กาญฯ ละครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ มีโอกาสแว่บไปใช้ชีวิต สไตล์เนิบช้า หรือกระแสตอนนี้เรียกว่า slow life แล้วเราได้ค้นพบคำใหม่จากหนังสือ lonely planet ว่า Step into the slowtopia ดูเท่ห์เลยอ่า slowtopia น่าจะเป็นคำแสลง เข้าใจได้ว่าแนว เนิบๆ ช้าๆ อะไรงี้ เลยเอามาตั้งชื่อชื่อแบบเกร๋ๆ ทริปนี้พวกเราไป ที่ จังเกิ้ลราฟท์ หรือคนต่างชาติจะรู้จักว่า River Kwai Jungle Rafts Floating Hotel ก่อนไปก็ได้ข้อมูลมาว่า ที่นี่ไม่ใช้ไฟฟ้า ไม่มี wifi สัญญาณมือถือก็มีน้อยนิดบางค่าย และส่วนมากจะมีแต่ชาวต่างชาติที่มาเที่ยว ... งั้นเราไปพิสูจน์กันว่าจะเป็นยังไงนะคะ ^_^
เนื่องจากช่วงที่เราไปอากาศแปรปรวน เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ประเทศไทยทั่วทุกที่อากาศหนาวเย็นลง ก็ถือเป็นโชคดีที่พวกเราจะได้สัมผัสอากาศหนาวที่เรือนแพบนผืนน้ำของแม่น้ำแควน้อยเมืองกาญฯ ดูบ้าง
เตรียมเสื้อกันหนาว ขนม เครื่องดื่ม เพราะที่นี่ไม่มีขายของ นอกจากบาร์เหล้านะฮะ และที่ไม่ควรลืมคือ ไฟฉาย ไฟจานบิน ชาร์จ Power bank แบตเตอร์รี่กล้อง และมือถือให้เต็ม 100% อย่าให้ขาด จะว่าไปก็อยู่แค่ 2 วัน 2 คืนเอง จิตตกไปใย
ออกเดินทางบ่ายแก่ๆๆ เกือบค่ำวันศุกร์ กว่าจะหลุดพ้นการจราจรกรุงเทพฯ ได้ ใช้เวลาขับรถไปถึงท่าเรือรีโซเทลก็ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า มืดค่ำแล้วด้วย นั่งเรือไปอีก 15 นาที ถึงเวลาอาหารค่ำพอดี กินแล้วนอน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันจะไปเที่ยวไหน ค่ำคืนแรกก็มืดและหนาวสะท้านแล้วนะ
(ขอตัดภาพมาตอนเช้า)
..... อือฮื้ออออออ ตื่นๆๆๆๆๆๆๆ ร้องเรียกเพื่อนๆ ให้ตื่นมากรี๊ดกร๊าดด้วยกัน ไม่ได้อุปทานหมู่แต่อย่างใด ก็เป็นเช่นนี้ เอยยยยย...
หน้าห้องพักพวกเรา แดดอ่อนๆ คลอเคลียสายหมอก ฟินนนนนในวันแรกเลยฮะ
มุมอาหารเช้า
ไม่ต้องล้างหน้า แปรงฟัน แค่หน้าตาตื่นเต้นก็เดินมาหามื้อเช้ากินได้ ^^,
จุดเด่นของที่นี่อีกอย่างคือ พนักงานส่วนมากจะเป็นชาวมอญชนกลุ่มน้อยที่ข้ามถิ่นมาจากพม่า สร้างหมู่บ้านอยู่บริเวณรีสอร์ทมานาน ก็เป็นการกระจายรายได้และสร้างงานให้กับชาวบ้านที่นี่ด้วย การแต่งกายก็ยังคงเป็นชาวมอญ หน้าตาจิ้มลิ้ม ปะแป้งลวดลายเกร๋ๆ
อาหารเช้าจะเริ่มประมาณ 6.30 -10.00 น. มาตรฐาน ABF ไข่ดาว แฮม มัน ขนมปัง ผลไม้ตามฤดูกาล สับปะรดหรือไม่ก็แตงโม
เช้าๆ น้ำนิ่ง
หลังมื้อเช้าก็มาชมวิวช่วยย่อย :)
หน้าและหลังห้องพักมีเปลญวนทุกห้อง
เอาละ ได้เวลาคิดว่าจะเที่ยวที่ไหนละแวกแถวนี้ เจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง มีเดินเล่นในหมู่บ้านชาวมอญ ชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ โรงเรียนและการฝึกอาชีพ ปางฝึกช้าง ปะไปกันเลย เลือกไปเลือกทำตามที่สบายใจ ^_^
เดินข้ามสะพานไม้ไผ่จากแพไปบนฝั่ง เดินเล่นหมู่บ้านชาวมอญ อาจจะมียุงหรือแมลงบ้างนะ อย่าลืมฉีดสเปรย์กันยุงหรือแมลงไปด้วยนะคะ เนื่องจากเป็นเขตป่า
ทางเดินเข้าหมู่บ้าน
3 สาว (ใส่)ขาสั้น
มีขายผ้าทอ และของที่ระลึกจากชาวบ้าน
บ้านของชาวมอญ
โรงเรียนสอนหนังสือ เห็นว่ามีสอนภาษาพม่าและภาษาอังกฤษด้วย ประมาณ bilingual
แอบเหงา
แอบส่อง คนข้างบน?
ทางเดินไปผาเอน เดินเรื่อยๆ ไม่ไกล
ถึงแล้วผาเอน เอนจริงๆ ประมาณ 45องศาได้อยู่
เลยไปอีกหน่อยจะมีถ้ำพระมอญ
ถ้ำพระมอญ มีพระพุทธรูปประดิษฐาน ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความนับถือ
ณ จุดนี้ตรงถ้ำพระมอญ อยู่บนเชิงเขาตรงโค้งน้ำ มองลงมาจะเห็นแพจังเกิ้ลราฟท์ในมุมสูงนิดหน่อย
เดินกลับแพ ได้เวลาอาหารกลางวัน :)
ไม่มีรูปอาหารกลางวัน อาจจะเพราะถ่ายไม่ทัน หรือ ลืม ข้ามๆ ไปบ้างไรบ้าง อิ่มแล้วระหว่างรอจะไปล่องแพไม้ไผ่ มีเวลาซัก 2 ชั่วโมงเดินชมแพเล่นๆ
บนแพประดับด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ สดชื่น นะ
มีบริการนวดสปา ผ่อนคลาย ราคาก็ตามป้าย ไม่ว่าจะนวดตัว หน้า ฝ่าเท้า จัดให้ได้
มีบาร์เครื่องดื่ม นิยมกันตอนค่ำๆ และจะมีป้ายบอกกำหนดการณ์ต่างๆ มาที่นี่ดีอีกอย่างคือ ได้กินข้าวตรงเวลา :) เพราะจัดอาหารลงทีเดียวพร้อมๆ กันตามเวลา ส่วนกลางคืนมีการแสดงรำมอญ หรือ MON DANCE ให้นักท่องเที่ยวได้ชมอีกด้วย ราคา 160 บาทต่อคน
พนักงานสาวชาวมอญ
พนักงานสาว ? มั้ยนะ :)
เจอคลังแสง จุดกำเนิดความสว่าง
... ไปล่องแพๆ กัน เจ้าหน้าที่ก็อยากจะให้พายเรือคายัคนะ แต่เรากลัวจะพายไม่ไหวกระแสน้ำแรง นั่งชมวิวมีคนพายให้ดีกว่า
ใส่ชุดมาเตรียมพร้อมจะโดดเล่นน้ำ
ใส่ชุดลงน้ำ มาเพื่อ? ถ่ายรูป อิอิ สวยๆ
ได้ทุกท้วงท่า ไม่ว่าจะมุมบน
มุมข้าง
มุมเซลฟี่
ได้อีกๆ น้ำก็ไม่ยอมลงเล่น ^^,
ระหว่างนั้นก็เจอฝูงควาย มีหญ้าให้กินเหรอนั่น หรือมาออกมาโชว์ตัวให้นักท่องเที่ยวชมนะ
นั่งแพไม้ไผ่ไป แต่ขากลับนั่งเรือยนต์กลับนะคะ เจ้าหน้าที่พายไม่ไหว แฮะๆ
กลับมาที่แพ ยังไงก็ต้องเล่นน้ำให้ได้นะ ห้ามพลาดเชียว โดดลงน้ำต้นแพแล้วปล่อยตัวลอยไปท้ายแพตามกระแสน้ำ ... ยังไงดีละ ลิงเปิ้ลว่ายน้ำไม่เป็น แต่ก็อยากลงเล่น ก็ต้องโดดตามเค้าไป ปล่อยตัวว่ายตามสภาพ ให้เป็นภาระของเพื่อนๆ คอยตามฉุดดึงและเก็บขึ้นแพ ฮาๆ (ไม่มีภาพประกอบ)
เล่นน้ำพอสนุกได้ออกกำลังกาย อาบน้ำเตรียมตัวกับอาหารมื้อค่ำ ระหว่างรออาหารอ่านหนังสือไปพลางๆ อ่านจริงน่าจะ 2 หน้า คริ คริ
พลบค่ำ แสงสว่างจากตะเกียงก็เริ่มมา โรแม๊นซ์ โรแมนติคอ่า
รอเวลา...
เวลาอาหาร พนักงานจะเคาะกระบอกไม้ไผ่ แล้วร้องตะโกนเสียงดังเพื่อให้ได้ยินไปทั่วจากต้นไปท้ายแพ ว่า Dinner ......
จับจองที่นั่งเลือกทำเลโรแมนติคกันตามสะดวก อาหารจัดเป็นเซตไว้ ถ้าจะสั่งอะไรเพิ่มต้องสั่งก่อนล่วงหน้าตั้งแต่กลางวันนะค่ะ เนื่องจากอาหารได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว แต่ถ้าสั่งไข่เจียวยอมรับได้เพราะทำง่าย
อิ่มอาหารก็ต่อด้วย บาร์เครื่องดื่มของมึนเมาจากฝีมือบาเทนเดอร์ชาวมอญหรือไม่ก็ไม่แน่ใจค่ะ
ตลาดอาหารค่ำวาย ก็ถึงเวลาสังสรรค์ของพวกคอแอลกอฮอลล์
แล้วพวกเราก็ตั้งวงกันเอง ข้อควรระวังสำหรับที่นี่อย่างหนึ่งคือ งดใช้เสียงดังรบกวนคนอื่น เราจึงมาตั้งวงกันที่ร้านอาหารแบบเบาๆ เพราะคืนแรกกินหน้าห้องพักแล้วหัวเราะเสียงดัง ก็โดนห้องข้างๆ ดุมาแล้วด้วย ขอโทษขออภัยนะคะ ลืมตัวหัวเราะดังไปนิดส์นึง ^^.
แต่ร้านอาหารก็ปิด 4 ทุ่ม เป็นการดีจะได้มีเวลาพักผ่อน
คืนที่ดาวเต็มฟ้า
ทางเดินไปห้องพัก
คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่หนาวสะท้าน หลับฝันดีแบบมึนๆ แล้วพรุ่งนี้เช้าฟินกันต่อ ....
เช้านี้ตื่นมาแบบมึนหัว แต่ว่า...บรรยากาศเป็นแบบนี้ กรี๊ดๆ กันอีก
กดชัตเตอร์รัวๆ แดดอ่อนๆ หมอกลอยบนผืนน้ำบางๆ โอ้ยยยย ฟิน สวยงาม
มีเรือเข้าท่าพอดี
ABF เคล้าสายหมอก อร่อย รีบกินรีบกลับไปนอนต่อ อิอิ รอเช็คเอ้าท์เรือออกซัก 11 โมง
ลืมๆๆ ต้องไปเล่นกับช้างก่อน ตอนเช้ามีช้างมา มีบริการนั่งช้าง หรือ ให้อาหารหยอกล้อเล่นได้ แต่ห้ามลอดท้องนะ :) ช้างที่ชาวบ้านมอญเลี้ยงที่โรงเรียนฝึกช้าง
เจอนกอะไรไม่รู้ สีสวยดี
ช้างกลับ พี่ก็ไปอาบน้ำบ้าง
อาบน้ำเสร็จก่อนก็สวยก่อน :)
นี่ก็สวยแล้วน่ะ ?
บ๊าย บายจังเกิ้ลราฟท์ ถ้าสนใจมาพักผ่อนแบบเนิ่บช้า ติดต่อหรือดูข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ได้นะคะ
https://www.riverkwaijunglerafts.com/th/
หรือ ที่ Facebook River Kwai Jungle Rafts Floating Hotel ที่พักเเพ ริเวอร์เเคว จังเกิ้ลราฟท์: https://www.facebook.com/riverkwaijunglerafts
มาใช้ชีวิตแบบช้าๆ เนิบๆ ห่างสังคมโซเซียล ชาร์จแบตให้ตัวเอง ได้อยู่กับธรรมชาติ สบายใจ แล้วไปกันต่อ ^_^
กลับขึ้นฝั่งได้ ร่างกายโหยหากาแฟสดในตัวเมืองกาญฯ แวะร้านนี้เลย เป็นตึกเก่าๆ ร้านสิทธิสังข์ มีเค้กด้วย อยากรู้รสชาติเป็นยังไงต้องมาลองเองค่ะ อร่อ่ยของเราไม่เท่ากัน ^^,
จากนั้นเราไปตามหาต้นจามจุรียักษ์ เจ้าของร้านกาแฟนี้ก็แนะนำเหลือเกิน ว่ามันใหญ่ยักษ์จริงๆ นะ ต้องไปให้ได้ แล้วก็บอกเส้นทางไป ก็งงดี ฟังมาก่อนแล้วก็มาเปิด GPS ให้พาไป :) หาไม่ยากอีกนั่นละ คนนิยมมากันมีชื่อใน google map ว่า ต้นจามจุรียักษ์ หรือ Giant rain tree
ต้นใหญ่ม๊ากกก แผ่กิ่งก้านสาขากระจายออกไปร่มรื่น เค้าบอกมีอายุมากกว่า 100 ปี ณ ตอนนี้ประมาณ 10 คนโอบ นานไปต้นนี้จะอ้วนหรือผอมลงนะ ^^
โดดเดี่ยวไปด้วยกัน
ถ้ามาต้นจามจุรียักษ์แล้วไม่ควรพลาดมาไหว้พระที่ วัดถ้ำเสือ ห่างไปอีกน่าจะประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร อยู่ในเขตอำเภอท่าม่วง ตั้งอยู่บนเขา มองเห็นวิวทุ่งนาและแม่น้ำ มาช่วงนี้ทุ่งนาแห้งเก็บเกี่ยวไปหมดแล้ว
มีพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท และพระพุทธรูปปางประทานพร ด้านล่างเชิงเขาเป็นถ้ำขนาดเล็ก ชื่อ ถ้ำเสือ ที่มาของชื่อวัด
ต้องมาแก้มือช่วงนาข้าวเขียวๆ หรือเหลืองแล้วละ วิวสวย ที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
จบทริปเนิบๆ ช้า เบาๆ slow life ละคะ ใกล้กรุงเทพฯ มีเวลามาเที่ยวได้นะคะ หยุดเสาร์อาทิตย์ 2 วันก็มาได้ ... เหตุผลไม่มีเวลามันคือข้ออ้างของคนไม่รู้จักหาเวลา นะคะ ^__^
... พาตัวเองใกล้ชิดธรรมชาติ อยู่กับตัวเอง รู้จักปรับและสร้างสมดุลให้กับชีวิต แค่นี้ก็มีความสุขได้แล้วค่ะ
--------------------------------------------------------------------
เรื่องโดย ลิงเปิ้ล LingPle Mayuree : [email protected]
ถ่ายภาพโดย : ลิงเปิ้ล LingPle Mayuree , Puffin Coral , Pitchayapa Raksarat , Tor Tourlek
ตัดต่อ VDO โดย : Nawapon Punpeng
Fanpage เที่ยวแล้วยัง กับ มิตรภาพ We like journey : www.facebook.com/welikejourney
IG : lingple
เที่ยวแล้วยัง
วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.54 น.