Golden fulong คืออะไร ??? รู้จักแต่ฝูหลง แล้วทำไมฝูหลงมันถึงทองได้หล่ะ เอิ่ม เราก็ตอบไม่ถูกว่าทำไมมันถึงทอง เดี๋ยวต้องไปตามเส้นทางแห่งนี้กันดีกว่า ว่าทำไมถึงได้ชื่อ โกลเด้นฝูหลง คงต้องติดตามกันแล้วครับอาศัยความเข้าใจของผู้เขียนเองไม่อิงนิยาย

การเดินทางตะลอนไต้หวันแบบอะโลน

ตอนที่ 1 FIRST TIME @ เกาะมันเทศ

ตอนที่ 2 TAIPEI กับวันสบาย ๆ ของผม

และตอนที่ 3 ก็คือตอนนี่นี้เอง

วันที่สามของการมาเยือนเกาะมันเทศแห่งนี้ ผมได้ทำการวางแผนไว้ว่าทั้งวันนี้จะให้เป็นเส้นทางที่ตัวผมเองอยากจะไปตามรอยรายการ "HUMAN RIDE" และสถานที่ที่ถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดแนวคิดและฉากในเมืองที่มีโคมแดงประดับประดาไปทั่วอย่างหนังการ์ตูนที่เคยได้รับรางวัลออสการ์ "SPRITED AWAY" หรือภาษาไทยแปลว่า "มิติวิญญาณพิศวง" ของค่ายจิบลีของญี่ปุ่นนั่นเอง

ก่อนที่จะเข้าเรื่องการเดินทางเรามาทำความเข้าใจเส้นทางนี้กันก่อนดีกว่าครับ เพราะหลายคนอ่านรีวิวจะพบว่าสถานที่เหล่านี้ดูเหมือนกระจัดกระจายกันก็จริง แต่เราสามารถทำให้อยู่ในทริปเดียวกันได้ภายในหนึ่งวันยาวไปถึงกลางคืนได้เลย อิอิ

GOLDEN FULONG (Northeast and Yilan Coast National Scenic Area)

Northeast and Yilan Coast National Scenic Area หรือบริเวณจุดชมวิวเส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและชายฝั่งอี๋หลาน ของไต้หวัน เป็นเส้นทางธรรมชาติที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของไต้หวันครับ โดยสถานที่เหล่านี้หลายคนคงเคยได้อ่านรีวิวและเห็นภาพกันไปเยอะแล้ว ก็อาจมีคำถามว่าเราสามารถจัดในทริปเดียวกันได้ไหม คำตอบได้ครับโดยการเดินทางของผมจะไล่จากชายฝั่งทะเล (หาดฝูหลง) แล้วไล่ขึ้นไปบนเขาที่หมู่บ้านโบราณ (จิ่วเฟิ่น) ตามแผนที่ภาพด้านบนที่ผมได้จัดทำมาให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจในเส้นทางเส้นนี้ เกริ่นมายาวมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า



บรรยากาศยามเช้าบริเวณที่พักในคืนวันที่สองคือ STAR HOSTEL พบว่ายามเช้านั้นเหมาะกับการมานั่งชิว ๆ ถ่ายรูปเล่น พอผมลงมายังบริเวณเลานจ์พบว่า มีวัยรุ่นสาวเกาหลีตั้งกล้องถ่ายรูป มีฝรั่งหนึ่งคนมานั่งทำงาน มีผู้ใหญ่น่าจะเป็นเกาหลีหนึ่งคนลงมาถ่ายรูปบริเวณที่พัก และมีคนไทยหนึ่งคน (คือผมเอง) ก็มาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศก่อนที่อะไรอะไรจะเยอะกว่านี้ เงียบสงบมากเลยใช่ไหมครับ (ถ้าไม่ใช่เทศกาลหรือวันหยุดนะ)


ส่วนอาหารการกินของ STAR HOSTEL ไม่ต้องห่วงครับมีบริการอาหารมื้อเช้าฟรีให้ผู้เข้าพักหมดทุกท่านไม่ว่าจะนอนรวม นอนแยกได้กินกันหมด เพียงแต่ อาหารเช้าของที่นี่จะตั้งเวลา 8.00 - 10.00 น. เท่านั้นครับ แต่สำหรับใครที่ต้องออกทริปแต่เช้าหรือมีธุระแต่เช้าตรู่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ทางโฮสเทลจัดขนมปังแผ่นและกลมพร้อมแยมสตรอเบอรี่และเนยถั่วไว้ให้กินแก้ขัดไว้แล้ว ผมก็กินอันนี้แหละครับเนื่องจากถ้ารอเวลา 8 โมง การเดินทางตามเส้นทางโกลเด้น ฝูหลงจะช้าอีกมากมาย


มื้อเช้าสำหรับวันนี้ก็ขนมปังทาแยมสตรอเบอรี่และเนยถั่ว พร้อมกับนมมะละกอ (ช่างกินนมนี้แต่เช้า ไม่คิดเลยว่าถ้าเกิดท้องเสียกลางทางจะทำอย่างไร) กินเสร็จก็นำจานและแก้วไปล้างด้วยนะขอรับ บริการเองเด้อ



บริเวณรอบที่พักครับออกไปทางด้านซ้ายมือ (หันหลังให้โฮสเทล) ก็จะเจอร้าน 7-11 แล้วครับ ไม่อดตายแน่นอนยามดึก รวมถึงร้านของกินตั้งขายแต่เช้าถึงกลางคืนเลย




เดินออกมาจากโฮสเทลใกล้ ๆ กับป้ายจอดรถบัสที่เขียน NEW TAIPEI ก็เจอเสมือนรถบัสที่วิ่งบนราง (ใช่หรือเปล่า) เรียกไม่ถูกอ่ะครับ ก็เลยถ่ายรูปมาเป็นที่ระทึกซะหน่อย


บรรยากาศไทเปยามเช้า (ใกล้ ๆ กับไทเปเมนสเตชันตรงห้าง Q-SQUARE) ในเวลาเกือบจะเจ็ดโมงเช้า ถนนช่างเงียบกริบเหลือเกิน คนไม่ไปทำงานกันเหรอ ถ้าเป็นกรุงเทพฯ เวลานี้คงแน่นทุกช่องจราจรเลยทีเดียว


จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วรถไฟ TRA ครับโดยสามารถดูข้อมูลตารางเวลาและราคาล่วงหน้าเลยก็ได้ครับ ตามเว็บรถไฟไต้หวันเว็บนี้ http://www.railway.gov.tw/en/


ตั๋วรถไฟ TRA ที่จะไปฝูหลงครับ ไหนมาดูบัตรกันสิ โชคดีพระเจ้าช่วยประเทศไทยจากวิกฤตมีภาษาปะกิดด้วย โล่งอกนึกว่าจะเจอจีนล้วนแบบที่เพื่อนผมเจอก่อนหน้าซะแล้วสิ (งงเหมือนกันว่าตั๋วแบบจีนล้วน และตั๋วแบบมีภาษาอังกฤษกำกับ่ขึ้นกับสถานี หรือขึ้นกับประเภทขบวนรถไฟ ??? วิญญาณโคนันเข้าสิงแพรบ)
สิ่งที่ระบุในบัตรมีดังนี้ครับ บรรทัดสอง คือ ขบวนสายรถไฟครับ (ในนี้คือขบวนเลขที่ 272)
บรรทัดสาม คือ สถานีต้นทาง (ในนี้คือไทเป) และสถานีปลายทาง (ในนี้คือ ฝูหลง)
บรรทัดที่สี่ คือ เวลาที่มาถึงสถานีต้นทาง (ในนี้คือ 07.30 น.) และเวลาถึงสถานีปลายทาง (ในนี้คือ 08.41 น.)
บรรทัดที่ห้า คือ ตู้ขบวนรถ (ในนี้คือ ตู้ที่ 9) และที่นั่ง (ในนี้คือ 40) เป็นแบบระบุที่นั่งซะด้วยสุดท้ายสำคัญมากกกกก คือ ราคา (เนื่องจากรอบ 07.30 น. เป็นรถด่วน 128 TWD)


ตอนนี้ก็มาถึงปัญหาสำคัญคือ ชานชาลาไหนหว่า A หรือ B วิธีง่าย ๆ เนื่องจากมีปะกิดอยู่ก็ดูจอมอนิเตอร์ครับว่า ขบวนของเราคือขบวนเลขที่เท่าไหร่ (อย่างของผม 272 ) ก็ดูเลข 272 ชานชาลา 4A นั่นเอง ถ้านั้นก็ไปด้านขวาสินะ




พอรู้ว่าได้ชานชาลาตรงไหนแล้วก็ไปยืนรอตรงป้ายหมายเลขขบวนตู้ครับ อย่างผมได้ตู้ที่เก้าก็ไปยืนรถตรงป้ายหมายเลข 9 จากนั้นรถไฟก็มาแล้ว


บรรยากาศของขบวนรถไฟตู้ที่ 9 เงียบสงบแต่คนก็แน่นเต็มทุกที่นั่งกันเลยทีเดียว แถมผมหลับอีกหลายตื่น ตื่นมาก็ยังไม่ถึง 555 เพราะใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วโมงสิบนาที





ขณะนี้ัท่านมาถึงสถานีฝูหลง (Fulong) แล้วในเวลา 08.41 น. ขอให้ทุกท่านลงจากขบวนรถ ภาพบรรยากาศสถานีฝูหลงครับยามเช้า พอเดินมาถึงใกล้กับบันไดทางลงก็เจอสัญลักษณ์ที่เราเฝ้ารอมานานหลังจากดูรายการ Human ride นั่นคือ ตราปั่นจักรยาน เพราะทริปนี้มาปั่นจักรยานชมวิวกันครับ

ข้อมูลเส้นทางท่องเที่ยวส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไต้หวัน Northeast and Yilan Coast National Scenic Area http://www.necoast-nsa.gov.tw/user/main.aspx?lang=2

ข้อมูลฝูหลง : http://www.necoast-nsa.gov.tw/user/Article.aspx?La..





ภาพบรรยากาศด้านหน้าสถานีรถไฟฝูหลงครับ พอมาถึงสถานีเจ้าหน้าที่ก็จะเก็บตั๋วรถไฟครับ บรรยากาศยามเช้าที่ฝูหลงแดดดี ฟ้าเปิด บรรยากาศดีเลยครับ (พระเจ้าเข้าข้างเราอีกวัน) หลังจากพลาดไปเขาช้างตอนเย็นที่ไทเป




เมื่อออกจากสถานีรถไฟฝูหลงก็จะเจอกับร้านข้าวกล่องรถไฟ และร้านเช่าจักรยานรวมถึงร้านสะดวกซื้อ ซึ่งแนะนำเลยว่า ถ้าใครจะปั่นจักรยานเตรียมซื้ออาหาร น้ำ ขนม เครื่องดื่มไว้กินระหว่างทางด้วยจะเป็นการดี


จากนั้นก็ทำการเช่าจักรยานครับ กว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่องใช้เวลานานพอสมควรเพราะลุงพูดแต่ภาษาจีน แล้วจะทำไงกับชีวิต เอาตามหลักง่าย ๆ คือ ยื่นพาสปอร์ตพร้อมเบอร์โทรศัพท์ไต้หวันให้ครับ พอปั่นเสร็จก็มารับพาสปอร์ตคืน ค่าเช่าที่นี่ถูกกว่าที่ทะเลสาบสุริยันจันทราโดยคิดทั้งวันแค่ 100 TWD เท่านั้นแต่คงไม่ถึงทั้งวันหรอกครับ





เมื่อรับจักรยานเสร็จเรียบร้อย ลุงเจ้าของร้านก็จะแนะนำเส้นทางว่าทางปั่นจักรยานไปตรงไหน จากนั้นก็ปั่นไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอป้าย Old Caoling Tunnel




สำหรับเส้นทางการเดินทางของผมจะปั่นจักรยานไปทางอุโมงค์รถไฟสายเก่า หรือก็คือ OLD CAOLING TUNNEL BIKEWAY ครับ ซึ่งเป็นอุโมงค์รถไฟเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วแต่ไต้หวันได้ทำการปรับปรุงให้เป็นเส้นทางปั่นจักรยาน ไต้หวันช่างครีเอทเอาของที่ไม่ได้ใช้มาใช้ให้เกิดคุณค่ามากเลยข้อมูลเส้นทางปั่นจักรยาน OLD CAOLING TUNNEL : http://www.necoast-nsa.gov.tw/user/Article.aspx?Lang=2&SNo=04002484 พระเอกของเราในวันนี้เป็นน้องไจแอนท์คันสีเหลืองสดใสรับกับท้องฟ้าครับ เลยมาถ่ายวิวธรรมชาติซะหน่อย ถ้าเป็นไปได้ควรมาฝูหลงในวันธรรมดาจะดีสุดครับ วันหยุดคนจะเยอะมากกกกก และทำให้บรรยากาศหายไปสัก 50% ตอนแรกผมปั่นก็มาถูกทางครับ แต่สักพักเกิดหลงทางแปบนึงจริง ๆ ต้องปั่นตรงไปครับ แต่ไอ้นี่อยู่ ๆ อยากไปด้านซ้ายมือเลยเจอวิวทิวทัศน์ดังภาพบนขวา 555 ถ้าไม่หลงทางเราก็จะไม่เจอทิวทิศน์ที่แปลกใหม่ใช่มะ (ปลอบใจตัวเอง)




หลังจากปั่นไปผิดทางก็มาตั้งต้นใหม่ก็ปั่นจักรยานตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอสะพานข้ามที่มีตะแกรงแบบนี้ครับ ก็ปั่นขึ้นเนินไปเลย วิวตรงนี้สวยไปอีกแบบครับเพราะมุมด้านซ้ายจะเห็นรถไฟตัดผ่านเลยครับ (ขออภัยไม่มีรูปครับ)






พอข้ามเนินสะพานแล้วก็มาถึงตรงบริเวณจุดเด่นที่จะเจอหัวรถไฟ ก็เอาพระเอกของเรามาถ่ายแบบนะสิ พอจุใจแล้วก็ปั่นจักรยานไปตามหาอุโมงค์รถไฟเก่ากันเถอะ พอถ่ายรูปตรงหัวจักรรถไฟพอสมควรก็ปั่นไปยังอุโมงค์รถไฟสายเก่าครับ ซึ่งบรรยากาศวันที่ไปเงียบสงบอาจเป็นเพราะเป็นวันธรรมดา และที่สำคัญนักท่องเที่ยวก็ไม่ค่อยมาตรงนี้สักเท่าไหร่ ทำให้ทริปนี้สโลว์ไลฟ์ได้เป็นอย่างดี พร้อมหรือยังที่จะเข้าอุโมงค์แห่งความมืดอันมีแสงสว่างอันริบหรี่ และบรรยากาศอันเย็นยะเยือก ไร้ผู้คนมากมาย เตรียมใจแล้วออกปั่นเลยสิคับ รอไร 555


ตอนนี้ก็เตรียมตัวเข้าอุโมงค์แห่งความมืดกันเลยดีกว่า น่ากลัววววจังงงเลยยย

่่หลังจากนั้นก็ปั่นจักรยานเข้าไปในอุโมงค์รถไฟเก่ากันดีกว่าครับ ผมได้ทำวิดีโอภาพเคลื่อนไหวและบรรยากาศบริเวณฝูหลงมาให้ชมกันครับ

บรรยากาศภายในอุโมงค์รถไฟเก่าซึ่งมีความยาวถึง 2 กิโลเมตรนับได้ว่าเป็นทางจักรยานในอุโมงค์ที่ยาวที่สุดของไต้หวันเลยก็ว่าได้ครับ ระหว่างปั่นจักรยานอากาศข้างในค่อนข้างจะเย็น และที่สำคัญตลอดระยะเวลาการปั่นจักรยานภายในอุโมงค์ก็จะมีเสียงเพลงประกอบครับ เก๋ไก๋ดีไหมหล่ะครับ (ถ้าดูในวิดีโอจะได้ยินเสียงเพลงครับ แต่พอดีใส่เพลงเข้าไปเลยน่าจะกลบไปหมด 555)

เมื่อปั่นไปได้สักพักหนึ่งก็เจอป้ายแบ่งเขตเมืองครับว่า ตอนนี้สิ้นสุดเขตอี้หลานและกำลังเข้าสู่นิวไทเปแล้วครับ ความรู้สึกดีเสมือนปั่นข้ามเมืองอย่างงั้นเลย

ปั่นออกจากอุโมงค์มาได้ซะทีครับ ระหว่างปั่นภายในก็เห็นมีคนเดินลอดอุโมงค์ด้วยนับถือจริง ๆ ขนาดแค่ปั่นยังรู้สึกไกลเลย นี่เดินอีก สู้ ๆ นะครับ

ณ นิวไทเป อีกปลายด้านหนึ่งของอุโมงค์รถไฟเก่าจากอีกด้านที่เป็นป่าเขา พอพ้นอุโมงค์ก็จะเจอบรรยากาศทะเล (หรือมหาสมุทรแปซิฟิคกันนะ) โดยทางจักรยานจะเป็นทางอยู่บริเวณตรงกลางเลียบไปกับทางรถไฟและมหาสมุทรครับ

ปั่นไปตามทางเรื่อย ๆ จนสุดทางจักรยานก็เดินลากจักรยานขึ้นเนินเพื่อไปบริเวณเหมือนกับหมู่บ้านประมงก็เลยเจอฉากภาพวาดท้องทะเล มีสัตว์น้ำและจักรยานของเรา

มองเห็นผืนแผ่นน้ำและผืนฟ้าที่กว้างไกลปล่อยใจให้เป็นอิสระไปกับสายน้ำ สายลม แสงแดดและตัวเรา

ดื่มด่ำบรรยากาศเสร็จมองเห็นฟ้าเริ่มครึ้ม ๆ ในใจคิด อย่านะเฟ้ยอย่าให้ตรงคำร่ำลือว่า "ไต้หวันเหมือนผู้หญิง ที่แปรปรวนบ่อยนะ"

เมื่อปล่อยอารมณ์ไปกับธรรมชาติแล้วก็ปั่นจักรยานย้อนกลับไปทางเดิมครับเพื่อไปยังสถานีรถไฟฝูหลง ปั่นไปจอดถ่ายรูปไปตรงนี้ก็เป็นฉากหลังเป็นภูเขาครับสวยอีกแบบ

ปั่นมาเจอกับอุโมงค์ครับ จริง ๆ แล้วขาไปก็ต้องผ่านอุโมงค์นี้ครับแต่เพราะปั่นไปข้างหน้าเลยไม่เห็นวิวด้านหลัง แต่พอขากลับเลยได้เห็นวิวมหาสมุทรที่อยู่เบื้องหน้า


อย่างที่บอกไปตอนแรกครับว่าทางจักรยานตรงนี้เป็นทางเลียบระหว่างทางรถไฟและมหาสมุทร ปั่นไปก็จะเจอรถไฟหลากหลายแบบแล่นผ่านให้ชมความสวยงามกัน จากนั้นก็ปั่นกลับทางเดิมครับเพราะต้องเอาจักรยานไปคืนแล้วเพราะผมมีนัดกับที่ท่องเที่ยวในเส้นทางโกลเด้นฝูหลงอีกหลายที่เลย

เมื่อออกจากอุโมงค์แล้วคืนจักรยานเสร็จเรียบร้อย ความหิวก็ครอบงำไม่มีใครย้ำยั้งเธอได้ (นั่นไง) เลยหาข้าวกล่องรถไฟกินแต่ปรากฏร้านข้าวกล่องตรงหน้าสถานีรถไฟปิดครับ ส่วนอีกร้านเหมือนเปิดแต่ไม่เเน่ใจเลยไปหาร้านอื่น ก็เลยเจอร้านที่อยู่ตรงข้ามกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวฝูหลง พอเข้าไปก็คิดในใจว่า จะสั่งยังไดี เลยเกริ่นนำว่า ฮัลโหล พอป้าขายของได้ยินก็ชี้นิ้วไปด้านหลังเพื่อให้เลือกเมนูครับ เราก็กินเมนู 70 TWD นะสิครับ ก็ทำการชี้นิ้วไปที่เมนูแล้วป้าก็พยักหน้ารับรู้ จากนั้นป้าก็บอกว่า ซุป ซุป พร้อมชี้นิ้วไปด้านหลัง (อีกแล้ว) โดยจากการสื่อภาษากายและใจสื่อสารได้ความว่า หนูตักซุปใส่ถ้วยเองได้เลยนะจ้ะ มีฝาปิดให้ด้วย น่ารักจังคนไต้หวัน

ภาพด้านบนก็คือลักษณะหน้าตาของข้าวกล่องรถไฟของไต้หวัน และเมนูอาหารราคา 70TWD ที่ผมทำการซื้อ กลิ่นและรสชาติเห็นแล้วคิดถึงขาหมูไม่ก็พะโล้ของไทย

แต่ก่อนกินข้าวกล่องก็เข้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวฝูหลงเพื่อสอบถามเส้นทางไปแหลมปี๋โถว อีกหนึ่่งจุดหมายของผมที่อยากจะไปให้ได้เลย เจ้าหน้าที่ก็แจกแผ่นพับเส้นทางโกลเด้นฝูหลงมาให้ครับพร้อมอธิบายการเดินทาง และบอกว่ารถจะมาก็เกือบเที่ยง (ตอนมาถึงรถออกไปก่อนหน้าแล้วครับตอน 11.00 น.) เจ้าหน้าที่ชายหน้าตาดีก็บอกว่า ไปเดินเล่นชายหาดฝูหลงก่อนได้นะครับระหว่างรอรถบัสมา แต่เราก็คงไม่ไปแบบว่า หยิ่ง ไม่ใช่เพราะปวดขาต่างหาก และหิวมากด้วยเลยนั่งกินข้าวกล่องรถไฟแหละกัน

กินข้าวไป ถ่ายทำมิวสิควิดีโอไปแล้วรถบัสสาย 856 ก็เดินทางมารับแล้ว โดยเส้นทางโกลเด้นฝูหลงรถบัสที่ทำหน้าที่รับผิดชอบ คือ สาย 856 ครับโดยวันธรรมดารถจะมีทุก ๆ ชั่วโมง แต่ในเสาร์อาทิตย์รถจะมีทุก ๆ 30 นาทีครับ

ตารางการเดินรถบัสสาย 856 (GOLDEN FULONG )

หมายเหตุ : ดัดแปลงจากเว็บไซต์ http://www.gold-fulong.com.tw/en/fulong_run.aspx

วันธรรมดา

วันหยุด


- เส้นทางท่องเที่ยว GOLDEN FULONG 11 เส้นทางที่มีชื่อเสียง : http://www.gold-fulong.com.tw/images/map_2015.jpg

เส้นทาง Golden fulong 11 เส้นทาง (คำนวณเวลาและสถานที่ที่จะไปได้จากตารางรถด้านบนครับ)

จากนั้นรถบัสก็พามาถึงบี๋โถว (ฺBITOU CAPE - LONGDONG BAY CAPE TRIL) แล้วครับ ซึ่งรถบัสก็จะจอดตรงทางขึ้นไปแหลมบี๋โถวเลยครับ (ถ้ามาจากฝูหลง) แต่ถ้ามาจากทางจิ่วเฟิ่น เหมืองทอง รถบัสก็จะจอดฝั่งตรงข้ามแหลมบี๋โถว ก็ง่าย ๆ ครับ เดินข้ามสะพานลอยแล้วข้ามมาครับ

รายละเอียดข้อมูลแหลมบี๋โถว : http://www.necoast-nsa.gov.tw/user/Article.aspx?Lang=2&SNo=03000022

อันนี้ผมข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามกับ ถ้ามาจากจิ่วเฟิ่น เหมืองทองรถบัสก็จะจอดตรงนี้ หลังจากนั้นก็เดินขึ้นตรงทางขึ้นตรงนี้นะแหละ

ระหว่างทางข้ามสะพานมายังแหลมปี๋โถว ก็จะเจออุโมงค์ลอดภูเขา สองข้างทางเต็มไปด้วยแมกไม้ร่มรื่นกับตอนนี้ฟ้าครึ้มแล้วจ้า

เมื่อข้ามมายังฝั่งบี๋โถวก็เดินขึ้นเนิน เดินมาสักพักก็จะเจอเหมือนบ้านไม้ซึ่งบ้านนี้ก็คือร้านกาแฟนั่นเอง คาดว่าปิดวันธรรมดา แต่คงเปิดวันเสาร์ อาทิตย์ แน่ ๆ (จากที่โคนันเข้าสิง)

จากนั้นก็เดินขึ้นบันได ชีวิตต่อจากนี้มีแต่เนินกะบันได แต่โชคดีครับที่วันนี้อากาศเป็นใจ แดดไม่มี มีแต่สายลมเย็น ๆ และตัวเรา


บริเวณด้านข้างทางขึ้นบันไดก็จะเป็นโรงเรียนครับ บรรยากาศแบบฟินมากด้านหลังติดทะเล ด้านหน้าเป็นภูเขา ส่วนด้านข้างฮวงซุ้ย (เอิ่มมมมมม แอบน่ากลัวนะนั่น)


บรรยากาศตอนมาแหลมปี๋โถวค่อนข้างเงียบสงบเนื่องจากมาวันธรรมดาครับ และบรรยากาศดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนซะงั้น แต่ระหว่างชมบรรยากาศตัวผมเองก็ไม่ลืมที่จะดูตาราเวลารถบัสที่จะมาถึงป้ายปี๋โถวว่ามาถึงกี่โมงครับ เพราะว่ารถมาตรงเวลามาก อาจมาเร็วก็ประมาณ 5- 10 นาทีก็จะได้กะเวลาสโลว์ไลฟ์ได้ถูก พอเห็นว่าใกล้เวลารถจะมาก็เดินทางไปรอตรงป้ายรถบัสครับเพื่อมุ่งหน้าสู่น้ำตกธารทอง หรือ Golden water fall

การมาน้ำตกธารทองครั้งนี้ผมไม่ได้อยู่ในแผนเลยครับ คิดแต่ว่าไม่น่าสนใจเลยเพราะวิวทิวทัศน์มีอยู่แค่น้ำตกแค่นั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษและที่สำคัญผมว่าเวลาคงผ่านมาหลายปีแล้วหล่ะ จากน้ำตกธารทองคงเป็นน้ำตกธารขาวแล้ว ที่ลงเพราะในโบชัวร์ที่พนักงานให้มาในโบรชัวร์จะระบุตำแหน่งว่า เหมืองทองถึงก่อนน้ำตกธารทอง (ในนั้นพิมพ์ผิดครับ) จริง ๆ ต้องน้ำตกธารทองถึงก่อนที่จะไปเหมืองทอง (ถ้ามาจากปี๋โถว) เอาแล้วไงคนขับรถก็นึกว่าเราจะลงป้ายนี้เลยจอดและเปิดประตู เราเอาไงดีฟร่ะ เลยแบบเออ เปิดให้ลงก็ได้ถือว่ามาชมวิวแหละกัน ตอนลงลืมนึกไปว่ารถสาย 856 จะมาอีกทีก็อีกชั่วโมง พอลงไปแล้วก็ถ่ายรูปน้ำตก ชมธรรมชาติ


บริเวณน้ำตกธารทองจะสังเกตเห็นได้ว่ามีคนมาเยี่ยมเยียนอย่างเนืองแน่น อาจเนื่องจากใกล้จะเย็นแล้วก็รอเวลาไปจิ่วเฟิ่น โดยสังเกตได้ว่าส่วนใหญ่จะเหมาแท๊กซี่กันมา หรือไม่ก็มีรถส่วนตัว ส่วนตัวผมเหรอก็มีรถที่มีคนขับเหมือนกันนะ พอดีนัดไว้ว่าอีกชั่วโมงค่อยมารับหน่ะ

หลังจากชมน้ำตกและรอรถบัสจะมารับเพื่อไปพิพิทธภัณฑ์เหมืองทอง ซึ่งรอเกือบชั่วโมงและที่สำคัญบริเวณน้ำตกธารทองมีให้ชมเพียงแค่นี้นอกนั้นไม่รู้จะดูอะไรแล้ว เดินวนไปมาเกินสิบกว่ารอบจนในที่สุดรถบัสสาย 856 ก็มาครับจากนั้นก็ไปต่อพิพิทธภัณฑ์เหมืองทอง หรือจินกัวสื่อกัน

ในที่สุดก็มาถึงพิพิธภัณฑ์เหมืองทอง หรือ Gold museum แล้วครับใช้เวลาไม่นานจากน้ำตกธารทอง พอมาถึงตกในแปบ เฮ้ยที่นี่ฝนตกด้วยเหรอ มันก็ไม่ไกลจากน้ำตกนะทำไมตรงนั้นเงียบสนิท พอไปถึงพิพิธภัณฑ์ก็มีแค่ร่องรอยความเปียกชื้นเท่านั้น สรุปตั้งแต่เส้นทางฝูหลงไล่มาถึงตรงนี้ เจอทั้งแดด ลม ฝนนิดหน่อยแต่ไม่ระคายผิว และตอนเย็นอากาศก็เริ่มเย็นอีก เห็นผมเป็นไอรอนแมนรึ

บรรยากาศของเหมืองทองคำยามสี่โมงเย็น (วันที่ 3 ธันวาคม 2015) เหนือยอดเขาเต็มไปด้วยไอหมอก ส่วนพื้นก็มีร่องรอยเปียกฝน ตอนมาถึงเหมืองทองก็พบกับขบวนนักเรียนไต้หวันมาทัศนศึกษากันครับ เยอะมาก

เดินมาเรื่อย ๆ ก็เจอรูปผู้ชายกับผู้หญิงตอนแรกก็ไม่รู้หรอกคืออะไร อ่านภาษาจีนไม่ออกมารู้อีกทีตอนต้นเดือนมกราคมว่าผู้หญิงคนด้านขวามือได้เป็นประธานาธิบดีหญิงของไต้หวันคนแรกเลยและมาจากพรรคฝ่ายค้านด้วย ชนะพรรคก๊กมินตั๋ง แสดงความยินดีด้วยนะครับ (เกี่ยวไรกับเค้าเนี่ย)

เดินมาเรื่อย ๆ ก็มาตรงหน้าคล้ายกับสถานีตำรวจ (ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่าครับ) พบเจ้าหน้าที่กำลังจูงน้องหมาไปรอบ ๆ เหมือนถ่ายทำรายการทีวีอยู่เลย เจ้าหน้าที่ผู้ชายน่าตาดีมากกกก แต่ทำไมดูเด็กจัง

หลังจากนั้นผมก็เดินต่อมาเรื่อย ๆ ก็มาเจอร้านอาหารตรงนี้คนเยอะมาก แถมดูน่ากินด้วย เสียดายไม่ได้กินเพราะเก็บแรงไว้กินที่จิ่วเฟิ่น

พอเดินไปเรื่อย ๆ บรรยากาศยามเย็นก็ยิ่งดูสวยงามตามแบบฉบับหลังฝนตก หลังจากดูหลายรีวิวเจอสภาพอากาศท้องฟ้าแจ่มใส อันนี้มาอีกบรรยากาศแบบอึมครึมแต่ก็ดูโรแมนติกไปอีกแบบ เดินไปดูกลุ่มก้อนเมฆ ไอหมอกลอยพาดผ่านภูเขาที่สูงชัน

การเดินทางแต่ละครั้งผมก็พยามยามหาเหตุผลว่าแต่ละที่มันล้วนมีความสวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู ในสถานที่เดียวกันแต่มาในฤดูหรือบรรยากาศที่ต่างกัน ก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปอีกแบบ เพียงแต่บางสถานที่ เช่น SML จะแสดงความสวยงามได้เต็มที่ก็ต่อเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่สดใส

แก๊งค์เด็กนักเรียนไต้หวันกำลังรวมกลุ่มถ่ายรูปที่พิพิธภัณฑ์เหมืองทองเป็นที่ระลึก นี่หรือหน้าตาเด็กไต้หวัน ดูจะสนุกมากกเลย

ขณะเดินเอื่อยเฉื่อยชมบรรยากาศ และเด็กนักเรียนไต้หวัน ก็ไปเจอเจ้าหน้าที่สามคนที่จูงน้องหมา ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวกันมากรวมทั้งตัวผมด้วย น้องหมาก็น่ารักถ่ายแบบให้คนอื่นถ่ายรูป เจอเจ้าหน้าที่เด็กอีกแล้ว ทำไมดูเด็กจัง (หรือหน้าเด็กแต่อายุมากแล้วหว่า)

พอเดินมาสักพักตรงตึกด้านหน้าที่ตำรวจ 3 นายยืนอยู่ก็เป็นส่วนพิพิธภัณฑ์เหมืองทองคำซึ่งมี 2 ชั้นครับ ซึ่งเข้าฟรี ฟรี ครับ ฟรี เดินสำรวจจนมาถึงตรงนี้ (ภาพบน) ทองคำแท่ง เค้าบอกว่าเป็นทองคำแท้ที่อนุญาติให้สัมผัสได้ครับ ซึ่งตัวเลขสีแดงด้านซ้ายคือน้ำหนักของทองคำ และตัวเลขจำนวน 9 หลักนี้คือ มูลค่าทองคำแท่งนี้ในปัจจุบัน อุแม่เจ้าาาาา อยากเอากลับบ้านจัง


หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์ทองคำเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับไปรอรถบัสเพื่อมุ่งหน้าไปจิ่วเฟิ่นครับ โดยตอนที่จะไปตรงที่จอดรถบัสก็พบว่า หมอกเริ่มลงมาปกคลุมจนแทบจะไม่เห็นภูเขาเลยทีเดียว

หลังดื่มด่ำบรรยากาศที่พิพิธภัณฑ์เหมืองทองและเด็กไต้หวันที่มาทัศนศึกษาเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาและโอกาสอันสมควรแล้วที่จะไปจุดที่เป็นไฮไลท์ของทริปโกลเด้นฝูหลงของผมและเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวทั้งไทย ต่างชาติหรือแม้กระทั่งคนไต้หวันเอง นั่นคือ หมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่น

ข้อมูลจิ่วเฟิ่น (JIUFEN) : http://www.necoast-nsa.gov.tw/user/Article.aspx?Lang=2&SNo=03000019

ข้อมูลถนนโบราณจิ่วเฟิ่น (JIUFEN OLD STREET) : http://www.necoast-nsa.gov.tw/user/Article.aspx?Lang=2&SNo=04000075

การเดินทางไปยังหมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่น (กรณีเดินเส้นทางจากฝูหลงมา)

- จากพิพิธภัณฑ์เหมืองทอง มายังจิ่วเฟิ่น สามารถขึ้นรถบัสสาย 856 (GOLDEN FULONG SHUTTER BUS) หรือสาย 1062 ก็ได้ครับ

จากพิพิธภัณฑ์เหมืองทองไปยังจิ่วเฟิ่นใช้เวลาไม่นานครับ บรรยากาศของจิ่วเฟิ่นวันที่ผมไปอย่างที่บอกไว้แต่แรกแล้วว่า ฟ้าปิดและอากาศอึมครึมมากตั้งแต่ช่วงบ่าย ๆ (ตั้งแต่ปี๋โถวมาถึงจิ่วเฟิ่น) และก็มาถ่ายตรงมุมมหาชนอีกมุมหนึ่งที่หลายคนชอบถ่ายรูปกัน อีกภาพรถบัสสาย 1062 ครับ (ไทเป - พิพิธภัณฑ์เหมืองทอง) ขี้เกียจรอสาย 856 มีสายไหนมาก็ไปสายนั้น ซึ่งตอนขึ้นสาย 1062 ที่พิพิธภัณฑ์ลำบากมากครับ เพราะเด็กนักเรียนต่างยืนกันเต็มป้ายรถเมล์ จนผมไม่รู้จะไปรอตรงไหนนี้พอรถ 1062 มาก็วิ่งพรวดข้ามถนนอย่างรีบเลยครับ กลัวรถจะไปก่อนในที่สุดก็ได้ขึ้นรถบัสสาย 1062 ครับ

บรรยากาศข้างในถนนโบราณจิ่วเฟิ่น (JIUFEN OLD STREET ) ยิ่งเย็นเท่าไหร่คนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้นครับ เดินไปก็ดูของกินไป ดูอาหารตาไป อิอิ

เดินมาเรื่อย ๆ ก็มาถึงร้านดังที่เห็นในรายการทีวีและรีวิวต่าง ๆ นั่นคือร้านไอติมถั่วตัดชื่อดังที่วางบนแผ่นคล้ายกับแผ่นโรตีสายไหม ถัดมาก็เป็นถั่วตัดวางด้วยไอศกรีม แต่เสียดายวันที่ไปไม่มีโรยด้วยผักชี อิอิ

พนักงานและเจ้าของร้านบริการดีมากครับ เห็นนักท่องเที่ยวอยากถ่ายรูปเลยเอาจานที่วางไอศกรีมมาให้ถ่ายรูปกันเลย พอผมซื้อเสร็จพี่ผู้หญิงก็กล่าวว่า ขอบคุณค่ะ (อึ้ง เฮ้ยหูฝาดหรือเปล่าเรา แต่ช่างมันเถอะ) ยิ่งบรรยากาศเย็น ๆ ฟ้าครึ้ม ๆ เสมือนฝนจะตกกินไอติมเย็น ๆ ที่ห่อด้วยแผ่นโรตีและมีถั่วตัดมันฟินจริง ๆ ช่างท้าลมหนาวเย็นเหลือเกิน

ไข่ต้มใบชาที่สามารถหาได้ทุกที่ในไต้หวัน แม้กระทั่งร้านสะดวกซื้อยันบนเขา หลังจากนั้นก็เดินเรื่อย ๆ ไปตามทางประมาณว่าตามหามุมที่คนไปจิ่วเฟิ่นชอบไปถ่ายกัน มันอยู่ตรงไหนหว่า ก็เดินตรงไปเรื่อย ๆๆ เลี้ยวไปโน้นเลี้ยวมานี่ก็มาเจอทางเดินบันไดไปข้างล่างและมีห้องน้ำ ก็คิดว่าใช่แน่นอน พอเดินลงบันไดมาสักพักก็เห็นคนมุงอะไรกันตรงนี้หว่า ถ่ายรูปกันด้วยเลยเลี้ยวซ้ายแล้วหันมามองก็เจอฉากนี้ (น้ำตาแทบไหล เดินมั่ว ๆ มาเจอเฉยเลย)


ยืนถ่ายรูปตรงมุมนี้มุมเดียวปาไปหลายรูปเลยทีเดียว เนื่องจากว่าจะรอให้มืดกว่านี้สภาพร่างกายตัวผมก็คงจะเริ่มไม่ไหวแล้ว เพราะเดินทางออกทริปตั้งแต่เจ็ดโมงจากฝูหลงมาจิ่วเฟิ่น ถ้ารอให้มืดกว่านี้เดี้ยงแน่ ๆ เลย แต่ผมว่าวิวตอนนี้ก็โอเคแล้วครับได้เห็นไฟสีแดงจากโคมไฟ ฟินแล้วจริง ๆ

จากนั้นผมก็เดินลงบันได (รูปด้านบน) เพื่อไปรอรถบัสสาย 1062 กลับไทเปครับ ซึ่งถ้าลงบันไดตรงนี้ก็จะไปป้ายรถเมล์อีกป้ายครับ แต่ถ้าไปขึ้นย้อนไปตรงบันไดไปออกทาง 7-11 (ทางเดิมที่ผมเข้ามาตอนแรก) ก็จะสามารถขึ้นรถบัสสาย 1062 บริเวณต้นสายที่มาจากพิพิธภัณฑ์เหมืองทองได้ครับ แต่ถ้าลงบันไดมารอป้ายรถบัสแบบผมก็ลุ้นเอาครับว่ารถจะเต็มไหม ถ้าเต็มก็รอต่อไป ซึ่งระหว่างที่รอรถบัสสาย 1062 ก็นั่งเรื่อย ๆ จนคันแรกมาปรากฏกำลังจะแทปอีซี่การ์ด คนขับรถโบกมือห้ามทำนองว่า รถเต็มแล้ว ต้องรอคันใหม่นะ (เวรกรรม) รออีกสักพักอีกคันก็มาปรากฏว่าคนไม่เยอะเท่าคันแรก เลยรอดตัวได้กลับไทเปแล้วเรา

เมื่อขึ้นรถบัสสาย 1062 เพื่อกลับไปยังไทเป (ตรงห้าง SOGO) ปรากฏว่าพอเข้าสู่เมืองรถบัสก็จอดตรงสถานีหนึ่งแล้วปรากฏคนลงป้ายนี้เยอะมากกกก ผมก็คิดว่าถึงห้างโซโก้แล้วหล่ะมั้ง ปรากฏว่าพอลงจากรถมากลับเจอป้าย MRT SONGSHAN STATION


อะไรเนี่ยหันและหมุนรอบตัวเองครบ 360 องศาไหนหว่าห้างโซโก้ตรู นี่มันสถานี SONGSHAN ชัด ๆ ตายแล้วหลุดออกมาจากไหน สาเหตุที่ลงป้ายผิดมีดังนี้

1. ป้ายบนรถบัสไม่ขึ้นสถานีที่จอด เลยไม่รู้ว่าถึงตรงไหน

2. ขาไปนั่งรถไฟจากไทเปไปฝูหลง ไม่ได้นั่งรถบัสไปจากตรงห้างโซโก้ เลยไม่รู้พิกัดว่าสภาพพื้นที่เป็นอย่างไร 555

แต่เมื่อลงมาแล้วก็เลยเดินเรื่อย ๆ ชมเมืองแหละกัน การหลงทางหรือหลงผิดป้ายก็เป็นความทรงจำที่ดีอย่างหนึ่ง และก็เจอป้ายไปยังตลาดกลางคืนเหราเหอ (ซึ่งไม่ได้คิดเลยว่าจะมาที่นี่) แต่เจอป้ายก็ไปสิครับ รออะไร เสียตั๋วเครื่องบินมาแล้วเอาให้คุ้ม

ระหว่างเดินงงก็เจอป้ายบอกทางไปตลาดเหราเหอ ซึ่งเป็นตลาดกลางคืนอีกแห่งหนึ่งครับ (จริง ๆ ตรงนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจไปนะแต่มันลงผิดป้ายและเห็นพอดีเลยแบบพระเจ้าคงอยากให้ลูกได้เดินตลาดแห่งนี้มั้ง)

บรรยากาศตลาดกลางคืนเหราเหอคนเยอะมากในยามเย็น ๆ และกลางคืน ตลาดแห่งนี้มีทั้งของกิน เสื้อผ้า ให้เลือกสรรกัน พอเดินดูได้สักพักก็หาอะไรกินไปเดินไป

หลังจากเดินชมของกินและอาหารตาจากตลาดเหราเหอเสร็จเรียบร้อยก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปยังสถานี Zhongxiao Fuxing เพื่อไปยังห้างโซโก้และเดินเล่นตากแอร์ท้าลมหนาวเล่น ๆ และมาชมบรรยากาศต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสที่ใกล้จะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์

บรรยากาศภายในสถานี zongxiao fuxing เต็มไปด้วยผู้คนอันเนื่องจากว่าคนน่าจะเลิกงานแล้ว เห็นเเล้วคิดถึงสถานีรถไฟฟ้าสุขุมวิทเลยทีเดียว ซึ่งภาพนี้ผมลงมาเพื่อไปด้านหน้าของห้างครับ

บรรยากาศบริเวณห้างโซโก้ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2015 เมืองอย่างไทเปก็ไม่ต่างจากเมืองอื่น ๆ ที่มีการประดับประดาต้นคริสต์มาสและแสงไฟตามท้องถนนเพื่อรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน

RED HOUSE หรือหอแดงแห่งซีเหมิ 西門紅樓 (Xīmén Hónglóu — ซีเหมิน หงโหลว) :

ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1908 ในสมัยที่ไต้หวันยังอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่น KONDO JURO ซึ่งในขณะนั้นสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการเป็นตลาดการค้าขายแห่งแรกของไต้หวัน แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 1945 ได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นโรงละครเพื่อให้ความบันเทิงในสมัยนั้นนั่งเองและต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 ทาง DEPARTMENT OF CULTURAL AFFAIRS ได้ให้ทาง TAIPEI CULTURE FOUNDATION หรือ มูลนิธิวัฒนธรรมไทเป เข้ามาบริหารจัดการ จนกลายมาเป็นศูนย์การแสดงศิลปะร่วมสมัยในปัจจุบันนี้

บริเวณข้างเคียงหอแดงแห่งซีเหมินนั้นก็คือย่านซีเหมินติง หรือสยามสแควร์แดนไต้หวันนั่นเอง วันนี้ผมก็มาคืนที่สองอีกแล้วครับมาดูบรรยาากาศวันนี้ดีกว่ามีอะไรแตกต่างจากวันแรกไหม

หลังจากดูบริเวณภายในหอแดงแห่งซีเหมินแล้วก็เดินมาอีกนิดเพื่อตะลอนย่านฮาราจูกุแดนไต้หวัน (ฮาราจูกุเป็นไงหว่ายังไม่เคยไป) ก็เห็นคนมุงอะไรสักอย่างแถวตรงป้ายนินจานารุโตะ ด้วยนิสัยชอบเผือกตามประสามีหรือจะพลาดชม

นั่นมันแสดงโชว์อะไรมีฝรั่งเป็นคนจัดการแสดง และให้ผู้ชมมีส่วนร่วมแสดงสร้างความสนใจให้กับคนที่ผ่านไปมาเป็นอย่างดี ดูสิวงล้อมกว้างมากกกกกกก

เดินไปข้างในตรงห้างขายเสื้อแบรนด์ญี่ปุ่นที่มีขายในไทยก็เจอการแสดงเปิดหมวกของหนุ่มไต้หวัน ร้องเพลงได้รับความสนใจจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมา จากนั้นก็เดินหาของกินต่อไป กินไปท่ามกลางลมเย็น ๆ กับย่านซีเหมิน

หลังจากเดินเล่นย่านซีเหมินกะตลาดกลางคืนเหราเหอแล้ว ตอนนี้คิดได้ว่าสมควรกลับที่พักเพราะพรุ่งนี้ต้องกลับประเทศไทยซะแร้ว แต่ดีที่เครื่องออกเกือบสี่ทุ่มเลยวางแผนว่าจะตะลอนไทเปเก็บตกบางสถานที่อีกนิดหน่อย

สำหรับการมาไต้หวันครั้งแรกของผมก็ได้เจอความประทับใจตั้งแต่ตอนที่เหยียบถึงเกาะมันเทศแห่งนี้แล้ว สามารถอ่านความประทับใจของผมได้จากรีวิวไต้หวันก่อนหน้านี สำหรับวันพรุ่งนี้ผมจะเจอเหตุการณ์ประทับใจอะไรอีกบ้าง รอติดตามชมกันนะทุกคน

เอ้า ! เตรียมตัวเดินทางกันต่อในไทเปกับผมนะครับ ตอนนี้ขอกินอะไรก่อน มามาหม่ำกัน คริคริ

















































เพราะโลกนั้นกว้าง

 วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 11.03 น.

ความคิดเห็น