินฟาร์ม 200 บาท
- ค่าน้ำมัน 900 บาท
รวมทั้งสิ้น 4,423.20 บาท (ตกคนละ 2,211.60 บาท)
In My Eye
วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 13.21 น.