การเดินทางไปอินเดียครั้งแรก ผู้หญิงเดินทางคนเดียว ปกติไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ที่แปลกคืออินเดีย ทุกคนต่างพูดไม่ต่างกันเหมือนกับคนอื่นๆในกระทู้อื่นๆว่าทำไมต้องประเทศนี้ไม่เคยมีอยู่ในความคิด น่ากลัว สกปรก ลำบาก อันตราย สารพัดคำพูด ทำให้อยากรู้ทำไมจะไปไม่ได้สำหรับผู้หญิงคนเดียว รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอในสิ่งที่ทุกคนพูดแต่เราเลือกที่จะมองในมุมที่แตกต่างของอินเดีย แต่ละที่มีความสวยงามที่ต่างกันแล้วแต่เราจะเลือกมอง แต่พอไปถึงทำให้รู้เลยว่าทำไมคนที่เคยไปแล้วอยากไปอีก ทำไมต้อง INCREDIBLE INDIA ปล่อยให้ภาพเล่าเรื่องราว ปล่อยให้ความรู้สึกตัดสิน อย่าตัดสินประเทศนี้ด้วยการฟังข้างเดียวและมองแค่ตา ภายนอกอาจดูไม่ดีแต่ทุกที่ก็มีสิ่งที่ดีซ่อนอยู่ เปิดใจแล้วเราจะเที่ยวได้อย่างสนุก เข้าใจในสิ่งที่เค้าเป็น ที่นี่มีเรื่องให้ประหลาดใจจนต้องร้องว้าว OMG ตลอดเวลา
ทำไมต้องอินเดีย? ชอบเดินทางไปในประเทศที่คนไม่ค่อยเลือกไปเช่น ญี่ปุ่น ,เกาหลี ชอบความแตกต่าง ชอบมองในมุมที่คนอื่นไม่เห็น คิดต่างเพื่อให้เราได้เรียนรู้สิ่งที่แตกต่าง ประสบการณ์ไม่สามารถหาซื้อได้ โอกาสไม่ได้มีตลอด สำหรับเราคงเดินทางจนกว่าจะเดินไม่ไหวเท่านั้นเอง 55
การเดินทาง
6 ก.ค. 2561
- กรุงเทพ-ชัยปุระเวลา 20.00 น. สายการบินแอร์เอเชีย
- ถึงสนามบินชัยปุระเวลา 22.45 น. เวลาที่อินเดียช้ากว่าที่ประเทศไทย 1.30 ชม.
- เดินทางไปเมืองอัครา โดยรถไฟนอน AC2 เวลา 4.00 น.
- ถึงเมืองอัคราเวลา 8.00 น.
- พักที่อัครา โรงแรม
- เที่ยวทัชมาฮาลและป้อมอัคราฟอร์ด
7 ก.ค. 2561
- เดินทางกลับเมืองชัยปุระด้วยรถไฟ AC Chair Car(CC) เวลา 5.00 น.
- ถึงเมืองชัยปุระ 9.30 น.
- เข้า Check in โรงแรมสหปุระเฮ้าส์
- เที่ยวในเมือง City Palace / Jantar Mantar/Hawa Mahal/ร้าน Cafe Wind View
- Cafe Palladi
- Albert Hall
- Pink Square Dinner
8 ก.ค. 2561
- Nahargarh fort
- Step Wall
- Jal Mahal
- Galta Ji Temple
- Shopping Himalaya Store
- Pink Square Dinner
- กลับโรงแรม อาบน้ำ
- ถึงสนามบิน 21.30 น. โดยสายการบินแอร์เอเชียเวลา 22.45 น.
9 ก.ค. 2561
- เดินทางไปสนามบิน KLIA 2 กัวลาลัมเปอร์ต่อเครื่อง ถึงเวลา 6.00 น.
- เดินทางกลับกรุงเทพสายการบินแอร์เอเชียเวลา 18.35 น.
เดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียเวลา 20.00 น. เนื่องจากเรามีบัตรเครดิตแอร์เอเชียแพลทตินั่มจะมีช่องพรมแดงสำหรับลูกค้าโดยเฉพาะทำให้ไม่ต้องต่อคิวยาวและมีคูปองโหลดกระเป๋าฟรี 20 กก. และที่นั่ง Hot Seat อย่างละ 4 ใบต่อปี เนื่องจากมียอดค่าใช้จ่าย 200,000 บาทขึ้นไป
ได้เลือกที่นั่ง Hot Seat มันก็จะดีประมาณนี้ติดริมหน้าต่างได้ขึ้นเครื่องก่อน ทั้งเที่ยวบินมีคนไทยนับคนได้ส่วนใหญ่อินเดียหมดค่ะ กลิ่นมาขมคอกันเลยทีเดียวต้อนรับด้วยเครื่องเทศนานาชนิดบนเครื่อง ทำตัวให้ชินค่ะ จะได้สนุกกับทริป
ถึงสนามบินเมืองชัยปุระประมาณ 23.00 น.แต่คนที่นี่จะเรียกไจปุร์ เข้ามาที่ช่อง E-tourist Visa ได้เลยจากเอกสารที่เราเตรียมมาแล้วข้ันตอนการขอวีซ่าขออนุญาตไม่อธิบายรายละเอียดนะคะสามารถหาได้ตามกระทู้ต่างๆ ถึงขั้นตอนการขอวีซ่า ค่าวีซ่าตอนที่ทำอยู่ที่ 51.25 USD รวมทุกอย่างแล้วประมาณ 1600 บาทเงินไทย และพี่ก็นอนที่นี่แหละค่ะหลังจากที่ผ่านตม.เพื่อรอเวลาไปขึ้นรถไฟเพราะคิดว่าอยู่ในสนามบินปลอดภัยกว่า ออกมาจากตม.ก็ประมาณ 24.00 ก็หาเก้าอี้เหมาะๆ นอนรอกันเลยค่ะ แต่คิดว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีแอร์เย็นสบายอาจเมื่อยหน่อยนอนบนเก้าอี้ ไ่ม่ได้อย่างที่ฝันนะ เพราะจุดที่นอนมีผู้โดยสารออกมาตลอดเวลามีเครื่องลงและเป็นจุดรับกระเป๋า คือไม่มีทางเลือกบริเวณที่นั่งรอก็ไม่มาก เลยตื่นเป็นพักๆ เมื่อมีเครื่องลงและคนมารับกระเป๋า แต่ที่ฝันร้ายกว่านั้นคือ ผู้คนอินเดียที่มานั่งระหว่างรอกระเป๋า กลิ่นขอบอก นอนไม่หลับกันทีเดียว จะกลั้นหายใจก็ไม่ไหว ภาวนาว่าเมื่อไหร่จะรับกระเป๋าและออกกันไปคระ ไม่ใช่แค่แกงกะหรี่ดิ้ รวมๆแล้วอืม ขมกันถึงไส้เลยค่ะ แล้วพี่จะข่มตานอนเยี่ยงไร ฮือๆ
พอได้เวลาประมาณ ตี 3 เราก็ล้างหน้าแปรงฟันที่สนามบินและออกมาแลกเงินพร้อมเรียก Uber ฟังไม่ผิดที่นี่มี Uber จ้าแถมถูกมากด้วยไม่ต้องเสียเวลาต่อรอง เรียกเพื่อไปส่งที่สถานีรถไฟ Jaipur เที่ยว 4.00 น. เพื่อใช้เดินทางไปเมืองอัครา แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้นคร่ะ หลังจาก Uber จอดส่งถึง นางเรียกทิปจากเรา เรียกเพื่อ...?? เหยจ่ายผ่านบัตรตัดเงินเรียบร้อย รู้ละที่มีคนเคยบอกที่นี่ชอบขอทิป เจอเลยจ้าทริปแรก 55 นางยืนพูดอยู่แต่ ทิปๆๆๆๆๆๆๆ คนไรพูดเป็นคำเดียวยืนหน้านิ่ง เราตอบ No little Money นางไม่จบบอกดอลล่าร์ หืมจะเอาอย่างนี้ใช่มะ เราเลยตอบ thai baht นางเรยบอกโอเคและขึ้นรถไปเลยจ้า สู้ชั้นไม่ได้หรอก เหอะๆ พูดอย่างกะอัดเทป ทิปๆๆๆๆๆ
บริเวณภายในสถานีรถไฟมีที่นั่งรอแต่แปลกใจและคนที่นี่ไปนอนกันทำไมที่ชานชาลาตามพื้นทางเดินให้เกลื่อนกลาด เดินต้องคอยระวังจะเหยียบคนที่นั่งๆนอนๆอยู่
ก็คล้ายๆบ้านเรานะแต่รถไฟหน้าต่างเขาจะเป็นลูกกรงซึ่งจะพวกที่นั่งชั้น3 ธรรมดา
อันนี้เพิ่งมารู้ตอนขากลับมาชัยปุระละว่ามีที่นั่งรอสำหรับคนที่นั่งชั้น First class และ 2AC ปรับอากาศเตียงสองชั้น ขาไปจองแบบ 2AC เตียงล่างปรับอากาศ 2 ชั้นไม่รู้มาก่อนว่ามีห้องให้พักระหว่างรอรถไฟ โถๆๆๆ ไอ้เราก็ไปยืนรอที่ชานชาลาแบบเสี่ยงๆต่อสายตาผู้คนที่จับจ้องมา
อันนี้ห้องพักสำหรับคนที่จอง Sleep Class เป็นตู้นอน
ด้านหน้าทางเข้าออกมาจากชานชาลา
รถเข็นขายของกินเล่น ขนมของคบเคี้ยวสามารถซื้อไปกินบนรถไฟได้แต่เราไม่กล้าซื้ออ่ะไม่รู้ว่าอะไรอร่อย แต่ซื้อแครกเกอร์มายี่ห้อนึงถูกมากราคาแค่ 20 รูปีตกเป็นเงินไทย 10 บาทรสชาติใช้ได้อยู่ ยังคิดว่าคนที่นี่โชคดีนะค่าครองชีพถูกขนมห่อใหญ่ราคาถูก น้ำดื่มก็ไม่แพงขวดกลางๆบ้านเราก็ 10 บาท แต่เพราะค่าครองชีพเขาค่อนข้างมีรายได้ต่ำเลยอาจต้องปรับราคาให้เหมาะสมกับคนที่นี่
สภาพภายในตู้แบบ 2AC ปรับอากาศ เตียง 2 ชั้นที่เรานอนเป็นชั้นล่างโชคดีมากไม่ต้องลุ้นเพื่อนร่วมทางที่นอนข้างบนเป็นผู้หญิงชาวบราซิล ไม่ต้องคอยหวาดระแวง 555
หลังจากนั้นถึงสถานีรถไฟอัคราตอน 8.00 น.ออกมาแล้วหารถแท๊กซี่หน้าสถานีรถไฟ ทุกคนจะมารุมล้อมเราอันนี้ขึ้นอยู่กับทักษะต่อราคาละ โชคดีได้เพื่อนชาวบราซิลที่นอนเตียงชั้นบนในรถไฟเหมารถแท๊กซี่ไปส่งนั่งไปด้วยกันจ่ายไปคนละ 200 รูปีและเราก็ตกลงกันในรถว่าจะเหมารถแท๊กซึ่คันเนี้ยเที่ยวในอัครา 1 วันราคาตกลงกันได้คนละ 1000 รูปี ก็ประมาณ 500 บาทต่อคนไปทัชมาฮาล รอบๆเมืองและไปอัคราฟอร์ด ไปด้วยกันสองคนก็ดีจะได้มีเพื่อนหารและเพื่อนเที่ยวมีคนถ่ายรูปด้วยอีกต่างหาก อิอิ
มื้อแรกที่อัคราก่อนไปเที่ยวคนขับแท๊กซี่พามาร้านนี้เราเลือกอาหารเช้าแบบอินเดีย มีชากะขนมปังหรือแผ่นแป้งอะไรก็ไม่รู้กรอบๆ จิ้มกับซอส 2 อย่างมีโยเกิร์ต กับอีกอย่างเป็นถั่วๆ กับเครื่องจิ้มคล้ายๆมะนาวดอง อย่าถามว่ารสชาติเป็นยังไงก็ดีกว่าไม่ได้กินอะไรนะ ที่นี่เขาบอกปกติไม่ค่อยกินอาหารเช้ากัน
ก่อนเข้าไปเห็นทัชมาฮาลถ่ายรูปด้านหน้าซะหน่อย อันนี้รูปถ่ายกับเพื่อนร่วมทริปชาวบราซิล ทริปนี้เรามีไกด์ด้วยได้มาแบบไม่รู้ตัว คนขับแท๊กซี่ที่เหมามาไปรับไกด์มาด้วยจ้า นางไม่ได้ปรึกษานะจ้ะ อ่ะมาแล้วจะทำไงอย่างน้อยก็ได้ความรู้หละ หร๋อ หารสองกับเพื่อนค่ะนางชื่อแอนเดรียน่า ค่าไกด์คนละ 750 รูปี
ว๊าว!!! จุดนี้เหมือนจุดที่เราเห็นในหนังสือในเว็บไซด์เลยอ่ะ ภาพถ่ายลอดช่องประตูทางเข้ามองเห็นทัชมาฮาล โดดเด่นเป็นสง่าแต่ไกล สวยเยี่ยงนี้เองทุกคนถึงอยากมาชม วันที่มาเป็นวันเสาร์ก็จะมีคนประมาณนึงแต่ไม่ถึงกับล้นหลาม โชคดีที่ไม่ได้มาวันศุกร์เพราะที่นี่ปิดวันศุกร์ ค่าเข้าสำหรับคนไทยเนื่องจากเป็นอาเซียนที่เข้าร่วมข้อตกลงได้มาในราคาครึ่งนึงของประเทศอื่น 530 รูปี
ภาพเงาสะท้อนน้ำเห็นภาพทัชมาฮาล ขอบอกต้องมาเห็นเองกับตาคงไม่ต่างจากทุกคนที่ได้มาสัมผัสเห็นแล้วรู้สึกว่าความรักของคนๆ นึงยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียวหรอสร้างปะติมากรรมได้สวยงามจนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกขนาดนี้
ต้องขอบคุณไกด์ที่แชะภาพสวยๆให้ ไอ้เราก็หันไปเรื่อยๆ มีภาพเนี้ยแหละได้มุมที่ถูกใจ สวยสะพรึง 55
จุดนี้มองลอดผ่านประตูจะได้ภาพแบบนี้ที่ใครๆหลายคนคงเคยเห็นฝูงชน(อินเดีย) ออกันอยู่เพราะจะถ่ายรูปด้านหน้า คนเยอะหน่อยต้องฝ่าฟันนะคะถึงจะได้รูปสวยๆ ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวเร็ว ไว
มุมจากด้านข้างของทัชมาฮาล
อันนี้บริเวณโดยรอบ
หลบร้อนกันด้านหลัง สังเกตุรองเท้าก่อนเข้ามาเขามีถุงแจกให้ครอบใส่ก่อนเข้ามาค่ะ
ออกจากทัชมาฮาล แท๊กซี่กับไกด์พี่ก็พาไปร้านค่ะ เรากะว่าทริปนี้ไม่ช้อปปิ้งค่ะ แต่หากได้จ้างพวกไกด์แล้วมีโดนทุกรายพาเข้าร้านจนอยู่ในร้านนี่นานกว่าเที่ยวนะ ต้องพยายามใจแข็งและปฏิเสธอย่างนุ่มนวลแต่ยอมรับเลยค่ะว่าพนักงานขายที่นี่เขา skill ดีมากกกกกก ต้องใช้คำว่ามากกกที่สุดจริงๆ แสดงให้ดูตั้งแต่กรรมวิธีขั้นตอนการทำให้เรารู้สึกว่าทำยากแค่ไหน ราคาแพงก็จริงแต่คุ้มแค่ไหน จุดนี้โดนบิ้วท์ทุกร้านค่ะ ใครใจอ่อนก็พ่ายแพ้ไปยิ่งเป็นคนไทยด้วยขี้เกรงใจ ร้านนี้โดนไปสองอย่างกระเป๋ากับผ้าคลุมไหล่ สองอย่าง 600 กว่าบาท 1200 กว่ารูปี แต่หลังจากนั้นภาพตัดจ้า ตอนกลับมาเมืองชัยปุระ กระเป๋าแบบนี้ ผ้าแบบนี้ จริงๆราคาถูกกว่าตั้งครึ่ง TT คือไร
ดีนะคะที่ชุดนี้ไม่ได้ซื้อใจแข็ง ชุดนี้เขาบอก 3000 รูปีก็ประมาณ 1500 บาทแต่เพื่อนชาวบราซิลเราสิคะ รูดปรื๊ดตลอด ดีเหมือนกัน 55 เข้าร้านไหนนางซื้อทุกร้านเราจะได้ไม่เกรงใจอย่างน้อยก็มีนางซื้อ รู้สึกนางจะหมดไปกับร้านนี้ไม่น้อยทั้งสาหรี่ ภาพติดผนัง แอสเซสซอรี่สร้อยแหวนกำไร
ร้านนี้ไม่ได้กลับออกมากันง่ายๆนะจ้ะ ทุกอย่างคนขายบอก Special Price ตลอดเห็นแต่ละอย่างแพงเชีย พอมาเห็นราคาเทียบกับร้านข้างถนน หลังจากออกมา คือไร??? option นี้ไม่ยอมให้ออกกันง่ายๆนะจ้ะ จบจากการขายสาหรี่ จิวเวอรี่ รูปภาพด้านล่างบอกให้ขึ้นมาว่า Live Music จ้า ก็คือจะขายเครื่องดนตรีไอ้ที่คล้ายๆกีตาร์ที่ถืออยู่น่ะจ้ะ ให้ลองเล่นและเล่นให้ฟังก็เพราะดีนะคะเป็นสไตล์ของคนอินเดีย เราก็ทำตัวให้สนุกไป แต่จุดนี้ไม่มีใครซื้อทั้งเราและ my friend 55 แต่ให้ทริปคนเล่นไป เฮ้อ จบนะออกได้ซะที
อยู่ในร้านช้อปปิ้งนานเกิ้น นานจนยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน ไกด์พามาร้านนี้ เขาพาไปไหนก็ไป ไม่รู้จะสั่งอะไร เห็นร้าน recommend ว่าแกงกะหรี่อร่อยกะได้ ชีวิตที่นี่มีแต่แผ่นโรตีกับแกงกะหรี่นี่แหละจ้า สรุปได้มาเยอะมาก สั่งแบบไก่ครึ่งตัว เพราะมีสองแบบคือครึ่งตัวกับเต็มตัว พร้อมแผ่นแป้งโรตี อร่อยนะ พร้อมเบียร์อินเดียยี่ห้อ Kingfisher มื้อนี้แยกกันจ่ายหมดไปประมาณ 1000 รูปีก็ประมาณ 500 บาท
รีบกินค่ะรีบออกเวลาที่จ้างแท๊กซี่กับไกด์จะหมดละ จะหมดก็เพราะร้านช้อปปิ้งนี่้แหละกว่าจะออกมาได้ และเพื่อนชาวบราซิลนางก็ต้องขึ้นรถไฟไปอีกเมืองนึงตอนเย็น เราก็เลยไม่ได้เข้าอัคราฟอร์ด ได้แต่ถ่ายรูปข้างหน้า จริงๆนางก็จะให้เราเข้าไปและรอด้านล่างแต่เราเกรงใจไม่เข้าก็ได้เห็นว่าเย็นแล้วและนางจะตกรถไฟได้ สรุปทริปที่จ้างแท๊กซี่กะไกด์มาเนี่ยตกลงทัวร์ shopping หรืออย่างไร หึหึ
น่าจะใช้เวลากะที่นี่ไม่เกิน 10 นาทีนะหลังจากนั้นก็ดิ่งกลับโรงแรมโดยไปส่งเราที่โรงแรมก่อน แต่ช้าก่อน ก่อนที่จะกลับไกด์เห็นเวลาเหลือจ้าหลอกล่อไปอีกร้านขายของประดับบ้านที่สกัดจากหินพิเศษ เข้าไปอยู่ในนั้นอีกกว่าครึ่งชั่วโมง บางทีพี่ก็เพลียกับการเข้าร้าน ถ้ามาคนเดียวพี่คงบอก No shopping ใครที่มาให้บอกไกด์ไว้เลยนะคะเพราะใช้เวลาหมดไปกับร้านพวกนี้มาก แต่เพื่อนชาวบราซิลร่วมทริปนางก็ซื้อทุกร้านอยู่เราเกรงใจนางดูจะซื้อเข้าก็เข้า เพราะยังไงก็แชร์มาด้วยกันแล้ว แต่ถ้าใครมาแนะนำบอกแท๊กซี่เลยนะคะถ้าไม่อยากช้อป
ถึงเวลาโบกมืออำลาเมืองอัคราและทัชมาฮาล คืนนั้นกลับไปนอนตั้งแต่ 20.30 น.แบบไม่ฝันเพราะเพลียจากการเดินทางทั้งนอนที่สนามบิน นอนบนรถไฟ เพิ่งจะได้นอนเต็มตาก็คืนนี้แหละและต้องตื่นตี 3 ครึ่งเพื่อไปขึ้นรถไฟตอนตี 5 ที่เดิมเพื่อกลับชัยปุระ ขากลับเรานั่งแบบรถนั่งเรียกว่า AC Chair Car รถไฟที่อินเดียดีอ่ะ ดีตรงมีที่ชาร์ตไฟให้ด้วยอยู่ตรงด้านเหนือที่นั่งติดริมหน้าต่าง ไม่ต้องกลัวแบตมือถือหมดเล่นได้ตลอดทาง
อันนี้เผอิญเดินผ่านและเห็น ถ้านั่งรอนานมีบริการเลาจน์ด้วย เลือกเอาคุณชอบแบบไหนมีทั้งอาหาร เก้าอี้นวดหรืออาบน้ำก็ได้ดีงามแต่เพิ่งมาเห็น ไม่งั้นคงได้ใช้บริการ
ลงจากรถไฟเราต้องเดินข้ามสะพานข้ามทางรถไฟเพื่อไปเรียก Uber เข้าไปเช็คอินที่โรงแรม
มาถึงโรงแรมสหปุระเฮ้าส์ ที่นี่แนะนำเลยค่ะ ดีงามราคาไม่ถึง 700 บาทเป็นโรงแรม 4 ดาว ข้างในดูหรูมากตั้งแต่ตอนรอเช็คอินมี welcome drink ภายในตกแต่งหรูหรา แถมเขาให้เราเช็คอินก่อนเวลาด้วยตอนนั้นมาถึงประมาณ 10 โมงกว่า
ห้องน้ำก็กว้างแบบนอนได้ แบ่งเป็นส่วนเปียกแห้ง มีตู้เสื้อผ้าด้านในแถมในตู้มีเครื่องชั่งนำ้หนักจ้า คือกลัวแขกที่มาพักจะอ้วนขึ้นรึไง มีไว้ให้ชั่งด้วย คงเป็น service ของที่นี่
การตกแต่งภายในมีซอกหลืบเยอะแยะไปหมดเดินแล้วงงๆ วนไปมา
อันนี้เป็นส่วนที่เป็นสวนของโรงแรม
ส่วนของห้องรับแขกอีกห้อง ไม่รู้ทำไมต้องมีหลายห้องของที่ตกแต่งก็ดูแพงมีราคา เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปที่นี่มีมุมถ่ายรูปเยอะมากกก รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิง
อันนี้บริเวณหน้าห้องที่พักของเราดูสิมีมุมมีเก้าอี้นั่งสวยงาม ชอบประตูอ่ะเป็นกลอนแบบสอดแล้วใช้กุญแจล็อค เก๋ คลาสสิค ฟรุ้งฟริ้งพี่ชอบ
หลังจากเอากระเป๋าเก็บในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมลุย ก็เรียก Uber จากโรงแรมจุดหมายแรกตามที่ลิสต์ไว้คือไปกินข้าวก่อนจ้าก่อนเที่ยวยาวๆ เป็นร้านใน Trip Advisor ที่คนไทยมาทานกันก็เลยตามเขามาปรากฏมาถึงอ้าว! ทั้งร้านมีคนเดียวจ้าดู Vip คิดในใจตกลงคือมันอร่อยใช่มะ ตามรีวิว คือมาถูกร้านใช่มะ สักพักมีผู้ชายคนจีนอีกคนเดินเข้ามา ค่อยยังชั่วมีลูกค้าสองคนทั้งร้านค่า แต่เจ้าของร้านบริการดีมาก เลยลองอะไรก็ไม่รู้แต่ก็ไม่พ้นโรตีกับพวกน้ำแกง
ถามว่ารสชาดเป็นไง อร่อยใช้ได้นะที่กินได้ก็ชอบน้ำแกงซุปใสๆ น่ะแหละใส่พวกข้าวโพดและอะไรบ้างพี่ก็ดูไม่ออกกินอย่างเดียว ส่วนแป้งโรตีเป็นแบบกรอบบบบ มาก แต่ชอบข้าวเขานะอารมณ์ประมาณข้าวผัดพริกแกงบ้านเรา เขาให้เลือกระดับความเผ็ดได้ด้วย เจ้าของร้านถามว่ารู้ร้านนี้ได้ยังไง เราบอกจากในอินเตอร์เน็ตที่คนไทยรีวิวมากินกัน เขาบอกส่วนใหญ่คนไทยมาที่นี่เยอะ
ตบท้ายด้วยชามาซาล่า จ้าทางเจ้าของร้านให้เป็นอภินันทนาการหลังจากทานข้าวเสร็จเป็นการล้างปาก 55 เลือกได้แบบใส่น้ำตาลหรือไม่ใส่ เราเลือกแบบไม่ใส่ก็อร่อยนะ ชาเขาเข้มข้นแต่จะมีรสเผ็ดนิดๆ ของมาซาล่า ที่นี่มาซาล่าคือเครื่องเทศที่เขาใส่ในอาหารแทบทุกชนิด รสจะเผ็ดๆร้อนๆนิดหน่อยไม่ถึงขนาดพริกไทย แต่อร่อยค่ะ ชอบๆ
จากนั้นไปต่อค่า จุดหมายแรก City Palace เป็น Land Mark ของที่นี่นะคะเราจ้างไกด์นะ 300 รูปี จุดประสงค์คืออยากได้คนถ่ายรูปให้ตลอดๆ เพราะไปคนเดียวฮ่าๆๆ และได้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ด้วย แต่หลักๆก็ได้ตากล้อง ถ่ายรูปได้อย่างคุ้มค่ามากสวยงาม รู้มุม
ที่นี่ถูกสร้างในปี ค.ศ.1899 เพื่อรับรองแขกบ้านแขกเมือง ที่นี่มีความโดดเด่นตรงที่มีการแกะสลักเสาหินอ่อนและมีประตูที่ทำแบบเท่ากันทุกสัดส่วน โดยตัวอาคารเป็นการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมแบบราชปุต อิสลาม และอังกฤษค่ะ ปัจจุบันนี้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเครื่องแต่งกายของมหาราชา
จุดที่ใครๆ ก็ต้องถ่ายตามซุ้มประตู 4 ฤดูของที่นี่ค่ะมีฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูหนาว ดี๊ย์ดีย มีใบไม้ผลิด้วยที่นี่มุมไหนก็ถ่ายสวย แต่งตัววินเทจๆ พริ้วๆมากันนะคะ สาวๆที่ชอบถ่ายรูปเหมาะมาก ที่นี่เป็นเมืองแห่งสีสันจริงๆ
จุดหมายต่อไปใกล้ๆกันแค่เดินข้ามถนนคือมันใกล้กันอ่ะต้องเข้าไป Jantar Mantar เป็นหอดูดาวที่สร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 18 โดยมหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ที่ 2 (Maharaja Sawai Jai Singh II)
จริงๆไม่มีอะไรนะ แต่มาแล้วก็เลยดูให้ครบ
มาที่นี่อย่าได้แปลกใจคนไทยที่มาจะกลายเป็นซุปตา คนอินเดียคงจะชอบคนไทย จะถูกเข้ามาขอถ่ายรูป คือถ้าให้คนนึงก็จะเข้ามากันไม่หยุดแต่เราไม่ได้อะไร ถ้าเข้ามาดีๆ ก็โอเคค่ะ บางคนเข้ามาเป็นกลุ่มครอบครัวแนะนำมากับภรรยาและลูก ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ย มีเดอะแก๊งค์ผู้ชายอยู่กลุ่มนึงเห็นเล็งๆ อยู่นานไม่กล้าเข้ามา แต่สักพักก็เดินเข้ามาขอแต่เขาก็ค่อนข้างมีมารยาทกันไม่ได้ล่วงเกินอันใด แม่หญิงไทยไม่ต้องกลัวกันนะจ้ะ ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นมิตร แต่เฉพาะบางกลุ่มเท่านั้นแต่ทางที่ดีควรระวังตัวไว้จะดีกว่า
อย่าได้สงสัยไปคนเดียวทำไมรูปหลายร้อย ณ ที่นี่ไม่ได้จ้างไกด์ค่ะ ก็จากคนที่มาขอถ่ายรูปแหละค่า เราก็ขอให้เขาช่วยถ่ายรูปให้แต่บางทีก็แอบคิดนะถ้าวิ่งไปพร้อมกับมือถือจะทำไง TT แต่อย่างที่บอกหน้าตาของคนอินเดียอาจจะดูดุดุแต่จริงๆค่อนข้างเป็นมิตร
มุมนี้ได้จากร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามที่ใครๆก็แนะนำมาถ่ายรูปได้สวยเห็นมุมของพระราชวังสายลมจากด้านหน้า เลยต้องขึ้นไปค่ะ สั่งโค้กกระป๋องเดียวและให้พนักงานที่ร้านถ่ายให้คุ้มค่ามาก
Hawa Mahal (พระราชวังสายลม)
ฮาวา มาฮาล (Hawa Mahal) มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า พระราชวังสายลม (The Palace of Wind)
ต่อด้วยร้านกาแฟพี่ก็มาตามรีวิวอีกแหละค่ะแต่รู้สึกแอบผิดหวัง ร้านไม่เห็นสวยเหมือนรูปที่เขาถ่ายๆกันมาเลย ดูเงียบๆ ร้างๆ คนน้อย เมนูก็มีไม่มากเลยสั่งแค่น้ำแก้วนึงนั่งไม่นานก็ออก
น้ำที่กินเป็น Fruit อะไรสักอย่างใส่โซดารสชาดคงสู้บ้านเราไม่ได้ราคาประมาณ 70-80 บาท จริงๆแค่อยากมาถ่ายรูปตามที่เขารีวิวกันแต่ก็ได้รูปเท่านี้ค่ะ ถ้าแนะนำลองหาร้านอื่นดูดีกว่าเพราะไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมาก
มาต่อกันที่ Albert Hall ไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะเขาเปิดอีกที 19.00 น.แต่ถ่ายข้างนอกก็สวยแล้ว คราคร่ำไปด้วยผู้ชายอินเดียค่ะ ไม่รู้ว่ามาถ่ายอะไรกันมากมาย
ที่นี่นกพิราบเยอะมากจริงๆถ้าจะให้ถ่ายรูปสวยต้องไล่นกพิราบค่ะแล้วถ่ายรูปตอนที่มันบิน
ถ่ายจากด้านนอกรั้วก็สวยแล้วนะ ให้ผู้แถวๆนั้นแหละถ่ายให้ 10ได้ 1 55 หาคนถ่ายไปเรื่อยๆ
มื้อเย็นไปกินที่ pink square เป็นห้างใหญ่ของที่นี่ไม่รู้จะกินไรแล้วไงเบื่อโรตีแกงไก่
มื้อเย็นกินอาหารจีนร้านป้ายสีเหลืองๆ
รสชาดจืดๆ มีน้ำเหนียวๆ ให้กินกะซุปสักอย่าง เป็นเส้นเหมือนหมี่ซั่วประมาณนั้น ไม่อร่อยหรอกแต่กินได้ดีกว่ากินโรตีน้ำแกงเบื่อมากก 55
ถุง shopping bag มาจาก super market ที่ห้าง Pink Square ชอบอ่ะไม่ใช้ถุงพลาสติก ซึ่งปกติคนที่นี่เขาจะเอาถุงมาจากบ้าน ลดโลกร้อนมากต่างจากบ้านเราลิบลับ ถุงพลาสติกท่วมเมือง แต่เป็นถุงแค่ใส่นะมัดปากเอาเองไม่มีหูหิ้ว
มื้อเช้าที่โรงแรมในราคา 600 กว่าบาท อะไรจะดีปานนี้ห้องสวย โรงแรมหรูหรา การบริการเหมือนโรงแรม 4 ดาว แถมมีอาหารเช้าให้อีก แต่อย่าถามว่ารสชาดเป็นไง
สรุปคือกินไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว อันนี้ก็เป็นแป้งๆ กินกับถั่วๆอะไรสักอย่าง
รสชาดอาหารเหี้ยมมากค่ะ หรือว่าเราไม่ชิน 55
อันนี้คือสิ่งที่กินได้เมนูเบสิค ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก ขนมปังปิ้ง นมสด
อาหารอินเดียพี่ทานไม่ได้สักอย่างแต่ปกติทุกมื้อก็กินได้นะ แต่มื้อนี้ขอบาย ไม่ไหวจริงๆๆ
มีผลไม้ล้างปากค่ะ อันนี้กินได้
แต่การจัดวางก็ดูดีนะคะ ดูเหมือนมีให้เลือกหลากหลาย แต่ทานได้แต่ american breakfast ค่า
นมไม่แน่ใจว่านมอะไรบ้างเพราะชิมแล้วที่กินได้ก็เป็นนมวัวรสชอคโกแลต มั้ง หรือนมแพะ?
หลังจากอิ่มเอมกับอาหารมื้อเช้า (หร๋อ) จุดหมายแรกที่ไปคือAmber Fortเราเหมารถตุ๊กๆไป ครึ่งเกือบๆ ค่อนวันในราคา 1500 รูปีก็ประมาณ 750 บาทพาไปเที่ยว 4-5 ที่และก็พาไปซื้อของที่ร้านหิมาลายาในเมืองและกลับมาส่งที่โรงแรม ยืนคุยตั้งนานกว่าจะต่อราคากันได้ ตอนแรกจะใช้บริการของโรงแรม ราคาเท่ากันแต่พาไป 3 ที่ 4 ชม.เลยเดินออกมาหาเองนอกโรงแรม
ภายในมีมุมถ่ายรูปมากมาย ที่ได้รูปจริงๆเยอะกว่านี้ค่ะ ทริปนี้แค่มาที่นี่ที่เดียว 100 รูปได้ 55 เราจ้างไกด์เหตุผลเดิมคือหาคนถ่ายรูปเพราะมาคนเดียวราคาอยู่ที่ 400 รูปีถือว่าได้ความรู้เช่นเคยและได้คนถ่ายรูปแบบไม่ต้องเกรงใจ
ต้องเดินขึ้นนะคะจริงๆสามารถเลือกขึ้นช้างหรือรถจี๊ปก็ได้แต่เราเลือกเดินค่ะ ไกด์ถามอยู่จะไปทางไหน แต่หากเลือกขึ้นช้างกะรถ เสียตังค์เพิ่ม เดินสิคะรออะไร ประหยัดเงินก็ไม่ได้สูงเท่าไหร่นิ พี่ยังไหว
ถ่ายมุมสูงจากยอดหอคอย จะเห็นสวนเขาจะทำเป็นสัดส่วน
ภายด้านหลังเป็นเมืองและหมู่บ้านที่อยู่บริเวณนั้นค่ะ
บริเวณด้านหน้า คงไม่ต้องเล่าประวัติมากมายของที่นี่เนาะเพราะหลายๆกระทู้ก็เล่ากันมาหมดแล้ว แค่อยากบอกมีมุมสวยๆเยอะมาก ให้ถ่ายรูปไม่อั้นคนที่ชอบอย่าได้พลาด หาชุดแจ่มๆ รับรอง ไม่อายชาวโลกเวลาโพสต์โซเชียล
จุดหมายต่อไป nagarah fort เป็นจุดชมวิวเมืองชัยปุระ มองลงไปบ้านเมืองเขาคนเยอะ บ้านเยอะขนาดนี้เชียวรึ
อากาศร้อนมากแต่พยายามทำเหมือนไม่ร้อน 55 เพื่อได้ภาพดีๆ ที่นี่ไม่ได้จ้างไกด์นะ พอดีเจอคนอินเดียที่มาจากนิวเดลี เขาชวนเดินด้วยกันเราก็โอเคจะได้มีคนช่วยถ่ายรูป วันที่มาคนน้อย อาจเป็นเพราะเป็นวันธรรมดา
เป็นส่วนของหลังคาป้อมปราการ ถ่ายจากด้านบนมีหลายยอดแบบที่หลายๆคนรีวิว ก็ได้มุมสวยๆอีกแบบ
อีกมุมนึงที่มองเห็นวิวของเมืองชัยปุระ
จากนั้นที่ต่อไปเราไป step well จริงๆชื่ออะไรไม่แน่ใจแต่ทุกที่ที่มีบันไดลงไปบ่อน้ำแบบนี้เขาเรียก step well เราพยายามขอเขาลงไปถ่ายเห็นบางคนลงไปถ่ายแล้วได้รูปสวยๆ แต่น่าจะคนละที่กัน เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมให้ลงไป เขาบอกอยากให้ลงแต่ถ้าเราลงไปคนนึงคนอื่นก็ขอตาม ก็จริงของเขา ก็เลยไม่ลงก็ได้
ให้คนที่อยู่แถวนั้นแหละถ่ายให้มันก็จะธรรมชาติๆๆ หน่อยแบบนี้
พระราชวังกลางน้ำ Jamahal อันนี้แค่แวะถ่ายรูปจากริมทะเลสาปไกลๆ เพราะร้อนไม่ไหวละ ใช้เวลากับสองที่แรกซะเยอะ
ต่้อกันที่วัดลิงขอบอกถ้าเวลาไม่เหลือก็ไม่ต้องไปก็ได้นะ 55 เพราะไม่มีอะไร อันนี้เป็นทางเข้าถ่ายจากด้านใน
ด้านบนก็จะเห็นวัดแต่ต้องเดินขึ้น แต่เราพอก่อนกลับเข้าเมืองไปช้อปปิ้งหิมาลายาก่อน หลังจากนั้นไปห้าง Pink Square เช่นเดิมเพื่อหาข้าวเย็นกินก่อนกลับโรงแรม อาบน้ำ และไปขึ้นเครื่อง
โรงแรมดีงามมากมีห้องอาบน้ำให้สำหรับแขก ห้องน้ำสะอาดมีอุปกรณ์ในห้องน้ำครบ เลยได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนขึ้นเครื่อง
บ๊ายบายชัยปุระ ดูสภาพทั้งเครื่องส่วนใหญ่เป็นชายฉกรรจ์อินเดีย เราเลือกไปต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์เพราะอยากไปแวะช้อป ชิมเที่ยว 1 วันในมาเลเซีย
LadiiParun
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 12.45 น.