สวัสดีครับ อันนี้เป็นการลองรีวิวการท่องเที่ยวครั้งเเรกของผมนะครับ
ทริปนี้เกิดจากการนั่งดูรูปถ่ายของสถานที่ในไอซแลนด์เเละแสงเหนือที่ว่ากันว่าครั้งนึงควรจะไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง
จุดประสงค์หลักในการไปเที่ยวครั้งนี้คือตั้งใจไปเก็บรูปแสงเหนือเป็นหลัก ทริปนี้ไปช่วง 2-13 มกราคม 2559
ผมชื่อ วี ครับ มาเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นการเดินทางคือออกจาก UK นะครับ เริ่มที่การขอเชงเก้นวีซ่าที่ประเทศอังกฤษนั้นถือว่าไม่ยุ่งยากมากเท่าไรขั้นตอนที่วุ่นวายที่สุดคงเป็นการกรอกข้อมูลลงในเวปที่จะให้ ขอวีซ่าก็เป็นการขอผ่านสถานฑูตเดนมาร์ก ก่อนอื่นก็เข้าไปจองวันที่จะยื่นในเวป เเล้วกรอกข้อมูล ส่วนเรื่องเอกสาร ผมใช้ 1.หนังสือรับรองของมหาลัย 2.ประกันชีวิต 3.หนังสือรับรองของแบงค์ 4.แผนการเดินทาง 5.รูปถ่าย 6.เอกสารที่เกี่ยวกับข้อมูลการจองภายในทริปของเรา เช่น โรงเเรม ตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น หลังจากยื่นไปกรณีให้ส่งกลับมาที่บ้านเราเลย ผมได้ 3 วันหลังจากที่ไปยื่นถือว่าไวมากครั้งนี้ผมได้วีซ่ามา 6 เดือน วีซ่าพร้อมก็ออกบินกันเลย ครั้งนี้เลือกบินกับสายการบิน easy jet ขึ้นที่สนามบิน stansted airport ครั้งนี้ต้องซื้อกระเป๋าเพิ่มหนึ่งใบเพื่อโหลดลงใต้เครื่อง ปกติสายการบินนี้จะเข้มงวดเรื่องจำนวนเเละขนาดของกระเป๋ามากถ้าเชคไม่ดีอาจจะโดนปรับได้ ครั้งนี้โดนให้เอากระเป๋าที่จะขึ้นเครื่องเข้าไปวัดในช่องทั้งไปเเละกลับเเต่กระเป๋าเราเล็กกว่าช่องเลยรอดไป เเต่บางคนก็โดนให้จัดกระเป๋าใหม่หน้าเกทกันสองสามคน
ใช้เวลาเดินทางประมาณสามชม. แต่ลืมกินข้าวเที่ยงกินเเต่ข้าวเช้า เครื่องบ่ายสามเลยพลาดหิวบนเครื่องเลยต้องสั่งอะไรกินนิดนึง
ก็เลยได้ขนมกับคิทแคทมากินรองท้องไปก่อน
เครื่องมาถึงที่ Iceland ก็หกโมงเย็นกว่าๆแล้วเครื่องมาลงที่เมือง Keflavik
นี่คือเเผนเดิมทางก่อนมาคือวางเเผนคราวๆตามสถานที่ คือจะพยายามวางวันต่อวันเพราะก่อนมาเชคสภาพอากาศว่าเมฆเปิดเเต่ก็เปลี่ยนก่อนเลยคิดว่ามาวางวันต่อวันดีกว่า แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้ไปโซนด้านบนของไอซ์แลนด์เพราะอากาศแย่มากจริงๆเลยเปลี่ยนใจไม่ไปดีกว่า
เข้ามาสนามบินก็เจอป้ายโฆษณา Blue Lagoon กับ โยเกิร์ตยี่ห้อ Sky.is ที่เค้าเเนะนำว่าต้องลอง อร่อยกว่าปกติตรงมันจะหนึบๆกว่า
วันที่ 1 ของทริป คือยังไม่ได้เช่ารถก็เลยเช่าบ้านอยู่ก่อนคืนเเรกบ้านเช่าก็ใช้แอพ airbnb ก่อนอื่นก็เเวะซื้อซิมการ์ด siminn มาใช้ นั่งรถแท๊กซี่จากสนามบินไปที่บ้านพักก็ไม่ไกล เเต่ผมไม่ได้แลกเงินไปมีเเต่ยูโร ค่ารถก็ 20 ยูโร
ห้องที่จะนอนคืนเเรกครับ เจ้าของบ้านก้ให้การต้อนรับอย่างดี
เนื่องจากหิวมากเลยถามเจ้าของบ้านว่าเมืองนี้มีอะไรที่น่ากินบ้างเค้าก็แนะนำร้านพิซซ่ามาร้านก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักเท่าไรอยู่บนถนนเส้นหลักของเมืองนี้
อากาศก็หนาวใช้ได้ครับอยู่ที่ -1 องศา
รสชาตอร่อยครับแป้งหนานุ่มกำลังดีหน้าที่สั่งคือ Hawaii ราคาก็ 20 ยูโร ก่อนกลับก็เลยขอถ่ายรูปพนักงานไว้(คือผมทำอัลบั้ม Snap shot ที่รวมรูปคนที่ผมเจอเวลาไปเที่ยวตามที่ต่างจะขอเค้าถามรูปไว้)
วันนี้ตอนเเรกกะว่าจะซื้อของตุนไว้ใช้ในรถเเต่ร้านปิดเเล้วก็เลยเดี่ยวค่อยซื้อพรุ่งนี้เเทน
วันนี้เลยนอนเอาเเรงก่อนเพราะต่อจากนี้คงไม่ได้นอนบนเตียงดีดีเเล้วเพราะเราจะนอนในรถกัน
วันนี้ก็เริ่มต้นด้วยการไป Blue Lagoon ตอนเเรกกะว่าจะมาวันสุดท้ายเเต่เค้าจะปิดปรับปรุงเลยย้ายมาเป้นวันเเรกเเทน วันนี้คือวันที่โซนปกติจะเปิดเป็นวันสุดท้ายก่อนจะปิด
เราซื้อตั๋วรถบัสจากสนามบินไปที่บลูลากูนเป็นตั๋วไปกลับเอากระดาษไปเเลกเป็นตั๋ว
พนักงานจะอยู่ด้านหลังมีป้ายบอกว่าถ้าต้องการติดต่อให้เคาะที่เค้าวเตอร์เค้าก็จะออกมาเวลารถทัวร์คือ 8 โมงเช้าฟ้ายังมืดอยู่
ลองเอามาดูว่าเค้ามีไปเที่ยวไหนบ้างเพราะรถนั่งไปประมาณครึ่งชม.
นี่คือสิ่งเเรกที่เห็นหมอกๆไอๆด้านข้าง
ถ้าจองมาออนไลน์เเล้วเข้า 2 ช่องซ้าย
วันนี้ก็เริ่มต้นด้วยการไป Blue Lagoon ตอนเเรกกะว่าจะมาวันสุดท้ายเเต่เค้าจะปิดปรับปรุงเลยย้ายมาเป้นวันเเรกเเทน เค้าลดราคาพอดีเลยเลือกแบบสองมาราคา 50 ยูโรเท่าปกติที่เป็นค่าเข้าปกติ แต่อันนี้จะได้ผ้าเช็ดตัว ครีมกับโคลนสีเขียว เครื่องดื่มฟรี 1 แก้ว
พอรับของเรียบร้อยจะเป็นทางเเยกผู้ชายจะเดินขึ้นไปทางข้างบน ผู้หญิงจะเเยกเข้าทางด้านล่าง ตอนเเรกทุกคนจะตกใจเล็กน้อยเเต่ทางออกก็ไปจะไปเจอข้างหลังส่วนบรรยากาศในห้องเเตกตัวเค้าห้ามถ่ายเลยไม่ได้ถ่ายมา ตู้ใหญ่เป็นตัว L ส่วนยาวจะไว้เก็บเสื้อกันหนาว เข้าไปก็จะถอดรองเท้าไว้ในชั้นพอเข้าไปเสร็จก็จะให้อาบน้ำล้างตัวก่อนจะมีบางล๊อคแบบมีที่บัง แต่บางคนก็อาบแบบเปิดได้เลยแล้วเเต่ชอบ
พระอาทิตย์ขึ้นตอน 11 โมง เกือบครึ่ง ถึงได้เริ่มออกมาถ่ายรูป แต่เพราะไม่มีรองเท้าเเตะเลยต้องวิ่งเข้าวิ่งออกมาถ่ายเพราะพื้นเย็นมากต้องหาจุดที่ไม่โดนน้ำยืนถ่ายถึงจะยืนได้สักพัก
หลังจากออกมาพอดีว่าดูเวลาผิดว่าบัสที่จะกลับไปที่สนามบินเป็นเที่ยงครึ่งเเต่รอบนั้นไปเข้าเมืองหลวง เลยลองโทรไปหาบริษัทเช่ารถว่าจะไปช้าเเต่เค้าบอกถ้างั้นเดี๋ยวไปรับที่ บลูลากูนเลยก็ได้ คือเค้าเอารถมารับไปเอารถที่เมืองหลวงผิดจากที่เข้าใจว่าจะเอารถเช่ามาให้เลยก็เลยขอให้เค้ากลับไปบ้านเอาของก่อน รถบริษัทที่ผมเช่าเป็นของ KUKU Camper นะครับหลายคนคงก็คงได้ยินมาว่ารถเจ้านี่ไม่โอเค เเต่เนี่องจากผมขับเกียร์กระปุกไม่เป็นเลยไม่มีตัวเลือกมากนัก รุ่นที่เลือกคือ AA ผมเลือกเช่าถุงนอนหมอนอย่างละสองชุด เเก๊ซไว้ทำกับข้าว ที่แปลงไฟ เลือกซื้อประกันซึ่งประกันตัวนี้ไม่ครอบคลุมกรณีประตูพังเพราะโดนลมเเรงนะครับ ซึ่งสุดท้ายแล้วกลางทริปผมก็โดนเรื่องนี่ละเคยอ่านเจอมาบ้างเเต่กรณีที่ผู้หญิงระวังเเล้วยังไงก็คงโดนอยู่ดีเพราะยอมรับว่าที่นี่ลมเเรงมากจริงๆผมเองบางครั้งยังเกือบจับไว้ไม่อยู่ อันนี้ที่พังคือพังในเมืองด้วยนะไม่ใช่เที่ยวนอกเมือง
ข้อมูลก็เข้าไปเชคได้ที่เวปนี้
http://www.kukucampers.is/prices/
กว่าจะรับรถเชครถเสร็จก็บ่ายสี่เเล้วเกือบจะเเสงหมดเเล้วจากตอนเเรกว่าจะไปน้ำตกก็เลยไม่ได้ไปเปลี่ยนแผนไปหาที่ถ่ายในเมืองเอาเเล้วกันเลยเลือกโบสถ์พระเอกของเมือง Reykjavik
มุ่งหน้าขับรถไปตามมือถือ
บรรยากาศภายใน ตอนเเรกกะจะขึ้นไปถ่ายรูปด้านบนเเต่กว่าจะมาถึงก็เกือบปิดเเล้วถ่ายมาสองรูปข้างในเสร็จก็ปิดเลย
เลยมาถ่ายข้างนอกเเทน
สองภาพนี้ใช้โดรนถ่ายนะครับ ยังใหม่มากกับการใช้โดรนเรียกว่าพึ่งซื้อก่อนบินมาเเค่สัปดาห์เดียวได้ลองหัดบินอยู่บ้างเเต่ก็ได้ลองถามวิธีการถ่ายจากคุณ Payont Thanasatirakul ให้คำเเนะนำมาเลยทำให้ได้ภาพนี้มาจริงๆที่ตัดสินใจซื้อโดรนเพราะคนนี้เลยจริงๆ
facebook :
https://www.facebook.com/whereveego
IG: whereveego
ติดตามผลงานได้นะครับ
facebookส่วนตัว: vee verapat
หลังจากถ่ายรูปเล่นหิมะจนหน่ำใจเเล้วก็กลับมาตั้งหลักหลบหนาวกันในรถตอนนั้นประมาณ -1 ซึ่งความหนาวระดับนี้ผมก็ทนอยู่นานไม่ได้ กางแผนที่เอามือถือมาเชคเมฆว่าคืนนี้มีตรงไหนที่ฟ้าเปิดบ้าง เทียบกันสามสี่แผนที่ซูมเเล้วซูมอีกว่าตรงไหนจะมีมุมถ่ายสวยๆบ้าง สุดท้ายก้เจอว่าวันนี้ฟ้าเปิดที่ใกล้ที่สุดคือขับออกไปจากเมือง 2 ชม. ก็เลยลองขับๆดูก่อนละกันวันนี้วันเเรกนิลองเชิงกันไปก่อนขับออกไปทางเส้นทางหมายเลข 1 ซึ่งเป็นเส้นหลักออกไปทางตะวันออกของเกาะ ขับไปจนถึงบริเวณที่ฟ้าเปิดก็ดูรอบๆปรากฎไปเข้าผิดเมือง เลยขับออกจากเมืองมาเเล้วขับย้อนขึ้นไปทางเส้น โกลเด้น เซอร์เคิล ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นเส้น 57 ทางนี้เรียกว่าโหดใช้ได้มืดเเล้วก็มีลื่นบางครั้งความเร็วที่กำหนดคือ 90 รอบข้างไม่มีใครมีเเต่ความมืดรถก้ไม่มีเรียกว่าเหมือนอยู่กันเเค่สองคนบนโลก ในใจก็คิดเส้นนี้มันไม่มีรถวิ่งมาหรือสวนมาบ้างเลยรึ เเต่ก้คิดว่าคงปกติของที่นี่ตัดสินใจขับไปเรื่อยๆหามุมที่คิดว่าจะถ่ายเเล้วสวยที่สุดเเต่รอบๆไม่มีอะไรเลยจริงๆ ก็ขับไปเเต่ช่วงนั้นคือเห็นดาวเต็มท้องฟ้าเเล้ว เราก้บอกเนี่ยดาวโคตรเยอะเลยเลยว่าจะจอดถ่ายดาวไปก่อนละกัน น้องหมวยของเรา(คนจีน)เลยบอกจอดหลบๆไปข้างทางหน่อยสิตรงข้างหน้านี้ เราก็คิดว่าเหมือนบ้านเราคงมีไหลทางให้จอดเห็นเป็นหิมะ พอเลยไปล้อนึงเท่านั้นละ
ตอนนั้นคือนางหน้าเสียมากครับ (โดยปกตินางเป็นคนที่ดวงไม่ดีเอาสุดๆ) ตอนนั้นเหมือนจะร้องไห้เเล้วเเต่ ผมขำครับแบบเออก็คิดในใจสงสัยคงต้องนอนตรงนี้เเหละว้าคืนนี้รอพรุ่งนี้คงมีคนมาเจอเเล้วช่วยเราเอารถขึ้นมาเพราะระหว่างทางไม่เจอรถเลยจริงๆ
สักพักคือมีคนขับรถผ่านมาเจอเค้าเลยจอดมาดู
ที่นี่คือดีตรงทุกคนพูดอังกฤษได้เค้าก็ถามว่าลื่นตกลงไปหรอ เราก็เออ ออ ว่าไปตามนั้นกลัวจะโดนหาว่าโง่จะจอดถ่ายรูปแล้วตกลงไป ผมนี่รีบบอกให้น้องหมวยถ่ายรูปกับวีดีโอเลยเพราะตื่นเต้นดี
จากตอนเเรกลงไปล้อเดียวพามาลากที่นี้ลงไปทั้งคันเลยลากก็เเล้วเอาจอบมาขุดเอาหิมะออกก็แล้วเรียกว่าเหนื่อย เเต่สุดท้ายก็ช่วยเราออกมาได้สำเร็จคือดูเเล้วเค้ามีอุปกรณ์พวกนี่ติดรถกันเกือบทุกคัน เค้าก็ขับเเถวนี้ระวังหน่อยนี้ดีนะตกไปเเค่เป็นต้นไม้ถ้าลงไปบางที่นี่ลาวาจะยุ่งเอานะ
เเต่ก็โอเคเรารอดมาได้คราวหน้าคงไม่จอดมั่วๆอีก ขับรถมาตามเส้นทางเดิมเหมือนจะวนเข้าเมืองหลวงอีกทางนึง ขับไปเรื่อยๆก็พยายามช่วยกันมองหาเเสงเหนือเพราะนี่ก็ดึกนานเเล้วน่าจะมีเค้าบอกว่าถ้าเจอให้เอากล้องลองถ่ายดูจะเห็นชัดกว่าตา ทันใดนั้นเองน้องหมวยบอกเอ๊ะ นั้นอะไร เอ๊ะนั้นอะไร ทางขวามือผมนี่หยิบกล้องออกมาเลยครับ
นี่คือเเสงเหนือภาพเเรกในชีวิต
เเล้วมันก็วิ่งจากซ้ายมาทางขวาเวลานั้นก็คิดว่าอะไรเราจะโชคดีมาเจอตั้งเเต่วันเเรกขนาดนั้น
ตอนนั้นคือตกใจทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว เลยเอาว่ะจอดมันกลางถนนนี่ละเพราะเดียวตกข้างทางคราวนี้อาจจะไม่มีคนช่วยขึ้นมาอีก
คือวันนั้นเเสงเหนือเเบบเต้นระบำตรงหน้าเรียกว่าช๊อคจนลืมถ่ายรูป(วันนี้คือวันที่เเสงเหนือสวยที่สุดในทริปที่เจอ) คือมาเจอถูกที่ถูกเวลาเเสงเหนือพาดขวางตรงหน้า ระหว่างนั้นก้มีรถสวนมาเลยตั้งสติว่าอ่าวเดี่ยวก็ไม่ได้รูป เลยได้ถ่ายมาสามรูป ดูลำบากเพราะต้องคอยดูที่ขับมาตามถนนตอนขับไม่เจอเเต่พอนี่มีรถมาเป็นระยะๆ ถ่ายเเบบสักพักต้องยกกล้องหนี จนเเสงเหนือเริ่มจางเลยขับต่อไปเผื่อจะมีบางที่ๆจอดได้เเล้วถ่ายสะดวกกว่านี้
คือพอมาจอดได้ก็เเสงจางๆมากเเล้วด้านขวานี่คือเเสงจากภูเขาไฟมั่งอันนี้เดาเอา
ตอนเเรกก็คิดว่างั้นนอนนี่เลยก็ได้นี่เเต่ก็คิดว่ามันไม่ไกลจากจุดที่จะไปเที่ยวพรุ่งนี้ก็เลยอุ่นไก่ทอดเอเอฟซีกินเพราะทุกอย่างเย็นๆหมดเเล้ว
ระหว่างนั้นก็ถ่ายไปคิดไปว่าจะไปต่อหรือนอนนี่ สุดท้ายก้เอาว่ะยังไม่เที่ยงคือเลยขับไปต่อก็ได้ นั้นเเหละครับสิ่งน่ากลัวที่สุดของทริปจึงเกิดขึ้น น้องหมวยหลับไปเเล้วหลังรถผมขับต่อ ช่วงนั้นคือฝนตก เราก็ลืมคิดไปว่าพอฝนตกจะกลายเป็นน้ำแข็งเเล้วมันจะลื่นมากๆ เราก็อาศัยขับเลนที่มันดีกว่าเพราะเวลานั้นไม่มีรถอยู่เเล้วซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเลนที่สวนมาสภาพดีกว่าหิมะไม่เกาะเยอะมากเกินไป เเต่สุดท้ายก็ลื่นจนได้แต่เราขับที่ 50-60 เลยยังพอจะคุมได้เเต่มันก็หมุนเกือบ 180 องศา เเบบส่าย 4 - 5 รอบเพราะผมพยายามจะคุมรถให้ทำไงก็ได้ไม่ตกไปข้างทางอีก เรียกว่าตอนนั้นใจเสียเหมือนกัน ผมไม่เเตะเบรคเพราะกลัวมันจะหมุนหนักกว่าเดิมเลยปล่อยคันเร่งเเละเบรคเเล้วประคองรถเอาไว้ ส่ายแบบของในรถนี่ปลิวมั่วไปหมด ที่นี่นางตื่นขึ้นมาเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้นเลยบอกลื่นนิดหน่อย เเต่ใจนี่เต้นอย่างกับไปวิ่งมา สุดท้ายคิดว่ารีบไปอาจจะไม่ถึงเเวะหาที่นอนจริงๆเลยดีกว่าเพราะตอนนั้นก็ใจเสียมากละ สุดท้ายเจอวงเวียนนึงมีเหมือนโรงเเรมเลยเอารถไปจอดเเล้วนอนในที่ลานจอดรถ
ตื่นเช้ามาก็กลายเป้นเหมือนว่าที่นี่จะเป็นโรงเรียน หรือมหาลัยอะไรสักอย่างเลยเข้าไปแปรงฟันล้างหน้าใน ห้องน้ำที่นั้นเป็นอะไรที่รู้สึกว่าไม่เนียนสุดๆเพราะเราเป็นคนเอเชียเเล้วชุดที่ใส่นี่ก็คนละเรื่อง
นี่คือบริเวณลานจอดรถ
หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปสู่น้ำตกเเรกที่ว่าไว้ แต่ก็โดนเรียกความสนใจจาก
คือมันเชื่องมากจนจับได้สบายขนนิ่ม เเล้วเเบบบางตัวนี่เห็นคนนี่วิ่งเข้าใส่เลย
จอดถ่ายอยู่นานเอาโดรนมาบินถ่ายกะให้วิ่งสวยๆ เเต่เปล่าเลยนิ่งมากมองเฉยสักพักคนเริ่มจอดเยอะเเละเลยชิ่งดีกว่า
เนื่องจากช่วงเวลากลางวันของที่นี่ในหน้านหาวนั้นมีเเค่ 4-5 ชม เท่านั้นผมเลยเลือกไปถ้าเฉพาะที่คิดว่าน่าถ่ายเท่านั้น ไม่ได้ไปทุกที่อย่างวันนี้ก็ขับผ่านน้ำพุที่ชอบมาเที่ยวกันไปเพื่อมาที่นี่
ปกติที่นี่จะเดินลงไปได้อีกเเต่วันนั้นเค้าปิดเลยถ่ายได้เเค่นี้ แต่ถึงจะไกลจากน้ำตกมากเเล้วก็ยังมีละอองน้ำมาเยอะอยู่ดี กล้องที่ถ่ายนี่ก็ต้องเช็ดเลนอยู่ตลอดเหมือนกัน
ที่นี่ลมเเรงเเละอากาศเย็นมาก ขนาดที่โดรนบินไม่ได้เพราะแบทเย็นเกินไป
อันนี้ถ้าเราเดินขึ้นบันไดไปด้านบนจะมีอีกมุมเรียกว่าสวยกว่ามุมข้างล่างเยอะ เเล้วจะมีหินเดินออกไปไกลพอสมควรจะเป็นจุดวันใจให้ไปยืนดูจากมุมบินตอนเเรกว่าจะถ่ายวีดีโอเเล้วยืนอยู่บนนั้นเเต่พอโดรนบินไม่ได้เลยเลิกกลับขึ้นรถเพราะหิวข้าวกินไส้กรอกกับขนมประทังชีวิตไปเเล้วก็เริ่มขับไปทางเส้นหมายเลข 1 เพื่อไปตามเส้นทางหลักเพราะพระอาทิตย์ไม่เห็นเเล้วเลยขับไปตามทางเดิมคืนนี้ฟ้าเปิดแถวๆน้ำตกอีกที่นึง
ขับไปพร้อมกับน้ำมันครึ่งถังใจคอไม่ดีกลัวหาปั้มระหว่างไม่เจอเพราะเป็นเส้นทางใหม่
อันนี้ปลาตากเเห้งไม่อร่อยเพราะฉะนั้นอย่าซื้อ เเล้วก็เพราะลองเติมเงินใบซิมเเต่มันใช้บัตรจ่ายไม่ได้เลยขอเติมจากร้านเอารหัสมากดเลือกเติม data 5 gb เผื่ออัพรูปดูพยากรณ์ เเล้วเเชร์สองเครื่องก้เลยจัดเต็มไปเลย
และเเล้วเราก็เจอปั้มน้ำมันแวะเติมก่อนเลยช่วงจะเข้าเมืองจะเครื่องตรวจจับความเร็วอยู่พอจะเข้าเมืองจะจำกัดที่ 50 ระวังกันดีๆนะ นี่ก็กลัวว่าจะโดนใบสั่งย้อนหลังอยู่เหมือนกัน
ระหว่างทางเห็นตรงนี้น่าถ่ายเลยลงมาถ่ายนิดนึงเห็นอย่างนี้ลมเเรงมากถ่ายเสร็จรีบขึ้นรถเลยเส้นนี้จะลมเเรงมากจนต้องเดินถอยหลังกันเลยทีเดียว
คือเอาจริงๆขับมาไม่รู้หรอกว่าจะไปไหนคือขับตามเลข gps ที่จดมาเเต่ทำใจไว้เเล้วว่าถ่ายไรไม่ได้มากมันจะมืดแล้วเเต่ก็มาถึงเเล้วก็ต้องถ่ายเพราะไม่รู้จะได้ถ่ายอีกไหม
มุมนี้คือเปลี่ยนชุมฉ่ำมากเข้าไปข้างหลังน้ำตกทั้งกล้องทั้งคนเปียกหมด
หลังจากถ่ายเสร็จก็เห็นว่าอีกจุดนึงที่คืนนี้น่าจะมีโอกาสเห็นเเสงเหนือ เลยคิดว่าจะไปนอนเเถวนั้นเอาตอนนั้นก็มืดมากเเล้ว
ฟ้าจะเคลียร์ตอนเที่ยงคืนถึงตีสาม เลยขับไปจอดเเล้วก็ทำอาหารกิน
วันนี้มีเนื้อเลยว่าจะทำแฮมเบอเกอร์กิน พอกินเสร็จก็นอนก่อนเพราะถ้าเเสงเหนือมาคงไม่ได้นอนนอนตั้งเเต่ สามทุ่มตื่นมาห้าทุ่มครึ่ง
Part 2 https://th.readme.me/p/1974
whereveego
วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 03.23 น.