สวัสดีค่ะ

ทริปวันเดียวเที่ยวเวียงจันทน์นี้ มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 8 คน พวกเราจองตั๋วเครื่องโปรแอร์เอเชีย กรุงเทพ – อุดรธานี ไปกลับ 214 บาท และเช่ารถตู้พร้อมคนขับให้มารับจากสนามบินอุดรไปส่งที่ด่านท่าเสด็จ จังหวัดหนองคาย และให้เจ้าของรถตู้ติดต่อเช่ารถตู้พร้อมคนขับทางฝั่งเวียงจันทน์ไว้ให้ด้วย ค่าเช่าเท่าไหร่จำไม่ได้แล้วค่ะ นั่งรถไปประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ไปถึงด่านค่ะ


ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว คนขับรถตู้ก็มารอรับพวกเราที่ด่านค่ะ

สำหรับทริปนี้ไม่มีโปรแกรมว่าต้องไปที่ไหนมั่งแต่ตกลงกันไว้แค่เช่ารถตู้หนึ่งวันและวันรุ่งขึ้นไปส่งที่ด่าน

รถที่เค้าเอามารับเป็นรถตู้ starex แปดที่นั่งแบบในรูปแต่พอใส่กระเป๋าพร้อมชาวคณะรถก็แน่นเป็นปลากระป๋องเลยหล่ะค่ะ


สถานที่ท่องเที่ยวแรก รถพาเรามาไหว้พระกันที่วัดสีสะเกด ค่าเข้าวัดคนละ 10,000 กีบประมาณ 40 บาทราคานี้ทุกวัดเลยค่ะ วัดสีสะเกดนี้พระเจ้าอนุวงษ์กษัตริย์ลาวในสมัยนั้นสร้างขึ้น และเหตุที่ชื่อว่าวัดสีสะเกดก็เพราะว่าวัดอยู่ใกล้วังเวลาที่ท่านเข้าบรรทมท่านจะหันพระเศียรมาทางวัดนี้

เห็นป้ายในวัดติดไว้เราก็เข้าใจว่าห้ามถ่ายรูปตะโกนบอกเพื่อนซะดัง เค้าห้ามถ่ายรูปนะ คนลาวแถวนั้นเลยบอกเราว่าป้ายนี้อ่านว่าห้ามไต้ธูป แปลเป็นไทยว่าห้ามจุดธูป ไม่ได้ห้ามถ่ายรูปในวัดแต่อย่างใด


เนื่องจากพวกเราไม่ได้จองโรงแรมไว้ล่วงหน้า เลยขอให้คนขับรถช่วยหาโรงแรมให้เค้าพาพวกเรามาที่โรงแรมนี้ค่ะชื่อโรงแรมไพไซ ค่าโรงแรมคืนละประมาณ 500 บาท ห้องใหญ่แต่โทรมและมีกลิ่นอับนิดหน่อยค่ะถ้าไม่เรื่องมากก็พออยู่ได้

ปล.ขออนุญาตปิดบังใบหน้าผู้ร่วมทริปนะคะ


เก็บสัมภาระข้าวของกันแล้วรถก็พาพวกเราไปช๊อปปิ้งกันค่ะ จำชื่อร้านไมได้แล้วของที่ขายส่วนใหญ่จะเป็นเหล้าค่ะ

แพคแกจสวยดูเพลินตาดีเหมือนกัน


ได้เวลาเที่ยง พวกเราไปกินก๋วยเตี๋ยวกันค่ะ ราคาชามเล็ก 50 ชามใหญ่ 70 บาท แต่ถึงแม้จะเรียกว่าชามเล็ก แต่ขนาดไม่ได้เล็กตามนะคะชามใหญ่มาก


เดินทางต่อไปที่หอพระแก้วบางคนก็เรียกวัดพระแก้ว ที่นี่เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต หอพระแก้วเคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2108 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากนครเชียงใหม่ อาณาจักรล้านนา เมื่อต้องเสด็จกลับมาครองราชบัลลังก์หลังจากที่พระราชบิดาคือพระเจ้าโพธิสารสิ้นพระชนม์ลง

ในการทำศึกสงครามกับประเทศสยาม เมื่อปี พ.ศ. 2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไป พร้อมทั้งกวาดต้อนราชวงศ์ชาวลาวกลับไปยังกรุงเทพฯมากมาย ประวัติศาสตร์ไทย – ลาวค่อนข้างอ่อนไหวเราในฐานะนักท่องเที่ยว ชื่นชมความงามของวัดก็พอค่ะ

พอออกจากวัด คนขับรถเค้าก็คุยโทรศัพท์ปลายสายประมาณว่าน้องชายไปมีปัญหาเรื่องการขโมยรถมอเตอร์ไซค์ เค้าก็เลยบอกพวกเราว่าเขาขอไปส่งที่โรงแรมแล้วไปเที่ยวกันเองได้ไหม เค้าต้องไปจัดการปัญหาของน้อง พวกเพื่อน ๆในทริปก็เห็นใจกันจะปล่อยเค้าไป แต่ด้วยความที่เราเห็นว่ามันไม่สมเหตุสมผลไง เราจ่ายเงินคุณไปแล้วตามข้อตกลงคุณต้องพาเราเที่ยวหนึ่งวันถ้าคุณทิ้งเราไปตอนนี้คุณจะคิดเงินเรายังไง จะคืนเงินให้เราไหมแล้วเราจะเที่ยวต่อกันอย่างไรเลยบอกเค้าไปว่าพวกเราไม่สะดวกที่จะหารถใหม่และไม่ได้ศึกษาการเดินทางมา ขอเที่ยวกันตามโปรแกรมเดิมละกัน คนขับรถก็เลยต้องยอมตามข้อตกลงเดิม (เราเข้าใจว่าเขาหลอกนะเพราะดูแล้วมันแปลก ๆ )

เดินทางต่อกันมาที่วัดพระธาตุหลวง เป็นพระธาตุใหญ่และสวยงามที่สุดในสปป.ลาว สร้างโดยช่างลาวโบราณ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรมและเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมของลาวล้านช้าง องค์พระธาตุหลวงเหลืองอร่ามดุจทองน้น เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

ด้านหน้าของพระธาตุหลวงมีอนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชตั้งอยู่


สถานที่ต่อไปประตูชัยมีรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีประตูสี่ด้าน หลังคาเป็นยอดช่อฟ้า 5 ยอด ด้านในใจกลางของประตูชัยมีป่องสำหรับจุดเปลวไฟ เป็นอนุสรณ์สมมติของดวงวิญญาณวีระชนนิรนาม ทั้งหมดแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นที่ 3 เป็นหลังคามียอดช่อฟ้า 5 ช่อ ตรงยอดช่อฟ้าใหญ่มีหอคอยให้ชมทิวทัศน์รอบด้าน ของเวียงจันทน์


อีกด้านหนึ่งของประตูชัยจะเป็นสวนสาธารณะ ก็จะมีชาวลาวมาเที่ยวพักผ่อนกันด้วย

มากันตอนเย็นแดดร่มลมตกอากาศดีไม่ร้อน บรรยากาศดีมากค่ะ


เพื่อร่วมทริปเริ่มบ่น ทำไมมีแต่วัดเลยได้ทีคนขับรถตู้พาพวกเราไปตะเวนซื้อของเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ สบายพี่เขาหล่ะได้ค่านายหน้ากันไป

หลังจากนั้นเค้าก็พาเราไปส่งที่โรงแรม ช่วงเย็นพวกเราก็ไปเดินเล่นริมโขงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมค่ะ บรรยากาศยามเย็นท้องฟ้าสีส้มสวยมาก

หลังจากที่เดินเล่นตลาดนัดริมโขงกันแล้ว ก็เดินหาร้านอาหารแถวนั้นเพื่อกินอาหารเย็นกันค่ะ

กินข้าวอิ่มแล้ว พวกเราก็อยากชมเมืองเวียงจันทน์ตอนกลางคืน เลยเรียกรถสกายแล็ปให้ไปส่งพวกเราที่เซ็นเตอร์พอย ลุงคนขับคิดค่ารถไป-กลับ 200 บาท ตกลงกันว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะมารับ ถึงเวลานัดลุงก็ยังไม่มาพวกเราก็เดินไปเรื่อย ๆ หาทางกลับโรงแรมแต่ก็ไม่มีรถผ่านมาเลย สักพักใหญ่ๆ ลุงก็ขับรถมาเจอพวกเราและพาพวกเราไปส่งที่โรงแรม สิ่งที่ดิฉันถืออยู่คือน้ำเต้าหู้ถุงละ 20 บาท อาหารที่ลาวแพงทุกอย่าง


เช้าวันต่อมา คนขับรถตู้ก็พาพวกเราไปตะเวนซ๊อปปิ้งกันที่ร้านค้าส่งของคนจีนในลาว ช๊อปปิ้งกันจุใจแล้วก็พาพวกเราไปส่งที่ด่าน ก่อนกลับฝากให้คนขับรถตู้ส่งไปรษณีย์บัตรจากลาวมาไทย แต่จนทุกวันนี้ไปรษณีย์บัตรก็ยังไม่ถึงไม่รู้เป็นเพราะไม่ส่งให้หรือไปรษณีย์ลาวทำหายกันแน่

ปิดทริปวันเดียวเที่ยวเวียงจันทน์

ขอบคุณที่เข้ามาชมรีวิวค่ะ

Tharasaki

 วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 13.46 น.

ความคิดเห็น