สวัสดีเพื่อนๆทุกคนครับ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบเค้ามาหาข้อมูลการรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเว็ป และก็ได้ข้อมูลดีๆกลับไปทุกครั้ง ครั้งนี้ผมเลยคิดว่าน่าจะเป็นคนแบ่งปันประสบการณ์แก่เพื่อนๆบ้าง เอาหละที่ที่ผมจะพาเพื่อนๆไปนั้นก็คือ "โมโกจู" ยอดเขากลางป่าแม่วงศ์ ที่มีความสูง 1,964 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อีกหนึ่งสถานที่สำหรับคนชอบท่องเที่ยวเดินป่า
ปล.กระทู้เน้นรูปหน่อยนะครัช อยากให้รูปเล่าเรื่องไปในตัว จะได้เห็นภาพ รูปที่ถ่ายได้มาจากกล้อง dslr บ้าง มือถือบ้าง เพราะบางช่วยมันเหนื่อยจนไม่อยากจะหยิบกล้องใหญ่ขึ้นมาเลยครัช
พร้อมแล้วก็ไปกันเลยครับ
หลายๆคนน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะในยุคนี้ ยุคที่โซเชียลเข้าถึงทุกพื้นที่ ทำให้ข่าวสารเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สำหรับตัวผมเองนั้นเคยได้ยินมาสัก 7-8 ปีก่อน เพราะมีน้องที่ทำงานเคยชวนไป ในตอนนั้นการเดินทางต้องใช้เวลา 5 วัน 4 คืน ซึ่งค่อนข้างจะลางานยากหน่อย ทริปนี้จึงพับเก็บไว้ก่อน แล้วเวลาก็ร่วงเลยมาถึงปี 57 ทางอช.แม่วงศ์ได้เปิดทำการจองทริปพิชิตโมโกจูประจำปี 57-58 ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่ลดเวลาเดินทางเหลือเพียง 3 วัน 2 คืน ด้วยเหตุผลใดๆก็แล้วแต่ ทางกลุ่ม "หาเรื่องเดินป่า...ใส่บ่าแบกหาม" จึงไม่รอช้าได้รวบรวมสมาชิกให้ครบ 12 คน ตามกติกาของอุทยานแล้วรอเวลาเริ่มเปิดจองทริป ซึ่งก็มีดราม่าเรื่องเวลาที่ส่งเมล์มาจองกันไปพักนึง กลุ่มผมได้ทริปที่ 14 ผ่านเข้ารอบกันไป ที่เหลือก็รอเวลาเดินทางตามกำหนดวันเวลาที่จองไว้
ข้อมูลเพิ่มเติมของอุทยานแห่งชาติแม่วงศ์จากวิกิพีเดีย
อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภอแม่วงก์ และอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร ตามเทือกเขาสูงชันก่อกำเนิดเป็นน้ำตกที่สวยงาม 4-5 แห่ง ทั้งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำแม่วงก์อันเป็นต้นน้ำของแม่น้ำสะแกกรัง นอกจากนี้ยังมีแก่งหินทำให้เกิดน้ำตกเล็กๆ ตามแก่งหินนี้ ตลอดจนมีหน้าผาที่สวยงามตามธรรมชาติ อุทยานมีเนื้อที่ประมาณ 558,750 ไร่ หรือ 894 ตารางกิโลเมตร ซึ่งในขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ในเขตพื้นที่อุทยานด้วย
หมายเหตุ : วันที่ไปค่าลูกหาบปรับเป็น 500 บาท/คน/วัน แล้วครับ
ระหว่างนี้ก็ฟิตร่างกายไปพรางๆ หาซื้ออุปกรณ์เดินป่าเพิ่มเติมจนวันเดินทางก็มาถึง วันที่ 6 ก.พ.58 พวกเราทั้ง 12 คน แยกกันเดินทางโดยใช้รถยนต์ส่วนตัว แบ่งเป็น 3 คัน คันแรกออกเดินทางตั้งแต่ช่วงบ่าย คัน 2 และ 3 ออกไล่เลี้ยกันตอนเกือบๆสามทุ่ม จากกทม.ไปยังที่ทำการอุทยานใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง คันผมก็ไปเรื่อยๆชิวๆ แวะปั้มไปเรื่อย ถ่ายรูปเซลฟี่กันบ้าง
ไปถึงที่ทำการอุทยานประมาณตีสามครึ่ง ก็จัดการหาที่นอนเอาแรงไว้พรุ่งนี้เช้า เวลา 7 นาฬิกาตามเวลาสากลโลก ตื่นมาพร้อมกับอากาศที่เย็นยะเยือกผิดกับตอนตีสามที่พึ่งนั่งรถมาถึง มันเป็นจังหวะที่ประเทศไทยมีอุณหภูมิลดลงอีกครั้งในรอบสัปดาห์ อะไรมันจะโชคดีขนาดนั้น หลังจากตื่นนอนก็ทำธุระส่วนตัวเก็บข้าวของ ส่วนหนึ่งก็เตรียมอาหารสดที่จะนำขึ้นไปทำกินในป่า
จากนั้นก็นำสัมพาระที่จะให้ลูกหาบแบกไปมาชั่งน้ำหนัก แล้วก็กินข้าวเช้าที่ทางอุทยานเตรียมไว้ให้
ชั่งน้ำหนักไป ถ่ายรูปเฮฮากันไป เพราะยังไม่รู้ชะตากรรมข้างหน้า
สำหรับพี่ชัชพี่ใหญ่ของกลุ่ม แบกน้ำหนักเยอะที่สุด รวมกระเป๋ากล้องด้วยก็ 20 กิโลกรัมได้ครับ
ขอแนะนำเส้นทางการเดินทางในทริปนี้กันก่อนนะครับ ได้จาการจับ track ใน gps
ที่ทำการ - แคมป์แม่กะสา 15.5 km
แคมป์แม่กะสา - แคมป์แม่เรวา 4.0 km
แคมป์แม่เรวา - น้ำตกแม่เรวา 3.0 km
แคมป์แม่เรวา - คลองหนึ่ง 5.0 km
คลองหนึ่ง - แคมป์พัก 1.7 km
แคมป์พัก - ยอดโมโกจู 1.3 km
(ระยะทาง ราบนะครับ) แต่ดูเหมือนระยะทางจากคลองหนึ่งไปคลองสองจะหายไป
เอาหละรู้จักเส้นทางกันแล้วก็เริ่มเดินทางกันต่อเลย เริ่มด้วยการขึ้นรถอีแต๊กเพื่อเดินทางเข้าไปยังจุดหมายที่แค้มป์แม่กระสา ระยะทาง 16 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
หน้าตายิ้มแย้ม ร่าเริงกันอยู่ครับ
นั่งรถอีแต๊กเข้ามาเรื่อยๆ โช๊คก็ไม่มีตกหลุมทีนี่ตูดแทบพัง
นั่งๆไปซักพัก บางช่วงก็ต้องลงเดิน เพราะรถน่าจะขึ้นไม่ไหว
เดินแค่ช่วงสั้นๆนะครับ ไม่ไกล ถือว่าเป็นการวอร์มอัพร่างกายหละกัน ขึ้นรถได้ก็ถ่ายรูปกันต่อ
มาถึงแค้มป์แม่กระสาเที่ยงพอดี ขนของลง กินข้าวให้พร้อมแล้วค่อยเดินเท้าต่อไปยังแค้มป์แม่เรวาระยะทาง 4 กิโลเมตร
กินข้าวกันเสร็จก็เริ่มเดินทางกันได้ เดินมาได้สักพักเราก็ข้ามสะพานไม้ แล้วก็ไม่พลาดที่จะชักภาพกัน
ผมเองก็ข้ามมารอซุ่มยิงจากอีกด้านหนึ่ง
เส้นทางช่วงนี้ยังเป็นทางราบเดินสบายๆ ผ่านป่าไผ่น้อยใหญ่ มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นแทรกประปราย
หญิงคนนี้คือผู้ที่เดินนำกลุ่มไปจุดหมายเป็นคนแรกตลอดทริป ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน
ส่วนคนนี้สมาชิกใหม่ที่ยังไม่เคยเดินป่ากับกลุ่มหาเรื่องเดินป่า...ใส่บ่าแบกหามครับ เธอผู้ซึ่งพกเลนส์มาเต็มกระเป๋า
น้ำหนักกระเป๋าก็ไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัม และนี่ก็เป็นการเดินป่าครั้งแรกของเธอด้วย
เนื่องด้วยลูกหาบที่นี่จำกัดหนักที่ 20 กิโลกรัม/คน น้ำหนักที่เกินก็ต้องแบกกันเอง แต่ละคน 10 กิโลขึ้นครัช
สำหรับคนนี้ชนะเลิศครับ แบกเป้พอกับลูกหาบเลย
ระหว่างทางก็เจอขี้เสือเป็นระยะๆ (ที่รู้เพราะเจ้าหน้าที่บอกมา ว่าขี้จะมีขนสัตว์ที่มันกินเข้าไปปะปนมาด้วย)
ระหว่างทางก็มีนั่งพักเหนื่อยกันบ้าง พวกเราค่อนข้างทำเวลาดีครับ เลยคิดว่าน่าจะไปน้ำตกแม่เรวาทัน
อัดวีดีโอเอาฮากันบ้าง
แล้วก็เซลฟี่ ซึ่งพลาดไม่ได้เลย กับความนิยมในหมู่วัยรุ่น(น่าจะรุ่นปลายๆหละ)
เดินต่อมาเรื่อยๆ ก็มาถึงแค้มป์แม่เรวาประมาณบ่ายสอง ใช้เวลาไปซักชั่วโมงครึ่งได้ครับ พอมาถึงก็ยังไม่ตั้งแค้มป์กัน
เพราะเราจะไปยังน้ำตกแม่เรวากันต่อแล้วค่อยกลับมาตั้งแค้มป์ทีหลัง ถ้าช้ากลัวว่าจะมืดแล้วจะเดินกลับมาลำบาก
เมื่อรอสมาชิกมากันครบ ก็เตรียมเสื้อผ้าที่จะไปเล่นน้ำ น้ำดื่มติดตัวไปสักขวด แล้วก็ลุยกันเลย
บางจุดก็เดินยากหน่อย สำหรับคนที่น้ำหนักตัวเยอะ ก็มีให้เพื่อนช่วยบ้าง น้ำใจในกลุ่มมีให้ตลอดทาง
จากแค้มป์แม่เรวาไปน้ำตกระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง
และแล้วก็มาถึงน้ำตกจนได้ หายเหนื่อยเลยครับเมื่อเห็นน้ำตกตระหง่านอยู่ตรงหน้า
นี่ถ้าหน้าฝน คงจะอลังกาลกว่านี้มาก
นี่ถ้าไม่ได้เดินมาคงจะเสียดายแย่เลยครัช เดินมาตั้งไกลแล้วนิ
แล้วก็เป็นธรรมเนียมครับ มาน้ำตกก็ต้องเล่นน้ำสิ จะรออะไรหละกระโดดเลย ให้ตายสิพับผ่า
น้ำแมร้งโคตรเย็นทำเอาผมนี่ตัวชาไปเลยครัช
เราอยู่ที่น้ำตกประมาณสักชั่วโมงนึงก็กลับมายังแค้มป์ ตัวผมเองเลือกผูกเปลนอนเพราะง่ายดี แต่ใครถนัดนอนเต้นท์หรือปลาทูก็ตามสะดวกครับ ที่แค้มป์แม่เรวานี้อยู่ใกล้ลำธาร และมีห้องส้วมไว้ให้ปลดทุกข์ จงเสพสุขในคืนแรกนี้ให้เต็มอิ่ม เพราะวันรุ่งขึ้นมันคือของจริง
บรรยากาศลำธารใกล้ที่พัก ไว้อาบ ไว้ใช้ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็ล้างจาน
และที่ขาดไม่ได้ครับพ่อครัวเชฟกะทะเหล็ก ที่คอยรังสรรค์เมนูหรูหราให้เราได้กินกลางป่าแบบนี้
สุขใดเล่าจะเท่าอิ่มท้อง เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง แต่ถ้าข้าศึกบุกก็ต้องปลดทุกข์
นี่ครับ มันคือปลาทูป่า
เราทำอาหารสำหรับเย็นนี้และก็เตรียมไว้สำหรับคืนพรุ่งนี้บางส่วน เพื่อประหยัดเวลาในตอนเช้าวันพรุ่งนี้
เวลาค่ำยามดึกเราก็ล้อมวงกินข้าวนั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิด เสียงหัวเราะดังเป็นระยะๆ จนรู้สึกเกรงใจ
อีกกลุ่มนึงเหมือนกันเพราะพวกเค้านอนกันหมดแล้ว จากนั้นเวลาห้าทุ่มโดยประมาณก็เข้าที่นอนใครที่นอน
มันพักผ่อนร่างกายเอาแรงไว้
เช้าของวันที่ 8 ก.พ.58 พวกเรากินข้าวเช้าแล้วก็ทำเตรียมใส่กล่องข้าวของใครของมันสำหรับมื้อเที่ยง
ไว้กินระหว่างทาง จากนั้นก็เก็บของเพื่อย้ายแค้มป์ อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไว้ที่นี่ทำให้เป้เบาที่สุดแล้วค่อย
กลับมาเก็บตอนขากลับ เอาโน้นออกนี่ออกแล้วให้ตายเถอะโรบิ้น สุดท้ายก็หนักอยู่ดีนั่นแหละ
เอาหละเริ่มเดินทางกันต่อไปได้เพราะถ้าสายเราจะไปถึงมืด และการเดินทางของจริงก็เริ่มขึ้น
เส้นทางวันนี้เป็นเส้นทางเดินขึ้นเขาตลอดระยะทาง 8 กิโลเมตร พร้อมเป้บนหลังอีกราวๆ 10 กิโลกรัม
แค่เดินทางราบก็หนักแล้วนี่ฝืนแรงโน้มถ่วงโลกอีก เป็นครั้งแรกที่แบกเป้หนักเดินทางไกลขนาดนี้
ระหว่างนี้รูปจะน้อยหน่อยเพราะเก็บเข้าเป้ไปเรียบร้อย จะมีก็เพียงรูปจากมือถือ
ช่วงแรกๆก็เกาะกลุ่มกันดีอยู่หรอกครับ สักระยะก็เริ่มทิ้งกันเป็นช่วงๆตามพละกำลังของแต่ละคนว่าจะเดินเร็วเดินช้า
ด้วยระยะทางที่ไกลกว่าจะไปถึงคลอง1 ซึ่งมีลำธารให้ได้เติมน้ำดื่ม ระหว่างนี้ก็ต้องบริหารน้ำที่พกมาทั้ง 2 ขวด
สำหรับผมน้ำเปล่าขวดนึงและเกลือแร่อีกขวดนึง รวมแล้วลิตรกว่าๆ เดินไปจิบไป อย่ากระดกจนอิ่ม เพราะน้ำหมด
ระหว่างทางมันจะลำบากเอา ผ่านช่วงป่าไผ่มาได้ก็เข้าป่าเบญจพรรณแล้วก็ป่าดิบแล้งผสมป่าเบญจพรรณชื้น
เริ่มมีต้นไม้ใหญ่มากขึ้น
ทางค่อนข้างชันและชันมากเป็นบางช่วง ช่วงนี้จะเข้าแล้งป่าจะแห้งและดินก็แห้งเช่นกัน ต้องระวังลื่นไว้ด้วย
บางช่วงต้องมีเชือกไว้ให้เกาะ
พวกเรามาถึงคลอง1 บ่ายโมงกว่าๆ พักกินข้าวเที่ยงกันที่นี่ ทีเด็ดตรงนี้คือดิฟกาแฟกินกันครับ
กาแฟร้อนๆหอมๆจากฮอนดูรัส ทำให้มีแรงเดินขึ้นมาทันที
นี่หละครับกาแฟ
จากคลอง1 ก็ไต่ระดับความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ช่วงนี้เองเริ่มทิ้งระยะห่างกันไปตามกำลังขาของแต่ละคน เหลือพวกผมรั้งท้ายกันอยู่ 4-5 คน
และแล้วก็มาถึงคลอง2 ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสุดท้ายก่อนถึงแค้มป์ จากตรงนี้ผมเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเองด้วยน้ำอีก 3 ลิตร เหมือนๆกับคนอื่นที่ต้องช่วยกันเอาน้ำขึ้นไปยังแค้มป์ เพื่อใช้ทำอาหารและดื่มกิน พระเจ้าจอร์ชน้ำหนักที่เพิ่มมาทำให้การเดินต้องเหนื่อยขึ้นอีก 2 เท่า ดีหน่อยที่ระยะทางไม่ไกลมากแค่ 1 กิโลเมตร
เมื่อมาถึงแค้มป์ตีนดอย ก็ทิ้งเป้ลงกับพื้น ผมนี่ตัวเบาเลย แต่ก็ยังไม่ได้พัก ต้องเดินขึ้นไปยังหินเรือใบเพื่อให้ทันพระอาทิตย์ตก
ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก็ถึงยอดเขา ที่นี่เองที่เรียกว่า "โมโกจู"
แล้วก็ถ่ายรูปเล่นกันรัวๆ
ดื่มด่ำกับวิวบนนี้ได้สักพักเราก็กลับลงมายังแค้มป์เพื่อประกอบอาหารและพักผ่อนต่อไป ที่นี่ลมแรงและอากาศเย็นมาก
เสื้อผ้ามีเท่าไหร่ใส่มันทุกตัว ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจต้านทานได้ ต้องไปยืนข้างกองไฟ จึงพอให้ความอุ่นได้บ้าง
ที่แค้มป์นี้ผมเลือกนอนแบบปลาทู ซึ่งง่ายและสะดวกดี (จริงๆขี้เกียจผูกเปล) พวกเราเข้านอนประมาณห้าทุ่ม
จากนั้นก็มีแต่ความเงียบ
อาหารมื้อเกือบสุดท้าย ไฮโซจริงๆ แต่กว่าจะทำเสร็จ ได้กินก็เกือบสามทุ่มไปหละ
เช้าเวลาตีห้าของวันที่ 9 ก.พ.58 เราตื่นขึ้นมาสู้กับความหนาวเพื่อจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ผมเลือกที่จะเอาถุงนอนคลุมตัวไปด้วยเพื่อกันลม ระหว่างนั่งรออาทิตย์ขึ้นก็หามุมถ่ายรูปฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ลมก็แรงเย็นก็เย็น กล้องนี่น้ำค้างเกาะเลยครัช
ฟ้าไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยได้รูปสวยๆเหมือนกลุ่มอื่นๆ แต่วิวที่ได้เห็นบนนี้ก็สวยจริงๆ
ทีมงานหาเรื่องเดินป่า...ใส่บ่าแบกหาม ได้พิชิตอีกหนึ่งดอย
สายๆเราก็กลับแค้มป์เพื่อเดินทางต่อ วันนี้จะเป็นการเดินรวดเดียวยาวถึงแค้มป์แม่กระสาที่รถอีแต๊กมาส่ง ไม่มีการค้างคืน ตอนขึ้นว่ายากแล้วตอนลงยากกว่า เพราะอะไรนั่นเหรอ เพราะขาต้องแบกรับน้ำหนักตัวเองและเป้ นิ้วเท้าและเข่าทำงานหนักพอๆกัน เราต้องทำเวลาเพื่อให้ออกจากป่าก่อนค่ำ
เราเดินบ้างวิ่งบ้าง กัดฟันเดินยาวมาถึงแค้มป์แม่เรวาเลยค่อยกินข้าว
พวกเราก็มาถึงแค้มป์แม่กระสาตอน 5 โมงเย็น นั่งรถต่อ ระหว่างนี้ก็นั่งชมดาวบนรถนี่แหละ ไปถึงที่ทำการอุทยานประมาณสองทุ่ม
ปิดทริปสำหรับทริปนี้ ขอบคุณที่ติดตามชมครับ
รูปภาพทั้งหมดเอามาจากที่ผมถ่ายเองและเพื่อนๆในกลุ่มที่ไปทริปด้วยกันนะครับ ดูเพิ่มเติมได้ที่
1.www.facebook.com/casao.punyasai/media_set?set=a.10152656893226821.546341820&type=3
2.www.facebook.com/phatarakorn.u/media_set?set=a.10152547523421688.517421687&type=3
3.www.facebook.com/tle.siriwong/media_set?set=a.10153102625617002.1073741874.503897001&type=3
5.www.facebook.com/tien.luang/media_set?set=a.10206174674748079.1073741848.1300307508&type=3
อันนี้ของผมเอง
https://www.facebook.com/numishiro/media_set?set=a.10205895343483630.1073741848.1260041026&type=1&pnref=story
numishiro
วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 12.50 น.