เพราะการอยู่ในคณะที่มีการเรียนที่เข้มข้นและหนักหน่วง เลยอาจจะทำให้เราไม่มีโอกาสและเวลามากพอที่จะออกไปเที่ยว หรือออกไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ นอกสถานที่ ดังนั้น ทันทีที่เรารู้ตัวว่าเรามีเวลาว่างในช่วงปิดเทอมประมาณ 2 เดือน

ก็ไม่รอช้า ตัดสินใจไป Portland ที่เมกา เพราะอะไรน่ะหรอ เคยได้ยินเพื่อนพูดถึงเมืองนี้ เพื่อนเราก็ไม่เคยมาหรอก เค้าเคยไปแต่ Utah แต่เราเอง สะดุดที่ชื่อเมือง Portland

วันนั้นเลยนั่งหาข้อมูลคร่าวๆ

เฮ้ยเจ๋งกว่าที่คิด

เมืองอะไรมีพื้นที่สีเขียวก็เยอะ

คนก็รักสิ่งแวดล้อมชอบปั่นจักรยาน

เมืองของฮิปสเตอร์

เมืองที่ระบบขนส่งดีเป็นอันดับต้นๆของอเมริกา

เมืองที่เบียร์รสชาติดี๊ดี

ที่พูดมาทั้งหมดถามว่าเราสนใจอะไรในนี้หรอ เปล่าก็ไม่มี แค่ฟังรวมๆแล้วมันดูดีอะ

อ้อนึกออกได้อย่าง เมืองนี้ค่าครองชีพไม่แพง Taxก็0 % พอจะเอาเหตุผลนี้ไป present ขอตังแม่มาได้

แน่นอนว่าด้วยข้อมูลที่แน่นและเป๊ะขนาดนี้ คุณแม่ก็ไฟเขียว เราเลยรีบติดต่อ agency เตรียมตัวทำวีซ่า เตรียมกระเป๋า และรอเวลาจนกระทั่งถึงวันที่เราต้องลากกระเป๋าเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลกว่า 20 ชั่วโมง

และการเดินทางของเราก็เริ่มต้นขึ้น ณ สนามบินพอร์ตแลนด์ สหรัฐอเมริกา



วันแรกที่เดินทางมาถึงสนามบิน Portland สนามบินไม่ใหญ่ เดินหาทางออกแป้บเดียวก็เจอแล้ว

สายตาก็มองหาคนขับรถจาก Kaplan ชื่อ Rez ที่จะมารับ เห็นเค้าบอกจะยืนถือป้ายชื่อ Kaplan และชื่อเรา

ขณะที่ลงมารับกระเป๋า ก็มีเด็กผู้ชายคนนึงเดินมาถามว่า "Are you Alina? " ในใจก็คิดว่าใครวะ และนี่ไม่ได้ชื่อ Alinaไง เลยตอบไปว่า "No"

ตอนนั้นก็รู้สึกแปลกๆ กลัวว่าจะมีคนมาหลอกอะไรเรารึป่าว และคนขับรถก็ไม่น่าจะเด็กขนาดนี้ไหม หันไปอีกทีเจอคนถือป้าย Kaplan พอดีเราเลยถามเค้าว่า

"Are you Rez? " เค้าก็ตอบใช่ เราเลยไปกับเค้า

แต่ก็แอบมองไปหาเด็กผู้ชายคนนั้น เค้าก็ยังมองเราแบบงงๆ

เออเราก็งงเหมือนกัน

ระหว่างทางไปบ้านโฮสเราตื่นเต้นมากๆว่าจะได้เจอโฮสแบบไหน หน้าตายังไง บ้านเป็นยังไง มันไม่แปลกหรอกที่จะตื่นเต้น เพราะเราเชื่อว่าการมาซัมเมอร์ การมีโฮสที่ดีมันทำให้ชีวิตดีไปเกือบ 60% ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะทำตัวยังไง แต่บางคนก็บอกแค่ไม่มีปัญหากับโฮสก็พอละ อันนี้ก็แล้วแต่คนไป

พอไปถึงหน้าบ้าน คนขับก็ไปเคาะประตูบ้าน แต่ไม่มีใครตอบเลย

เหมือนกับว่าไม่มีใครอยู่



เรากับคนขับเลยโทรไปหาโฮส กลับกลายเป็นว่า

โฮสและทุกคนในครอบครัวไปรับเราที่สนามบิน ......

ตอนนั้นก็งงว่าทำไมเค้าถึงไปรับเราล่ะ ทั้งที่เค้าน่าจะรู้ว่ามีรถจากโรงเรียนมารับเราอยู่แล้ว

สงสัยเค้าคงเข้าใจผิด แต่ลึกๆแล้วนี่ก็แอบกังวลว่ามันจะเสียเวลาโฮสไหม เค้าจะโกรธเราไหมเนี่ย หันไปถาม Rez เค้าก็บอกไม่รู้ทำไมถึงไปรับ เราเลยบอก "I am sorry" ที่ทำให้คุณต้องมาเสียเวลารอเป็นเพื่อนเรา และโฮสก็ต้องเสียเวลาขับรถกลับมา Rezก็บอก "It's not your false it's their false" พร้อมชี้ไปที่บ้านโฮส

เราก็อึ้งไปพักนึงอะ

พอโฮสมาถึงบ้าน ทุกคนก็รีบวิ่งมาหาเรา จับมือทักทาย ตอนนั้นก็โล่งไปหน่อยสีหน้าโฮสดูไม่ได้โกรธอะไร กลับยิ้มอย่าง friendly สักพักเรากวาดสายตาไปเจอเด็กผู้ชายคนนึงหน้าคุ้นๆ

อ้าวนี่มันเด็กที่มาถามเราที่สนามบินนี่นา

ตอนนี้เข้าใจแล้วล่ะ ว่าตอนที่มีคนมาถามว่าเราคือ Alina ใช่ไหม ความจริงคือลูกชายโฮสเอง

เราชื่อ Nalina ไง มันคล้ายๆกัน เราเลยตอบไม่ใช่

โฮสก็บอกว่าความจริงทำป้ายยินดีต้อนรับเราไว้ด้วย แต่ลืมหยิบไป ฮรือ

โฮสจะรู้ไหมน้าว่ามันคือ first impression สำหรับเราเลยนะเนี่ย

ที่เขาตั้งใจจะไปรับเราที่สนามบิน

และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวดีๆที่เราได้อยู่กับครอบครัวนี้!



ครอบครัวโฮสมีกันอยู่5 คน host dadชื่อ Michael

host mom ชื่อ Nicole

มีลูก3 คน

คนโตชื่อ Crew อายุ 11

คนกลางชื่อ Camille อายุ 9

และ Christian อายุ 7

มีหมาตัวนึงชื่อ Daisy และมีเด็กนักเรียนอีกคนเป็นเด็กญี่ปุ่นชื่อ Kiyoka อายุพอๆกับเราคือ 19

พอเข้าบ้านไป Nicole ก็รีบพาไปดูห้องนอนของเรา เป็นห้องที่เราดูแล้วค่อนข้างจะcomfortable ห้องเราอยู่ใกล้ห้องน้ำและห้องที่โฮสนอน ส่วนห้องเด็กๆอยู่ข้างบน ห้องนักเรียนอีกคนอยู่ใต้ดิน

พร้อมกับบอกว่าเวลาเปิดปิดประตูระวังเสียงดังหน่อยนะให้เอาผ้ามาขั้นไว้ แล้วให้ Christian สาธิตให้ดู

เสร็จแล้วก็แนะนำกฎต่างๆ ซึ่งมีไม่มากนัก ให้เราช่วยเหลือตัวเอง เช่น เวลากินข้าวเสร็จให้เอาจานมาล้างวางไว้ แล้วเราก็ถามว่า "How about dish washer ?" Michael ก็หันมาพอดีละบอกว่า "dish washer หรอ this guy haha" พร้อมทำท่าชี้ไปที่ตัวเอง เรื่องใช้เครื่องซักผ้า ถ้าเราอยากใช้เมื่อไหร่ก็บอก เดี๋ยวเค้าจะสอนให้ ส่วนเรื่องอาบน้ำก็ไม่ได้กำหนดเวลาอะไรแล้วแต่เรา เขาแค่แนะนำอาบวันละครั้งให้เราเลือกเช้าหรือเย็น ไม่เกิน15นาที เพราะที่บ้านมีสมาชิกเยอะที่ต้องใช้ห้องน้ำ ละก็แนะนำเรื่องการใช้ครัวว่าเราอยากกินไรหยิบได้เลยพร้อมอธิบายอาหารว่ามีไรบ้าง หรืออยากทำไรกินก็ได้หมด

ในขณะที่ Nicole กำลังอธิบาย ก็ได้ยินเสียง Michael เรียกว่าไปกินข้าวกันเถอะ

Nicole ก็บอก แต่ชั้นยังอธิบายอยู่เลยนะ Michael ก็ทำหน้าหง็อยๆละบอกว่า "but I am hungry"

ทุกคนเลยออกไปกินข้าว

ร้านอาหารไม่ไกลจากบ้าน เป็นร้านอาหารเมกัน เราก็มีการพูดคุยทำความรู้จักกันมากขึ้น Michael ก็ถามเกี่ยวกับประเทศไทยว่ามาจากเมืองอะไร พอเราบอก Chonburi เค้าก็รีบ search map ในโทรศัพท์ว่าตรงนี้หรอ เราก็รู้สึกดีที่เออเค้าก็สนใจในบ้านเรานะ

หลังจากกินข้าวเสร็จ เดินออกมานอกร้าน Christian หันมาถาม " Are you cold ? " เค้าคงเห็นเราทำท่ากอดแขนตัวเองอยู่ เราหันไปตอบว่า " yes " ตอนเราไปช่วงนั้นคือต้นเดือนมิถุนา อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ไม่หนาวเกินไป

พอกลับบ้าน เราก็เอาของที่เตรียมไว้มาให้โฮส

เป็นแท่นไม้สลักชื่อโฮส และสัญลักษณ์มังกร พ่อเราเป็นคนทำให้

Michael และ Nicole ก็ดูชอบ ทุกวันนี้แท่นนี้ถูกวางไว้ที่ในครัว

Michael ก็ถาม " รู้ได้ไงว่าชื่อ drake แปลว่า dragon "

เราก็บอกเราไม่รู้มาก่อนเหมือนกัน แต่เราก็รู้สึกดีนะที่มันไปบังเอิญเหมือนกับชื่อเค้า

เรารีบอาบน้ำเข้านอน เพราะเกือบสามสี่ทุ่มแล้ว เหนื่อยจากการเดินทาง Nicole ก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ออกจากบ้านเจ็ดโมงนะจะพาไปส่งที่ Kaplan

เช้าวันแรก Nicole ก็พานั่งบัสไปโรงเรียน Kaplan ที่อยู่ใน Downtown ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางเขาก็อธิบายเส้นทางต่างๆ พร้อมบอกป้ายบัสที่ต้องขึ้นตอนที่จะกลับบ้าน

วันแรกหลังเลิกเรียนเราก็ไปเดินเล่นในเมืองนิดหน่อยไปหาข้าวกินที่ food truck เพราะได้ยินมาว่า food truck ที่นี่ดัง เราเลยไปลองสักหน่อย

จำได้เลยวันนั้นสั่ง roll อะไรสักอย่างร้านคนไทย กับ ซูชิ โหวเค้าให้เยอะมากๆ กินไม่หมด

แถมกินไม่ค่อยลงด้วยเพราะกลิ่นปลามันคาวมาก แบบช็อคไปเลย

อีกอย่างตอนนั้นมันมี homeless คอยมาจ้องๆมองๆด้วย

เมืองPortland มันปลอดภัยมากนะสำหรับเรา เพราะงี้ล่ะมั้ง เลยมีพวก homeless อยู่เยอะ เราอยู่คนเดียวเลยกลัวๆ รู้สึกอยากออกไปจากที่นี่จัง เลยทิ้งซูชิที่กินไม่ไหวแล้ว กับ roll ไป ตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า พยายามจะไปขึ้นป้ายที่โฮสบอกให้ได้ จนตอนนี้ก็งงว่าทำไมตอนนั้นไม่ใช้ google map หาทางกลับบ้านเองวะ จะพยายามไปป้ายที่โฮสบอกทำไม นั่นแหละก็เลยเดินหลงอยู่นานเลย ไปถึง china town บ้างไรบ้าง (china town ที่เพิ่งมารู้ที่หลังว่าเป็นดงhomeless เลยอะนะ) รวมๆแล้วเกือบสองชม.ที่หลง กว่าจะเจอป้ายบัสได้ ฮรือ ไม่เป็นไรมั้งวันแรกก็งี้แหละ (หรอ?)

พูดถึง google map นี่เปรียบเหมือน god เลยในการมาอยู่ต่างประเทศ บอกตามตรงถ้าไม่มีคือตาย

(หมายถึงเรานะ) มันโคตร helpful

ช่วงแรกๆเรากลับบ้านเร็วเพราะยังไม่ค่อยมีเพื่อน รู้สึกเหงาๆ กลับมาเล่นกับเด็กๆที่บ้านดีกว่า

อย่างวันนี้Camille กับ Christianก็ทำคัพเค้กกินกัน


ทำบราวนี่และไอติม

เล่น Puzzle

บ้านโฮสมี board game เยอะมาก Nicole บอกว่าเค้า

" ชอบให้ลูกเค้าเล่น board game instead of playing computer game "


มีวันนึง Nicole พาเรา Camille Christian ไปดูหนังเรื่อง incredible 2 ที่ห้าง Clackamas

บรรยากาศในโรงหนังก็คล้ายๆที่ไทย ก่อนหนังฉายจะมี ภาพยนตร์สั้นๆ ฉายก่อนประมาณ 10 นาที ตอนเราไปดูเป็น อนิเมชั่น สั้นๆ น่ารักดี


หรือไม่เราก็เดินเล่นแถวบ้าน

บ้านโฮสสำหรับเราคือทำเลดีมากอยู่ตรงถนน Division ฝั่ง southeast เป็นถนนที่มีร้านอาหารดังๆตั้งอยู่เดินจากบ้านโฮสไปแค่ 6 นาที อย่างร้านไอติม salt&straw และร้าน PokPok

ซึ่งก่อนหน้าที่จะมา นี่ก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับ Portland ก็เจอชื่อร้านสองร้านนี้ตลอด ไม่คิดเลยว่าบ้านโฮสที่เราอยู่จะใกล้ขนาดนี้


ร้าน salt&straw

มา Portland คงไม่มีใครไม่รู้จัก ร้านไอติมชื่อดังร้านนี้ ปกติคิวจะยาวมาก

ก่อนซื้อเราจะขอพนักงานชิมรสอื่นๆ แต่สุดท้ายก็กลับมาลงเอยที่รส seasalt&caramel ribbon ทุกครั้ง รสชาติมันน่าสนใจมาก มีความเค็มของเกลือนิดๆ พร้อมกับความหวานของคาราเมล มันทำให้เราอยากไปกินเรื่อยๆ


ปกติร้านนี้จะมีรส limited edition ไม่แน่ใจว่าเป็นแต่ละเดือนหรือวีค

และก็มีรส classics ที่มีตลอด


ร้าน Pok Pok


ร้านนี้ก็เป็นอีกร้านชื่อดังของ Portland เป็นร้านส้มตำ

Chicken wings ( ชื่อเมนูเต็มๆคือ Ike's Vietnamese fish-sauce wings )

ซึ่งเป็นเมนูชื่อดังของที่นี่ เราชอบมากรู้สึกไม่เคยกินรสชาติแบบนี้ที่ไทย

ตอนเราไปเราสั่งน้ำตกเนื้อ เนื้อดีมากอร่อย chicken wings และส้มตำ

ราคาเราว่าก็ราคาร้านอาหารทั่วไป บางคนอาจจะบอกแพงไปนิด แต่เราว่าถ้าหารๆกันก็ไม่แย่


ปกติร้านนี้ คิวจะยาวเหมือนกัน ถ้าใครอยากจะสั่งแค่ chicken wings สามารถไปสั่งที่ร้านอาหารไทยตรงข้ามได้ ชื่อร้าน whisky and soda lounge เป็นร้านโปรดเราเลย คนไม่เยอะเท่า pok pok เหมาะสำหรับคนที่คิดถึงอาหารไทย เพราะเราว่าเค้าคุมรสชาติอาหารได้ใกล้เคียงอาหารไทยจริงๆมาก เวลาเราเบื่อๆเซ็งๆก็เดินเข้าร้านนี้เนี่ยแหละ

เมนูโปรดของเราคือ ผัดหอยลาย ( Clamp )

ต้มแซ่บหมู รสชาติเหมือนที่ไทยเลย

บรรยากาศแถวบ้านที่division street


แถวบ้านโฮสไม่ได้มีแค่ Division street ที่น่าสนใจ แต่ยังมี Clinton street ที่เป็นย่านของพวกฮิปปี้ มีร้านเก๋ๆ เยอะ Nicole บอกเราในวันที่เราออกไปเดินเล่นกับ Nicole แถวบ้าน



วันนี้เรากลับมาถึงบ้านประมาณบ่ายสาม Nicole ก็บอกว่าเรากำลังจะไป picnic กันที่ Mt.Tabor จะไปด้วยกันไหม เราก็ตอบตกลง แต่โฮสก็แซวๆว่าแต่มันจะเป็นKFC picnic นะเพราะไม่ได้เตรียมอาหารอะไรไป ระหว่างทางก็คุยกันเรื่อง KFC เพิ่งรู้ว่า ไม่บ่อยนักที่บ้านโฮสจะกินเคเอฟซี เช่นปีละครั้ง อย่าง Camille ก็ยังไม่เคยกินมาก่อน เราก็ช็อคๆ ตอนแรกนึกว่าคนเมกันจะกินเคเอฟซีกันบ่อยเพราะถือเป็นต้นกำเนิด ที่ไหนได้บ้านเราคงกินเยอะกว่ามาก

ถึงแล้ววว Mt. Tabor

Mt. Taborเป็นภูเขาที่มีต้นไม้เยอะๆ ป่าๆ ตรงกลางมีอ่างเก็บน้ำ หลายคนชอบมาเดินเล่นที่นี่ เพราะบรรยากาศดี มองลงไปก็เห็นวิวเมือง Portland

หรือไม่ก็เป็นสถานที่ picnic สำหรับครอบครัวในวันว่างๆ อย่างบ้านโฮสเราวันนี้

วันนั้นมีการแข่งขันจักรยานด้วย

Nicole เคยเล่าว่า Michael ชอบปั่นจักรยานมากๆ

มีครั้งนึงเด็กนักเรียนที่มาอยู่เป็นคนฝรั่งเศสชอบปั่นจักรยานเหมือนกัน เขาเลยสนิทกับ Michaelมาก แล้วเด็กคนนั้นก็บอก Michae lว่าจะมีงานปั่นจักรยานจากไหนสักที่ไปถึงฝรั่งเศส ละเหมือนประมาณว่าเด็กคนนั้นสามารถพา Michael เข้างานได้ Michaelสนใจมากมีความคิดที่จะไปจริงๆ

แต่ Nicole บอกว่าถ้าจะไปคุณต้องไม่มีงาน ไม่มีภาระอะไรต้องรับผิดชอบ ถ้าไม่อย่างงั้นคุณก็ต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อไปปั่นจักรยานทั้งชีวิต มันเลยเหมือนดึงสติ Michael กลับมา

แต่ถึงอย่างไรก็เถอะ Michael ก็ยังชอบปั่นจักรยานอยู่ดี

Michael ชวนเรามาสั่นกระดิ่งเชียร์คนที่แข่งด้วย แต่เหมือนกับว่าจะมีแค่ Michael คนเดียวที่ทำ



วันเสาร์นี้ว่างไม่ได้มีนัดออกไปไหนกับใคร

Nicole เลยถามเราว่าไปgolfing กันไหม ซึ่งก็คือการไปตีกอล์ฟนั่นแหละ ถึงแม้Nicole จะไม่ค่อยชอบ golfing เท่าไหร่ แต่เด็กๆและ Michael อยากไป ยังไงNicoleก็ต้องไปอยู่ดี

เราไปตีกอล์ฟกันที่ edgefield เป็นสถานที่ที่เมื่อก่อน Michael บอกว่าพื้นที่นี้เคยเป็นschool สำหรับ bad boy ตอนหลังมีบริษัทมาซื้อที่ตรงนี้ทำเป็นหนามกอล์ฟ และก็brewery (breweryคือโรงหมักเบียร์)

เราไม่เคยตีกอล์ฟมาก่อน Michael ก็สอนเรา เค้าก็เช่าไม้กอล์ฟให้เรา

โดยสนามที่เราจะเล่นมีเก้าหลุมทุกคนเล่นหมดยกเว้น Nicole วันนั้นอากาศเย็นๆฝนตก เราถือกระเป๋าติดมือมาใบนึง ซึ่งแน่นอนมันไม่ถนัดในการเล่น Michael เลยบอกNicole ให้ช่วยถือ ซึ่งความจริงเราวางกับพื้นได้ไม่อยากรบกวนเขา เขาก็ไม่ยอม จะถือให้เราอย่างเดียว บางที Nicole ลืม Michael ก็จะหันไปบอก Nicole ว่าให้ไปช่วยถือสิ พร้อมชักสีหน้านิดหน่อย ในใจเราก็สงสาร Nicole ที่ต้องมาช่วยเราถือ ซึ่งเราก็ไม่ได้อยากจะรบกวนเค้าเลยT^T

ระหว่างที่เล่น ได้ยินเสียงเด็กๆตื่นเต้นอะไรไม่รู้ เขาบอก bunny อ่อกระต่ายป่านี่เอง ไอ้เราก็ไม่เคยเห็นเจ้ากระต่ายจะมาวิ่งเล่นอะไรในสนามกอล์ฟ ที่ไทยไม่เคยเจอ เราก็ตื่นเต้นไปกับเค้าด้วยเลย

Michael ก็แกล้งแซวว่า Hit the bunny for a bonus ! (แง้ ใครจะกล้าตีลูกกอล์ฟไปใส่เจ้ากระต่ายล่ะ น่ารักขนาดนี้ )

เล่นไปเล่นมาสักพักสิ่งที่ได้คือ ได้ค้นพบว่าเราแม่งไม่เหมาะกับกอล์ฟเลยหวะ ท่าก็แย่ ตีก็พลาดบ่อย

จน Michael แซวว่า ถ้าไม่อยากเล่นไม่ต้องก็ได้ "

Nest if you don't want to play, you don't have to play "

เค้าคงเห็นเราทำท่าเก้ๆกังๆ ฝืนๆ


แต่ก็นะนิสัยเด็กไทย เวลาไม่ชอบอะไร อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ก็จะบอกว่าโอเคไปซะหมด เราก็เลยเล่นต่อไป

เล่นไปได้ประมาณครึ่งทาง Camille ดูเหมือนจะงอแง ประมาณว่า Crew ข้ามตา Camille ไป หรือไรสักอย่าง ทำให้ Camille ร้องไห้ Nicole ก็มาปลอบ และหยุดเล่นไป

เล่นไปสักพักอ่าว Christian ก็เลิกเล่น ไปอีกคน หันไปดูต้นไม้ ดอกไม้ แล้วก็พยายามถ่ายรูป bunny กับ Nicole แทน

ตอนนี้ก็เหลือเรา Crew และ Michael ล่นกันจนจบเก้าหลุม จึงเป็นที่มาของภาพนี้ว่า we are the survivors!

หลังจากนั้นผ่านไปอาทิตย์นึง Crew ต้องเดินทางไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ญี่ปุ่นซี่งเป็นวันเดียวกับที่ Kiyoka ย้ายออกพอดี

ความจริงเราไม่ค่อยได้มีโอกาสคุยกับเธอมากนัก แต่มีคืนนึงที่เรานั่งคุยกันเกือบทั้งคืน

และเหมือนกับว่า

เรื่องที่จะคุยกับเธอคงหมดไปแล้วกับคืนนั้น.....

แต่บางทีเราก็เล่นด้วยกันกับเด็กๆ พวกเด็กๆดูท่าจะชอบเล่นกับ Kiyoka บางทีก็พูดกันเป็นภาษาญี่ปุ่น เพราะเด็กบ้านนี้เรียนโรงเรียนที่มีโปรแกรมสอนภาษาญี่ปุ่นด้วย

เมื่อคืนก่อน Nicole เดินเอาการ์ดมาให้เราแล้วบอกว่า

" Nest, Could you please write something on this card we will give it to Kiyoka before she gonna leave "

เราก็รับการ์ดมาเขียนด้วยความยินดี

วันรุ่งขึ้น ในขณะที่เรากำลังหยิบซีเรียลกินตามปกติ ได้ยิน Michael บอก Christian ว่า

" ไปถามเนสสิ "

Christian ก็เดินมาถามว่า " มีไรให้ช่วยไหม " เราก็งงว่าอะไรหรอ สงสัยคงเล่นอะไรตามภาษาเด็กล่ะมั้ง เราเลยตอบไปว่า

" I have to go, so can you say goodbye to Kiyoka for me ? "

Christian ก็บอกโอเค แล้วรีบวิ่งลงไปข้างล่าง จะไปเคาะห้อง Kiyoka แต่ Michael รีบห้ามไว้ทัน ว่า

" เดี๋ยวสิ Kiyoka ยังไม่ตื่นหรอก " เราเลยบอกให้ไป say goodbye to Crew แทน

เราไม่ได้ไปส่งทั้งคู่ที่สนามบินเพราะว่ามีนัดเล่นวอลเล่ยบอลกับเพื่อนๆ



เพิ่งรู้ว่าที่นี่มีวันพ่อเหมือนกันเป็นวันที่ 17 มิถุนา วันนี้เด็กๆเลยทำของมาให้ Michael

ส่วนตอนเย็นก็มีญาติๆมาบ้าน ถือเป็นวันครอบครัว เราก็ออกไปเล่นกับเด็กๆ ข้างนอก วันนี้ Camille และ Anderson หลานของ Michael มี idea ที่จะทำน้ำหอม


เสร็จแล้วก็เอามาฉีดผมกัน

พอกลับเข้ามาเห็นเด็กนักเรียนคนใหม่เข้ามาในบ้าน ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้จะมีเด็กใหม่มาอยู่แทน Kiyoka ที่เพิ่งย้ายออกไปเมื่อวาน เด็กใหม่คนนี้มาจากญี่ปุ่นเหมือนกันชื่อTakae (ทาคาเอะ) อายุ 17

ตอนนั้นก็เย็นแล้ว Michael กับ Nicole ก็ดูวุ่นๆกับการมีแขกในบ้าน เลยไม่มีเวลาได้คุยได้อธิบายอะไรให้ทาคาเอะฟังมากนัก

Takae เป็นคนที่ตลกนะสำหรับเราเหมือนเด็กเลย เวลาอยู่ที่โรงเรียนก็ดูปกติ แต่เรางงว่าทำไมเวลาอยู่บ้านถึงชอบเก็บตัวในห้องไม่ค่อยออกมาคุยกับคนอื่นเท่าไหร่ บางทีโฮสก็สงสัยมาปรึกษาเรา ว่าทำไมเธอไม่คุยกับใครเลย วันๆไปแต่จิม ชวนไปไหนก็ไม่ไป

มีคืนนึงจำได้ว่านั่งคุยกับ Nicole เค้าบอกว่า

" Takae ไม่คิดที่จะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมบ้างเลย แม้แต่อาหาร เธอก็ไม่เคยจะอยากลองกินอาหารบ้านเราบ้างเลย "

และก็บอกว่า

" she is always in her Japanese bubble, she watches only Japanese dramas and eats her food "

ไอประโยค Japanese bubble นี่จำแม่นเลย เพราะ Nicole เลือกใช้ศัพท์ได้น่ารักมาก

หรือเวลาชั้นถามเธอ ว่า " How are you "

" she always says so so or just good "

ชั้นเลยแทบไม่มีโอกาสได้คุยอะไรกับเธอเลย ชั้นอ่ะอยากจะจับตัว Takae และถามจริงๆว่า

" Why does she want to stay with us, if she never wants to talk to us hahaha "

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า Nicole เราใจร้ายนะ อันนี้เค้าพูดขำๆ เฉยๆ เพราะความจริง Nicole เค้าnice มากๆ

สำหรับในความคิดเรานะ มันไม่ผิดหรอกที่ทาคาเอะจะเป็นอย่างนั้น มันอาจจะเป็นนิสัยของเขา แต่โฮสเราเองก็ expect เด็กที่จะมาอยู่บ้านเขาเหมือนกัน ว่าอยากให้เข้ามามีส่วนร่วมกับครอบครัวเขาบ้าง เขาก็พยายามทำหน้าที่เป็นโฮสอย่างเต็มที่



เราอยู่พอร์ตแลนด์มาได้ นี่ก็เป็น week ที่สามแล้ว

อาทิตย์นี้ Nicole และเด็กๆไม่อยู่บ้านตั้งแต่วันพฤหัสกลับมาวันจันทร์ เขาไปหาญาติที่ Idaho กัน ตอนนี้ที่บ้านเลยเหลือแค่ Michael เราและTakae

ก่อนไปได้ยิน Nicole คุยกับ Michel ประมาณว่า Nicole บอกเรื่องข้าวเย็นอะ Michael ทำไก่ทอดให้กินได้นะ แต่ Michael ก็บอกว่า

" ไม่เป็นไรหรอกออกไปกินข้างนอกก็ได้ วันนึงให้เราเลือก อีกวันให้Takaeเลือกว่าจะกินไร "

เราแอบเห็นหน้าNicole งงๆประมาณว่า

ทำไมล่ะข้าวที่บ้านก็มี(?)

หลังอาหารเย็นวันนั้นเรากับNicole ก็นั่งคุยกันเหมือนปกติ เราชอบนั่งคุยกับ Nicole ชอบฟังเรื่องที่เขาเล่า บางเรื่องเขาก็เล่าตลกดี บางเรื่องก็น่าสนใจ แต่วันนี้เรื่องที่คุยน่าสนใจกว่าทุกวัน เพราะเราเองก็มาอยู่ได้สักพักแล้ว เริ่มอยากไปเที่ยวเมืองอื่นบ้าง Nicole เลยเสนอว่า

" ไปวอชิงต้นดีซีไหม "

มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจให้ดูเยอะ และถ้าเราอยากไปจริงๆบ้านพ่อแม่เขาอยู่ที่นั่นให้เราไปพักได้ ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้คิดจริงจังขึ้นมาเพราะไม่รู้จะไปกับใคร ถ้าไม่มีใครไปด้วยจริงๆไปคนเดียวคงไม่กล้าแน่



ช่วงที่ Nicole ไม่อยู่ Michael ก็พาออกไปกินข้าวข้างนอกจริงๆแหละ อย่างที่บอกร้านอาหารแถวบ้านดังและอร่อยเกือบทุกร้าน

วันแรกเรากลับมาบ้านไม่ทัน Michael พา Takae ไปกินร้านอาหารจีนซึ่งเราไม่ได้ไป แต่วันนั้นก็มีเรื่องพีคอยู่ คือ วันนั้หลังเลิกเรียนเราไปเดินเล่นที่ Loyd center กับเพื่อน Takae ก็ไลน์มาว่า

" Where are you I forgot to bring the key "

ตอนนี้ Takae รออยู่ที่ Mc donald หน้าซอยบ้าน

( ทำให้เรานึกถึงตัวเอง เมื่ออาทิตย์แรกที่มาอยู่ มีวันนึงเราก็ลืมเอากุญแจบ้านไป ต้องไปรอที่ Mc เหมือนกัน )

เราเลยโทรไปบอก Nicole ให้บอก Michael ให้หน่อยว่า Takae ลืมกุญแจบ้าน

Nicole ยังแซวอยู่เลยว่า ทำไมมีอะไรไม่ contact เค้าเอง ต้องคอยมาบอกเนส แล้วให้เนสมาบอกเค้าอีกที นี่ถ้าเนสกลับไทยไปแล้วยังต้องคอยบอกเนสอยู่ไหมเนี่ย

พอเรากลับไปถึงบ้านก็เวลาทุ่มนึง ไม่เจอใคร คิดว่าทุกคนน่าจะอยู่ในห้องตัวเอง

เราเลยล็อคกุญแจหน้าบ้าน แล้วเข้าไปในครัวหยิบ Perrier กิน แล้วก็ได้ยินเสียง เหมือน Daisy ตะกรุยประตู เราก็ไม่ได้อะไร แต่เริ่มเอะใจ เพราะผ่านไป 10 นาที เสียงยังอยู่ พร้อมกับเราได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ Nest และเสียงเคาะประตูจากหลังบ้าน เราโผล่ไปดู

อ้าว Michael กับ Takae นี่ เราเปิดประตูให้เค้าเข้ามา พร้อมบอกว่า

" I am sorry I think everybody is in the house so i locked the house door "

Michael ก็บอกว่า " It 's alright but don't lock the door, please "

เห้อสงสาร Michael จัง

เด็กคนนึงก็ลืมกุญแจบ้าน

อีกคนก็ล็อคประตูบ้าน

วันที่สองไปร้านBBQ

วันที่สามไปร้านซูชิ

เข้าไปในร้านก็นั่งรอคิวเกือบครึ่งชั่วโมง พอถึงคิวเค้าก็ให้เวลาเราดูเมนูก่อนสั่งอาหาร ตอนนั้นเราเลือกได้แล้วว่าจะเอาอะไร เราเลยทำท่ากวักมือเรียกพนักงานเหมือนที่ไทยแต่ๆ Michael รีบหันมาบแกว่า

" Don't wave มันไม่ดีนะ "

เราเลยขอโทษไปละบอกไม่รู้ว่าห้ามเรียกพนักงาน Michael บอกว่าให้ใช้ eye contact ถ้าเรากวักมือเรียกมันดู not polite และประมาณว่าที่นี่จะมี server พนักงานคนที่คอยดูแลโต๊ะเรา เขาจะคอยมาหาเราเองไม่ต้องเรียก (ความรู้ใหม่นะเนี่ย)

Michael ก็บอก ไม่เป็นไรหรอกเค้าเข้าใจมันเป็น different culture ตัวเค้าเองตอนไปฝรั่งเศสเข้าไปร้านสะดวกซื้อ เค้าก็หยิบซื้อของปกติ แต่ดันมีพนักงานมาบอกว่า ไม่ได้นะห้ามหยิบเอง อยากได้อะไรให้บอกเรียกพนักงาน จะเห็นว่าความแตกต่างทางวัฒนธรรมมันเกิดได้ทุกที่ ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก มีแต่รู้กับไม่รู้ ยิ่งเราผ่านโลกมาก เราก็จะเรียนรู้ประสบการณ์ได้เยอะกว่า แค่นั้นเอง

หลังจากกินเสร็จ Michael ก็พาไปเล่น pinball ในบาร์


วันที่สี่ตอนเช้าเรามีโปรแกรมตอนเจ็ดโมงไปsportbar นั่งดูบอลโลกจำได้ว่าวันนั้นJapan แข่ง Michael เลยชวนพวกเราไปดูที่ Toffee Club ซึ่งเดินจากบ้านไป30 นาที! ไกลนะ

เรากับ Michael ตกลงกันว่าจะเชียร์ Japan ด้วย เพราะคนที่นั่งข้างๆก็เนี่ย Japanese ส่วน Takae คนที่ดูไม่ค่อยจะสนใจอะไรนอกจากจิม กลับชอบการเชียร์บอลมาก

เพิ่งรู้ก็ตอนนั้น

ตอนที่บอลใกล้จะเลิก Takae มีการหันมาถามว่า

" Do you want to come back home by bus ? "

เราก็บอก

" oh sorry i didn't bring the bus ticket "

มันทำหน้าเศร้าๆ ไม่อยากต้องเดินกลับ ทำไมล่ะ เห็นไปจิมทุกวัน น่าจะฟิตนี่นา

สรุปแล้วพวกเราทุกคนเดินมาและก็ต้องเดินกลับกัน

ระหว่างทางเราก็ถามMichael ว่า

" วัน4th of July นี้ มีแพลนไปไหนกันไหม" เค้าก็ตอบว่า

" ก็คงไปบ้านญาติเหมือนทุกปี แต่ในเมืองก็มีพลุนะ เอ้อใช่ เห็นได้ยินมาว่าเรากำลังจะไปดีซีหนิ ถ้าได้ไปวันที่4 แล้วไปดูพลุที่นั่น มันอลังการมากเลยนะ "

เราก็ยิ้มๆ ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าคงไม่ได้ไปดีซีหรอก

พอตอนเย็นMichael พาไปกินร้านเบอร์เกอร์

กินเสร็จก็พาไปกินไอติมร้าน salt&straw

ตอนนั้นแถวยาวมาก Michael เลยให้ซื้อแบบ take home กลับ

ส่วนTakae ไม่ได้มาด้วยเพราะไปจิม



เย็นวันจันทร์Nicole และเด็กๆกลับมาแล้ว วันพฤหัส Crew ก็กลับมาจากญี่ปุ่น

ตอนเราเจอ Crew มีการถามเราด้วยว่า

" sorry i forget your name what's your name ? "

แหม Crew ก่อนไปยังเล่นเตะบอลกันอยู่เลย ลืมละหรอ T^T



...เวลาผ่านไปไม่กี่วันอยู่ดีๆก็คิดเรื่องเที่ยวดีซีจริงจังขึ้นมาเลยลองชวนรุ่นพี่รุ่นน้อง ว่ามีใครสนใจไปด้วยไหม

สรุปคือ ไม่มี

เอาล่ะสิทำไงดี

วันนั้นเลยลองลงไปข้างล่างเคาะประตูห้องทาคาเอะ ถามว่าสนใจไปด้วยกันไหม ซึ่งก็รู้อยู่แล้วแหละว่ามันคง impossible ถ้ามันจะไปด้วยและมันก็ไม่ไปด้วยจริงๆ คือมันบอก dangerous...

จบข่าว

เราเลยคิดว่าเอาไงดีวะ ไปคนเดียวแม่งเลยดีไหม สุดท้ายก็ตัดสินใจไปคนเดียว โอกาสมาถึงทั้งที

พอบอกMichael เค้าก็ยกนิ้วโป้งให้ว่า

" สุดยอดมากที่ตัดสินใจไปคนเดียว "

ทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมานิดนึง ก่อนหน้านี้ก็แอบร้องไห้นิดหน่อยว่าจะต้องไปคนเดียวจริงๆหรอมันก็แอบเศร้าป้ะเพราะยังไม่เคยเที่ยวคนเดียว แต่หลังร้องไห้เสร็จก็รู้สึกมีไฟขึ้นมา วางแผนเที่ยวก่อนนอนเกือบทุกคืน Nicole ก็เอาหนังสือเกี่ยวกับดีซีมาให้ พร้อมช่วยเราวางแผน เพราะ Nicole เคยอยู่ที่นั่นมาก่อน เค้าเลยรู้เรื่องเกี่ยวกับดีซีเยอะ

เอาล่ะ เราก็เริ่มวางแผน จองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยวันที่5-8 July

แต่ขอเล่าย้อนไปนิดนึงว่ากว่าจะจองได้นี่ก็ไม่ง่ายนะ เราพยายามเลือกเวลาที่ดีคือได้นอนบนเครื่องบิน แล้วไปถึงดีซี6 โมงเช้า ราคามันเลยแพงปาไปเกือบห้าร้อยเหรียญ

แต่สิ่งที่ยากกว่าจ่ายตังก็คือ

ขั้นตอนการจ่ายเนี่ยสิ

คือมันต้องจ่ายผ่านบัตร บัตรที่เรามีมันคือบัตรเดบิตซึ่งต้องโทรไปที่ไทยเพื่อขอ verify ให้เป็น visa ก่อน ถึงจะใช้จ่ายได้ เราก็โทรไปที่ไทยไปหาธนาคารที่ไทยเพื่อเปลี่ยน กว่าจะติดนี่ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะรอกว่าเทป call center จะต่อสายให้ มันก็ไม่ได้สักที

เราเริ่มหงุดหงิดละ เพราะก็จะตีสองแล้วทำไมมันยากจัง เราเลยเปิดเนตเสริชดูขั้นตอน

สรุปมันทำในเนตได้ แค่โทรไปแจ้งก่อน..... คนไม่รู้ก็เสียเวลาไปอีก

เราคิดว่าจะต้องจองให้ได้ภายในคืนนี้ ไม่งั้นตื่นมาพรุ่งนี้ราคาตั๋วอาจพุ่งขึ้นไปอีก และอาจทำให้นอนไม่หลับได้

พอ verify เรียบร้อยก็กดจ่ายได้ละทีนี้ นอนหลับสักที

แต่!

เรื่องมันยังไม่จบ วันนึง Nicole เดินมาบอกว่า

"บ้านพ่อแม่เค้าไม่สะดวกวันช่วงนั้น ยังไงช่วยเลื่อนเป็นวันที่ 4-6 ได้ไหม "

เราเลยต้องเลื่อนตั๋ว ตอนเปลี่ยนเนี่ยสิเราไม่รู้จะทำไงเลยโทรไปหาที่สายการบินเลย พูดภาษาอังกฤษผ่านทางโทรศัพท์นี่มันท้าทายมาก เราสงสารเค้ามากที่ต้องมาคุยกับเรา เพราะเราก็ฟังเค้าออกยาก เค้าก็ฟังเราพูดไม่รู้เรื่อง บางประโยคนี่ repeat ไปตั้งสามสี่รอบ

เห้อเครียดจัง

พอคุยกันเสร็จว่าจะเลื่อนตั๋ว มันก็มาอีกแล้วขั้นตอนการจ่ายตัง เราก็บอกรหัสบัตรเดบิตเราไป มันบอกใช้ไม่ได้นะ

เราก็งงทำไมวะ ในเมื่อตอนซื้อก็ใช้อันนี้จ่าย เค้าก็บอกว่า

มันไม่เหมือนกันit's not the same ยูต้องใช้บัตรเครดิต

เราก็แบบเอาแล้วไง

ต้องไปยืม Nicole หรอ เค้าจะให้เราไหมเนี่ย แต่ก็ไม่อยากวางสายพนักงานเพราะเดี๋ยวต่อสายอีกทีจะลำบาก

เลยเดินไปถาม Nicole เลย Nicoleก็รีบหยิบบัตรให้ เราเลยยื่นโทรศัพท์ไปให้ Nicole คุย จ่ายไปทั้งหมด34ดอล ค่าเปลี่ยน

Nicole ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยินดีช่วย จำได้ว่าวันนั้นเราซึ้งมากที่เค้าช่วยเราขนาดนี้ เค้าก็อยากให้เราไปเที่ยวดีซี น้ำตาเราไหลเลย Nicole ก็เห็นแล้วยิ้ม บอกว่าไม่เป็นไรนะ

ตื่นเช้ามาอีกวัน Nicole เดินมาบอกว่าเราต้องเลื่อนตั๋วอีกแล้วนะ แม่โทรมาบอก เราทำหน้าช็อคมาก คือก็ช็อคจริง

ในใจก็คิดว่าอีกแล้วหรอ ก่อนที่ Nicole จะบอกว่า

" I am just kidding hahaha แม่โทรมาบอกว่า สามารถมารับที่สนามบินได้นะ pick you up at the airport if you want "

เห้อ โล่งอกไปที นึกว่าจะต้องเลื่อนตั๋วอีก ไม่ไหวแล้ว กับคำว่าเงิน....

( สามารถติดตามเรื่องราวในวอชิงตันดีซีได้เร็วๆนี้ )



หลังจากกลับมาจากดีซีแล้ว โฮสก็พาไป Astoria ตามที่เขาสัญญาไว้ว่าก่อนเรากลับเขาต้องพาเราไปให้ได้

" i have to do it before you leave "

Astoria เป็นเหมือนsmall town ที่ในอดีตโฮสเล่าให้ฟังว่าชาวฟินแลนด์เคยอพยพมาที่นี่ เลยไม่แปลกที่เราอาจเห็นร้านขายของฟินแลนด์แถวนี้ อย่างวันนี้ Nicole ก็มาซื้อของในร้านฟินแลนด์ Nicole มีแม่เป็นชาวฟินแลนด์ จึงทำให้เธอชอบอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับฟินแลนด์ เราออกจากบ้านตั้งแต่เช้า Nicole ขับรถ ส่วน Michael ปั่นจักรยานไปเองตั้งแต่ตีห้า ปั่นไปจนถึง Astoria เป็นเวลา 5 ชม.!

ระหว่างทางไป Astoria ผ่านสะพาน เราชอบสะพานที่ Portland มาก สวยเกือบทุกสะพานเลย

ผ่าน columbia river

Nicole หยุดรถให้ถ่ายรูปสะพาน Lewis and Clark bridge ชัดๆ

Nicole บอกว่า

" นี่คือไม้ lombard ที่ Portland มีทรัพยากรไม้มาก จึงไม่แปลกที่คนที่นี่จะใช้ถุงกระดาษมากกว่าถุงพลาสติกแม้ว่าราคาถุงกระดาษจะแพงกว่าก็ตาม และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย "

พอใกล้ถึง Nicole ก็เห็น Michael กำลังขี่จักรยานอยู่ข้างทาง เค้าเลยหยุดรถเชียร์ Michael กัน ส่วนเรายังนั่งอึ้งอยู่เลยว่า นี่เค้าปั่นจากบ้านมานี่จริงๆหรอ

เลยหันไปถาม Crew

" Is this his first time ? "

Crew ก็หันมากระซิบข้างหูเราว่า

" No, this is his fifth time he is a crazy guy ! "

เราก็บอกว่า

" haha I can't believe that he's so strong "


มองไปฝั่งตรงข้าม

Michael บอกว่านี่เป็นร้าน fish&chip ที่อร่อยที่สุดใน Portland (ไม่รู้จริงเปล่านะ)


บรรยากาศบ้านเมืองแถวนั้น ตึกสวย น่ารักดี ส่วนใหญ่จะสีเทาๆขาว

พอเดินเล่นในเมืองกันเสร็จ ก็ขึ้นไปบนยอดเขา

Nicole เคยเล่าว่า

" คนเมกันน่ะ ชอบทำอะไรๆก็จะไปแต่ top top top เช่น เวลาไปเที่ยวภูเขาก็จะต้องไปให้ถึงยอด ต่างจากตอนที่เค้าอยู่เยอรมันตอนเด็กๆ คนที่นั่นเลือกที่จะเดินตามทางไปเรื่อยๆ ชมความงามตามทางมากกว่าที่จะต้องไปโฟกัสว่าจะต้องไปให้ถึงยอดอย่างเดียว "

ซึ่งแน่นอนว่า Nicole prefer แบบหลังมากกว่า

ส่วน Michael prefer แบบแรกมากกว่า

ขึ้นไปข้างบนจะมี

The Astoria column

สามารถขึ้นไปบนหอคอยแล้วปาเครื่องบิยร่อนลงมาได้

Michael ก็ไปซื้อมาให้เรา สองลำ 5 ดอล บอกว่าขึ้นไปเล่นกับเด็กๆ ข้างบนสิ

Nicole เห็นเราทำหน้ามึนๆ เลยบอกว่า

" Nest, you don't have to play Michael just trys to say ....."

เราเพิ่งกลับจากดีซีเมื่อวาน ยังเหนื่อยๆอยู่ เลยบอกไม่เล่นละกัน

ส่วน Camille บอกว่ากลัวหอคอยจะพังลงมาเลยไม่เล่น

(แหม่ เหตุผลน่ารักเชียว)

มองจากข้างบนลงไป วิวข้างล่างสวยมาก

Crew กำลังเล่น rolling

วิวสะพาน Astoria-Megler bridge จากข้างบน

Nicole บอกว่า เป็นสะพานที่เชื่อมจากรัฐโอเรกอนไปรัฐวอชิงตัน เป็นสะพานเหล็ก truss ที่ยาวที่สุดในอเมริกาเหนือ

Nicole ถามว่า " ชอบไหม"

เราก็บอก " ชอบสิ "

Nicole ก็บอกว่า

" yes, it's not that wow like in DC hahaha I know "

มันก็ให้คนละฟีลกันจริงๆ มันสวยคนละแบบ

เราเพิ่งสังเกตว่าบนหอคอยมีตัวอักษรเล่าเรื่องอยู่ เลยหันไปถาม Michael ว่า

" There is a story on the tower, right ? "

Nicole ได้ยินเราคุยกันเลยมาจอยบทสนทนาด้วย

บอกว่า " yes, They try to tell a story that's why this place is named Astoria

because

tell a story

Astoria

tell a story

Astoria

a story

Astoria

haha "

Michael หันมายิ้มให้แล้วส่ายหัว


และก็แวะไปcannon beach เพราะอยู่ระหว่างทางกลับ

Cannon beacถือเป็น landmark ที่มีชื่อเสียงของ Oregon coast เพราะมีหินที่รูปร่างโดดเด่น สูงถึง 32 เมตร

และจะเห็นได้ชัดในช่วง summer เพราะ low tide

Michael บอกว่าข้อดีของ Oregon coast คือเป็น public หมด

น้ำที่นั่นเย็นมากเราลงไปได้แค่หน้าแข้งก็ไม่ไหวแล้ว

แต่ก็มีบางคนลงไปเล่น

แถวนั้นก็มี playground ไว้ให้เด็กๆเล่น


สภาพเมืองแถวนั้น

นี่เป็นร้าน candy shop

Nicole บอกว่ามาทุกครั้งก็แวะทุกครั้ง


และเราก็ไปแวะกินข้าวกัน

และเราก็เดินทางกลับ

ระหว่างทางกลับ เราหลับบ้าง

พอตื่นมาเห็นภาพ Nicole ขับรถแทน Michael ที่น่าจะเหนื่อยจากการขี่จักรยานเมื่อเช้า

มือนึงจับพวงมาลัย

อีกมอนึงจับมือ Michael

สื่อให้เห็นว่าครอบครัวนี้ยังรักและเป็นห่วงกันเสมอ

กลับมาบ้าน ก่อนนอนเราคุยกับ Nicole เป็นปกติ มีคำถามนึงเราถามว่า

" ทำไมถึงเลือกที่จะเป็น host family ล่ะ "

Nicole ยิ้ม เราก็แซวว่า

" now i'm like a interviewer, amn't i hahaha "

ก่อน Nicole จะตอบว่า

" เค้าอยากให้ลูกเค้าได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ได้คุ้นสำเนียงจากหลายๆประเทศอย่างไทย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส มันคุ้มจะตายไม่ต้องไปหลายประเทศ แต่มีนักเรียนมาอยู่ที่บ้านแทน และเราก็ชอบนักเรียนที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมของบ้านเรา "



หลังจากกลับมา อาทิตย์นั้นจำได้ว่าเราเหนื่อยมาก กลับจากโรงเรียนทุกวันก็ชอบเผลอหลับที่โซฟาตลอดเลย จน Nicole แซวว่า

" Nest, you travel too much ! "

เราก็แก้เขินไปว่า

" No no it' s because I ate a lot in the afternoon it makes me feel sleepy hahaha "

อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์สุดท้ายก่อนเรากลับไทย เราเลื่อนตั๋วกลับไปอาทิตย์นึงเพราะอยากไปเที่ยวซีแอตเทิลและลาสเวกัส

เราเลยต้องจ่ายค่าโฮสเพิ่มอีกวีคนึง เราไม่อยากจ่ายผ่าน agent เราเลยติดต่อโฮสเองโดยตรงมันประมาณ 240 เหรียญ เราเลยเอาเงินไปจ่าย Nicole

พอเรากลับเข้าห้องไปได้ยินเสียงเคาะประตู

พร้อมกับมีเงินสอดเข้ามา 40 เหรียญ พอเปิดประตูออกไป Nicole ก็บอก

" อะลดให้นะ discount 40 ดอล..... "


มีวันนึงเราได้ยินมาว่า Crew กำลังจะไปค่ายลูกเสือ เราเลยขอไปด้วยไดไหม Nicole ก็โอเค ที่ตอนแรกไม่ได้ชวน เพราะคิดว่าเราจะไม่สนใจ เพราะมันดูน่าเบื่อ

พอกลับมาเราอยากจะถาม Crew เกี่ยวกับเพื่อนคนนึงของ Crew ที่เราเจอ เพราะเค้าดูตลกดี

เราเลยพยายามจะอธิบายลักษณะว่า

" your friend who is fat and wears a red shirt "

ยังพูดไม่ทันจบ Crew ก็หันมามองหน้าเราและพูดว่า

" why did you say fat it's so rude "

เราเลยรีบบอกขอโทษใหญ่เลย

Crew ก็บอกว่า

" You will never say that word again "

ตอนนั้นเราช็อคมาก คือเราไม่ได้มีเจตนาจะว่าเค้า แค่จะอธิบายลักษณะเฉยๆ และอีกอย่างเราก็เคยได้ยินครูเมกันที่โรงเรียนเค้าก็ใช้คำว่า fat เวลาอธิบายลักษณะคน

คืนนั้นเราคาใจมาก เลยถาม Nicole

Nicole บอกว่า

" Crew กำลังอยู่ในวัยที่ไม่ black ไปเลย ก็ white ไปเลย ไม่มีตรงกลาง บางทีก็ไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ที่ Crew พูดแบบนั้นเพราะ ที่โรงเรียน เค้าจะแอนตี้คำว่า fat มาก คนที่อ้วนจะถูก bully ดังนั้นเด็กๆ จึงระวังการใช้คำนี้ ยังไงก็ขอโทษแทน Crew ด้วยที่พูดแบบนั้น แต่ทางที่ดีใช้คำว่า a little overweight จะ safe กว่า "

คราวหลังถ้าจะพูดคำว่า fat

หน้า Crew คงลอยมา



วันอาทิตย์นี้โฮสพาเราไป Mt.Hood

ขับรถจากบ้านไปเกือบๆ 2 ชั่วโมง อยู่ Portland คงไม่มีใครไม่รู้จัก Mt. Hood เพราะนอกจากมีหลายวิว ที่เรามองจากในเมือง หรือเวลาขึ้นเครื่องบินก็จะเห็น Mt.Hood แล้ว ป้ายต่างๆ ยังมีคำว่า hood เต็มไปหมด เรียกได้ว่าหลอนกันไปเลย

ออกไปเที่ยวข้างนอกที่เมืองนี้มาก เพราะข้างทางจะมีต้นไม้เขียวๆ เยอะมาก คือ

a lot of green ของจริง

ระหว่างทางไปถึงยอดเขา จะมีในส่วนของ Natinal park area ก็จะมีนักท่องเที่ยวบางคน stop แค่จุดนี้

แต่ว่าโฮสเราบอกจะไป the top of the mountain เลย

ใกล้ถึงแล้ว Camile ก็ตะโกนว่า " Mt. Hoodie yeah "

ถึงแล้ว ข้างล่างเป็นที่จอดรถ พวกเราเดินขึ้นไปข้างบนอาคาร เพื่อไป picnic กินแซนด์วิชที่ทำไว้


มองไปที่ข้างๆ มันสวยมาก ฟินสุดๆ เห็นภูเขาลูกนึงไม่รู้ภูเขาอะไร แต่มันทำให้องค์ประกอบวิวสวยมาก มองลงไปเห็นกวางตัวนึงกำลังหาไรกิน ธรรมชาติจริงๆ


ตอนเราช่วย Nicole เก็บของ มองไปข้างล่างผ่านกระจกเห็น Michael และเด็กๆ โบกมือทักทาย



เสร็จแล้วพวกเราก็เดินไปข้างล่างเพื่อเดินไปให้ใกล้ Mt.Hood ที่สุด ระหว่างทางก็ผ่านพิพิธภัณฑ์


นั่งพักกันข้างใน

Michael เริ่มแล้ว....

" เดินไปยอดเขากันเถอะ "

Nicole ก็บอกไม่ไปแน่ๆ เค้าเหนื่อยน่าจะเดินไม่ไหว

แต่ Michael ก็คือ Michael ชวนเด็กๆและทุกคนไป Nicole บอกว่า

" I can sit here wait for you guys "

Michael ก็บอกว่า

" ไม่เอาน่า เดินไปด้วยกันเถอะ ไม่ต้องถึงยอดก็ได้ "

สุดท้าย Nicole ก็ยอม

ระหว่างทางเดินไปภูเขา เราหันไปเห็น Michael อยู่กับ Nicole คอยจูง Nicole ตลอด

เป็นภาพที่น่ารักมาก

เราและเด็กๆ ไปเล่นหิมะกันข้างล่าง แปลกดีถึงแม้ว่าจะเป็นช่วง summer ในเมืองอากาศก็ร้อน แต่พอขึ้นมาที่Mt. Hood น้ำแข็งก็ยังคงอยู่ อากาศเย็นสบาย ไม่เหมือนกับว่าเป็น summer เลย


น้ำโคตรจะเย็นเพราะละลายมาจาก glacier บนยอด


มีคนมาเล่นสกีด้วย

ตอน Christian เจอ ผีเสื้อ


แล้วเราก็ไปเดินเล่นบริเวณสวนข้างๆ

ตอนเดินกลับไปรถ ระหว่างทาง Michael หันมาถาม

" How do you find Mt. Hood? "

เรา " I love it ! I really like that eventhough It's is summer, there is some snow "

Michael " มันน่าแปลกจริงๆที่ ที่นี่มีหิมะตลอดทั้งปี for the whole year "

เรา" It' s so beautiful "

Michale " It is "

แล้วพวกเราก็เดินทางกลับ



หลังจากที่เรากลับจากเวกัสมาแล้ว ( ติดตามเรื่องราวลาสเวกัสได้ในเร็วๆนี้ )

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราได้อยู่กับครอบครัวนี้

ตอนเดินกลับมาถึงบ้านประมาณสามทุ่มครึ่งหลังจากไปนั่งกิน chicken wings ที่ร้าน whisky and soda lounge กับรุ่นพี่มา

คืนนั้นบรรยากาศดีมาก อากาศเย็นสบาย พอถึงหน้าบ้าน เราหยุด

แล้วอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปบ้านหลังนี้เอาไว้

พร้อมกับรู้ตัวว่า เรารู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนี้มาก ไม่ใช่แค่ตัวบ้านแต่เป็นผู้คนที่นี่ด้วย เราปาดน้ำตาตัวเองก่อนเดินเข้าไปในบ้าน

บรรยากาศเริ่มเศร้าๆแล้ว อะไรหลายๆอย่างเริ่มเป็นครั้งสุดท้าย เช่น การนั่งรถบัสเบอร์9 ผ่านสะพาน Tilikum กลับบ้านครั้งสุดท้าย

กินข้าวพร้อมกันมื้อสุดท้าย ได้ออกไปเที่ยวข้างนอกกับครอบครัวนี้ครั้งสุดท้าย

และจะได้นอนที่นี่คืนสุดท้าย

ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยมันเศร้ามากบอกไม่ถูก

.....ระหว่างที่กำลังนั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นว่าทำไมมันผ่านไปเร็วจัง....

ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

เปิดออกไป Nicole ยื่นการ์ดมาให้เป็นการ์ดที่ทุกคนในบ้านช่วยกันเขียนให้ก่อนกลับ

แต่ไม่มีของ Takae T^T

หลังจากอ่านจบ น้ำตาเราก็แตกเลย

เราก็มีของที่เตรียมจะให้โฮสไว้เหมือนกัน

ตอนนั้นดึกแล้วเที่ยงคืนกว่า เหลือ Nicole คนเดียวที่ยังไม่นอน ซึ่งปกติเราจะนั่งคุยกับ Nicole จนดึก เกือบทุกคืน และคืนนี้ก็คงเป็นคืนสุดท้ายสินะ

เราเลยเดินเอาของที่ทำไปให้

หลังจากดูของที่เราให้ Nicole น้ำตาซึมๆพร้อมบอกว่า

"Nest, you do so much work I wish you had one more night here "

เราฟังแล้วก็ร้องไห้ จำไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ก็คือพูดความในใจออกไป ประมาณว่ารักครอบครัวนี้มาก รู้สึกโชคดีมากที่ได้มาอยู่บ้านนี้

Nicole ก็บอกว่า ไม่เป็นไร คราวหลังถ้าจะมา Portland ก็บอกเค้าล่วงหน้าด้วยนะ

เราสามารถนัดกันไปกิน chicken wings ได้เหมือนเดิม

พอพูดคุยกันเสร็จแล้ว Nicole ก็ขอตัวไปนอนก่อนเพราะเหนื่อยมากพร้อมบอกว่า

" พรุ่งนี้อาจไม่ได้ตื่นไปส่งเรานะ ถ้ายังไงแล้วก็ขอให้เราโชคดี เดินทางปลอดภัย ถ้าถึงแล้วก็ส่งข้อความมาบอกด้วย เพราะ Host mom, always host mom ...."

เราก็บอก

" Thank you Nicole goodnight see you "

เราไม่ได้พูดคำว่า see you เป็นพิธี แต่เราคิดจริงๆว่าเราจะกลับมาหาเค้าแน่นอน



เช้าแล้วถึงเวลาที่เราต้องกลับ เวลาหกโมงเช้า ตื่นมาเห็น Christian นั่งดูการ์ตูนแต่เช้าตามเคย เราเลยเอาของที่เตรียมไว้ให้ มาให้

หันไปเจอ Crew บอกว่า

" I ตื่นมาส่งนะ และ Camille กำลังตามลงมา she is coming "

และ Crew ก็บอกว่า

" We are happy having you in our house "

เราซึ้งมากกลั้นน้ำตาเอาไว้ พร้อมกับเอาของให้ Crew


Camille ตื่นมาไม่ทันเราเลยฝากของไว้ให้


Nicole ยังไม่ตื่นเพราะช่วงนี้เหนื่อย เราก็แอบเสียใจเพราะเรารัก Nicole มาก อยากเจอหน้าเค้าก่อนกลับไทย

ส่วน Takae เราไม่ได้บอกลา เพราะเมื่อคืนกลับมาดึก เค้าน่าจะเข้านอนไปแล้ว ส่วนเช้านี้เค้าก็น่าจะยังไม่ตื่น

เราขึ้นรถไปกับ Michael ระหว่างทางก็คุยกันบ้างถึงเรื่องที่เราไปเที่ยวมา Michael ก็บอกว่า

" เมื่อเช้านั่งดู photo album ที่เราทำให้แล้วนะ รู้สึกว่าเราร่วมกิจกรรมกับครอบครัวเขาเกือบทุกอย่างเลย you do everything พวกเรา happy มากๆเลย ถ้าเป็นอัลบั้มของ Takae คงมีแต่ จิมๆๆ สินะ ....."

บรรยากาศในรถเริ่มเงียบ เพราะเราพยายามกลั้นน้ำตาอยู่

สุดท้ายเราถาม Michael ว่า

" Do the students always cry when they gonna leave your house ? "

Michael ก็ตอบว่า

"Many times"

เรายิ้มพร้อมคิดในใจว่า

' ไม่ต้องถามหาเหตุผลเลยว่าทำไมถึงร้องไห้....'

By NaliJourney

Nali

 วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 13.11 น.

ความคิดเห็น