Part 1 : Moscow - St.Petersburg - Palace Square & The Hermitage

Part 2 : Highlight รอบกรุง St.Petersburg - Catherine Palace - Peterhof

Part 3 : The Moscow Kremlin - Red Square - Cathedral of Christ the Saviour


กราบสวัสดีทุกท่านอีกครั้งนะครับ ยินดีต้อนรับกลับสู่ 8 Day With Her "Mother Russia" - Part 2 นะครับ โดย Part นี้จะเป็นเรื่องราวการเที่ยวรอบๆกรุง St.Petersburg ในวันที่ 3-4-5 ของทริปนะครับ ซึ่งแพลนคร่าวๆเป็นดังนี้ครับ


Day 3

- Catherine Palace

- St.Issac's cathedral & Colonnade Walkway

Day 4

- Vasilyevsky Island

- Peter & Paul Fortress

- St.Petersburg Mosque (แว๊บเข้าไป 15 วินาที)

- Church of The Savior of The Spilled Blood & Museum of stone

Day 5

- Peterhof

ภาพทั้งหมดในรีวิวนี้ถ่ายจาก Fuji X-E2 นะครับ พกเลนส์ไป 2 ตัวคือ XF18-55 และ XF55-200 จะมีภาพจากกล้อง iPhone 5 ปนมาบ้างนิดหน่อย ค่าเงินตอนผมไป 0.58 THB = 1 RUB ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในรีวิวนี้จะใส่เป็น Rub ทั้งหมดนะครับ


Day 3 Catherine Palace/St.Issac's catheral

ตอนเช้าผมตื่นประมาณหกโมงเช้าครับ เวลาเดียวกับที่ตื่นไปทำงานเป๊ะ เลยแวะออกมาเดินถ่ายรูปข้างนอกนิดนึง อากาศเย็นสบายครับ แต่ฟ้าไม่เปิดเลยครึ้มๆขาวๆ เดินไปแค่ตรงถนนใหญ่ก็กลับมาอาบน้ำครับ โชคดีที่ๆที่พักผมอยู่ใกล้กับ Kazan Cathedral และสามารถมองเห็น Church of The Savior of The Spilled Blood ได้ครับ เลยไม่ต้องไปไหนไกลก็มีอะไรให้ถ่ายรูป

ถนน Nevskiy Prospect เดินจากที่พักแค่ 3 นาทีกว่าก็ถึง

Kazan Cathedral อันนี้ออกจากช่องประตูมาก็เจอเลย วนมาด้านหน้านิดนึง

จากริมถนนมองไปไกลๆก็จะเห็น Church of The Savior of The Spilled Blood

พวกเราออกจากที่พักประมาณ 8 โมงครับ แผนวันนี้คือจะไปเที่ยว Catherine Palace ซึ่งอยู่นอกเมืองครับ แรกสุดเราแวะกินข้าวเช้าที่ร้านอาหารแถวๆที่พักก่อนครับ เป็นร้านเคบับ คนขายไม่พูดอังกฤษเลย คุยภาษามือด้วยก็ยังงๆกันอยู่ สุดท้ายได้ลุงร้านของชำข้างๆช่วย เค้าพูดอังกฤษได้นิดหน่อย ผมสั่งอาหารชุด (เพราะมีรูป ชี้ง่าย 55) ชุดละ 195 Rub เป็นเนื้อเคบับกับผัก มันต้มหั่น และแป้งโรตีครับ

กินเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินเลียบถนน Nevskiy Prospect เพื่อไปนั่ง Metro ไปลงที่สถานี Moskovskaya และขึ้น Minibus ไป Catherine Palace ครับ โดยตอนเดินขึ้นจาก Metro ก็งงๆกับทางออก(อีกแล้ว) เผอิญเจอคนไทยอีกกลุ่ม ท่าทางมึนๆมาเหมือนกันครับ เราแยกไปคนละทางกับเค้า โดยกลุ่มนั้นไปถามทางคนรัสเซียที่ผ่านมา ส่วนพวกเราลองเดินตามที่หนังสือนำเที่ยวบอก คือไปบริเวณหลังรูปปั้นหน้า The House of Soviets ซึ่งสามารถมองเห็นตึกนั้นได้ตั้งแต่ขึ้นจาก Metro เลยครับ

The Monument of Vladimir Lenin at The House of Soviets

ก่อนถึงจุดที่หนังสือนำเที่ยวบอก เพื่อนในทีมแวะถามทางคนรัสเซียคนนึงครับ เห็นเค้ายืนรอรถบัสอยู่ (เค้าพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมาก) แต่ตัวเค้าเองก็ไม่รู้ว่า Catherine Palace จะต้องไปยังไงจากทีนี่ ถึงกับเอาสมาทโฟนมาเสิร์จหาให้ 15 นาทีผ่านไปไม่สำเร็จ สุดท้ายเค้าก็แนะนำให้ขึ้น Taxi บอกให้โหลดแอพสำหรับเรียก Taxi แนะนำบริษัทแทกซี่ที่ควรขึ้นไม่ควรขึ้นมาเสร็จสรรพ เรียกว่าเซอวิสสุดๆ พวกเราก็ขอบคุณและเดินต่อไปโดยรู้สึกผิดอยู่ในใจนิดๆว่าทำเค้าเสียเวลาไปเกือบครึ่งช.ม.

พวกเราเดินไปตรงหลังรูปปั้นตามหนังสือนำเที่ยวบอกครับ ตรงนั้นจะคล้ายๆวินรถตู้ มีรถ Minibus จอดอยู่หลายคัน แต่ละคันก็จะมีเขียนไว้ว่าไปจอดที่ไหนเหมือนของไทยนี่แหละครับ ที่เที่ยวที่ดังๆก็จะมีภาษาอังกฤษกำกับไว้ พวกเราเดินไปถึงคนขับก็ลงมาถามภาษาอังกฤษเลยว่าไป Catherine Palace มั้ย รถคนที่ผมขึ้นจะเป็น Minivan สาย 342 ค่ารถคนละ 36 Rub ครับ คนขับดูอารมณ์ดียิ้มตลอด เห็นผมยกกล้องขึ้นถ่ายก็มีโพสท่าให้ถ่ายรูปด้วย(จริงๆผมจะถ่ายป้ายข้างรถเค้า 55+) รถจะไม่ออกทันทีนะครับ ต้องรอจนคนเกือบเต็มรถจึงค่อยออก และขณะขับก็จะจอดรับคนเรื่อยๆ ที่นั่งเต็มผู้โดยการก็จะยืนเกาะราวเอาจนแน่นรถครับ

ข้างรถจะมีตัวเลขและมีรายละเอียดสถานที่ๆผ่านครับ ถ้าเป็น Metro ก็จะมีสัญลักษณ์ตัว M

คนขับรถครับ

รถวิ่งออกนอกเมืองประมาณ ครึ่งชม.ก็จอดหน้า Catherine Palace ครับ สังเกตไม่ยากก่อนถึงรอบๆจะเป็นคล้ายๆหมู่บ้าน ทางเข้าจะมีร้านขายของฝากเป็น Kiosk ตั้งเรียงกันอยู่ มองเลยไปจะมองเห็นยอด Palace เป็นทองอร่ามครับ วังเปิด 10.30 พวกเราไปถึงพอดีๆเวลาเปิด ข้างในมีสองส่วน คือ สวน และวังครับ พวกเราเดินผ่านสวนด้านหน้าไปนิดนึงก่อนจะเราเข้าไปในวัง หนีทัวน์จีนที่ตามเรามา วังด้านหน้ากำลังอยู่ระหว่างการซ่อมแซมบางส่วนครับ ก็เลยมีนั่งร้านตั้งระเกะระกะกับ มีผ้าคลุมวังส่วนนั้นอยู่ Fail ไปนิดนึง TT มาหน้าหนาวต้องทำใจ

Catherine Palace สีฟ้าสดใส ตัดกับยอดสีทองอร่าม สวยสุดๆ


สวนด้านหน้าครับ รีวิวนี้จะไม่มีรูปเต็มๆทั้งวังนะครับ ไม่อยากถ่ายให้ติดส่วนที่เค้าซ่อมอยู่ครับ

เข้ามาด้านซ้ายมือจะมีเคาเตอร์ขายตั๋วครับ ค่าเข้าคนละ 400 RUB ต้องฝากสื้อหนาวและกระเป๋าใบใหญ่ มีห้องเก็บให้ กระเป๋าใบเล็กๆกับกล้องถ่ายรูป เอาเข้าได้ครับ พอเข้าไปแล้วเค้าจะให้เราสวมถุงคลุมรองเท้า และรอรวมกันในห้องก่อนครับ และค่อยทยอยปล่อยคนเข้าเป็นรอบๆ แต่พอเข้าไปแล้วก็เดินแยกกันอยู่ดี เพราะไกด์คนที่นำพูดภาษารัสเซียล้วนครับ ถ้าเราอยากรู้ประวัติห้องนั้น ต้องไปอ่านที่ป้ายเอา ซึ่งป้ายในประเทศนี้จะเขียนอธิบายเป็นภาษารัสเซียสัก 3 Paragraph และแปลเป็นภาษาอังกฤษประมาณ 3 บรรทัดครับ -/\- ผมขอแนะนำว่าถ้ามีเวลา อ่านประวัติล่วงหน้ามาคร่าวๆจะอินกว่าครับ ตอนผมไปใช้วิธีแอบฟังทัวน์อื่นๆอธิบายอังกฤษครับ 555

ห้องโถงใหญ๋ครับ อร่ามมมม

ห้องที่นี่จะประดับด้วยทองทั้งนั้น เป็นวังที่มีทองเยอะที่สุดเท่าที่เห็นมาครับ

พระนางเจ้าแคทเธอรีนที่ 1 พระมเหสีของปีเตอร์มหาราช ผู้สั่งให้สร้างพระราชวังแห่งนี้

ภายในวังจะเเบ่งเป็นห้องๆตามปีกของวังเดินวนตามปีกครบรอบจะกลับมาที่เดิมครับ แต่ละห้องไม่ใหญ่มาก เล็กกว่า The Hermitage มาก แต่ละห้องจะดีไซน์เหมือนๆกัน ประดับด้วยทองซะส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีภาพวาด และจะเน้นเรื่องประวัติของสถานที่กับวิถีชีวิตของคนสมัยนั้นมากกว่าครับ ซึ่งแต่ละห้องจะมีจนท.คอยคุม จะกันไม่ให้คนเข้าเยอะไป ตามกรุ๊ปที่แบ่งมาตอนแรก แต่พวกเราก็เนียนไปทั่วกับทุกกรุ๊ปครับ บางห้องจนท.จะไม่ให้เราหยุดดูด้วยครับ เป็นห้องสีโทนเขียวธีมห้องเป็นธีมจีนหน่อยๆ ลายผนัง แจกันต่างๆก็เป็นลวดลายจีน พอผมหยุดยืนดู จนท.ก็จะกวักมือไล่ เหมือนแบบว่าจะไว้ให้เดินผ่านเฉยๆ ห้ามดูนาน (แปลกดีเนอะ - -*)

คุณป้าจนท.ครับ จะนั่งประจำทุกทางเข้าออกห้อง

ที่นี่มีไฮไลท์คือ Amber Room หรือห้องอำพัน ที่จะเป็นห้องสีแดงส้ม ประดับด้วยอำพันทั้งห้อง จริงๆแล้วนี่เป็นห้องที่สร้างขึ้นมาใหม่ ห้องอำพันเดิม เค้าว่ากันว่ายิ่งใหญ่อลังการถึงชั้นเรียกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่แปดของโลก แต่ห้องถูกรื้อถอนไปตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 และก็ได้หายสาบสูญไประหว่างการเคลื่ยนย้ายจนเป็นปริศนาจนทุกวันนี้ ห้องนี้ห้ามถ่ายรูปแบบจริงจัง จะมีจนท.มาคอยไล่ถ้าเห็นคนยกกล้องครับ

พวกเราได้เจอกับกลุ่มคนไทยที่หลงทางด้วยกันตอนแรกด้วย เค้ามาด้วยรถ Bus โดยนั่งจากฝั่งตรงข้ามครับ เค้าบอกมันจะอ้อมๆหน่อย ใช้เวลาเกือบชั่วโมงนีงครับ

พอเดินวังครบรอบก็ถึงเวลาออกไปเดินชมในสวนบ้างแล้ว ออกไปข้างนอกอากาศก็เริ่มเย็น(มาก)และครึ้มแล้ว ผมชอบติดปากเรียกอากาศแบบนี้ว่ามัน "เยือกๆ" (มาจากเย็นยะเยือก) คือหนาวมาก โดยที่ไม่มีลม ฟ้าไม่มืดแต่ก็ไม่มีแดดครับ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าวันไหนอากาศมาแนวนี้วันรุ่งขึ้นหิมะจะตกครับ ใครมาเที่ยวช่วงเมษา ผมแนะนำว่าควรจะแต่งตัวหนาๆมาเผื่อจะต้องเจอหิมะนะครับ ผมเองตอนแรกก็ลังเลว่าจะเอาเสื้อหนาวกันหิมะมามั้ย สุดท้ายก็ตัดสินใจพกมา และก็ได้ใช้ตัวนี้ตลอดวันที่อยู่ที่นี่ครับ


อีกคำแนะนำนะครับ คนรัสเซ๊ยส่วนใหญ่จะใส่ชุดสีหม่นๆ ดำเทาน้ำตาล อะไรแบบนี้ เวลาไปเที่ยวถ้าไม่อยากสะดุดตามากให้หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าสีสดใสนะครับ อย่างในรูปด้านล่างเป็นตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องนะครับ เพื่อนที่ไปด้วยบอกว่าเดินตามผมยังไงก็ไม่หลงครับ มองเห็นสีเป้ตั้งแต่หัวถนน orz

ไม่แนะนำให้ลอกเลียนแบบเป็นอย่างยิ่ง ;___;

ในสวนจะมีทะเลสาบใหญ่อยู่ตรงกลางครับ จะมีเป็ด ฟงส์ และนกนางนวลจะมาบินวนถ้ามีคนให้อาหารครับ รอบๆจะมีตึกยิบย่อยนิดหน่อยให้เดินไปชมครับ จะมีชาวรัสเซียมาเดินเล่นรอบๆสวน บางคนก็พาลูกมา บางคนก็วิ่งจ๊อคกิ้งครับ ดูมีชีวิตชีวาตัดกับสภาพอากาศมากเลย


<3 <3 <3

พวกเราเดินวนรอบทะเลสาบถ่ายรูปชมธรรมชาติ (ซึ่งต้นไม้ส่วนใหญ่จะมีแต่กิ่ง) ที่ผมเดินผ่านและดูเป็นไฮไลท์ก็จะมี Hermitage เป็นวังเล็กๆครับ กับ Turkish Bath ไม่แน่ใจว่าคือตึกอะไร ตึกต่างๆตอนผมไปมันเข้าไปไม่ได้นะครับ ไม่แน่ใจว่าหน้าร้อนจะเปิดหรือเปล่า และก็ไม่มีป้ายอธิบายอะไรเท่าไหร่ เลยต้องเดาๆเอาว่ามันคืออะไรบ้าง จนประมาณบ่ายสองกว่าๆ ฝนทำท่าจะตกเลยต้องรีบหนีกลับครับ

แผนผังในสวนครับ ผมเดินแค่เส้นที่ติดกับทะเลสาบครับ

ถ่ายเล่นกันนิดนึง

นกรัสเซีย :3

Hermitage จะสีโทนเดียวกับ Catherine Palace เลยครับ

Turkish Bath

ตรงทางออกไปริมถนนใหญ่จะมีร้านอาหารอยู่ ขายพวกอาหารยุโรป เลยแวะเข้าไปกินข้าวครับ จริงๆคือทริปนี้ไม่เคยได้กินข้าวเที่ยงตรงเวลาสักวันเลยครับ อย่างวันนี้กว่าจะออกจากสวนมาก็บ่ายสองครึ่งแล้ว ข้าวในวังก็แพงเกินจะทานไหวครับ ออกมาเจอร้านในสภาพหิวโซ ราคาก็พอรับได้ ก็เลยไม่คิดแล้ว เข้าไปนั่งก่อนเลย คุยกันรู้เรื่องมั้ยว่ากันอีกที (ที่นี่เด็กเสิร์ฟพูดอังกฤษได้ครับ รอดไป 55) ผมสั่งเนื้อผัดครีมเห็ด ราคา 280 Rub กับ homemade orange juice 180 Rub ไปครับ ชื่อดูน่ากินดี อาหารอร่อยดีครับ น้ำส้มก็สดชื่นมาก แต่มาน้อยไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่

เนื้อผัดกับซอสครีมเห็ดครับ อร่อยทีเดียว

วิธีกลับจาก Catherine Place นะครับ เราใช้วิธีนั่งรถ Minibus จากป้ายรถเมล์ที่อยู่ใกล้ๆวังครับจะมีรายละเอียดบอกว่ารถคันไหนผ่านป้ายบ้างซึ่งมีสาย 342 สายที่พวกเรานั่งมาผ่านด้วย แต่ถ้าไม่คิดมากก็เลือกขึ้นคันที่ด้นข้างมีสัญลักษณ์ Metro ก็ได้ครับ พอรถมาคนขับรถก็หยิบตาให้ ผมก็งงๆอยู่สัก 5 วินาที ค่อยสังเกตว่าพวกเราเจอคนขับคนเดิมพอดี โชคดีมากกก ค่ารถเท่าเดิมกับขามาครับ นั่งยาวไปประมาณ 40 นาทีก็ถึงสถานี Moskoskaya พวกเราก็แวะเดินเล่นรอบๆ House of Soviets นิดนึงจนฝนเริ่มโปรยอีกรอบเลยรีบกลับลง Metro ครับ

รูปปั้นเลนนินอีกรูปครับ เป็นรูปปั้นที่ดูมีพลังมาก

พวกเรานั่งรถไปลง Admiralteyskaya เพื่อไปวิหาร St. Isaac ต่อครับ จะเข้าวิหารจะต้องเดินไปซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วก่อน ซึ่งจะอยู่ด้านข้างวิหารครับ ตั๋วจะมี 2 อันคืออันที่ใช้เข้าข้างใน Museum 250 Rub และ Colonnade Walkway 150 Rub เป็นทางเดินด้านบนเพื่อดูวิวเมือง St.Petersburg ครับ ถ้าในหน้าร้อนเราสามารถขึ้นไปดูวิวตอนกลางคืนได้ด้วยครับ แต่ในหน้าหนาวเค้าจะให้ขึ้นแค่ถึง 17.30 ครับ ปิดจริงๆ 18.00 ครับ

ข้อเสียนึงของที่นี่คือความที่วิหารใหญ่โตมโหฬารมาก ทำให้หามุมถ่ายรูปยากมากเช่นกัน (มีผ้าคลุมอีกแล้ว TT)

อันนี้รูปที่ถ่ายจาก Palace Square ครับ ตรงหน้าวิหารถ้าจะถ่ายให้เห็นครบแบบนี้ได้คงแทบจะต้องนอนราบกับพื้นครับ

ตอนนั้นจะห้าโมงแล้ว พวกเราเลยเลือกขึ้นไปดูวิวก่อน หลังจากเดินหอบแฮ่กๆขึ้นบันไดวน 190 ขั้น ด้านบนจะเป็นระเบียงเล็กๆวนรอบยอดวิหาร จะเห็นวิวเมือง St.Petersburg 360 องศาครับ วิวสวยมาก เนื่องจากเป็นเมืองที่ไม่มีตึกสูงทำให้เราเห็นสถานที่สำคัญๆเกือบครบเลย เสียดายฟ้าไม่ค่อยเปิด

เล่นเอาขาสั่นเลยทีเดียว

ลานด้านหน้าวิหารนะครับ จะมีรูปปั้นพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 ตั้งอยู่


Church of The Savior of The Spilled Blood ใช้เทเลส่องเข้าไปดูครับ

ด้านหน้าคือ The Admiralty building ที่เห็นไกลๆคือ Peter&Paul Fortress ครับ


The Trinity Cathedral

จะเห็นได้ว่าแค่เราขึ้นไปบน Colonnade Walkway ก็จะสามารถเห็นสถานที่สำคัญๆของ St.Petersburg ครบหมดเลย ใครที่อยากเที่ยวให้ครบทั้งเมืองแต่ขี้เกียจเดิน แนะนำให้พกเศษเหรียญมาหยอดกล้องส่องทางไกลส่องดูที่นี่เลยครับ แค่วันเที่ยวก็เที่ยวได้ทั้งเซนต์แล้ว 55+

ทีนี้ถึงคราวด้านในวิหารบ้าง ทันทีที่เหยียบเข้าไป ตัวผมนี่สตั๊นอยู่สัก 10 วินาทีได้ คือข้างในอลังการมาก ทั้งภาพเขียนบนเพดาน เสา แชงกรีล่า คือใหญ่โตแบบไม่เคยเห็นมาก่อน (ตัวผมไม่เคยเที่ยวแถบยุโรปมาก่อน ไปแค่ใน AEC) คือไม่รู้จะถ่ายรูปยังไงให้อลังการเท่าของจริง ในความรู้สึกคือมันพีคมากในสายตา แต่เฟลมากในภาพถ่าย ฝีมือไม่มากพอจริงๆ มันอลังการจนน้ำตาจะไหล ใครอยากเข้าใจความอลังของที่นี่ แนะนำ >> http://www.s7.ru/


อธิบายเป็นคำพูดหรือถ่ายมาเป็นรูปยากมากจริงๆ

วิหาร St. Isaac เป็นวิหารแบบออโทด๊อกที่ใหญ่ที่สุดในโลกนะครับ การันตีความอลังการจริงๆ เราอยู่ซึมซับวิหารแห่งนี้จนถึงเวลาปิดครับ จึงเดินกลับที่พัก โดยลัดออกมาผ่านอนุสาวรีย์พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 เลาะทางข้างหลังไปเป็นเส้นตรงครับ ผ่านร้านอาหารชื่อเป็นภาษารัสเซียหน้าตาคล้ายๆ Canteen เลยแวะเข้าไปดูครับ ราคาไม่แพงเลย อาหารอร่อยใช้ได้ด้วย สั่งไก่อบ ผักผสมชีส และมันต้มหั่น + น้ำ ราคารวม 285 ได้เยอะมาก กินอิ่มหนำสำราญมากมื้อนี้ (แต่คนขายไม่พูดอังกฤษนะครับ จิ้มรัวๆเช่นเคย)

บรรยากาศร้านครับ สังเกตง่ายๆด้านหน้าร้านจะมีรูปธงชาติหลายๆประเทศแปะอยู่

ระหว่างทางผ่าน Market ด้วย สังเกตจากการจ้องทะลุหน้าต่างเข้าไป เลยแวะเข้าไปดูครับ เนื่องจากของราคาถูกกว่าไทย (ถ้าใช้ Rate เก่า) + ค่าเงินตก ทำให้ราคาถูกเข้าไปอีกครับ โฮลการ์เด้นขวดละ 89 Rub คิดเป็นเงินไทยประมาณ 45 บาท (ต้องรั้งมือไม่ให้กวาดทั้งชั้นลงตะกร้า) น้ำขวดใหญ่ราคา 16 Rub นี่คือโดนหลอกให้ซื้อราคา 60 มาตลอดสินะ

ผมลองซื้อเบียร์รัสเซียมาชิม Baltika 9 แบรนด์นี้จะมีเลขตั้งแต่ 0-9 คิดว่าคงเป็นดีกรี ดูจาก 0 เขียนว่า Non-Alc. 9 จะเขียนว่า Premium Strong ครับ ซื้อขนมปัง แฮม ชีส นม มาทำแซนวิชสำหรับกินตอนเช้าด้วย ซื้อช๊อคโกแลตที่เป็นลายเด็กผญ.ที่เค้าว่าอร่อยมาลองกิน อันละ 9 Rub ชิ้นเล็กๆ และก็ซื้อน้ำราคา 16 Rub มา 2 ขวด


เหมือนเจอขุมทรัพย์


ไม่แน่ใจว่าซื้อเด็กผญ.มาถูกคนรึป่าวนะครับ 55

พวกเราออกจากร้านเดินต่อไปสักพักใหญ่ๆ ก็รู้สึกว่าไม่ถึงสักที เลยเปิดแมพดู เจอว่าเดินเฉออกจากที่พักมาไกลแล้ว พวกเราก็เลยออกไปเดินในถนนเส้นใหญ่เพื่อความชัวครับ บนถนนจะมีตลาดเล็กๆ จะเป็น Kiosk ซะส่วนใหญ่ ขายพวกของชำ และของสด ปลาสดก็มี ผ่านไปอีกสักพักเริ่มหิวน้ำแล้ว ก็เลยแกะน้ำที่ซื้อมาดื่มกัน เจอว่ามันเป็นโซดา! orz คงเป็นสาเหตุที่มันราคาถูกสุดในร้าน ( แบรนด์ที่กินประจำใน Market มันจะราคา ประมาณ 20 Rub)

ทางที่พวกเราเดินมามันทะลุเข้าด้านหลังของซอยที่พักครับ ทำให้เราเจอร้านค้าเยอะแยะซ่อนอยู่ตามซอกตึก เช่นร้านขายยา ร้านขายพวกเค้ก ทีรามิสุ บาร์ ร้านเหล้า ฯลฯ ผมแวะซื้อไอติมมาชิมก่อนถึงที่พัก 55 Rub คล้ายๆแมคนั่ม แต่อร่อยกว่า(มั้ง? หรือเพราะอากาศมันเย็นก็ไม่รู้ 55) และก็กลับถึงที่พักได้อย่างปลอดภัยตอนประมาณสามทุ่มครับ


Day 4 Peter & Paul Fortress / Church of The Savior of The Spilled Blood

วันนี้แพลนไว้ว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Vasilyevsky Island ที่อยู่อีกฝากของแม่น้ำ Neva ตรงข้าม The Hermitage ครับ โดยพวกเราออกเดินทางตอนตีห้า เอาอุปกรณ์ที่จะใช้ทำแซนวิชใส่กระเป๋าไปด้วย วันนี้ฝนตกๆหยุดๆเป็นละอองเล็กๆอีกแล้วครับ ได้แต่หวังว่าพอไปถึงฟ้าจะเปิดซักนิดนึง พวกเราเดินตามเส้นเดียวกับที่ไป The Hermitage ครับ แต่เดินเลยข้ามสะพานไป รวมๆก็ประมาณครึ่งชั่วโมง จนแล้วจนรอดฟ้าไม่เปิดครับ Fail ไป ถือว่ามาเดินออกกำลังกายก็แล้วกัน

ขากลับพวกเราแวะกินข้าวที่ร้านพิซซ่าระหว่างทาง พี่ในทีมหมายตาไว้หลายวันแล้ว ราคาถูกมาก ถาดกลางถาดละ 290 Rub สั่งมา 2 ถาดหน้าเห็ด กับหน้ามาการีต้ากับไข่ กินกัน 5 คนอิ่มหนำสำราญเลยทีเดียว


พิซซ่าหน้าเห็ดครับ ใครที่เดินไป The Hermitage น่าจะคุ้นๆกับร้านนี้นะครับ

เป้าหมายต่อไปของเราคือ Peter and Paul Fortress ครับ อันนี้เป็นความเข้าใจผิดเล็กๆ คือพวกเราคิดว่าป้อมเปิดตอน 11.00 ครับ เลยตัดสินใจกลับที่พักไปก่อน แต่ความเป็นจริงป้อมเปิดตั้งแต่ 6.00 ครับ ส่วนตัวโบสถ์ในป้อมจะเปิด 10.30 ครับ

การเดินทางไปป้อมนะครับ ถ้าจาก Vasilyevsky Island เดินข้ามสะพานไปอีกสะพานนึงก็ครับ แต่เนื่องจากเรากลับมาที่พักแล้ว เลยใช้วิธีนั่ง Metro ไปสถานี Gor'Kovskaya ครับ ขึ้นมาเดินต่อไปผ่านสวนอีกนิดนึงก็ถึงป้อมแล้ว ค่าเข้าในป้อมฟรีครัย แต่ถ้าจะเข้าโบสถ์จะเสียค่าเข้า 250 Rub ถ้าจะดูคุกที่ขังนักโทษการเมืองด้วยต้องเสียอีก 150 Rub และมันจะมีตั๋วแบบเหมาทั้งสองที่จะเสียแค่ 350 Rub พวกเราเลือกซื้อเหมาไปครับ ห้องน้ำในป้อมจะเสียตังค์นะครับ ครั้งละ 20 Rub นอกจากนั้นภายในป้อมจะมีตึกแสดงนิทรรศการต่างๆครับ เช่น หุ่นขี้ผึ้ง ห้องทรมาน DaVinci's Secret ซึ่งต้องเสียค่าตั๋วเข้าต่างหาก 300 Rub ต่อนิทรรศการครับ อันนี้พวกเราไม่ได้เข้าไปดูครับ กะว่าถ้าเวลาเหลือหลังจากเข้าโบสถ์กับคุกแล้วจะกลับมาดูสักอันนึง


ทางเข้าป้อมนะครับ จะมีสัญลักษณ์นก 2 หัวของรัสเซียติดอยู่ที่ซุ้มทางเดิน

Peter and Paul Cathedral หอระฆังของโบสถ์นี้เป็นหอระฆังแบบ Orthodox ที่สูงที่สุดในโลกครับ


ในป้อมจะมีไฮไลท์หลักๆที่ผมไปอยู่ 4 ที่ครับ 1.เดินออกไปนอกกำแพงป้อม เป็นหาดทรายไว้ดูวิว 2.พิพิธภัณฑ์ประวัติเมือง St.Petersburg ตั้งแต่ยุคหินยันยุคอุตสาหกรรม 3.Peter&Paul Cathedral สุสานของราชวงศ์โรมานอฟ 4.คุกขังนักโทษการเมือง

พวกเราเริ่มจากเดินไปดูหาดก่อน ซึ่งอยู่ด้านนอกกำแพงป้อมครับ ที่นี่สามารถเห็นวิว The Hermitage และ St.Isaac จากอีกฝั่ง และสามารถลงไปเดินในหาดทรายได้ยาวไปจนถึงสะพานที่ข้ามจาก Vasilyevsky Island เลย



เดินเลาะกำแพงป้อมไปเรื่อยๆจะเจอชายหาด

เปิดตัวทีมงานทั้ง 4 คนครับ


จากนั้นก็เข้าไปดูในพิพิธภัณฑ์ครับ ส่วนใหญ่เป็นภาษารัสเซียซะเยอะ ธีมของพิพิธภัณฑ์ค่อนข้างเน้นในเรื่องการคมนาคมซะเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่สมัยไวกิ้งยาวจนถึงยุคอุตสาหกรรม มีทั้งเรือ รถยนต์ รถไฟ และก็พวกข้าวของต่างๆจัดแสดงไว้ครับ





พอออกมาก็เลยเที่ยง(อีกแล้ว) พวกเราเลยมากินข้าวในร้านอาหารในป้อมครับ จะซ่อนอยู่ตรงซุ้มประตูเลย มีป้ายเล็กๆตั้งไว้ ข้างในเป็นแบบ Canteen ครับราคาแอบแรงนิดๆ สั่งเนื้ดบด + เนื้อย่างเสียบไม้ใส่หอม + อะไรบางอย่างที่คล้ายๆข้าวกล้อง รวมแล้ว 400 Rub ครับ



เนื้อย่างจะไม่มีรสเลยถ้าไม่กินกับหอมที่ให้มา เนื้อบดรสชาดเหมือนเนื้อบดครับ ส่วนข้าวเดาว่าน่าจะเป็นธัญพืช กรุบๆดี

กินเสร็จแล้วก็กลับเข้าไปในป้อมต่อ ฝนเริ่มโปรยหนักขึ้นเลยรีบเข้าไปดูใน Peter&Paul Cathedral ครับ อลังการเช่นเคย แต่เจอ St.Isaac ไปทำให้ความรู้สึกตื่นเต้นมันลดน้อยลง ภายในโบสถ์จะเป็นสุสานของราชวงศ์โรมานอฟครับ มีป้ายบอกไล่ตั้งแต่กษัตริย์องค์แรก พระเจ้าปีเตอร์มหาราช จนถึงองค์สุดท้าย พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ถ้าสังเกตราชวงศ์ชุดสุดท้าย จะสวรรคตในปีเดียวกันหมดนั่นคือปี 1918 หลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติรัสเซียครับ หลังจากพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 สละราชบัลลังก์ ราชวงศ์โรมานอฟถูกกุมขังและปลงพระชนม์ 1 ปีต่อมาโดยกำลังของฝ่ายบอลเชวิกครับ


สุสานของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชกษัตริย์องค์แรก และพระนางเจ้าแคทเธอรีนที่ 1 พระมเหสี


สุสานของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่2 กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ

จากนั้นก็เข้าไปดูคุกต่อครับ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ก็เป็นคุกขังนักโทษการเมืองสมัยนั้น ผมไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้เท่าไหร่ แต่เพื่อนผมพยายามเดินหาห้องขัง Aleksandr Ulyanov พี่ชายของเลนนินครับ (อยู่ห้องท้ายสุดเลย)

สภาพห้องขังนะครับ นักโทษจะมีแค่เตียงแบบนี้จริงๆ หน้าหนาวจะทรมานมาก

ตอนนี้ฝนตกหนักมากและเรามีแผนจะต้องไปอีก 2 ที่คือ St.Petersburg Mosque และ The Savior of The Spilled Blood เลยยอมตากฝนรีบไปดู St.Petersburg Mosque ครับ อยู่ไม่ห่างจากป้อมมาก มองเห็นได้ง่าย เพราะตัวมัสยิดมีสีฟ้าสดใส ผมไม่ได้ถ่ายรูปด้านนอกมาเพราะฝนตกหนักมาก และเค้าเอาผ้าคลุมเพื่อซ่อมแซม(อีกแล้วว) Fail มากอันนี้ เพราะขนาดมีผ้าคลุมยังดูสวยเลยครับ

นอกจากจะคลุมผ้าข้างนอกแล้ว ข้างในก็ยังซ่อมอยู่ด้วย แถมมีนั่งร้านมาคลุมโคมระย้าที่เป็นไฮไลท์หมดเลย Fail แบบแฮตทริก ไปเรียบร้อย พวกเรานั่งหลบฝนกันในนั้นสักพักหนึ่งก็ออกมาครับ ไม่กล้านั่งนาน เพราะมีคนเข้ามาละหมาดเรื่อยๆ

ฝนเบาลงนิดนึง เราเดินฝ่าไปขึ้น Metro อันเดิมกลับไปที่พักครับ กะว่าถ้ายังหนักอยู่จะยก The Savior of The Spilled Blood ไปวันพรุ่งนี้แทน แต่พอถึงหน้าที่พักฝนเริ่มตกซาเป็นละอองน้ำแล้ว พวกเราเลยตกลงจะเดินต่อไปที่ The Savior of The Spilled Blood ครับ ถึงฝนจะซาแล้ว แต่ลมเริ่มแรง และอากาศก็เย็นขึ้นเรื่อยๆครับ ร้านขายของที่ระลึกที่อยู่ระหว่างทางก็ทยอยเอาผ้ามาคลุมของกันแล้ว

ที่ซื้อตั๋วเข้าโบสถ์จะอยู่ด้านนอกนะครับ ค่าเข้าโบสถ์ 250 RUB และดู Museum of Stone อีก 150 RUB ครับ พวกเราเข้าไปดูในโบสถ์ก่อน ความอลังการของที่นี่คือ เป็นโบสถ์หลังคาสูงมาก และภาพในโบสถ์ทั้งหมดเป็นกระเบื้องโมเสคมาประกอบสวยงามมาก ความอลังการอาจจะไม่เท่า St.Isaac แต่สีสันความงามขอยกให้เป็นที่ 1 ในทริปนี้ครับ โดยส่วนตัวผมชอบที่นี่ทั้งด้านนอกและด้านในครับ ชอบมากกว่า St.Basil ที่ Moscow อีก (St.Basil ผมไม่ได้เข้าข้างในนะครับ)

ฟินนนครับ นะจุดๆนี้

ดูข้างในโบสถ์จนครบแล้วพวกเราก็ออกไปดู Museum of Stone ต่อครับ เป็นตึกเล็กๆอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโบสถ์ครับ ข้างในเล็กมาก เดินวนรอบ ประมาณ 50 ก้าว ก็ตกก้าวละ 2 Rub พอดี orz เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับหินโดยเฉพาะ โดยจะมีรายละเอียดว่าแต่ละภาพแต่ละวิหารในรัสเซียใช้หินอะไรสร้างขึ้นมาบ้าง แต่เป็นภาษารัสเซียล้วนๆนะครับ ต้องดูรูปและมโนไป ห้ามถ่ายรูปจริงจังครับ

วันนี้เราเก็บแลนด์มาร์คครบหมดแล้ว ก็ถึงเวลากลับที่พักครับ ข้างนอกตอนนี้สภาพอากาศเริ่ม Extreme ขึ้นเรื่อยๆ ลมพัดแรงขึ้นกว่าเดิมจนร้าน Kiosk ต้องปิดหมด อากาศเริ่มเย็นขึ้นไปอีกจนแม้แต่ตอนหายใจก็มีไอน้ำออกมาครับ ฝนเป็นละอองโปรยปรายไปทุกทิศทาง และเริ่มตกลงมาช้าลงๆ จนกลายเป็นปลิวแทน ใช่แล้วครับขณะนี้หิมะตกแล้ว!! ณ ใจกลางกรุง St.Petersburg คุณพยากรณ์อากาศที่บอกผมว่าอากาศช่วงนี้เฉลี่ย 10 องศามันคืออัลไล!! นับว่ารอดตายอย่างหวุดหวิดที่เอาเสื้อหนาวกันหิมะสีฟ้าเด่นเป็นสง่าตัดกับเป้สีแดงเฉิดฉายตัวนั้นมาด้วย

สภาพอากาศจะแย่แค่ไหน แต่เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ พวกเราจึงจำใจเดินเลยที่พักออกไป เพื่อหาที่กินข้าว ซึ่งก็เจอร้านที่เป็น Canteen อยู่ถัดไปไม่ไกลมากครับ ผมไม่หิวเท่าไหร่เลยสั่งแค่ปลานึ่งกับมันต้ม 190 Rub ไม่รู้ว่าเป็นปลาสปีชีย์ไหนนะครับ แรกๆก็อร่อยดี หลังๆเริ่มรู้สึกแห้งและเลี่ยน กินกันเสร็จก็กลับที่พักไปพักผ่อนครับ

วันนี้ถึงที่พักเร็วเพราะโดนหิมะไล่มา ผมเลยลงไปนั่งเล่นตรงพื้นที่ส่วนกลางครับ เอาน้ำขวดไปเติม เล่นโต๊ะบอล ฯลฯ พยายามทักคนที่พักด้วย แต่ส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซียทั้งนั้นเลย สื่อสารกันลำบากครับ แถมสักพักมีเด็กรัสเซียมาวิ่งเล่นเสียงดังมาก เดาว่ามีโรงเรียนประถมมาพักที่นี่ด้วย เพราะรู้สึกเหมือนมีเด็กๆมาล้อมเล่นโต๊ะบอลฟากละ 11 คนพอดี (ไปเตะจริงเลยมั้ยฮะะะ)



สิ่งสุดท้ายที่ทำในวันนี้ครับ คือสิ่งที่เราลืมมันไปตั้งแต่เช้า มีใครจำได้มั้ย? ใช่แล้วครับ แซนวิทที่เราเอาใส่กระเป๋าไปตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้งานเลย พวกเราก็เลยได้มื้อดึกมาอีกมื้อนึงครับ ตามมาด้วยการนอนหลับพักผ่อนหลังจากวิ่งหนีฝนมาทั้งวัน การร่อนเร่ในวันนี้ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ครับ


Day 4 Peterhof

ผมตื่นมาตอนหกโมงกว่าๆตามเวลาวันทำงานเป๊ะเช่นเคย อากาศวันนี้เย็นกว่าเมื่อวาน ผมออกไปเดินเล่นที่ถนน Nevskiy Prospect เหมือนเดิมครับ ฟ้าก็ไม่เปิดเหมือนเดิมครับ แต่ ณ จุดๆนี้แค่ฝนไม่ตกก็ดีใจมากแล้ว

8 โมงพวกเราออกเดินทางจากที่พักไปหาข้าวเช้ากิน เดินข้ามมาตรงเส้นที่อยู่ตรงข้ามที่พักครับ เจอร้าน Canteen อีกร้านนึง ราคาใกล้เคียงกับ Canteen อื่นๆครับ สั่งเนื้อบดกับไก่ กินกับข้าวสีส้มราคา 204 Rub ไก่อร่อยมาก เนื้อบดก็เป็นเนื้อบดเช่นเคย ข้าวจะแฉะๆหน่อยครับ สีส้มไม่มีนัยสำคัญอะไรกับรสชาด ด้านนอกหิมะเริ่มตกปรอยๆอีกแล้ว วันนี้เราจะไปพระราชวัง Peterhof กัน โดยเริ่มจากลง Metro ไปสถานี Avtovo ครับ เพื่อขึ้น Minibus ตรงไปพระราชวัง Peterhof เลย

พอขึ้นมาจากสถานีต้องเดินลงอุโมงข้ามฝากไปอีกด้านครับ จะเจอ Minibus จอดรอกันเป็นแถว มีป้ายหน้ารถชัดเจนว่า Peterhof ค่ารถ 60 Rub นั่งรถประมาณ 30-40 นาทีก็ถึงหน้าวังครับ จุดสังเกตคือจะผ่านโบถส์ใหญ่ทรงคล้ายๆ The Savior of The Spilled Blood. แปลว่าป้ายหน้าจะต้องลงแล้ว พอลงก็เดินย้อนไปตามแนวกำแพงใหญ่ๆก็จะเจอทางเข้าสวนครับ ส่วนนี้เรียกว่า Upper Garden เป็นสวนใหญ่ก่อนถึงวัง มีบ่อน้ำกับรูปปั้นนิดหน่อย จากสวนถ้าจะเข้าไปในส่วนวัง และ Lower Garden จะต้องอ้อมไปเข้าด้านข้างครับ ถ้าเป็นหน้าร้อนจะเสียค่าเข้าตรงนี้ทีนึง แต่ช่วงนี้ถือเป็นหน้าหนาว เลยไม่เก็บตังเดินเข้าได้เลย

Upper Garden

ให้สังเกตตึกนี้ครับ ทางเข้าวังจะอยู่ข้างๆตึก

พอเข้ามาแล้วจะเจอน้ำพุแซมซั่นปราบสิงโตอันโด่งดังครับ สีทองอร่ามงดงามหมดจรดมาก ปกติเค้าจะเปิดน้ำพุตอน 11 โมงครับ แต่ช่วงนี้หน้าหนาวเลยไม่เปิด Fail ไปอีกรอบ ไม่เปิดน้ำพุไม่พอ ในบ่อก็ไม่ใส่น้ำอีก


น้ำพุเล็กแห้งพิเศษต้มยำ ระหว่างทางครับ

ตอนนี้อากาศยังดีอยู่ พวกเราเลยลงไปเดินใน Lower Garden ถ่ายรูปรอบน้ำพุ และเดินต่อไปดูตึกอื่นๆในสวนก่อน แต่พบว่าบรรดาตึกทั้งหลายยังปิดอยู่เพราะเป็นหน้าหนาวเลยได้แค่เดินวนรอบเฉยๆครับ และแวะออกไปดูวิวทะเลนิดนึง บริเวณนี้จะเป็นอ่าวฟินแลนด์ครับ อากาศเริ่มอึมทึม สักพักหิมะเริ่มตกหนักจนต้องรีบกลับเข้าไปในวัง


ไม่ว่าที่ไหนก็จะมีคนมาให้อาหารนกครับ เป็นในไทยนี่นกพิราบคงครองเมืองไปแล้ว

อ่าวฟินแลนด์ ไว้สักวันนึงจะหาโอกาสข้ามไปครับ

ส่วนของวังจะมีสามส่วนหลักๆครับ(ที่คนขายตั๋วบอก) แบ่งเป็นตัววัง ปีกซ้าย และปีกขวา ค่าเข้าส่วนละ 500 Rub แต่ถ้าเหมารวมจะเสีย 1,300 Rub นอกนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์ยิบย่อยอีก ซึ่งถ้าจะเข้าทั้งหมดจะเสียประมาณ 6,000 Rub (VIP) ที่นี่ต้องฝากโค้ทและกระเป๋า ห้ามถ่ายรูปแบบจริงจังเช่นกันครับ พวกเราเลือกเหมา 1,300 มา เข้าวังและปีก 2 ข้าง ตัววังหลักจะคล้ายๆ Catherine Palace ข้างในเป็นห้องๆ ที่ต่างจากทือื่นคือวังนี้มีห้องที่ตกแต่งด้วยภาพฝาผนังแบบจีนอยู่หลายห้องมาก

ออกมาด้านนอกหิมะเริ่มตกหนักจริงจัง เป็นเม็ดๆเลยครับ ปีกอีก 2 ข้างทางเข้าจะคนละทางกับวังหลัก ต้องไปรับเสื้อหนาวกับกระเป๋าที่ฝากไว้ เดินออกมาข้างนอก เข้าไปในปีกด้านข้าง ฝากเสื้อหนาวกับกระเป๋าอีกรอบ ค่อนข้างยุ่งอยู่ ตอนจะเดินเข้าไปในปีกถ้าไม่โชว์ตั๋วให้จนท.เห็นตั้งแต่ทางเข้า เค้าจะโบกมือไล่เราไปซื้อตั๋วที่ตรงวังหลักนะครับ ตอนแรกหวกเราไปปีกด้านขวา พอเดินเข้าไปจนท.โบกมือไล่จนเราคิดว่ามันปิด สักพักเห็นนักท่องเที่ยวเข้าไปได้ คราวนี้ผมเลยเดินเอาตั๋วแปะหน้าฝากเข้าไปกลัวเจ๊แกจะไล่อีก ปรากฎว่าเข้าได้โดยสวัสดิภาพครับ เพราะฉะนั้นใครจะไปที่นี่ จำไว้นะครับ เอาตั๋วแปะหน้าฝากก่อนเข้า

ปีกทั้งสองข้างนั้น เล็กมากครับ รู้สึกไม่คุ้มราคา 500 Rub (จริงๆไม่เข้าก็ได้) ปีกนึงจะแสดงพวกของใช้ต่างๆ เช่น แหวน เสื้อผ้า เดินประมาณ 4 ห้องเล็กๆก็ครบครับ อีกอันนึงจะเป็นโบสถ์ มีห้องเดียวใหญ่ๆ สวยนะครับ แต่พวกเราผ่านมาหลายโบสถ์แล้ว จึงเริ่มจะชาชินครับ 55+

ดูวังเสร็จเราเดินตามแผนที่ไปหาร้านอาหารใน Lower Garden คิดในใจว่าวันนี้แหละจะได้กินข้าวเที่ยงตอนเทียงตรงซักที เมื่อไปถึงพบว่าร้านมันพังไปแล้วครับ พังแบบยังเหลือเป็น Crime Scene ให้สืบหาคนร้ายได้เลย พวกเราเลยต้องออกมากินร้านข้างหน้าวังครับ หันหน้าไปทางทะเล เดินออกมาด้านข้างซ้าย ให้สังเกตทางขวามือจะเห็นร้านอาหารจีน ไม่ใช่ร้านนั้นครับ ให้เดินไปด้านข้างร้านนั้น จะมีร้านอาหาร Cuisine ชื่อ Family มีขายตั้งแต่สเต๊กยันซูชิครับ



เด็กเสิร์ฟที่นี่พูดอังกฤษได้นิดหน่อย มีประเด็นนิดเดียวคือ หลายๆเมนูในนี้ใช้เวลาทำนานครับ ประมาณ 40 นาที ผมอยากจะรีบกินและเข้าไปดูข้างในต่อ เนื่องจากตอนนี้มีแดดออกแล้ว (หลังจากไม่เห็นแสงอาทิตย์มา 2 วันครับ ภาพน้ำพุและวังที่ลงด้านบนก็ถ่ายตอนแดดออกนี่แหละครับ) มื้อนี้ผมเลยต้องสั่งเนื้อบดราสซอสครีมเห็ดเหมือนเดิม เสียไป 440 Rub ครับแต่ได้เยอะอยู่ โต๊ะด้านหน้าพวกเราก็เป็นคนไทย 3 คน มาเที่ยวเหมือนกัน ได้ทักทายกันนิดหน่อยก่อนจะแยกย้ายครับ



พวกเรากลับเข้าไปใน Lower Garden อีกรอบครับ เพื่อถ่ายรูปน้ำพุตอนมีแสงแดด ตอนนี้หิมะหายไปหมดแล้วครับ อากาศก็เริ่มอุ่นขึ้นมาแล้ว

พอแดดมา อะไรๆก็สดใส


ขากลับเราเดินมาขึ้นรถ Minibus ฝั่งตรงข้ามครับมีป้ายรถเมล์อยู่ ใช้วิธีมองป้ายข้างรถหาตัว M ไม่ก็คำว่า Metro ครับ พอเค้าจอดก็ยื่นหน้าไปถามเค้าว่าผ่าน Metro มั้ยเพื่อความชัวน์ ค่ารถ 50 Rub แต่ไปลง Metro ไหนก็ไม่รู้ ระหว่างรถวิ่งผมกับทีมเปิดเเผนที่ช่วยกันหาว่าสถานีที่เค้าจอดอยู่ไหน โชคดีมีลุงป้าชาวรัสเซียที่นั่งตรงข้าม ช่วยชี้บอกให้ คือตอนแรกลุงป้าเค้าก็นั่งนิ่งๆดูไม่สนจอะไร สักพักเค้าก็มาหยิบแผนที่ไปชี้ให้เลยว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน และรถจะพาไปลง Metro ไหน Service Mind สุดๆครับประเทศนี้ สถานีที่เราลงเป็นสถานีปลายทางของเส้นสีแดง จะอยู่หลัง Avtovo 2-3 สถานีครับ ค่ารถจึงถูกกว่า

กลับมาถึง Nevskiy Prospect ฟ้ายังเปิดอยู่ครับ พวกเราเลยตัดสินใจกลับไป The Savior of The Spilled Blood อีกรอบ เพื่อถ่ายรูปรอบๆครับ ยังไม่ได้ภาพที่ฟ้าใสๆเลย แถมอยู่ที่ St.Petersburg คืนสุดท้ายแล้ว

และแล้วก็ได้ภาพฟ้าสีฟ้ามา ถึงจะไม่สวยมาก

ภาพจากด้านหน้าครับ แทบจะไม่ค่อยเห็นรูปมุมนี้เลย

พวกเราถ่ายรูปจนเริ่มเย็นฟ้ายังเปิดอยู่ ผมกับเพื่อนอีกคนเลยขอแยกทางกับทีมรีบกลับที่พักไปเอาขาตั้งกล้อง และรีบเดินไปรอถ่ายพระอาทิตย์ตกตรงสะพานใกล้ๆ The Hermitage ครับ ใช้เวลาเดินทางที่พักไปสะพาน 15 นาทีจากปกติครึ่งชั่วโมงกว่าๆ นี่ขนาดไม่ได้วิ่งนะเนี่ย 55+ พอไปถึงมุมยังดูไม่ค่อยโอเคครับ มันขนาดกับพระอาทิตย์ไป และไม่มีแลนด์มากที่ใหญ่พอจะเป็นจุดสนใจ ผมก็เลยเดินต่อไปอีกสะพาน ซึ่งจะเป็นอันที่ใกล้กับ Peter & Paul Fortress บอกเลยว่าไกลมากกกกกก....

ภาพระหว่างทางไปสะพานครับ ใช้เทเลซูมเอา

บนสะพานลมแรงมากกก มากจนสายกล้องลอยตลอดเวลาที่เอาออกจากคอครับ และอากาศก็หนาวมาก ผมไม่มีถุงมือไปด้วย เวลาบิดปรับอะไรในกล้องทีถ้าไม่ระวังได้มีเสียเลือดแน่ และแล้วก็เกิดความอัปยศขึ้น ณ กลางสะพานครับ ขาตั้งกล้องที่ผมเอาไป สูงไม่พอพ้นขอบสะพานครับ orz ทำให้ตอนถ่าย ต้องถ่ายลอดซี่กรงสะพานเอา มันช่างเอน็จอนาถมากกก

ผมกับเพื่อนยืนรอประมาณครึ่งชม.ฟ้าก็เปิดช่องให้แสงพระอาทิตย์ลอดออกมาแล้วครับ ในที่สุดเราก็จะได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินที่รัสเซียซะที ณ จุดๆนั้นหนาวมากจนคิดว่าน้ำตาจะไหลออกมาเป็นน้ำแข็ง เอามือออกมาได้แปปเดียวก็ต้องซุกในเสื้อหนาวใหม่


ถึงจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่ก็ Mission Complete ครับ


ขอเอามือปาดน้ำตาแปปนึงงง

พวกเราถ่ายรูปจนพระอาทิตย์ตก แล้วก็ข้ามฝั่งมาด้านที่เป็นป้อมครับ สเตปนั้นหนาวและหิวมาก โชคดีมีเบอเกอร์คิงอยู่ตรงนั้นพอดี โดนไป 199 Rub ได้ Double Whopper + Fried + Pepsi คือถูกมากเทียบกับเมืองไทยครับ พนักงานพูดอังกฤษได้ด้วย กินเสร็จผมกับเพื่อนก็ก็นั่ง Metro กลับที่พักครับ

พอขึ้นมาจาก Metro ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมจึงแวะไปถ่าย The Savior of The Spilled Blood ยามค่ำคืนต่อครับ (เก็บกดหลังจากฝนตกมาหลายวัน) ณ ตอนนั้น บรรยากาศดีมากครับ แสงไฟสวยๆ อากาศเย็นๆริมแม่น้ำ มีคนมามุ้งมิ้งกันบนสะพานเป็นคู่ๆครับ




หันหลังกลับไปก็เจอ Kazan Cathedral ยามค่ำคืน มันน่าจิกหมอนจริงๆ



ระหว่างทางเดินกลับที่พักแถวๆหน้า Metro มีคุณลุงเปิดเพลงแสดงโชว์ลูกโป่งสวยมากครับ มีเด็กๆไปขอเล่นด้วยเต็มเลย ผู้ต่างคนมารุมดูกันเต็มถนนเลยครับ ตรงแยกนี้ตอนหัวค่ำๆมักจะโชวเปิดหมวก วันแรกที่พวกเรามาถึง มีคนมาเล่นดนตรีน่าจะเป็นเพลงพื้นบ้านของที่นั่นครับ เพราะคนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็จะแวะมายืนร้องเพลงคลอไปกับเสียงดนตรีครับ เป็นบรรยากาศที่ดูอบอุ่นมากครับสำหรับประเทศที่หนาวเย็นแห่งนี้ อยากให้ทุกท่านหาโอกาสสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ดูครับ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมคนที่ไปรัสเซียมาแล้ว อยากกลับไปอีกรอบทั้งนั้น คำว่ารัสเซียเป็นประเทศอันตราย ค่อยๆจางหางไปจากใจเรื่อยๆ ทุกชั่วขณะลมหายใจเมื่อผมได้มาสัมผัสความอบอุ่นนี้ครับ


จบลงไปแล้วสำหรับค่ำคืนสุดท้ายที่ St.Petersburg ครับ และขอจบ Part 2 ลงแต่เพียงเท่านี้ด้วย ใน Part หน้า จะเป็นวันสุดท้ายใน St.Petersburg พวกเราจะเก็บบรรดาโบสถ์ที่เหลืออยู่ที่นี่ ก่อนที่จะนั่ง Night Train กลับไปยังกรุง Moscow ครับ และจะลุยยาวไปจนถึงวันกลับเลยครับ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับ สวัสดีครับ
สรุปค่าใช้จ่ายนะครับ
สรุปค่าใช้จ่าย 3 วัน 5,937 Rub >> 3,444 THB [1 THB = 0.58 RUB]

สรุปรวมค่าใช้จ่าย 5 วัน


ความคิดเห็น