รีวิววันนี้ก่อนอื่นต้องแสดงความเสียใจ และส่งกำลังใจให้กับชาวฮอกไกโดที่ต้องผจญกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ตอนนี้สถานการณ์คงกลับสู่ปกติแล้ว และเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวแล้ว 頑張って



เกือบปีแล้วสิครับที่ไม่ได้พาไปเที่ยวไหนยาว ๆ เลย เพราะติดทั้งภารกิจงานและภารกิจเรียน เรียกได้ว่าไม่ได้ไปเที่ยวไหนอะไรกันเลย วันนี้ว่างๆ ขอไปปัดฝุ่นทริปเมื่อตอนปีใหม่ที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันแบบฉุกเฉิน ตอนนี้ที่ไปง่ายมั่กๆ เรียกว่าคนไทยคิดอะไรไม่ออกก็ไปญี่ปุ่นกัน ต้นปีที่ผ่านมาก็เลยมุ่งหน้าไปเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภูมิภาคโทโฮคุ ได้แก่ จังหวัดยามากาตะ จังหวัดอาโอโมริ และไปสิ้นสุดกันที่จังหวัดที่ใหญ่ที่สุดตอนเหนือของญี่ปุ่น ก็คือจังหวัดฮอกไกโดครับ

จังหวัดฮอกไกโดมีหลายเมืองน่าเที่ยว แม้เมืองหลวงจะเป็นซัปโปโร ที่ดูจะเจริญผิดหูผิดตาไม่ต่างจากเดินอยู่ในโตเกียว หรือโอซาก้าเลยก็เหอะ ฮาโกดาเตะเมืองที่เป็นหน้าด่านเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่นบนเกาะฮอนชู ก็เป็นอีกเมืองที่พลาดไม่ได้ ที่นี้คือจุดสุดสายของรถไฟสายชินกันเซ็นที่เชื่อมต่อมาจากโตเกียว ก่อนจะต่อรถไฟท้องถิ่นไปยังซัปโปโรและเมืองอื่น ๆ หลายคนอาจจะเลยผ่านไปมุ่งไปที่ซัปโปโร เพราะการเดินทางจากฮาโกดะเตะไปยังซัปโปโร ก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ ต้องเดินทางกันอย่างน้อยครึ่งวันกันเลย แต่ถ้ามีเวลามากพอ ผมว่าการหยุดพักที่ฮาโกดาเตะ ก็เป็นเรื่องที่พลาดไม่ได้ เมืองขนาดกะทัดรัด เที่ยววันเดียวจบ วิวระดับมิชชิลลินสตาร์ และอาหารทะเลสด ๆ ราคาไม่แพง ด้วยเหตุผลแค่นี้ก็เพียงพอให้พวกผมปักหมุดกันที่นี่ถึงสองคืนเลยทีเดียว ยิ่งเราตรงมาจากอาโอโมริ ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงฮาโกดาเตะแล้วครับ

ก่อนจะพาไปเที่ยวก็พาไปดูที่พักก่อนครับ คราวนี้เราพักกันที่ Fourpoint by Sheraton Hakodate ที่เอาโรงแรมเก่ามาบูรณะกันใหม่หมดเลย ไม่เพียงแต่สะอาด ทันสมัย ราคาไม่แพง (น้ำแรงมาก ชอบ ๆ) ที่ตั้งก็สุดยอดครับ ด้านล่างมีซุปเปอร์อาหารทะเลแช่แข็ง ด้านข้างโรงแรมก็คือตลาดเช้าและอาหารทะเลตลาดหลักของฮาโกดาเตะ และที่สุดยอดสุดคือตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟเลย วันที่ผมไปถึงตอนเช้าพายุหิมะเข้าพอดี โชคดีที่โรงแรมอยู่หน้าสถานีก็เลยลากกระเป๋าผ่าหิมะ (ที่หนาโพดๆ ) และอากาศหนาว ๆ ไปเพียงแค่สองสามนาที โชคดีที่ไปถึงก่อนเที่ยง โรงแรมใจดีก็ให้เช็คอินก่อนเลย ได้ไปนอนแช่น้ำอุ่นสบายไป เพื่อรอหิมะหยุดครับ ที่นี่ห้องพักแบบธรรมดาก็จริงแต่กว้างขวางพอ โทรทัศน์ก็มีช่อง international สะดวกสบายในราคาไม่แพงเลยครับ แนะนำครับ ไปดูห้องพักไว้เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนจะพาไปเที่ยวต่อกันครับ

ตรงข้ามกับโรงแรมก็คือตลาดเช้า แต่เราไปบ่ายแล้วก็เลยปิดครับ แต่ไม่ต้องห่วงครับ ข้างตลาดคือ Food center ที่มีร้านอาหารทะเลที่ได้วัตถุดิบจากตลาดเช้านั้นแหล่ะ ราคาไม่แพงและอร่อยทุกร้านผมว่านะ นอกจาก Food center แล้ว รอบ ๆ โรงแรมก็มีร้านอาหารอยู่เพียบเลยครับ

ท้องอิ่มแล้วก็ถึงเวลาท่องเที่ยวแล้วครับ ฮาโกดาเตะเป็นเมืองที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากมายครับ แม้จะเคยเป็นที่ตั้งของรัฐบาลบาฟุกุก่อนที่จะสถาปนาซัปโปโรเป็นเมืองหลวงก็ตาม และฮาโกดาเตะเป็นเมืองท่าเมืองแรก ๆ ที่เปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกภายหลังปฏิวัติเมจิ ก็เลยมีสถาปัตยกรรมที่เหมือนกับหยุดเวลาในสมัยต้นเมจิ (ราว ๆ ต้นรัชกาลที่ 5) เอาไว้หลายที่เลยครับ และที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็อยู่ทางใต้ของสถานีรถไฟซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมือง การท่องเที่ยวหากขี้เกียจเดินลุยหิมะก็ใช้รถรางได้ครับสะดวกดีครับ แต่ผมเดินเอาครับ ไม่ถึงชั่วโมงก็ไปได้หลายที่เลยครับ

สักสี่โมงกว่าหิมะหยุดไปได้สักพักใหญ่ และแสงแดดที่สาดส่องทะลุก้อนเมฆหนา ๆ มา เฮ้ยมีความหวังว่าฟ้าหลังหิมะตกน่าจะใสปิ๊งแน่ ๆ โชคดีที่เป็นอย่างที่คิดครับ ผมรีบบึ่งกันไปขึ้นกระเช้ากับน้องมิว (ไม่ช่าย) เพื่อไปดูวิวระดับมิชลินที่เขาว่ากัน เพราะถ้าไม่ขึ้นเย็นนี้ พรุ่งนี้อาจจะตกหนักกว่านี้แล้วอดขึ้นได้ อันนี้ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการเที่ยวไม่ง้อทัวร์ เพราะเราสามารถปรับเปลี่ยนเวลาและสถานที่ได้หน้างานครับ



เราขึ้นไปตอนสักสี่โมงเกือบ ๆ จะห้าโมงเพราะหน้าหนาวห้าโมงกว่า ๆ ก็จะพระอาทิตย์ตกแล้ว รีบจ้ำขึ้นเนินเดินตรงจากโกดังไปสักสิบนาที ลื่นบ้างไรบ้างเพราะรีบก็ถือทางขึ้นกระเช้าแล้วครับ โชคดีที่ตอนเราไปคนยังไม่มากเลย เพราะผมมองไปหลังพวกผม นี่กองทัพทัวร์ไทยและทัวร์จีนหลายคณะกำลังโล้งเล้งเจี้ยวจ้าวกันอยู่ตรงล๊อบบี้เลย คนไทยเมื่อรวมกันเป็นหมู่คณะนี้ไม่แพ้พี่จีนเหมือนกันเลยขอบอก 555 ขึ้นไปโชคดีจริง ๆ แม้จะต้องทนกับอากาศที่ติดลบ แต่ก็ได้มุมมหาชนแบบไม่ต้องไปเบียดใครครับ เลยได้เก็บบรรยากาศตั้งแต่เย็น ไปจนถึงแต่ละบ้านเริ่มเปิดไฟยันกันไปมืดเลย เอารูปมาฝากทุกห้วงเวลา เพื่อใครจะได้วางแผนได้ถูกว่า จะขึ้นไปในเวลาไหนดี สรุปผมอยู่บนนั้นประมาณสามชั่วโมงถึงสองทุ่ม จึงกลับลงมาพร้อมกับไข้หวัด

ลงมาตอนสองทุ่ม บนเขาเริ่มหนาวมากๆ ติดลบลงไปเยอะมาก พร้อม ๆ กับท่าทางว่าจะมีพายุหิมะกลับมาอีกรอบ แต่ฮาโกดาเตะแถวอ่าวท่าเรือยังคึกคักอยู่ครับ งั้นคืนนี้ปิดท้ายกลับไปหากินร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดังตรงแถวโกดังก่อนครับ ร้านลักกี้เบอร์เกอร์ ทานเสร็จได้เรื่องเลยครับหิมะตกหนักอีกรอบก็ต้องเดินฝ่าหิมะกลับโรงแรมครับ เป็นประสบการณ์การเดินลุยพายุหิมะเป็นครั้งแรกเลยครับ

ากบันทึกการเดินทางไปญี่ปุ่นต้นปี ตอนนี้ผมก็ยังอยู่ที่ฮาโกดาเตะ พักเป็นคืนสุดท้ายก่อนจะนั่งรถไฟไปซัปโปโรวันรุ่งขึ้น ตอนกลางคืนปรากฎว่าพายุหิมะหนักมากอยู่ครับ อันนี้เป็นครั้งแรกของผมเลยที่อยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกหนาขนาดนี้ เพราะหาเรื่องใส่ตัว เอ้ยไม่ใช่เพราะอยากหาประสบการณ์ลุยหิมะหนัก ๆ ดู ตอนไปสวิสไม่กล้าขนาดนี้ แต่คืนนี้ดูหิมะตกชิล ๆ เหมือนหิมะจะตกน้อยลงให้เราออกไปลุยหิมะเที่ยวฮาโกดาเตะได้ในวันรุ่งขึ้น อันนี้คือหิมะที่หน้าสถานีรถไฟที่อยู่หน้าห้องพักเราเลยครับ

อย่างที่คาดครับ ถึงวันนี้จะดู overcast สักหน่อย แต่ก็เที่ยวได้แน่นอน ไม่มีหิมะตกสักแอะในตอนเช้าไปถึงเย็นเลย แต่ฟ้าก็ไม่สวยเท่าไร มาถึงฮาโกดาเตะแล้ว เป้าหมายแรกก็ต้องไปทานอาหารกันที่ตลาดเช้ากันเสียก่อน ลุยไปตลาดเช้าที่ขึ้นชื่ออยู่ติดกับ Fourpoint ที่เราพักเลยครับ


บรรยากาศตลาดเช้า คนไม่เยอะมากเท่าไรเพราะอาจเป็นวันธรรมดาด้วยครับ แต่พอสักพักพอทัวร์ลงเท่านั้นล่ะ กองทัพมนุษย์มากันมากมายให้ดูคึกคักกันไปเลย เป้าหมายเราก็ตามรอยพันทิปมากินปูขน ปูทาราบะกันล่ะ ถึงกับพกน้ำจิ้มซีฟู๊ดมาจากเมืองไทยกันเลยทีเดียว กะว่าจะลาภปากสักหน่อย เพราะปูที่นี่ใหญ่สมชื่อจริง ๆ ราคาไม่แพงด้วย และก็สด ๆ กันมาจากทะเล แล้วผมก็ไปหยุดน้ำลายไหลกันที่ร้านนึง เจ้าของร้านใจดีด้วย ปูก็ราคาไม่แพงตัวโตมาก ราคาพันกว่าบาทเท่านั้นเอง ในขณะที่กิเลสกำลังไหลออกจากปากพลุ่งพล่าน ลูกค้าคนข้าง ๆ เลือกปูตัวโตไป จ่ายตังค์ แล้วเจ้าของก็นึ่งกันจะ ๆ ตรงหน้าเลยครับ ณ วินาทีนั้น กิเลสหายไปเลยเพราะเห็นปูพยายามดิ้นไต่หนีสุดชีวิต แต่ก็ไม่พ้นชะตากรรม มองไปที่ปูตัวอื่น ๆ แม้จะรู้ว่าเขาคงไม่รอดแน่ ๆ และมันก็เป็นวิถีธรรมชาติธรรมดา สุดท้ายก็จูงมือกับแฟน ยกเลิกความตั้งใจที่จะมาฮาโกดาเตะเสียสิ้น สองคนพยักหน้ากันด้วยมิได้นัดหมาย แล้วไปกินข้าวหน้าปลาแซลมอน อิคุระด้ง ร้านเก่าที่มากินเมื่อวานแทนครับ ดังนั้นตลาดเช้าครั้งนี้ได้แต่พาเดิน ไม่ได้พาชิมนะครับ อ๊ะ ๆ แต่อย่าลืมเมล่อนนะครับ อร่อยมาก ๆ ชอบสุด ๆ

หลังจากอิ่มอาหารเช้าแล้ว เราก็ตัดสินใจนั่งรถรางไปสุดทางเหนือของสถานีรถไฟครับ เป็นสุดสายเลย ทางสายเหนือนอกจากสวนโกเรียวคาคุแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้เที่ยวครับ แต่ในแผนที่รถรางมันมีให้เที่ยวต่อนี่นา สุดสายชื่อสถานีเดียวกันคือบ่อน้ำพุร้อนยูโนะคาวะครับ เขาบอกว่าให้ไปถ่ายลิงน้อยแช่ออนเซ็นกัน โอ้ทส์ไปย่อยอาหารเช้ากันดีกว่าที่ยูโนะคาวะ

ที่ยูโนะคาวะน่าจะเป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่อยู่ในเมืองฮาโกดาเตะที่สุดแล้วครับ ไม่ต้องนั่งรถไปป่าเขาให้ไกล ที่สถานีสุดท้ายยังเป็นที่ตั้งของโรงแรม หรือโรงเตี้ยมเก่าแก่ที่ตอนแรกเราก็กะจะพักที่นี่ล่ะครับ จะได้แช่น้ำพุร้อนเสียหน่อย แต่เพราะว่าไกลตัวเมืองมากไปนิด แม้จะไม่เปลี่ยวแต่ไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ และโรงแรมที่มีอยู่มากมายหน้าสถานทีรถไฟน่าจะถูกกว่าครับ แต่ถ้าใครขับรถมาที่ไม่ใช่หน้าหิมะ โรงแรมนี้เป็นทางเลือกที่ดีเลยครับ นอกจากนี้ก่อนเราจะมุ่งตรงไปที่สถานีพฤกษศาสตร์พืชฤดูร้อน ไปดูลิงแช่ออนเซ็น ด้วยอากาศที่หนาวจนติดลบทำเอาเดินกันไม่ออกเลยล่ะ โชคดีที่ยูโนะคาว่ามีศาลาให้แช่น้ำพุร้อนกันด้วย ก็เลยไปแช่แข่งกับอาหนูน้อยสักหน่อย รู้สึกว่าแกจะชอบมาก แช่แล้วแช่อีก ของพวกเราก็ร้อนล่ะครับ แต่แช่ร้อน ๆ ที่เท้า ด้านบนอากาศหนาว ๆ ปรากฎว่าพอเท้าอุ่น นี่อะไรก็อุ่นไปทั้งตัวได้เลย ฟินสุด ๆ ครับ เผลอนั่งแช่ไปเกือบครึ่งชั่วโมงได้เวลาเดินไปต่อที่สวนพฤกษศาสตร์แล้ว ไม่ไกลจากสถานีครับประมาณ 10 นาที แต่ที่ลำบากคือต้องระวังลื่นครับ ที่ฮาโกดาเตะนี้ผมลื่นมาสองครั้ง และสรุปลื่นไปแปดครั้งที่เมืองนี้เมืองเดียว แต่ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วครับ เพราะส่วนใหญ่จะลื่นล้มบนหิมะที่โคตรจะนุ่มยังกะมาร์ชเมลโล่

มาถึงแล้วแอบผิดหวังนิดหน่อย เพราะแถวนี้ขนาดสาย ๆ เหมือนหิมะจะแอบละลายไปบ้างแล้ว ก็เลยได้มาดูน้องลิงแช่น้ำร้อนกันจริง ๆ จัง ๆ แต่ไม่ได้แช่ท่ามกลางหิมะ ภาพเลยออกมาไม่เหมือนกับแถวนิกโก้แถวฮาโกเน่ประมาณนั้น และดูเหมือนเขาไม่ค่อยดูแลน้องลิงหรือเปล่านะ ดูมันผอม ๆ โซๆ ขนหลุดล่วง แถมศูนย์พฤกษศาสตร์ก็ดูเหมือนจะร้าง ๆ ยังไงไม่รู้ครับ อ้อค่าเข้าชมเสียตังนะครับ ตอนผมเข้าไปไม่มีเจ้าหน้าที่อยุ่หน้าประตู ประตูไม่ปิด บู๊ธขายตั๋วไม่เปิด แต่ดูเหมือนวันนี้ศูนย์จะหยุด แต่พอเข้าไปสักพักคุณป้าเจ้าหน้าที่ก็เดินมาขายตั๋ว แต่สถานที่ดูหลอน ๆ ไง ๆ ไม่รู้ครับ หรือเพราะยังเช้าไปของวันทำงานหรือเปล่าก็ไม่รู้ แถวนี้ก็คือแถวชานเมืองฮาโกดาเตะแล้วครับ

ดหวังไปนิดหน่อยจากสวนพฤกษศาสตร์ก็เดินกลับไปที่สถานีรถราง อ้าวเฮ้ย พอไปถึงหิมะตกอีกแล้ว เสียดายจังถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยจะได้ภาพน้องลิงกลางหิมะแล้วเชียว แต่ไม่เป็นไรครับมุ่งหน้าไปเที่ยวต่อ คราวนี้เรานั่งรถรางย้อนกลับไปในเมือง เลยจากสถานีที่ขึ้นกระเช้าไปชมวิวสักสองสถานีก็จะไปไหว้พระหน่อยครับ อันนี้ลงรถที่สถานียาจิกะชิระ (Yachikashira) นะครับ ไม่ใช่ยูโนะคาวะตามที่เว็บท่องเที่ยวฮาโกดาเตะเองบอก ผิดกันไปคนละมุมเมืองสุดสายกันคนละด้านเลย ศาลเจ้านี้ชื่อศาลเจ้าแปดประตู หรือศาลฮาจิมังครับ จุดเด่นก็คือโทริอีเสาแดงที่จะมองเห็นย้อนไปที่อ่าวฮาโกดาเตะได้ครับ วันที่มานี่ไม่มีคนเลยศาลเจ้าปิดเงียบ หิมะนี้หนานุ่มน่าลงไปนอนคลุกมากเลยครับ แต่ก็ไม่กล้าเดี๋ยวกลายเป็นบ่อน้ำแข็งไปได้จะงานงอกเอา ไปดูบรรยากาศศาลเจ้ากันครับ

จากศาลเจ้าแทนที่จะเดินนั่งรถรางกลับ แนะนำให้เดินเที่ยวต่อไปเลยครับ เดินลงเข้าลงมาตรงดิ่งไปเรื่อยๆ จะถึงย่านเมืองเก่าอย่างย่านโมโตมาจิ ซึ่งฮาโกดาเตะเป็นหนึ่งในเมืองท่าแรกๆ ของญี่ปุ่นที่เปิดประตูสู่การค้ากับต่างประเทศเมื่อ 150 กว่าปีมาแล้ว โมโตะมาจิเป็นพื้นที่แรกที่เจริญขึ้นมาในสมัยนั้น มีการสร้างถนนในรูปที่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกซึ่งหลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยถนนที่เป็นเนิน ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของท่าเรือและอาคารแบบตะวันตก เช่น โบสถ์ต่างชาติและอาคารกงสุลเก่าแก่ บริเวณนี้จึงควรค่าแก่การเดินชมเป็นอย่างยิ่ง โมโตะมาจิมีทิวทัศน์ที่งดงามราวกับอยู่ในภาพยนตร์ จึงเป็นฉากหลังที่สมบูรณ์แบบสำหรับการถ่ายรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าพลาดไปทานขนมหวานกันที่ร้านอดึตสถานกงสุลอังกฤษนะครับ แล้วจะฟินกันเลยทีเดียว และที่ไกลจากสถานกงสุลก็คือเนินฮาจิมันซากะที่จะลาดยาวลงไปถึงอ่าวฮาโกดาเตะ เป็นแลนด์สเคปที่มักนิยมมาถ่ายภาพยนตร์กันเยอะ ๆ ครับ อ้อไม่ใช่เนินข้างล่างนี้นะครับ เลื่อนลงไปอีกหลายรูปหน่อย

อาคารสีเหลืองทองด้านล่าง คือ ศาลาประชาคมหลังเก่าครับ ปัจจุบันเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ที่นี่มีหอประชุมใหญ่ตระการตาและห้องต่างๆ ที่สงวนไว้สำหรับแขกพิเศษ สมาชิกราชวงศ์ของญี่ปุ่นเคยเข้าพักในห้องเหล่านี้มาแล้ว เมื่อคราวเสด็จมาเยือนฮาโกดาเตะ



หมดทริปช่วงสายถึงบ่ายแล้ว ขอบอกว่าฮาโกดาเตะหลังปีใหม่นี่เงียบจริง ๆ ครับ อาจจะเป็นวันธรรมดาด้วย นักท่องเที่ยวในช่วงเช้า ๆ นี้ประปราย แต่ที่ผมเจอสุดก็คือนักท่องเที่ยวไทยนี้ล่ะครับ เจอกันขอให้ถ่ายรูปกันให้หน่อย โดยเฉพาะตรงเนินฮาจิมันซากะ อันนี้คนไทยอยู่ถ่ายรูปเยอะเหมือนกัน ไม่มีอะไรและเดินไปหาอะไรกินกลางวันกันที่โกดังแดงดีกว่า เดินไปไม่ไกลครับจากโมโตมาจิ 5 นาทีเองมั๊ง

แล้วก็ปิดท้ายทริปนี้ที่สวนโกเรียวคาคุกันครับ สวนนี้ท่าจะให้ดีควรไปช่วงโพล้เพล้หน่อย เพราะฟ้ายังสว่างอยู่เวลาถ่ายรูปใบเมเปิ้ลไฟห้าแฉกจะได้สวยหน่อยครับ ผมไปซะมืดแล้ว ไม่ค่อยเห็นอะไรครับ บนหอคอยก็มีนิทรรศการประวัติศาสตร์ของเมือง เป็นโมเดลย้อนกลับไปตอนที่ตะวันตกจะเข้ามามีอิทธิพลในฮาโกดาเตะครับ อ้อ ๆ เดินไปไกลพอสมควรจากสถานีรถรางโกเรียวคาคุโคเอ็นมาเอะครับ ป.ล. ถ้าหิวแล้วใกล้ ๆ กับสวนจะมีร้านซูฉิสายพาน อร่อยและราคาดีมากครับ เห็นว่าที่นี้คนไทยเป็นผู้จัดการด้วยนะ จะได้รับบริการดีเป็นพิเศษแต่ผมไปไม่เจอนะครับ แต่ก็ได้รับบริการที่ดีอยู่ดี ร้านนี้แนะนำเลยครับ ยังไงก็ขอบคุณมากครับที่ติดตามชม เดี๋ยวว่าง ๆ วันหยุดยาวไม่ได้อ่านหนังสือสอบแล้ว จะพาไปเที่ยวต่อกันนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ

TravelTherapy

 วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 00.21 น.

ความคิดเห็น