การจะหาสถานที่ให้เราไปพักผ่อนสักที่หนึ่งอาจจะหาง่าย ถ้ามันไม่ได้อยู่ในช่วงฤดูฝน และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือช่วงนั้นพายุเข้า ทำให้ฝนตกหนักเกือบทุกภาคของไทย นอนคิดอยู่คืนสองคืน และก็ลองเข้าไปเช็คดูจากการเช็คอินใน Instagram เช็คข่าวน้ำท่วม และหรือแม้แต่พายุ สุดท้ายก็ไปจบลงที่

" อ. เชียงคาน จ. เลย "

เช้าวันต่อมาเลยจองตั๋วรถทัวร์ทันที ก่อนวันไปจริงแค่ 3 วัน และราคาตั๋วบวกกับบริการที่น่าเสียเงินก็เลยลงเอยที่ “แอร์เมืองเลย” คราวก่อนเคยใช้บริการของ บ. นี้ไปแล้ว ครั้งนี้ก็เลยใชับริการอีกครั้ง

07/09/2018

5 โมงตรงรีบดีดตัวออกจากที่ทำงานทันทีเพื่อไปให้ทันขึ้นรถในเวลา 19.30 น. เวลาเหลือเฟือในการจะไปหาข้าวเย็นกินก่อน สำหรับที่นั่งนั้นค่อนข้างสบาย พื้นที่ระหว่างขากว้างในระดับนึง เพราะเป็นรถ VIP32 แต่ถึงจะสบายยังไงการที่ต้องนั่งรถ เข่าเรามันงอตลอดเวลา ทำให้ 10 ชม. ในการเดินทางเกิดผลที่ตามมาคือ ปวดเข่า ซึ่งป็นเรื่องปกติของการนั่งรถนานๆ อยู่แล้ว แต่ยังไงหลับสบายแน่นอน


08/09/2018

เวลา 5.00 น. เราก็มาถึงยังเชียงคาน ลงรถปุ๊บพี่สามล้อเครื่องก็เข้ามาหาเราทันทีว่าจะไปไหน เราก็ตอบแบบไม่คิดเพราะว่าคิดมาแล้วว่าจะเหมาสามล้อตระเวนเที่ยว

ราคาก็จะประมาณนี้

  • ภูทอก = 100. บาท/คน
  • ภูทอก - ภูควายเงิน = 200 บาท/คน
  • ภูทอก - ภูควายเงิน - แก่งคุดคู้ = 200 บาท/คน

ถ้าถามว่าแพงมั้ย ? ในความรู้สึกผมมองว่ามันไม่แพงนะ เพราะช่วงนี้คนอาจจะเที่ยวน้อยก็ถือว่าส่งเสริมกัน
โฆษณาให้พี่เขาหน่อย : โจ สามล้อ บริการน้ำเที่ยวทั่ว...เชียงคาน โทร. 092-998-5325

เมื่อคุยกันรู้เรื่องก็ยกกระเป๋าขึ้นรถแบบไม่รีรอ แต่ก่อนอื่นแวะปั๊มให้ผมได้ทำธุระส่วนตัวก่อนนะ จะหาของกินรองท้องก็ 7-11 ที่ปั๊มได้เลย ณ จุดนี้จากมเื่อวานน้ำเราก็ไม่อาบจ้า เที่ยวแบบไม่อาบน้ำสักวันนึงแล้วกัน เหนียวๆ ตัว เหนียว 0 ดี 555

จากปั๊ม เวลา 5.20 น. นั่งรถมาไม่เกิน 30 นาที ก็มาถึงยังจุดต่อรถกระบะขึ้นภูทอก ซึ่งก็มีค่าบริการอยู่ที่ 25 บาท/คน มา 2 คน รถก็ออกทั้ง 2 คนนั่นแหละ ไม่ต้องรอใครเพราะยังไม่มีวี่แววว่าใครจะมาอีก เสมือนนั่งรถไฟเหาะ หรือบางคนเคยไปเขาคิชกูฏ ที่นี่ก็น้องๆ เลย ( *** ภาพนี้ถ่ายตอนลงจากภูมาแล้ว ตอนขึ้นฝนตกไม่ได้ถ่ายไว้ ***)

สภาพอากาศในวันนี้ฝนพึ่งหยุดตกไปหมาดๆ ทำให้ทะเลหมอกลอยมากันเต็มเลย แทบจะไม่เห็นวิวทั้ง แก่งคุดคู้ และฝั่งตัว อ. เชียงคาน แต่ฝั่งที่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ทะเลหมอกเบาบางกำลังดี ทำให้เห็นวิวด้านล่าง สำหรับใครที่ขึ้นมาบนนี้แล้วก็อย่าลืมไหว้พระขอพรที่ศาลาเล็กๆ ด้วยนะ

หมอกฝั่งนี้ก็จะลอยเยอะหน่อย

วิวภูเขาที่ไกลออกไป แม่น้ำนั้นก็คือแม่น้ำโขง ถ้าฟ้าโปร่งก็จะสวยไปอีกแบบ เสียดายเมฆเยอะไปหน่อย


ฝั่งนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า แต่วันนี้ฟ้าปิดอดเห็น TT

แต่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาให้เห็นหน่อยนึง และแปบเดียวเท่านั้น

และพระทิตย์ก็หายไปในกลีบเมฆ

ถึงแม้พระอาทิตย์ที่นี่จะขี้อายเพียงใด แต่ก็ขอบคุณที่ทำให้ฟ้าเป็นสีทองสวยงามไปอีกแบบ

ก็อย่างที่บอกตอนแรกเมฆค่อนข้างเยอะอดเห็นวิวทั้งฝั่งแก่งคุดคู้ และเมืองเชียงคาน


ใช้เวลาถ่ายรูปบนนี้เกือบชั่วโมงก็ลงด้านล่าง เพื่อเดินทางต่อไปยัง “วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน"

ระยะทางจากภูทอกไป ภูความเงินก็ใช้เวลาประมาณ 30 นาที อาจจะเป็นเพราะสามล้อทำความเร็วได้ไม่มากนัก มาเชียงคานมันก็ต้อง Slowlife แบบนี้แหละ

ได้มีเวลาอยู่กับธรรมชาติเมื่อเข้ามาถึงเขตวัดเราก็ยังไม่ถึงซะทีเดียว หากใครมารถยนต์ก็สามารถขับขึ้นไปด้านบนได้เลย ส่วนเรามาสามล้อก็ต้องโทรเรียกรถจากด้านบนให้ลงมารับ

เบอร์ติดต่อก็ติดอยู่ตรงต้นไม้นี้แหละไม่นานรถกระบะก็ลงมารับ ค่ารถก็คนละ 25 บาท จะลงก็ติดต่อที่ร้านค้าด้านบนได้เลย


เมื่อมาถึงวัดพระพุทธบาทภูควายเงิน สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ การสักการะ "รอยพระพุทธบาท"ที่ประดิษฐานอยู่บนหินลับพร้า (หินลับมีด) หลวงพ่อทันใจ และพระเจ้าใหญ่ พุทธฉัพรรณรังสี

รอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐานอยู่บนหินลับพร้า (หินลับมีด)

หลวงพ่อทันใจ

พระเจ้าใหญ่ พุทธฉัพรรณรังสี (ผมได้ฟังจากคำบอกของพ่อค้ามาว่า อนาคตอันใกล้นี้จะมีการสร้าง sky walk ด้วย)

ถัดมาอีกมุมหนึ่งของวัดก็้จะมีจุดชมวิวที่เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์หมู่บ้านอุมงด้านล่าง แต่ต้นไม้จะเยอะไปหน่อย ถ้าจะถ่ายรูปก็อาจจะไม่สวยนัก

และที่เป็นท่าไม้ตายก็ของที่นี่เลยก็คือ ฝูงกระต่ายกว่าร้อยชีวิต ที่เฝ้ารอนักท่องเที่ยวมาให้อาหาร เราสามารถเดินเข้าไปในคอกได้เลย เพราะเนื้อที่กว้างมาก จากกระต่ายเพียง 4 ตัว จนวันนี้แพร่พันธุ์ออกมาเยอะมาก บางทีก็จักจี้เวลากระต่ายเกาะขา นอกจากคอกกระต่ายข้างๆ กันก็มีบ่อเต่า บ่อปลาด้วยนะ


หลังจากเต็มอิ่มกับการทำบุญทำทาน เราก็จะไปต่อยัง "แก่งคุดคู้"

แต่ก็ได้ทำใจมาบ้างแล้ว ที่ตรงหน้านี้ปกติถ้าไม่ใช่ช่วงฤดูฝน จะสามารถเดินลงไปได้เลย แต่วันที่เรามานี้เป็นฤดูฝนก็เลยไม่ได้เดินลงไปในแก่ง ได้แต่ถ่ายรูปอยู่ด้านบน แล้วก็กลับที่พัก

9 โมงนิดๆ เราก็มาถึงที่พัก “เฮือนพัดโบก” มาถึงไวก็ยังเช็คอินไม่ได้อยู่ดีแถมประตูยังปิดอยู่เลย ก็เลยโทรหาเจ้าของ และขอฝากสัมภาระไว้ก่อนภารกิจต่อไปของเราก็คือ ปั่นจักรยานไหว้พระ และหาอาหารพื้นเมืองเชียงคานรับประทาน ค่าจักรยานก็คันละ 50 บาท

จักรยานพร้อม คนพร้อม เป้าหมายแรกเลยก็คือ หาอาหารเช้ากินก่อนดีกว่า เมนูแรกเราจะตามหา “ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว” ผมได้ชื่อร้านมาเยอะมากบางร้านหาไม่เจอ เลยมาจบที่ ร้านป้าลี่ ข้าวปุ้นน้ำเเจ่ว

ถือว่าเป็นอาหารที่แปลกดีแอบเสียดายไม่ได้ลองร้านอื่นด้วย ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว ก็คือ ก๋วยเตี๊ยวหมูใส่หมู ใส่เครื่องในหมู และใส่เส้นขนมจีนแทนเส้นก๋วยเตี๋ยว จะเสิร์ฟมาคู่กับผักแกล้ม มี มะนาว ถั่วฝักยาว ถั่วงอก ที่ถูกต้องตามสูตรคนเชียงคาน คือ บีบน้ำมะนาว และ ใส่ แจ่ว ลงไปในชาม มากน้อยตามใจชอบ แล้วคลุกให้แจ่วละลาย

ข้อมูลจาก: https://www.wongnai.com/reviews/8e5e06cb3ad8490e8716e09cdf8bbc3a

เติมพลังงานเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องใช้พลังงานกันสักหน่อย ปั่นจักรยานต่อไปอีก 3 กม. เพื่อไปยังวัดท่าแขก
จริงๆ ตอนสามล้อพาไปแก่งคุดคู้ เราก็ผ่านวัดนี้ แต่ไม่ได้แวะ ซึ่งถ้าใครไม่อยากปั่นจักรยานมา ก็บอกให้พี่สามล้อแวะให้ก็ได้

ภายในโบสถ์จะมีพระพุทธรูปจำนวน 3 องค์ด้วยกันที่สกัดมาจากหินทรายทั้งก้อน เป็นพระพุทธรูปที่มีความเก่าเเก่ซึ่งคาดว่ามีอายุราวๆ 300 ปี และยังเป็นวัดที่มีประวัติเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์เมืองเชียงคานอีกด้วย

กุฎิหลวงปู่ชอบ อดีตเกจิชื่อดังแห่ง จังหวัดเลย

จุดชมวิวริมแม่น้ำโขง มีทางให้เดินริมแม่น้ำโขงยาวมาก ซึ่งยาวไปถึงแก่งคุดคู้เลย แต่เราไม่ได้ปั่นไปต่อ

ตอนปั่นไปก็ไม่เหนื่อย แต่พอปั่นกลับเมื่อยขาเหลือเกิน เพราะบางจุดเป็นเนิน แถมแดดยังร้อนอีกด้วยไหนว่าเป็นหน้าฝนไงวะ ! 555 สุดท้ายก็เลยหลบแดดเข้าไปตากแอร์เย็นๆ ที่ร้าน Cafe 239 แล้วค่อยลุยต่อ รสชาติเครื่องดื่ม และของหวานขอบอกว่าอร่อย แม้จะเป็นร้านเล็กๆ ใครผ่านอย่าลืมแวะมาลองดู

วัดต่อมาคือ " วัดท่าคก " ที่อยู่คู่เชียงคานมานาน 200 ปี เป็นวัดที่เชื่อกันว่าพระยาศรีอรรคฮาต เจ้าเมืองคนสุดท้ายของเชียงคานเป็นผู้สร้าง

ด้านหน้าประตูพระอุโบสถมีหลักศิลาจารึกให้ได้ชมทั้ง 2 ฝั่ง

ภายในพระอุโบสถยังเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน ปางมารวิชัย ศิลปะปูนปั้นแบบล้านช้าง

ที่ชอบเป็นพิเศษเลยก็คือ จิตรกรรมบนเพดานของพระอุโบสถที่สวยมาก


ใกล้จะเที่ยงแล้วเราไปหาอาหารพื้นเมืองกินอีกหนึ่งเมนูนั่นก็คือ “จุ่มนัวยายพัด” ร้านเก่าแก่กว่า 40 ปี มันจะคล้ายๆ สุกี้ที่เลือกเส้นได้ แต่น้ำราดไม่ใช่สุกี้นะ แต่มันมีความอร่อยในแบบฉบับของมัน รสชาติดีมากๆ มาเชียงคานไม่ควรพลาดเด็ดขาด

กินเสร็จก็มาลุยกันต่อที่ " วัดมหาธาตุ " เป็นอีกหนึ่งวัดที่อดีตเป็นศูนย์กลางของชุมชน อุโบสถเก็เป็นแบบพื้นบ้านๆ พอได้เข้ามารู้สึกถึงกลิ่นอายความเก่าแก่เลย อุโบสถนี้วันที่ไปประตูปิดเลยอดเข้าไปดู

เลยได้แต่เข้าไปแต่พระอุโบสถนี้

จิตรกรรมฝาผนังที่จางๆ บ่งบอกให้รู้สึกถึงความเก่าแก่ของที่นี่

ภายในมีพระประธานให้เราได้กราบไหว้เป็นสิริมงคล

สถานที่สุดท้ายในการตระเวนไหว้พระในวันนี้ก็คือ “วัดศรีคุณเมือง” เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียง ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดใหญ่”

บันได้ทางขึ้นสิม (โบสถ์) มีปะติมากรรมเป็นยักษ์ และสิงห์

สิงห์เฝ้าบันได้ทางขึ้นพระอุโบสถ

ซุ้มพระตูทางเข้ามีจิตรกรรมฝาผนังแบบอีสาน ที่พอได้มองแล้วชอบมาก มีความผสมผสานหตุการณ์ปัจจุบันอย่างรถสามล้อเครื่อง

ในพระอุโบสถมีพระประธานเป็นปางนางปรก เป็นพระพุทธรูปที่ชาวบ้านให้ความศรัทธามาก

เจดีย์ทองบริเวณข้างพระอุโบสถ

ตอนนี้ฝนก็เริ่มลงปรอยๆ พอดี และเวลาก็บ่ายโมงกว่าแล้ว เราก็ไปเช็คอินเข้าที่พัก เพื่ออาบน้ำเป็นครั้งแรกประจำวันนี้สักหน่อย

หลังจากนอนพักเอาแรงไปงีบใหญ่ๆ เวลา 16.00 น. เราก็ออกไปลุยกันต่อที่ ถนนคนเดิน และเดินชมวิวริมแม่น้ำโขง

แดดตอนนี้ค่อนข้างแรง คนเลยไม่ค่อยมีให้เห็น

ไม่แปลกใจเลยทำไมไม่มีคนเดิน

ตรงนี้ก็ไม่มีคน 555

พาโนราม่าตอนแดดจ้า

พาโนราม่าตอนพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า

พอแดดร่มลมตกก็จะเริ่มเห็นผู้คนมากขึ้น

คนละบรรยากาศกับก่อนหน้านี้เลย ยามเย็นฟ้าก็จะครึ้มนิดๆ แต่ฝนก็ไม่มีท่าทีว่าจะตก เราก็เดินเลาะริมโขง ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ กะว่าจะรอดูพระอาทิตย์ตก แต่เมฆก็เยอะเหลือเกิน ทำให้ได้บรรยากาศอีกแบบเลย

พอแดดไม่มี คนเต็มเลยจ้าทีนี้ บรรยากาศดีเว่อร์ ~~~

บางคนมานั่งเล่นตากลมฟินมาก ไม่อยากจะคิดเลยถ้ามาในช่วงฤดูหนาว

อยู่แถวริมแม่น้ำโขงจนพระอาทิตย์ตกก็ได้เวลาหาของกินบน ถนนคนเดิน ที่เป็นไฮไลท์ของเชียงคาน

ท้องเริ่มร้องโหยหวน อาหารพื้นเมืองอีกหนึ่งเมนูที่ตกถึงท้องเย็นนี้ก็คือ “ข้าวเปียกเส้น” หรือที่คุ้นเคยอีกชื่อก็คือ ก๋วยจับญวน นั่นแหละ ซึ่งราคาถูกมาก ถูกกว่า กทม. อีก

และอีกสิ่งที่คนมาเชียงคานชอบถ่ายรูปโชว์บ่อยๆ ก็คือ "กุ้งแม่น้ำโขงเสียบไม้" นี่แหละ จัดสักไม้พอเป็นพิธี

กินอิ่มแล้วก็ต้องเดินย่อย ถนนคนเดินที่นี่แม้จะไม่ได้อยู่ที่ช่วงที่คนนิยมเที่ยว ผู้คนก็ยังเยอะอยู่ดี


มีทั้งของกิน ของฝาก และของที่ระลึกเก๋ๆ ชิคๆ ทั้งนั้นเลย

ระหว่างทางก็จะเจอเด็กๆ และผู้ใหญ่แสดงความสามารถให้เราได้ชม และให้เงินเล็กๆน้อยๆ เป็นรางวัล


กลางวันกับกลางคืน ถนนคนเดินที่นี่จะมีเสน่ห์กันคนละเแบบ

หลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทั้งวัน ก็ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อน และพรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เที่ยวเมืองเชียงคาน ต้องรีบนอนตื่นแต่เช้าไปตักบาตรข้าวเหนียว กิจกรรมที่คนมาเชียงคานไม่ควรพลาด


09/09/2018

เวลา 05.30 น. หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน เราก็ออกเดินหาจุดตักบาตรที่มุมสวยๆ หน่อยเผื่อจะถ่ายรูป เท่าที่ทราบบางที่พักจะมีการเตรียมของตักบาตรให้

แต่ละบ้าน แต่ละที่พักก็มีการปูเสื่อรอให้คนมานั่งรอตักบาตร เป็นหนึ่งในวิถีชีวิตที่มีเสน่ห์ของที่นี่มากๆ

เวลา 05.40 น. พระก็เริ่มเดินบิณฑบาตรมาถึงตามจุดต่างๆ จากที่สังเกตมีพระบิณฑบาตรถึงประมาณ 7-8 โมงเลย พระจะเยอะไม่เยอะก็ขึ้นอยู่กับแต่ละวัดๆ ไป

ตลอดถนนทั้งเส้นจะมีคนมารอใส่บาตรกันทุกบ้าน

ของเยอะจนต้องเข็นรถตาม

นี่ก็เข็นรถสามล้อ

บางจุดพระก็ยังเดินมาไม่ถึง ไม่ใช่ช่วงเทศกาลเที่ยวของที่นี่คนมันก็จะน้อยหน่อย

หลังจากตักบาตรเสร็จเรากเดินไปยังริมแม่น้ำโขงอีกครั้งเพื่อเก็บบรรยากาศยามเช้า

ตอนเช้าอากาศดี แดดไม่ร้อน ก็ขอถ่ายรูปเพื่อเป็นท่าพระจำตัวสักหน่อย \O/

ระหว่างเดินกลับก็เห็นป้ายอยู่ต้นนึง มองดูแล้วก็รู้สึกตลกดี โดยเฉพาะการเดินทางไป กทม. 555

ตอนนี้คนก็เริ่มซาแล้ว ถนนก็เริ่มโล่งขึ้น บางบ้านก็มีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ

มุมนี้เป็นหนึ่งมุมมหาชน ที่คนมักจะไม่พลาดที่จะมาถ่ายรูปตรงนี้


บ้านหลังนี้ก็ถ่ายรูปสวยนะ สมแล้วกับที่เป็นเมืองเชียงคาน

และเราก็มาตบท้ายด้วยอาหารเช้าที่ร้าน "ลุกโภชนา" เป็นอีกหนึ่งร้านที่ได้ดูมาจากรีวิว แต่เอาจริงๆ ยามเช้าก็มีหลายๆ ร้านที่น่าเข้าไปกินเหมือนกัน ชอบร้านในใกล้ร้านไหนก็เข้าได้เลยไม่ผิดหวังสักร้าน

หลังเติมพลังงานยามเช้าเรียบร้อย ก็กลับที่พักไปอาบน้ำ และเก็บสัมภาระเตรียมตัวกลับ กรุงเทพฯ โดยได้นัดแนะพี่สามล้อที่ใช้บริการในตอนแรก ให้มารับที่ที่พักและไปส่งที่ท่ารถ “แอร์เมืองเลย” หรือหากใครกลับ “ซันบัส” ท่ารถก็จะอยู่เลยไปอีกนิดเดียว

เวลา 9.15 น. รถทัวร์ก็มาได้ตรงเวลา ระยะทางขากลับนั้นใช้เวลานานกว่าตอนมา 2 ชม. โดยนั่งรถไปราวๆ 12 ชม. ถึง กทม. 3 ทุ่มพอดี ที่ใช้เวลานานเพราะขากลับเป็นช่วงกลางวัน รถแวะค่อนข้างเยอะ แต่มีข้อดีคือจุดที่แวะมีของกินให้ซื้อกินไม่ต้องกลัวหิวเลย


เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางอย่างสมบูรณ์ ได้ทำทุกอย่างตามที่หวังไว้


“เมืองเล็กๆ ที่น่าประทับในทุกฤดูกาล

อยู่ที่เราจะมองมันในมุมไหน

ทุกสิ่งล้วนมีเสน่ห์ในตัวมันเอง "

By : I Will Go Thailand

ฉันจะไป : I Will Go

 วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.57 น.

ความคิดเห็น