กราบสวัสดีทุกท่านครับ เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปร่อนเร่ในประเทศรัสเซียมาครับ ซึ่งเป็นช่วงค่าเงินกำลังลงพอดี ทั้งประเทศเหมือนติดป้าย Sale 40% เรียกว่าฟินมากๆ เลยขอมาแชร์ประสบการณ์ และวิธีการเอาตัวรอดเล็กๆในประเทศที่ "แข็งนอกนุ่มใน" แห่งนี้ครับ

ก่อนเริ่มขอท้าวความที่มาของทริปนี้สักนิดนึง ย้อนไปช่วงปีใหม่มีเพื่อนคนนึงทักมาพร้อมส่งลิ้งตั๋วเครื่องบินกรุงเทพ-มอสโควมาให้ในราคาไม่ถึงสองหมื่น เดินทางวันที่ 11-19 เมษา ช่วงหยุดสงกรานต์พอดี เจอแบบนี้รู้ตัวอีกทีก็โดนตัดบัตรเครดิตไปละครับ ทริปนี้จึงได้บังเกิดขึ้นโดยมีผู้มาร่วมติดสอยห้อยตามตากแดดตากฝนตากหิมะด้วยกันรวมแล้ว 5 ชีวิตครับ โดยจะใช้เวลา 5 วันที่ St. Petersburg และ อีกวันครึ่งใน Moscow ครับ (เดินทางวันครึ่ง) รวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างทั้งทริปประมาณ 35,000 บาทครับ **ค่าเงินตอนผมไป 0.58 THB = 1 RUB**


Part 1 : Moscow - St.Petersburg - Palace Square & The Hermitage

Part 2 : Highlight รอบกรุง St.Petersburg - Catherine Palace - Peterhof

Part 3 : The Moscow Kremlin - Red Square - Cathedral of Christ the Saviour


Day 1 : Bangkok-Novosibrisk-Moscow-St.Petersburg


แผนการที่วางไว้ เราจะนั่งเครื่อง S7 ไซบีเรียนแอร์ไลน์ จากสุวรรณภูมิ ไป Novosibrisk (OVB) ประเทศรัสเซีย และต่อเครื่องไป Moscow (DME) และต่อ Night Train ยาวไป St. Petersburg ครับ อาจจะดูถึกสักนิดนึง แต่ถือเราว่าเราได้พักผ่อนมาบนเครื่องด้วย เพราะเวลารวมๆที่บิน+ต่อเครื่องก็ปาไปเกือบ 14 ชั่วโมงครับ


เริ่มทริปที่สุวรรณภูมิเรา 5 คนนัดเจอที่เคาเตอร์ Check-in ของ S7 จะอยู่ขุดขอบด้านขวาเลยครับ ตอนแรกมองดูคนโล่งๆ แต่เอาเข้าจริงใช้เวลานานมากทั้งๆที่แค่ Luggage Drop (อาจจะเพราะคนที่ทำเป็นคนของสนามบินครับ แต่คนที่ Check-in เป็นรัสเซียเลยสื่อสารกันได้ช้า) ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง เราออกตม.แบบผ่านเครื่องโดยใช้สแกนพาสปอต สแกนนิ้ว และถ่ายรูป เดินทางถึง Gate ครับ บินรอบแรกต้องอยู่บนเครื่องบิน7 ชั่วโมง 25 นาที และไปต่อเครื่องที่ Novosibrisk (OVB) ซึ่งพนักงานบอกว่าต้องรับกระเป๋าและ Check-in ใหม่ที่นั่น



จะเห็นว่าใน Gate จะมีแต่คนรัสเซียเป็นส่วนใหญ่


บนเครื่อง Air ชาวรัสเซียตัวใหญ่มากครับ สูงหัวเกือบชนเพดานเครื่องบิน จะพูดอังกฤษได้บางคน และจะหน้านิ่งไม่ค่อยยิ้ม สังเกตคนรัสเซียที่ขึ้นมาด้วยพบว่าเค้าจะขยับทำนู่นนี่ตลอดเวลา เช่น เปิดปิดเอาของเรื่อยๆ เด็กรัสเซียจะวิ่งเล่นตลอกแนวทางเดิน บางช่วงถึงกับนั่งเอาเกมจิ๊กซอว์มาเล่นเลยครับ ช่วงแรกเครื่องบินจะร้อนมากกก คนรัสเซียบางคนถึงกับถอดเสื้อ (ผช.นะครับ 555+)



นั่งไปสักพักก็มีอาหารมาเสิร์ฟครับ จะให้มา 2 กล่อง กล่องข้าวกับกล่องของหวานเป็นลาย S7 สวยงาม แอร์ที่ไม่พูดอังกฤษจะถามง่ายๆว่า Fish or Chicken ครับ ผมเลือกอย่างหลังได้ไก่ผัดซอสมะเขือเทศ ในอีกกล่องจะมีขนมปัง 2 แผ่น แฮม 2 แผ่น ชีส 2 แผ่น ไส้กรอกสไลด์ 1 แผ่น และผักสำหรับประกบทำแซนวิท ของหวานมีเค้กกล้วยหอม เรียกว่าให้มาเต็มอิ่มเลยทีเดียว



วิวข้างทางไม่เห็นอะไรในช่วง 3-4 ชั่วโมงแรกครับ จากนั้นจะเริ่มมีวิวทะเลทรายให้เห็น เดาว่าเป็บแถบมองโกเลีย ต่อมาค่อยๆเปลี่ยนเป็นภูเขาหิมะ ทะเลสาบ และเมื่อใกล้ถึง Novosibrisk จะเป็นที่ราบสูงแซมหิมะ เมือง Novosibrisk ดูเป็นเมืองอุตสาหกรรมโทนสีเทาน้ำตาล มีบ้านติดๆกันแออัด มีตึกบ้างนิดหน่อย โรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงขุดทรายกระจายไปทั่วเมือง มีทะเลสาบบางช่วงยังจับแข็งอยู่เดาว่าน่าจะหนาวกว่าแถบ Moscow ครับ



ภาพแรกในประเทศรัสเซียครับ ได้มาเหยียบจริงๆซะที



เครื่องบินลงตรงเวลาที่ 17.35 ครับ พวกเราต้องรีบรับกระเป๋า ผ่านตม. และเดินข้ามไปตึก Domestic เพื่อ Check-in ใหม่ เนื่องจากมีเวลาแค่ 1.5 ชั่วโมง ค่อนข้างหวาดเสียวจะตกเครื่อง แต่เหมือตม.ก็รู้เค้าก็รีบๆทำให้ (ดูออกว่าพยายามช่วยเต็มที่ แต่เจ๊แกหน้าก็ยังบึ้งอยู่ดี) สุดท้ายก็มา Check-in แทบจะตรงเวลาปิดรับกระเป๋า ได้ขึ้นเครื่องตอน 19.00 ซึ่งก่อนเวลาเครื่อง Take off 15 นาทีเท่านั้น จะบอกว่าในวันนั้นคนรัสเซียจะเห็นภาพคนไทยวิ่งมาราธอนข้าม Terminal กันนับสิบคนครับ 555+



ถ้าถ่ายติดท่านใดก็ขออภัยด้วยครับ ขอยืนยันว่าวันนั้นเราก็หอบแฮ่กๆไม่ต่างกัน 555+



เครื่องรอบนี้เป็นเครื่องเล็กบินในประเทศจะถึง Moscow 20.40 ใช้เวลาบินประมาณ 4.5 ชม. ส่วนใหญ่จะหลับเพราะเวลาไทยมันดึกมากแล้ว (Novosibrisk จะช้ากว่าไทย 1 ชั่วโมงครับ ส่วน Moscow/St.Peter จะช้ากว่าไทย 4 ช.ม.) มีอาหารให้บนเครื่อง เป็นปลาผัดมักกะโรนี ขนมเป็นพวกขนมปัง ชีส ขนมหวานเคลือบช๊อคโกแลต ไฟล์ทนี้คนโหลงเหลงไม่เต็มเครื่องครับ จะเป็นคนไทยส่วนมาก



พวกเราถึงสนามบินตามเวลา 21.50 รับกระเป๋าและเดินออกได้เลยเนื่องจากผ่านตม.มาแล้วที่ OVB ใช้เวลาออกมารวมๆ 30 นาที เราจะนั่งรถไฟด่วนเข้าไปสถานี Metro กันครับ เดินตามป้าย AeroExpress เพื่อไปขึ้นรถไฟเข้าเมือง น้องในทีมจองออนไลน์และปริ้นตั๋วมาให้เรียบร้อย (คนละ 450 Rub) แค่สแกนบาร์โค้ดก็เข้าได้เลย รถไฟโล่งๆครับ อาจจะเพราะเป็นรอบดึก มี Wifi ให้บนรถด้วยแต่ไม่ค่อยแรงครับ มาๆหายๆ



สนามบินโดโมเดโดโว (Domodedovo Airport) ถ้านั่งสายการบิน Aeroflot เข้าใจว่าจะลงอีกที่นึงแต่มี AeroExpress วิ่งเหมือนกันครับ


วิ่งๆๆๆ วิ่งเข้าไป


สภาพ AeroExpress ครับ คล้ายๆ Airport Link บ้านเราเลย



นั่งรถไฟประมาณ 50 นาทีก็มาถึงสถานี Metro Paveletskaya (Павелецкая) เดินตามป้ายตัว M เพื่อลงไป Metro ได้เลยที่นี่เราต้องซื้อตั๋วเพื่อนั่งไปสถานี Komsomolskaya (Комсомо́льская) เป็นสถานีที่เชื่อมกับสถานีรถไฟ Leningrad (Ленингра́дский вокза́л) ซึ่งเราจะนั่ง Night Train ข้ามเมืองครับ มีที่ขายตั๋ว 2 แบบ คือเป็นตู้กด และช่องขายตั๋ว (ตู้กดบางตู้ไม่มีภาษาอังกฤษนะครับ) ผมเลือกซื้อที่ช่องขายตั๋วก่อน กะว่าจะซื้อที่เดียว 5 ใบสำหรับ 5 คนเลย แต่คนขายเค้าฟังอังกฤษไม่รู้เรื่อง เลยต้องใช้ภาษามือบอกเอาว่าจะเอากี่ใบ ตั๋วเป็นบัตรกระดาษราคารอบละ 50 Rub จะไปสถานีไหนก็ได้ครับ สแกนเข้าแล้วก็โยนบัตรทิ้งได้เลย


Metro อลังการสมคำล่ำรือครับ ทั้งพื้น เพดาน เสา ตกแต่งมาเต็มมาก แต่ไม่มีเวลาดูเท่าไหร่ครับ เพราะพวกเราต้องรีบไปขึ้นรถไฟให้ทันรอบ 23.50 ซึ่งลง Metro มาก็สี่ทุ่มกว่าแล้วครับ นั่งต่อไปทางสายสีน้ำตาล 1 สถานีก็ถึง Komsomolskaya (Комсомо́льская) ทางเดินข้างในยาวมากต้องเดินพักใหญ่ๆจึงจะออกมาได้ครับ Metro ที่นี่ให้ดูป้ายที่พื้นเป็นหลักนะครับ จะมีลูกศรชี้บอกทางไปที่ต่างๆ ถ้ามองป้ายข้างบนมันจะเป็นสถานียิบย่อยไปหมด ไม่มีภาษาอังกฤษด้วยนี่แหละ 555+



พอออกมาเจอปัญหาว่า พวกเราหาทางไปขึ้น Night Train ไม่เจอครับ เนื่องจากตรงนี้คล้ายๆชุมทาง มีที่ขึ้นเต็มไปหมด เราเดินงมจนงง เลยต้องถามคนแถวนั้นให้เค้าชี้ทางให้ (สื่อสารภาษามือล้วนๆ) ถามไปสองคนถึงค่อยหาเจอ โดยสถานีรถไฟที่เราจะขึ้นจะเป็น Long Distance Train จะอยู่ในตึกใหญ่มีหอนาฬิกาอยู่บนยอด อยู่ด้านหลังทางออก Metro



ตึกที่เราตามหากันครับ มีเงากะเหรี่ยง 4 คนติดมาด้วย


ภาพฝั่งตรงข้ามครับ



เมื่อเข้าสถานีแล้วจะมีเครื่องขายตั๋วครับ ตอนผมหาข้อมูลจะมีคนบอกว่าเครื่องเป็นภาษารัสเซีย ขอมาคอนเฟิร์มว่าปัจจุบันมีภาษาอังกฤษแล้วนะครับ ใช้งานได้สะดวกเลยทีเดียว เราเอาตั๋วกระดาษที่ปริ้นมาไปเปลี่ยนเป็นตั๋วจริงเพื่อความสบายใจ (จองล่วงหน้าจากในเวป http://pass.rzd.ru/ ครับ เป็นเวปของการรถไฟรัสเซียโดยตรง จองไม่ยากครับ มีภาษาอังกฤษแต่อาจจะงงๆบ้างนิดหน่อย ) จากนั้นออกไปหาอะไรรองท้องก่อนขึ้นรถไฟครับ โดยย้อนกลับไปทางเดิมที่เดินมา จะมีร้านขายของกินอยู่บ้างประปราย



พวกเราเข้าร้าน Kebab ที่เขียนว่า 24 hrs ข้างในเป็นเหมือน Pub&Restaurant มีพวกอาหารเป็นขนมปังยัดไส้ กับพิซซ่าวางอยู่ในตู้ให้เลือก คนขายไม่พูดอังกฤษอีกแล้ว (เริ่มชิน) เราชี้ขนมปังไส้หรอก กะว่าเอา 1 ชิ้น แล้วหาขนมปังอื่นอีกชิ้น แต่เจ๊เค้าให้มา 2 งงเลย แต่ไม่เป็นไรเพราะกะจะสั่งอีกชิ้นอยู่แล้ว ไส้กรอกอร่อย แต่ขนมปังแข็ง อาจจะเพราะอากาศเย็นด้วย มื้อนี้หมดไป 140 Rub ซื้อน้ำขวดเล็กเอาไปกินบนรถไฟอีก 60 Rub



จะขอเตือนนิดนึงว่า รถไฟที่นี่มาถึงก่อนเวลา และออกรถตรงเวลาเป๊ะ(กลับมามองรฟท.แล้ว #ร้องไห้หนักมาก) เน้นย้ำนะครับ ประเทศนี้ตรงเวลาแทบทุกอย่าง ถ้ารถออก 23.50 แปลว่าพอ 23.49 ปุ๊ป จนท.จะเหยียบคันเร่งรอแล้ว เข็มวินาทีแตะเลข 12 ล้อจะหมุนทันที (มโนว่ารถไฟมีคันเร่ง) มาช้าได้นอนค้างสถานีแน่นอนครับ



รถไฟขบวนที่พวกเรานั่งชื่อว่า Red Arrow ครับ เป็นรถไฟขบวนแรกที่วิ่งเชื่อมเมืองหลัก 2 เมือง Moscow-St. Petersburg จะออกจาก Moscow 23.55 ทุกคืน เคยหยุดวิ่งแค่ครั้งเดียวตอนเหตุการณ์ Siege of Leningrad สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ Red Arrow นั้นเป็นความภาคภูมิในของการรถไฟรัสเซียครับ เวลาจอดที่ชานชาลาจะมีเพลง "The Hymn to the Great City" เปิดคลอตลอดครับ และเป็นรถขบวนเดียวที่มีตู้นอนชั้น VIP ที่เหมือนนอนเตียงนอนจริงๆ (เค้าโม้ว่างั้นนะครับ)



เพลง"The Hymn to the Great City"ครับ >>> https://www.youtube.com/watch?v=I3IQvhJGcE4



แค่ผมนอนตู้ถูกสุด แค่นั้นก็ปาไป 3,192 Rub แล้วครับ ขณะที่ขบวนอื่นๆจะราคาตกอยู่ที่ 800-1,000 Rub แต่รอบดึกสุดที่มีให้จองตอนนั้นก็คือคันนี้ครับ ตอนหลังมาพบว่ามีรอบหลังเทียงคืนด้วย แต่ต้องรอใกล้ๆวันเดินทางจึงจะจองได้ครับ แนะนำให้ไปรอบนั้นจะดีกว่า



เมื่อเราถึงชานชาลา Red Arrow ก็จอดรออยู่แล้ว เป็นคันสีแดงทั้งขบวน มีสัญลักษณ์รัสเซียติดอยู่ ค่อนข้างสวยทีเดียว แต่ละโบกี้จะมีจนท.ยืนประจำอยู่ทุกทางเข้าคอยตรวจบัตรและบอกเตียงที่นอน เราเตียง 1 อยู่ห้องแรก ห้องนึงจะมี 4 เตียง ผมเข้าไปเจอป้าชาวรัสเซียมานั่งอยู่ก่อนแล้ว ห้องเราจองไว้ 3 เตียง ทำให้มีเตียงว่าง 1 ที่ ป้าเค้าใจดีมากครับ เค้าสอนให้เปิดเบาะ จะมีช่องเก็บกระเป๋า ดึงพนักเก้าอี้ลงมาจะเจอเตียงมีที่นอนผ้าห่มพร้อม บนโต๊ะมีอาหารกล่องให้ เค้าแจงมาเสร็จสรรพ (แต่หน้านิ่งมาก) สักพักจนท.ก็มาอธิบายการใช้งานของในห้อง มีปุ่มปรับ Temp แล้วก็ไฟบอกว่าห้องน้ำว่างหรือไม่ เรียกว่าครบครันมากขบวนนี้



ทางเดินครับ ทางซ้ายมือจะเป็นห้องๆ ข้างในเป็นเตียง 2 ชั้นกับโต๊ะครับ



นอกจากของเล่นมากมาย ของตกแต่งในห้องที่สวยงามเช่น ม่าน ผ้าปูโต๊ะ ไฟสำหรับอ่านหนังสือ และปลั๊กไฟ(สำคัญมาก) รถไฟขบวนนี้ยังมีอาหาร เช้าให้ด้วยครับ โดยจะมีให้เลือกสามอย่างคือ Oat Milk/Curd Pie/Cake เพื่อน 2 คนเลือก Oat Milk ผมเลือก Curd Pie ครับ ต้องเดากันว่าจะออกมาหน้าตายังไง



สภาพก่อนนอนครับ



พอจนท.ไปพวกเราก็ไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ไซส์พอๆกับห้องน้ำในเครื่องบิน อาบน้ำไม่ได้นะครับ พอเสร็จก็พับเตียงลงมานอน รถไฟติดฮีทเตอร์ไว้ครับ ดึกๆจะเริ่มหนาว เตียงนุ่มและนอนสบายมาก ในที่สุดก็จบการเดินทางในวันแรกซะที รู้สึกว่าเป็นวันที่ยาวนานจริงๆครับ


Day 2 Palace Square & The Hermitage


แผนวันนี้เราจะเข้าที่พักไปฝากกระเป๋า และเที่ยว Palace Square & The Hermitage ทั้งวันครับ ตอนเย็นถ้ามีเวลาเหลือก็จะไปเดินเที่ยวรอบๆที่พักครับ



ประมาณ 7 โมง จนท.เอาข้าวกล่องที่เลือกเมื่อคืนมาให้ Curd Pie เป็นแป้งเปรี้ยวๆมีพวกลูกพรุนประดับครับ มันเปรี้ยวมากจนกินไม่ไหว Oat Milk ก็คือข้าวโอ๊ตใส่นม อันนี้ก็ไม่ค่อยน่ากิน ไม่มีรสชาดด้วย คิดว่ากินไม่ไหวแน่ๆครับ เลยต้องเอาข้าวกล่องที่เค้าแจกเมื่อเย็นมากินแทนเป็นขนมปังพร้อมเนยกับชีส ฟรุตเค้ก โยเกิร์ต ทูน่ากระป๋อง (น่าจะมีอย่างอื่นปนนอกจากทูน่า มันเป็นคล้ายๆพุดดิ้ง แต่ก็อร่อยดีนะครับ)



โฉมหน้า Curd Pie เจ้าปัญหา



7.55 รถก็จอดที่ สถานีรถไฟ Moskovskaya ณ กรุง St.Petersburg น้ำตาจะไหล เรามาถึงแล้วจริงๆใช่มั้ยยย ลงจากรถไฟ มีเสียงเพลงเปิดดังก้องกังวาล แดดเช้าอ่อนๆ อากาศหนาวนิดๆ มันฟินมาจริงๆนะครัช

บรรยากาศรอบๆชานชาลา


ด้านหน้าของ Red Arrow ครับ


ภายในสถานี Moskovskaya คำสลักบนกำแพงคือคำว่า St.Petersburg ในภาษารัสเซีย



พวกเราเดินตามชานชาลาไปสุดทางก็เจอป้ายชี้ไป Metro ซึ่งจะตรงกับสถานี Mayakovskaya นี่ใช้เหรียญ Token เป็นหลักนะครับ เราซื้อจากคนขายหรือเครื่องขายตั๋วก็ได้ ค่ารถไฟครั้งละ 31 Rub ถ้าซื้อเหมาหลายเที่ยว (10 เที่ยว 295 Rub) จะถูกกว่านิดหน่อย ตอนซื้อตั๋วพยายามจะบอกคนขายว่าจะซื้อเหมา 10 เที่ยว แต่ไม่สำเร็จสรุปได้ Token มา 5 อันราคาปกติ แบบงงอีกแล้ว

ทางลงไปสถานีจะเป็นบันไดเลื่อนยาวลึกลงไปประมาณ 15 เมตร ลงไปนานมาก พอถึงใต้ดินจะมีป้ายบอกทางโดยจะมี 2 ที่ ป้ายที่พื้นจะบอกทางไปชานชาลาสายต่างๆ รวมถึงพวกทางออกต่างๆ ป้ายด้านบนจะเป็นป้ายบอกสถานีที่รถไฟในชานชาลานั้นจะพาไป ที่นี่มีป้ายภาษาอังกฤษนะครับ แต่ถ้าเป็นที่ Moscow จะเป็นภาษารัสเซียล้วนครับ ซึ่งถ้าเป็นสถานีที่เป็นชุมทางเราอาจจะต้องเดินขึ้นลง และผ่านชานชาลามากกว่า 1 ชานชาลา เพื่อขึ้นรถไฟครับ ซึ่งอาจจะกินระยะทางหลายร้อยเมตรก็เป็นได้



ถามว่าผมเอาเวลาเขียนบันทึกการเดินทางมาจากไหน จะบอกว่าเขียนตอนอยู่บนบันไดเลื่อนนี่แหละครับ มันนานมาก



บน Metro ป้ายบอกสถานีแต่ละขบวนจะไม่เหมือนกันนะครับ มีตั้งแต่แบบที่มีไฟกระพริบบอกสถานีที่เราอยู่ มีป้ายไฟวิ่งบอกสถานี จนถึงแบบที่มีแต่ป้ายกระดาษ ต้องนับสถานีเอง จริงๆมีเสียงตามสายบอกสถานีทุกขบวนครับ แต่จะฟังยากหน่อย ที่พักพวกเราอยู่ที่สถานี Nevsky Prospekt ครับ ทางออกจากสถานีมี 2 ทาง ผมไม่รู้ว่าต้องออกทางไหนครับเลยสุ่มเอา สรุปออกมาเป็นทางที่อยู่ไกลที่พัก Orz เลยถือโอกาสเดินเล่นบนถนน Nevsky Prospekt ไปด้วย ถนนเส้นนี้เป็นถนนท่องเที่ยวหลักของเมือง จะมีพวกร้านอาหารและขายของที่ระลึกอยู่รายทาง และจะมีโบสถ์วิหารเล็กๆให้เห็นเรื่อยๆครับ



ถนน Nevsky Prospekt ครับ กว้าง และสะอาดมาก



วิหารเล็กๆระหว่างทางครับ



โบสถ์นี้ตอนสายๆจะมีภาพเขียนมาวางขายด้านหน้าครับ ใครสนใจแวะเวียนมาได้ อยู่ไม่ไกลจาก Metro ครับ



การข้ามถนนที่นี่ใช้ระบมาตรฐานครับ คือถ้ามีไฟคนข้ามให้รอไฟเขียว ถ้าไม่มีไฟให้ข้ามได้ตลอด รถที่วิ่งมา(ควรจะ)ต้องหยุดให้ครับ



ที่พักของพวกเราชื่อว่า Friend Hostel ครับจองจากเวป Booking.com ดู Location จาก Google Street View ที่พักจะอยู่ในถนนติดแม่น้ำตรงข้ามกับ Kazan Cathedral ซึ่งจะสามารถมองเห็น Church of the Savior of the Spilled Blood ได้ไกลๆ จากการสังเกตประเทศรัสเซียตึกด้านหน้าที่ติดถนนส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าหรือสำนักงาน โดยจะมีซุ้มประตูเป็นระยะๆให้เดินทะลุตึกชั้นแรกไป ข้างในจะมีสวน และตึกเล็กๆอีกหลายตึก ซึ่งบรรดา hostel ก็จะอยู่ในนี้ครับ ทำให้การ Walk-in ค่อนข้างลำบากเพราะแทบไม่มีป้ายให้เห็นเลยครับ



ทางเข้าที่พักครับ ป้ายอันเท่าแมวจริงๆ(แปลว่าเล็กนะครับ 55+)



ที่พักที่นี่(และส่วนใหญ่ในรัสเซีย) ประตูจะล๊อคตลอดนะครับ เวลาจะเข้าต้องกดกริ่ง แล้ว Host จะปลดล๊อคให้ ตอนไปถึงยังเช้าอยู่พวกเรายัง Check-in ไม่ได้ แต่ฝากกระเป๋าไว้ได้ครับ Friend Hostel เป็นทาวเฮ้าส์ 4 ชั้น โดยชั้น 2 จะมีครัว และ Recreation Zone ให้ มีทีวี โซฟา ครัว และโต๊ะบอล ของตกแต่งเพียบ แม้แต่ในห้องน้ำยังมีหุ่นสไปเดอร์แมนอยู่บนเพดาน



แหล่งอาหารยามดึกของพวกเราครับ


จะบอกว่าตอนแรกที่เจอหัวใจจะวาย



พอเตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเราก็ออกเดินทาง เป้าหมายของวันนี้คือ Palace Square & The Hermitage ครับ ซึ่งประกอบไปด้วย พิพิธภัณฑ์ Hermitage พิพิธภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากลูฟท์ มี Collection ภาพเขียนกว่า 3 ล้านชิ้น ซึ่งเป็น Collection ที่ใหญ่ที่สุดในโลก, Winter Palace พระราชวังฤดูหนาว และ Palace Square



การจะไปที่ The Hermitage สามารถไปได้สองทางครับ คือจะนั่ง Metro ไป 1 สถานีแล้วเดินต่ออีกนิด หรือจะเดินเท้าไปเลยก็ได้ครับ ใช้เวลาต่างกันไม่มาก ซึ่งพวกเราใช้วิธีเดินเท้าไปจากที่พักครับ จะผ่านหน้า Kazan Cathedral ที่อยู่ติดกับที่พัก (ชนิดที่ว่าเปิดหน้าต่างมาก็เจอแล้ว) และเดินตามถนนสายหลัก Nevsky Prospekt ไปใช้เวลาเดินชมนกชมไม้ประมาณครึ่งชั่วโมงครับ



Kazan Cathedral



St.Petersburg จะมีแม่น้ำไหลผ่านทั้งเมืองครับ เราจะเจอสะพานเป็นระยะๆ



ถึง 9 โมงปลายๆ The Hermitage ยังไม่เปิด จึงถ่ายรูปเล่นรอตรง Palace Square ไปก่อน จากตรงนั้นก็จะมองเห็น St.Isaac Cathedral ด้วย เลยออกจาก Palace Square จะเป็นสะพานข้ามไป Vasilyevsky Island ครับ ซึ่งผมวางแผนจะไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นในวันถัดๆไป



Palace Square



ถ้ามองย้อนไป จะเห็น St.Isaac Cathedral ครับ อลังการงานสร้างมากทีเดียว



ประมาณ 10.30 กว่าๆเราก็ไปต่อคิวซื้อตั๋ว ซึ่งคิวยาวออกมาข้างนอกเลยครับ จะมีหลักๆเป็นแก๊งทัวน์จีน กับกรมตำรวจรัสเซีย คาดว่ามาทัศนศึกษา(มั้ง? 55+) ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ และ Winter Palace ที่อยู่ติดกัน 600 Rub ครับ มีป้ายห้ามถ่ายรูป ต้องฝากเสื้อโค้ท และกระเป๋าใบใหญ่ไว้ด้านหน้าก่อนเข้า The Hermitage จะมีจุดรับฝากอย่างดีครับ



พอเข้าไปจริงๆเจอว่าไม่ต้องฝากกล้องก็ได้ครับ แถมทั้งนักท่องเที่ยว และชาวรัสเซียถ่ายรูปกันสนุกสนานเลย เข้าใจว่าห้ามถ่ายของเค้าน่าจะหมายถึงตั้งขาตั้งยึงแฟลซแหละครับ Fail ไปนิดนึง ไม่เป็นไร เอามือปาดน้ำตาและหยิบไอโฟนมาถ่ายแทน



ภายใน The Hermitage สวยงามมากครับ ทองประดับประดาเต็มไปหมด โดยที่นี่จะแบ่งเป็นโซนๆ ชั้นล่างจะเป็นกองทัพรูปปั้นจำนวนมหาศาล และบรรดาวัตถุโบราณจากอียิปต์ มีสุสานฟาโรห์ และมัมมี่ด้วยนะจ๊ะ



ทองอร่ามมากกก


รูปปั้นผญ.ที่นี่สังเกตว่าจะไม่อ่อนช้อยบอบบาง แต่ดูแข็งแกร่งดุดันหยิ่งพยองมากกว่า


สุสานฟาโรห์ส่งตรงจากอียิปต์เชียวนะ แต่ไม่มีคำอธิบายภาษาอังกฤษ //กราบลา



ชั้นสองจะมีสามส่วนใหญ่ๆครับ คือส่วนที่จัดแสดงห้องต่างๆในวัง โดยแต่ละห้องก็จะมีสไตล์ และคอนเซปที่แตกต่างกัน ซึ่งต่างก็ถูกออกแบบโดยศิลปินระดับปรมาจารย์ของรัสเซีย อีกส่วนใหญ่จะเป็นห้องแสดงงานศิลปะแบ่งตามศิลปินผู้สร้างสรรค์งานนั้นๆ ซึ่งหลายๆห้องเป็นชื่อของศิลปินที่คุ้นหูเราเป็นอย่างดีเช่น Leonardo DaVinci และส่วนสุดท้ายจะเป็นส่วนที่แสดงสมบัติของราชวงศ์ครับ ไม่ว่าจะเป็นรถเลื่อน เครื่องประดับ รูปพอตเทรตของเชื้อพระวงศ์ พรม ฯลฯ



ภาพเขียนอลังการงานสร้างมาก ห้องแบบนี้มีเป็นสิบห้องเลยครับ


บรรดาข้าวของเครื่องใช้ของราชวงศ์โรมานอฟ



ชั้นสามจะมีขนาดเล็กที่สุดครับ จะเก็บงานศิลปะของประเทศแถบตะวันออกกลาง และเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย จีน ญี่ปุ่น รวมถึงงานศิลปะในยุคหลังตั้งแต่ Picasso ไปจนถึง Modern Art และถ้าชะโงกมองนอกหน้าต่าง จะเห็นวิว Palace Square จากมุมสูงด้วยครับ



เศร้ามาก อยากเอากล้องใหญ่มาจริงๆ



พวกเราเดินดูตั้งแต่ 10.30 จนถึง 14.00 เพิ่งดูชั้น 2 ครบชั้นเดียวครับ ล้ามากจนต้องลงมาพักกินข้าวใน cafe อยู่ชั้น 1 ครับ จะมีข้าวกล่องอุ่นเวฟ เป็นไก่ทอดกับมันอบ 220 Rub + coke 1 ขวด 100 Rub จากนั้นผมรีบๆเดินดูชั้น 1 กับ 3 ต่อ เพื่อจะได้ไปดู Winter Palace ซึ่งอยู่อีกตึกให้ทัน (จนท.บอกว่าปิดสี่โมง) ในที่สุด 15.30 ก็ชะโงกทัวน์จนครบและออกไป Winter Palace ครับ ปรากฎว่ามันปิดตั้งแต่ 3 โมงแล้ว โดนหลอกซะงั้น! Fail ไปตามๆกัน



จนท.ที่แสนดี เห็นเราหน้าหงอยๆกันที่ไม่ได้ไป Winter Palace เลยบอกว่ายังมีอีกตึกนึงที่เข้าไปดูได้ อยู่ตรงข้าม Palace Square ใช้ตั๋วเดียวกับ The Hermitage ได้ครับ พวกเราจึงเดินข้ามไปดูตึกนั้นPalace Square ตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนออกมาพักผ่อน ก็บ่ายวันอาทิตย์นี่เนอะ ตรงหน้าทางเข้ามีรถม้าจอดอยู่ สามารถนั่งเที่ยวชมเมืองได้ครับ รอบๆจะเห็นคนขี่จักรยาน เล่นโรลเลอร์สเกต หรือเครื่องเล่นอะไรแปลกๆมากมาย บางคนก็มานั่งเล่นนอนเล่นเฉยๆ มีกลุ่มเด็กนักเรียนอนุบาลมาซ้อมละคร มีวัยรุ่นเล่นฮอคกี้กันสนุกสนาน มีคนมาพรีเวดดิ้งด้วย ตอนนี้ Palace Square ดูมีชีวิตชีวามากและอบอุ่นมากครับ ใครว่ารัสเซียคนดุ น่ากลัว ไม่จริ๊งไม่จริง



คุณม้ายักษ์



ตามที่เที่ยวจะมีคนใส่ชุดยุคก่อนมาให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วยครับ



กว่าจะเดินถึงตึกตรงข้ามก็เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วครับ เพราะเรามัวแต่ดูบรรยากาศรอบๆ รัวชัตเตอร์ไปตามเรื่อง ตึกที่ว่านี้ (ไม่รู้ชื่อ) จะเป็นที่เก็บสิ่งของต่างๆที่รัสเซียครอบครองไว้ (เดาว่าเป็นของที่ล้นจาก The Hermitage) ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเครื่องใช้โบราณ ชุดต่างๆ และของขวัญที่ได้จากต่างแดน เดินหาของไทยนานมาก มาเจออยู่ห้องสุดท้าย เป็นเครื่องทองลายสุพรรณหงส์ และงาช้างครับ



ภายในตึกครับ ดูอาร์ทมากเลย


Gift From Siam



พวกเราดูที่นี่ไม่นานครับ อาจจะเพราะเหนื่อยล้ามากแล้ว เลยตัดสินใจกลับที่พักกัน เพื่อ Check-in และอาบน้ำอาบท่ากันให้เรียบร้อย ห้องพักผมเป็นห้องสามคน ราคาจะแพงกว่า Dorm ทั่วไปนิดหน่อย มีทีวี ตู้ โซฟา เตียง 2 ชั้น(ชั้นล่างจะยาวให้ 2 คนนอน) ห้องน้ำแยก โดยรวมห้องน้ำสะอาด และมีเพียงพอ Host ใจดี น่ารักและ Helpful มากพูดอังกฤษคล่องปรี๊ด ราคาห้องพัก 4 คืน (2,930 Rub) +ค่า Register (250 Rub)


เรื่อง Register ทางที่พักจะจัดการให้ครับ โดยถ้าอยู่รัสเซียนานเกิน 3 วันต้องทำไว้ อาจจะมีกรณีตำรวจมาขอดูได้ครับ แต่ 8 วันที่ผมเดินร่อนเร่อยู่ในรัสเซียยังไม่เคยเขอครับ


อาบน้ำเสร็จมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้ฝนตกปรอยๆแล้ว ในแอพพยากรณ์อากาศเรียกว่า shower ครับ เหมือนเป็นละอองน้ำปลิวในอากาศมากกว่าจะไม่ทำให้เราเปียกโชก แค่ชื้นๆ ซึ่งเราเจออากาศแบบนี้แทบจะทุกเย็นใน St.Petersburg เนื่องจากปีนี้หน้าร้อนมาช้า เมษายังเป็นคาบเกี่ยวฤดูอยู่ แนะนำว่าถ้าจะมาเที่ยวให้ครบจริงๆควรมาหลังเดือนพ.ค.ครับ เพราะน่าจะไม่มีฝน และบรรดาที่เที่ยวต่างๆจะเปิดครบ ถ้ามาหน้าหนาวจะที่เที่ยวจะปิดหลายแห่งมาก บางช่วงถึงกับเอาสังกะสีมาคลุมปิดรูปปั้นเลยครับ


พักผ่อนเรียบร้อยพวกเราก็ออกไปหาอะไรกินกัน จากอากาศตอนนี้เลยไปไหนไกลไม่ได้ เราลยหาเอาบนถนน Nevsky Prospect นี่แหละ ร้านอาหารมีให้เห็นเรื่อยๆครับ พวกเราเข้าร้าน Market Place ซึ่งอยู่ไม่ไกลที่พัก สังเกตป้ายเค้าจะเด่นมาก ข้างในจะแบ่งเป็นโซนๆครับ โซนนึงขายสเต๊ก อีกโซนขายพวกเส้นๆผัดๆ (Stir fried) อีกโซนเป็นอาหารบ้านๆ พวกมันอบ เนื้อบด ครับ เจ้าของร้านเป็นสาวรัสเซียที่พูดอังกฤษได้ ก็เข้ามาช่วยอธิบายนิดหน่อยว่าสั่งยังไง ไปจ่ายตังที่ไหน



วิธีสั่งอาหารในรัสเซียง่ายๆก็ใช้วีธีจิ้มเอาครับ เพราะคนขายส่วนใหญ่ไม่พูดอังกฤษ ต้องเสี่ยงดวงเอาว่าไอ้เนื้อบดที่สั่งมามันคือเนื้อของตัวอะไร และเวลาจ่ายเงินเค้าจะไม่ค่อยรับเงินจากมือเท่าไหร่ สังเกตทุกร้านจะมีถาดใส่เงินครับ เค้าจะให้เราวางเงินบนถาด เวลาทอนเค้าก็จะใส่ในถาด ครับ มื้อนี้ผมสั่งมันบดสีแปลกๆ เนื้อบด ปลานึ่งราดซอสแปลกๆ กับน้ำส้มจืดๆแก้วนึง โดนไป 491 Rub น้ำตาจะไหล (หลังๆมีแพงกว่านี้ TT) ตอนจิ้มมัวแต่จ้องว่ามันคืออะไรลืมดูราคา (ตอนกินเจอว่ามันบดมันมีแซลมอนอยู่ข้างในด้วย พอรับได้นิสนึงงง)



กินเสร็จฝนยังไม่ยอมหยุด แถมหนักขึ้น เลยรีบพุ่งกลับที่พัก จริงๆวันนี้ผมแบกขาตั้งกล้องมา กะว่าฝนหยุดจะไปถ่ายรูปเมืองยามค่ำคืน แต่ก็ยอมแพ้แล้ว วันนี้ยาวทั้งวัน ตอนเช้าก็เพิ่งลงจากรถไฟ ก่อนกลับแวะร้านสะดวกซื้อแถวที่พัก ซื้อน้ำขวดใหญ่ (60Rub) และเบียร์รัสเซีย (65 Rub) มาจิบก่อนนอน วันนี้จะได้นอนบนเตียงจริงๆซะทีนะครับ


ที่นี่เบียร์ถูกมากกกก



พูดถึงวัฒนธรรมแปลกๆของชาวรัสเซีย ลืมเล่าไปเรื่องนึงครับ ตอนเครื่องบิน Landing ผู้โดยสารชาวรัสเซียจะตบมันกันกรูตอนเครื่องแตะพื้นครับ เหมือนแสดงความยินดีอะไรซักอย่าง แรกก็งงๆเค้าทำอะไรกัน หลังๆก็เนียนตบตามครับ เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องถือตะหลิวตาม//ผิด



ขอจบ Part 1 แต่เพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณผู้อ่านทุกๆคนมากนะครับ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ในการท่องเที่ยวรัสเซียของผู้อ่านทุกคนนะครับ ผมจะพยายามทำ Part 2 ออกมาเร็วๆนี้ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ



***ภาพในรีวิวนี้ส่วนใหญ่จะถ่ายด้วย Fuji X-E2 + XF18-55 + XF55-200 ครับ มี iPhone ปนมาบ้างนิดหน่อยครับ***


สรุปค่าใช้จ่าย 2 วันนะครับ

-ค่าเครื่องบินไปกลับ 17,620 B

-ค่า AeroExpress 243 B

-ค่า Night Train 1,683 B

-ค่าที่พัก 4 คืน 1,701 B

-ค่าเที่ยว/กิน 1,302 B

รวม 13,739 B

Mountain Seal

 วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 09.31 น.

ความคิดเห็น