"ฟูจิซัง" หรือภูเขาไฟฟูจิที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นที่หลายคนบอกว่าช่างขี้อายเหลือเกิน ไม่ค่อยยอมให้เราได้เห็นเต็มตานัก ใครที่ไปแล้วได้เห็นวิวฟูจิซังชัดๆถือว่าโชคดีมาก

ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นต่างมีจุดชมวิวมากมายที่สวยงาม หนึ่งในนั้นคือที่เมืองคาวากูจิโกนี่เอง

เริ่มต้นการเดินทางตอนเช้าตรู่ ไปขึ้นรถที่ Shijuku Expressway Bus Terminal ตัวสถานีจะอยู่ชั้นบนของอาคาร ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะออกแบบสถานีรถบัสให้ต้องขับขึ้นไปบนอาคาร ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แต่ก็ต้องใช้กับประเทศที่มีระเบียบหน่อยอะนะ


วิวระหว่างทางบนรถ เปิดเผยให้เห็นฟูจิซังเป็นบางช่วง เอ๊า! ก็ไม่ขี้อายนี่นา นั่งชมวิวไปเรื่อยๆสักพักก็ถึงสถานีควากูจิโกะของเรา เป็นทั้งสถานีรถบัสและรถไฟที่เดียวกันเลย


ภายในเป็นจุดซื้อตั๋วทั้งรถไฟและรถบัส เราเลยแวะเข้าไปเช็คตั๋วรถขากลับกับซื้อตั๋วรถในเมืองไว้ และในสถานีมีตรายางให้ประทับเป็นที่ระลึกด้วย


ด้านหน้ามีรถไฟเก่าจอดโชว์ไว้ให้ถ่ายรูปได้ ด้านหน้าสถานีมีบอกอุณหภูมิ อากาศกำลังเย็นสบาย เริ่มออกเดินตากแดดไปยังที่พักแบบสบายใจ


ระหว่างทางก็มีมุมน่ารักๆของเมือง เสาไฟจราจรแอบมีสัญลักษณ์ฟูจิซังติดอยู่ด้วยให้รู้ว่านี่เมืองแห่งฟูจินะ มีรถดับเพลิงผ่านมาก็มีสัญลักษณ์เช่นเดียวกัน สีแดงสดใส



เดินผ่านบ้านเรือนมาจนเจอทะเลสาบคาวากูจิโกะ ก็ถึงที่พักของเราคืนนี้



Yamagishi Ryokan Hotel Fujikawaguchiko

ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเลย เป็นโรงแรมสไตล์เรียวกังที่ทำเลดี แต่อาจจะเก่าไปนิดนึงนะ


มาถึงเร็วก็ฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วก็ออกไปเดินเที่ยวเลย โรงแรมเราใกล้ร้านค้าต่างๆค่อนข้างสะดวกดี และเป็นจุดขึ้นเรือชมทะเลสาบด้วย แวะซื้อกาแฟร้อนกระป๋องใน Lawson จิบแก้หนาวสักนิดนึงก่อน ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเครื่องดื่มร้อนในตู้จะโอเคเท่าไหร่ แต่พอลองชิม มันใช้ได้เลยทีเดียวทั้งรสชาติและอุณหภูมิ


ที่ดังๆเลยก็มีร้าน Cheese Cake และ Fujiyama Cookie ที่มีคุ๊กกี้รูปฟูจิซังหลากหลายรสชาติให้ชิมกันชิมจนอิ่มจังตังค์อยู่ครบก็เดินออกมารอรถเมล์ด้านหน้าเพื่อไปเที่ยวชมตามจุดต่างๆ


นั่งรถมาจนสุดทางเพื่อดูบรรยากาศโดยรวมก่อนแล้วค่อยย้อนกลับไปตามจุดต่างๆ รถเมล์มาหยุดปลายทางที่ Kawaguchiko Natural Living Center ที่นี่ก็เป็นสวนดอกไม้ (ที่ช่วงนั้นไม่มีดอก) เป็นจุดชมวิว (ที่ไม่เห็นวิวตอนนั้น ฮา....) และมีขนมและของที่ระลึกขาย เราก็เดินเล่นซื้อซอฟท์ครีมกินแก้หนาวสักหน่อย ลมที่นั่นค่อนข้างแรงและอากาศเย็นใช้ได้เลย



มีคราฟท์เบียร์ที่ได้รับรางวัล World Beer Award (สำนักไหนก็ไม่รู้) ขายด้วย เลยสอยกับมาชิมขวดนึงเสร็จแล้วก็ต่อคิวขึ้นรถเมล์กลับ แวะชมจุดท่องเที่ยวหลักๆที่แรก Maple Corridor เป็นจุดที่เป็นลำธารไหลและมีต้นเมเปิ้ลตลอดสองข้างทาง ค่อยๆเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆสวยงามมาก


"ธรรมชาติเป็นเหมือนศิลปินที่ยิ่งใหญ่ ละเลงความงามบนโลกใบนี้ให้เราได้สัมผัส"

เดินลัดเลาะริมน้ำมา ต้นไม้บางส่วนก็ใบร่วงหมดแล้วโดยเฉพาะต้นซากุระร่วงหมดก่อนเพื่อนเลย


ซากุระเองอาจจะไม่ได้โชว์ความสวยงามของตัวเองวันนี้ เหมือนแต่ละคนก็มีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์และอับเฉาต่างวาระกันไป ธรรมชาติกำลังสอนเราว่าแต่ละชีวิตต่างก็ต้องรอเวลาของตัวเอง

ผมชื่นชมแนวความคิดในการปลูกต้นไม้ตกแต่งเมืองของเค้านะ ฝั่งซ้ายเป็นต้นซากุระ ฝั่งขวาเป็นต้นเมเปิ้ล ไม่ว่าฤดูไหนคนก็มาเที่ยวชมความสวยงามได้ทั้ง 2 แบบ

แวะพักหาของกินที่ตลาดนัดรองท้องกันนิดนึง มีปลาภูเขาตัวเมีย (ฮา...) หอยย่าง ปลาหมึกย่าง โอเด้ง... อากาศเย็นๆอย่างนี้ก็อยากกินไปหมด


เดินมาเรื่อยๆแถวนี้จะมีสถานที่ให้เข้าชมหลายที่ เราแวะเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี Kawaguchiko Music Forest Museum ที่มีกล่องดนตรีหลากหลายรูปแบบและขนาดให้ชม และมีโชว์คอนเสิร์ตเล็กๆให้ชมกัน ดูรีวิวชมกันมากมายเลยทีเดียว แต่ส่วนตัวผมว่าค่าเข้าชมคนละ 1500 เยน ก็แอบแพงไปนิดนึง ทำให้เราคาดหวังมันสูงกว่านี้ และอาจจะเพราะด้วยบรรยากาศที่ดูอึมครึมหงอยๆหน่อยด้วย





เดินชมวิวเรื่อยเปื่อย ตลอดทั้งวันตังแต่มาถึงคาวากูจิโกะลงรถมาเราก็ยังไม่เห็นฟูจิซังขี้อายเลย แต่บรรยากาศตามทางก็สวยงามมาก เราเลยตัดสินใจรอดู Light up ตอนโพล้เพล้ก่อนกลับโรงแรม ช่วงนี้ญี่ปุ่นก็จะมืดเร็วหน่อย ประมาณสี่โมงครึ่งก็เริ่มเปิดไฟกันแล้ว ซึ่งก็ใช้เวลาเดินดูไม่นานนักเพราะว่าต้องกลับไปทานอาหารค่ำที่โรงแรมก่อนทุ่มนึงให้ทัน



มาถึงโรงแรมเข้าห้องพักเป็นแบบสไตล์เรียวกังนอนกับพื้น ซึ่งเค้าจะเก็บที่นอนไว้ในตู้ก่อน แล้วค่อยมาจัดปูที่นอนให้ภายหลัง ห้องก็เรียบๆดูย้อนยุคนิดๆ แต่ที่นี่มีออนเซ็นให้แช่ด้วยนะ แต่ยังไม่แช่หรอก รีบเอาเบียร์แช่ตู้เย็นไว้ ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ยูกาตะแล้วลงไปทานอาหารค่ำก่อนดีกว่า


กลับขึ้นมาจิบเบียร์ที่ซื้อมา แล้วก็ขึ้นไปแช่น้ำร้อนออนเซ็นแล้วก็หลับสบายด้วยความหวังว่าพรุ่งนี้อากาศจะแจ่มใส




เช้าตื่นขึ้นมามองออกไปข้างนอกเต็มไปด้วยหมอก !! โอว์พระสงฆ์ !! นี่มาเที่ยวนี้จะไม่ได้ดูวิวฟูจิซังใช่ไหมเนี่ย เศร้าจัง.... ว่าแล้วก็เก็บกระเป๋าแล้วลงไปทานอาหารเช้าดีกว่า


อาหารกินจานละคำสองคำ แอบสงสารพนักงานล้างจานอยู่นะ

เมื่ออิ่มแล้วก็เดินออกไปด้านนอก เฮ้ย...อากาศเริ่มโปร่งแล้ว !!! ดูมีแววสดใสทีเดียว รีบไปชมวิวบน Mt.Tenjo ซึ่งสถานีขึ้นกระเช้า Mt.Fuji Panoramic Ropeway อยู่ใกล้ๆโรงแรมสามารถเดินไปได้เลย


ในที่สุด ฟูจิซังขี้อายก็เปิดเผยให้เราได้ชมอย่างเต็มตาสักที บางความรู้สึกภาพถ่ายที่ดีแค่ไหนก็ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์นั้นออกมาได้


สักพักก็ลงกระเช้าไปเดินเล่นหามุมบรรยากาศดีๆนั่งชมวิวจิบกาแฟสักแก้ว



พอใกล้ๆเที่ยงก็กลับโรงแรมเช็คเอาท์ โบกรถเมล์สายเดิมไปสถานีรถไฟเพื่อเดินทางกลับเข้าสู่โตเกียว ซึ่งขากลับนี้เราเดินทางโดยรถไฟแทน จะได้บรรยากาศต่างจากตอนมา




อำลาฟูจิซังคราวนี้


"สักวันเราคงพบกันใหม่"


ติดตามเรื่องราวการเดินทางอื่นๆได้ที่

Facebook : architectraveler

Blog : architectraveler

IG : taddykingdom

Youtube : taddykingdom


architectraveler

 วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 21.46 น.

ความคิดเห็น