ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องราคาที่พักอยู่แล้วด้วยราคาที่ดินในเมืองที่สูงมาก ทำให้การไปเที่ยวญี่ปุ่นค่าใช้จ่ายในส่วนที่พักมีผลต่องบประมาณในทริปนั้นเยอะเหมือนกัน คราวนี้เดินทางไปญี่ปุ่นหลายวันเลยลองหาโรงแรมแบบประหยัดพักดูบ้าง ในที่สุดก็ได้ไปพักมา 3 ที่นี้

First Cabin Kyoto Karasuma

เป็นโรงแรมแบบ Compact Hotel หรือจะเรียกว่า Capsule Hotel ก็ได้ มันก้ำกึ่งเพราะมีห้องพักหลายแบบ โดยรวมออกแบบให้มีคอนเซพท์บรรยากาศของเครื่องบินประหนึ่งอยู่ในชั้น First Class ของเครื่องน มีสาขาอยู่ในเมืองใหญ่หลายที่ทั้งโตเกียว โอซาก้า และเห็นว่ากำลังขยายไปหลายสาขาทั่วญี่ปุ่น คราวนี้ผมเลือกมาพักที่เกียวโตดูว่าเป็นยังไง


ด้านหน้าเป็นลักษณะเหมือนตึกแถวทั่วไป เข้าไปข้างในแล้วขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นบน

ส่วนแรกก็จะเป็นส่วนต้อนรับ มีเคาน์เตอร์เรียบๆ และพื้นที่ส่วนกลางเป็น Lounge เล็กๆไว้ให้มานั่งรับประทานอาหารกัน

ห้องพักสามารถเลือกแบบ First Class และ Business Class ได้

แบบแรกเป็น Business Class จะเป็นเหมือนแคปซูลเข้าไปนอนเฉยๆ ขนาด 2.5 ตร.ม.

แบบที่ผมพักเป็นแบบ First Class เป็นห้องแบบมีพื้นที่ส่วนตัว มีโต๊ะให้ทำงานได้ ขนาด 4.4 ตร.ม.

เมื่อเช็คอินจะได้รับคีย์การ์ดไว้สำหรับเปิดปิดประตูเข้าส่วนห้องพัก ซึ่งก็แบ่งโซนชายหญิงอย่างชัดเจน

เข้ามาในส่วนห้องพักก็จะเป็นห้องมืดๆเงียบสงบแต่ละห้องมีม่านปิดอยู่


นี่คือห้องที่ผมพักเป็นห้องแรกติดทางเดินเลย ด้านในเงียบมาก เงียบจนไม่กล้าทำอะไรดัง ภายในห้องเรียบร้อย สวยงาม เตียงจะมีขนาดใหญ่กว่าขนาด 3 ฟุตครึ่ง บ้านเราอยู่นิดนึง ก็ถือว่านอนสบายสมกับฐานะ First Class มีผ้าเช็ดตัว ชุดนอนไว้ให้พร้อม


มีwifi ให้ใช้ มีTV ให้ดูแต่ว่าต้องใส่หูฟังนะครับ มีรายการทีวีญี่ปุ่นให้เลือกดูได้ ข้างเตียงจะเป็นจุดควบคุมภายในห้อง มีที่ชาร์จ USB ให้เสียบ


ใต้เตียงก็มีลิ้นชักเก็บของ สามารถล็อคได้เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สิน

สิ่งที่ต้องระวังสำหรับห้องพักที่นี่คือ มันไม่ค่อยเก็บเสียงระหว่างห้อง แล้วยิ่งพอมันเงียบมากทำอะไรก็จะได้ยินค่อนข้างชัด ก็แค่ม่านกั้นหยิบจับอะไรก็ได้ยินหมดเลย เปิดปิดกระเป๋าก็ต้องค่อยๆ

การนอนก็ถือว่าสบายดี ติดนิดนึงตรงที่ช่วงที่ไปมันหนาว และเค้าเปิด Heater ค่อนข้างแรง เลยทำให้รู้สึกร้อนนิดนึง ถ้าเย็นกว่านี้จะเพอร์เฟกต์

เรื่องฮาคือว่า ด้วยความที่ตัวเองกรนดัง ผลคือตอนเช้าตื่นมามีกระดาษสอดเข้ามาในห้อง!!! นึกว่ามีสาวที่ไหนมาอ่อยไว้ แต่ว่าเขียนมาเป็นภาษาญี่ปุ่นอ่านก็ไม่ออก แต่ว่าคงไม่ได้เขียนชมมาแน่ๆเลย


เท่าที่พอจะหาคนแปลได้เล็กน้อยก็ประมาณว่า เสียงกรนเรามันดังไปรบกวนเค้านั่นแหละ ใครแปลได้ช่วยแปลให้อ่านหน่อยนะ

ทำเอาเกิดความรู้สึกละอายเล็กๆ เข้าใจละว่าการที่อยู่ในสังคมที่ไม่ได้ชี้หน้าด่ากันแบบบ้านเรามันเจ็บแค่ไหนเวลาโดนตำหนิ เรียกมาด่ากูเลยจะดีกว่าจบๆ ฮา... เกิดความเครียดเล็กน้อยต่อคืนถัดมาที่จะไปนอนโรงแรม Capsule อื่นต่อ จะทำยังไงวะเนี่ย... จะโดนด่าอีกไหม... แต่จองไปแล้วก็ต้องไปต่ออะนะ ยังดีทีจองที่นี่ไว้แค่คืนเดียว ว่าแล้วก็เก็บของเช็คเอาท์ไปเที่ยวต่อ

ใครอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเข้าไปดูในเว็บไซท์กันต่อได้ >> First Cabin




9 H [nine hours] วันนึงมี 24 ชั่วโมง มาใช้ที่นี่แค่ 9 ชั่วโมงพอแล้ว


โรงแรมนี้อยู่ถัดจาก First Cabin ไปชั่วอึดใจ หลังจากเช็คเอาท์แต่เช้าแล้วรีบลากกระเป๋าหนีออกมาด้วยความอายเพียงเล็กน้อย เดินสูดอากาศหนาวๆไปประมาณ 600เมตร ก็ถึง ตั้งอยู่ >> ที่นี่

ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมาก ข้างๆมี Family Mart ซื้อของได้ เดินไปสถานีรถไฟ รถเมล์ก็ไม่ไกล


โรงแรมนี้ผมเห็นในเวบไซท์ retaildesign มานานแล้ว ตั้งแต่โรงแรมยังไม่ได้ตั้งชื่อเลยมั้ง แต่เห็นแล้วสะดุดตาในความเรียบมากๆ ขาวไปหมดทั้ง


เข้ามามีไอเพดเอาไว้ให้เช็คอิน แล้วก็จะแจกการ์ดเอาไว้เปิดล็อคเกอร์เก็บของชั้นบน และให้กุญแจสำหรับเก็บรองเท้าของเราไว้ในตู้ตามเบอร์ห้อง ชอบนาฬิกา 9h ที่เป็นเหมือนตัวบอกคอนเซพท์ของโรงแรมและเป็นโลโก้ไปในตัว


ถัดเข้ามาจะเป็นส่วน Lounge ให้มานั่งทานอาหาร ทำงาน เปิดกระเป๋า เก็บของ แยกของ ฯลฯ ทำทุกสิ่งที่นี่ เพราะขึ้นไปพื้นที่จะเริ่มเล็กๆของใครของมันแล้ว ทุกอย่างจะเป็นสีขาวแล้วใช้กราฟฟิกสติกเกอร์สีดำเป็นตัวบอก เป็นบรรยากาศที่เรียบง่ายและสวยงามดี

แต่ก็เพราะความขาวมันก็ยากที่จะดูแลรักษาให้มันเนี๊ยบได้ตลอดนะ ก็เข้าใจในจุดนี้ ของจริงก็จะมีความเยินหน่อยๆในบางจุดที่ใช้งานเยอะ

จากนั้นเราก็ขึ้นลิฟท์ไปยังส่วนห้องพักชั้นบน อาคารมีทั้งหมด 9 ชั้น แบ่งเป็นของผู้หญิงชั้น 2-5 และของผู้ชาย 6-9 โดยที่ชั้น 9 จะเป็นห้องน้ำ


ขึ้นมาที่ชั้น 9 เพื่อเก็บกระเป๋าใส่ล็อคเกอร์ก่อน เพราะห้องพักเราไม่สามารถเก็บของได้ ใช้การ์ดที่ได้มาเป็น QR Code เปิดล็อคเกอร์ เมื่อเปิดออกมาก็พบกับชุดนอน ผ้าเช็ดตัว แปรงและยาสีฟันเตรียมไว้ให้อย่างดี ผมนึกถึงหนังไซไฟที่พระเอกเข้ามาในยานแล้วต้องเปลี่ยนชุดให้เหมือนๆกับคนอื่นในยาน ซึ่งบรรยากาศที่ทุกคนใส่ชุดเหมือนกันเดินอยู่ในบรรยากาศแบบนี้มันใช่อารมณ์นั้นเลยจริงๆ

ด้วยการออกแบบของื้นที่หรือหน้าตามันอย่างเดียวคงไม่สามารถสื่อได้ทั้งหมด แต่เมื่อมีการปฏิบัติของผู้ใช้งานด้วยอย่างเช่นใช้ QR Code เปิดตู้ มันทำให้สามารถสื่อถึงแนวคิดในการออกแบบได้ดียิ่งขึ้น

เมื่อาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยก็กลับสู่พื้นที่ของตัวเอง


ขึ้นมาชั้น 8 ห้องพักของเราก็เป็นประตูเรียบๆ มีห้องน้ำอยู่ 2 ห้องทางด้านซ้ายก่อนเข้าห้องพัก ห้องน้ำก็เล็กๆ ใช้สุขภัณฑ์แบบประหยัดที่ แต่มีความไฮเทคตามมาตรฐานของญี่ปุ่น


เข้ามาในห้องพัก โอว!!! เหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในยานอวกาศ มันคือห้องมืด แล้วมีแคปซูลเป็นช่องๆให้เข้าไปนอน ภายในเป็นไฟเบอร์กลาสสีขาว มีที่นอนเรียบๆกับหมอน 1 ใบ และแผงควบคุมบนหัวนอน มีปลั๊กไฟ ที่ชาร์จต่างๆ สิ่งที่เจ๋งมากตรงที่มีระบบการนอนแบบ Sleep Ambience ซึ่งจะค่อยๆหรี่ไฟในแคปซูลจนเราเคลิ้มหลับไป เมื่อตอนปลุกไฟก็จะค่อยๆสว่างจนเราตื่นนอนเองโดยไม่ต้องใช้เสียงรบกวน ซึ่งตรงนี้ผมว่ามันเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะแต่ละคนตื่นนอนไม่พร้อมกัน ถ้าเสียงดังคงจะรบกวนกันไปหมด

ตอนแรกกังวลว่ามันจะอึดอัดคับแคบรึเปล่า พอนอนจริงๆ "มันโคตรจะสบายเลย" ช่วงเวลา 10 กว่าคืนที่อยู่ญี่ปุ่น คืนนี้เป็นคืนที่หลับได้สบายที่สุดแล้ว ไม่น่าเชื่อเลย


หลังจากใช้เวลาสัมผัสประสบการณ์ 9 ชั่วโมงที่นี่แล้ว เมื่อเช็คเอาท์ออกมารู้สึกเหมือนยานสตาร์เทรคจอดลงกลับมาอยู่ในโลกปัจจุบันอีกครั้ง ซึ่งเป็นที่ๆเราชอบกันนะ ถ้ามีโอกาสมาอีกก็โดนแน่ๆ เรียบง่าย ราคาประหยัด เหมาะกับคนเดินทางคนเดียวสองคนที่ไม่ต้องการพื้นที่สังสรรค์กัน ไปสังสรรค์ข้างนอกให้พอ เข้าที่พัก เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ นอน ตื่น แปรงฟัน อาบน้ำ แล้วก็ออกเดินทางต่อ

เข้าไปดูเว็บไซท์ยังขาวทั้งเว็บเลย >> 9h




กลับมาเป็นนักศึกษาอีกครั้งที่ The Dorm Hostel

Hostel นี้มีหน้าตาที่ดูน่าสนใจมาก ด้วยภาพที่เห็นแวบแรกก็อยากจะรีบจองไปลองพักเลย แถมคะแนนรีวิวใน Agoda ก็ค่อนข้างสูงด้วย เลยอยากรู้ว่ามันมีดียังไง


ผมว่าอย่างแรกเลยคือทำเลที่ดีมาก อยู่ใกล้แหล่งช๊อปปิ้ง Shinsaibashi เดินนิดเดียวถึงเลย >> อยู่นี่

ทำให้หนุ่มสาวนิยมมาพักกันมาก แบ่งห้องออกเป็นพื้นที่รวม และพื้นที่ของผู้หญิงต่างหาก


ตอนแรกเห็นในรูปคิดว่าหนังสือในชั้นน่าจะเป็นพรอพ หรือหนังสือเก่าๆเลหลังขายเอามาจัดสวยๆ ที่ไหนได้หนังสือที่เอามาวางนี่ดีๆทั้งนั้นเลย น่าอ่านมากๆ มีหลายหลายหมวดทั้งดนตรี ศิลปะ ถ่ายภาพ สถาปัตยกรรม แฟชั่น ปรัชญา ฯลฯ ให้อารมณ์ห้องสมุดมากๆเลย และโต๊ะกลางห้องก็ให้บรรยากาศที่ดีในการนั่งอ่านกหนังสือหรือทำงานด้วย พอมาเที่ยวหลายวันแล้วก็เลยต้องใช้เวลานั่งเคลียร์งานบ้างนิดนึง



แถมได้หนังสือมาเปิดหาไอเดียในการออกแบบด้วยอีก เพลินเลยคราวนี้



ที่ชอบอีกอย่างคือมีตู้กดน้ำร้อน-เย็น มีน้ำแข็ง และเครื่องชงกาแฟให้กดดื่มกันให้ตาค้างกันไป และห้องน้ำก็จะอยู่ใกล้ๆกัน


ห้องน้ำและห้องอาบน้ำก็จะแยกเป็นห้องๆ โดยมีอ่างล้างหน้าใช้ร่วมกันทั้งชายและหญิง มีสบู่ แชมพู โลชั่น ต่างๆไว้ให้ใช้ พื้นที่สีขาวๆดูสะอาดตา ซึ่งพอเป็นฟังก์ชั่นการใช้งานก็ไม่จำเป็นต้องตกแต่งให้เหมือนกับพื้นที่ส่วนกลางก็ได้ เน้นให้ผู้มาใช้รู้สึกสะอาดปลอดภัยจะดีกว่า

เข้าไปในห้องนอนก็มีบรรยากาศคล้ายๆกันกับที่อื่นคือมืดๆหน่อย ตกแต่งด้วยสีเข้ม แต่ที่นี่จะไม่มืดมากเท่าที่อื่น แบ่งพื้นที่นอนเป็น 2 ฝั่ง เฟอร์นิเจอร์ใช้ไม้อัดง่ายๆนี่แหละทำเป็นเตียง 2 ชั้น


ภายในที่นอนบนหัวนอนจะมีโคมไฟ ที่มี Smoke detector ติดอยู่เพื่อความปลอดภัย และะมีลิ้นชักเล็กๆที่ล็อคได้ พร้อมป้ายข้อมูล


สุดด้านหลังเตียงก็เป็นบริเวณล็อคเกอร์ใส่ของ มีราวแขวนเสื้อ และตะกร้ารองเท้าแตะไว้ให้เปลี่ยนใช้

มีโต๊ะที่สามารถนั่งทำงานได้ ที่เก๋ๆคือหน้าต่างที่เห็นไม่ใช่หน้าต่างจริงๆ จะใส่ไฟหลอกไว้ตลอดเวลา เมื่อเข้ามาในห้องจะเป็นบรรยากาศเดียวเลยไม่ว่าเวลาไหน


The Dorm Hostel ก็เป็นที่หนึ่งที่พอมาแล้วก็เข้าใจว่าทำไมถึงได้คะแนนดี มันเป็นความเรียบง่ายที่ให้ความพึงพอใจกับเราได้เต็มที่ คราวหน้ามาเดี่ยวเที่ยวโอซาก้าในเมืองคงต้องมาจบที่นี่อีกแน่นอน

เว็บไซท์สวยนะลองชม >> The Dorm

ความสบายของโรงแรมประเภทนี้อาจจะสู้แบบโรงแรมมาตรฐานไม่ได้ แต่บางครั้งการไปเที่ยวแล้วได้ลองเปลี่ยนพฤติกรรมดูบ้างก็ให้ประสบการณ์ใหม่ที่สนุกดีนะ เหมือนได้กลับมาเป็นวัยรุ่นอีกครั้งนึง ชอบที่ไหนลองไปพักที่นั่นดูครับ

ติดตามเรื่องราวการเดินทางอื่นๆได้ที่

Blog : architectraveler

Facebook : architectraveler

IG : taddykingdom

Youtube : taddykingdom

แนะนำ ติชมได้ที่ Facebook นะครับ



architectraveler

 วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 23.54 น.

ความคิดเห็น