จากร้ายกลายเป็นฟิน!!! ทำไมเราต้องไปโบรโม่ในวันที่ภูเขาไฟประทุ "Bromo Mt.-Kawah Ijen" Dec 2015

เรื่อง-เล่า-จาก-รูป


สวัสดีครับ......อยากมาแชร์ประสบการณ์สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในอาเซียน "โบรโม่-คาวาอีเจี้ยน" ในเวลาจำกัดครับพวกเราไปกันวันที่ 10 - 13 ธันวาคม 2558 ตกลงกับคนในทีมว่า อยากไป 2 จุดใหญ่ๆเท่านั้น คือภูเขาไฟโบรโม่กับเหมืองคาวาอีเจี้ยน

เราก็ลงมือหาไกด์ท้องถิ่น แล้วก็ติดต่อไกด์ชาวสุราบาย่าด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่มีกริยาช่วย Is Am Are แต่ก็เข้าใจกันดีครับ "Please tell me about bromo trip" << ความอยากทำให่เรากล้าครับและตกลงว่าจะว่าจ้างไกด์สุดใจดี พี่แอนเดียส

(ผมขออนุญาตไม่บอกรายละเอียดเล็กๆนะครับ เนื่องจากมีกระทู้ที่รีวิววิธีการเดินทาง การไปเที่ยวค่อนข้างเยอะ)

เข้ามาพูดคุยสอบถามกับเราได้ที่ FB Page บันทึกของคนขี้เที่ยว https://www.facebook.com/khonkheetiew

ช่วงประมาณเดือนตุลาคม 2558 ก็วางแผนทริปทุกสิ่งทุกอย่างไว้อย่างดีครับ ซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว ปรึกษาไกด์แล้วว่า

"พี่อยากพาผมไปไหน พี่พาไปเลยครับ" ก่อนหน้านี้ผมเคยไปเกาะบาหลี อินโดมาครั้งนึงเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่บ้าเที่ยวเท่าไหร่แต่ครั้งนี้กะไปแล้วยังไงต้องฟินแน่นอนน

----ความฟินครั้งที่ 1 ฟินตั้งแต่ยังไม่ไป (5 ธันวาคม 2558)

เวลาก็ล่วงเลยมาจ้นถึงต้นเดือน ธันวาคม ทุกคนตื่นเต้นมากกก อยากไป อยากไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการท่องเที่ยวธรรมชาติก็คือ การติดตามพยากรณ์อากาศ+ภัยพิบัติ และแล้วความฝันเกือบล่มเมื่อ พยากรณ์อากาศอินโดนีเซียก็ประกาศว่า "ภูเขาไฟโบรโม่ แห่งเกาะชวา" กำลังประทุในรัศมี 1-1.5 กม. ซึ่งไม่ได้แอคทีฟมาหลายปีแล้ว แต่ครั้งนี้จัดเต็ม แอคทีฟระดับ 3 จาก 4 (ห๊ะ ระดับ 3!!!! ) อุทยานไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปปากปล่อง อย่างไงล่ะครับ "ทรุด" ทริปในฝันเลยนะเนี่ยยยย คุยกับทีมทริปบอกว่าเอาไงดี ที่กลัวที่สุดคือ ไฟล์ทยกเลิก แต่ก็เป็นโชคดีครับที่ภูเขาไฟไม่ปะทุไปมากกว่านี้

ด้วยความกังวลถามแอนเดียสไปว่า

ผม : "เฮียครับ แล้วผมจะได้ไปมั้ยเนี่ย"

แอนเดียส : "มาเลยเลยฮะ ไม่เป็นปัญหา เฮียพาไปเอง"

คราวนี้เราก็ถึงเวลาลุยแล้วครับ


---ความฟินครั้งยิ่งใหญ่ (ฟิน2) มหัศจรรย์วันโบรโม่แอคทีฟ (11 ธันวาคม 2558)

เราเดินทางถึงสุราบาย่าในคืนวันที่ 10 ธันวาคม 2558 เวลา 23.30 น. แล้วเราก็ปักธงว่า จะต้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวโบรโม่ตอนเช้าวันที่ 11 ธันวาคม 2558 แอนเดียสก็พาเราซิ่ง คือซิ่งจริงๆครับ เพราะต้องไปถึงโบรโม่ตอนตี 4 และเดินเท้าขึ้นไปจุดชมวิวก่อนตี 5 (ตี 5 พระอาทิตย์ขึ้นแล้วครับ) ทุกคนหลับบนรถเก็บแรงไว้ฮะ เพราะเราจะเที่ยวกันยาวๆเลย และ 70% ของทริปนี้จะต้องอยู่บนรถ (ไม่มีใครงอแงเลยฮะ ดีใจมาก 55)

ในฐานะที่ผมเป็นคนริเริ่มทริปนี้ก็กลัวเพื่อนๆนอยอยู่ไม่น้อย เพราะแอนเดียส ยืนยันแล้ว่า "เราจะไม่ได้ขึ้นไปปากปล่อง ทุกหญ้าสะวันน่า และวัดที่อยู่ด้านล่าง" (ผ่างงงงงงงงง)

รถจี๊ป พาหนะที่พาเราขึ้นไปที่จุดที่ต้องเดินเท้าครับ เราลงจากรถตู้กันมาจากที่ใส่เสื้อยืดบางๆ ต้องหาเสื้อหนาๆใส่เลยล่ะครับ อากาศหนาวใช้ได้

ไกด์บอกพวกเราว่า อย่าเสียใจไปเลย น้อยคนที่จะได้เห็นโบรโม่ ในวันที่แอคทีฟแบบนี้ เพราะไม่ได้แอคทีฟมาหลายปีแล้ว

พอไปเห็นด้วยตาจริงๆ ขาสั่นเลยครับ (คือเดินขึ้นมาเหนื่อย55) "มันสวยมาก สมกับทริปในฝันจริงๆ"

ที่เห็นในรูปคือเวลาประมาณ ตี 5 ของอินโดนีเซียครับ ถึงแม้ว่าไทม์โซนของ เกาะชวาจะเป็นเวลา +7 เหมือนกรุงเทพ แต่พระอาทิตย์จะขึ้นก่อนเราราว 1 ชั่วโมงครับ ถ้าจะไปต้องเผื่อเวลาด้วยนะฮะ

ความฟินในรูปนี้ให้ชื่อว่า "สวยจนต้องยกมือไหว้" ควันจากปล่องโบรโม่และหมอกหนาๆ กระทบกับแสงแดดยาวเช้าสวยมาก ผมเลยจะบอกว่าเอาจริงๆ มีควันมันก็สวยไปอีกแบบนะครับ (คิดบวก55)

ในทริปนี้ไม่มีใครโรแมนติกเท่าน้องชายกับน้องสาวของผมแล้วครับ เค้าเรียกว่าฟินกันเป็นคู่ คนมาเดียวๆก็ฟินกับตัวเองไปละกัน 555

ทีมงานคุณภาพครับ เราไปกันทั้งหมด 6 คน ครับ (โดนหลอกมาซะ 3 พอบอกชวนไปโบรโม่ คือตอบตกลงไว้ก่อน แต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร)

ถึงแม้พวกเราไม่ได้ขึ้นไปปีนปากปล่องภูเขาไฟ แต่ก็เราก็เห็นวิว พาโนรามาจากจุดชมวิว หลายๆจุด ซึ่งก็สวยไม่แพ้กัน แถมวันที่ไปไม่เจอฝน และไม่เจอเมฆบังยอดเขาครับ อากาศตอนขึ้นไป ดีมากเช้ามืด น่าจะประมาณ 10กว่าองศาครับ

คุณลุงท่านนี้เป็นเสมือน แบรนด์ แอมบาสเดอร์ของโบรโม่เลยก็ว่าได้ฮะ แค่ผมยกกล้องและพูดว่า "Sorry sir...(ยังนึกคำศัพท์ไม่ออก)"

ลุงแกแอคท่ารอแล้วน่ะครับ ใครไปโบรโม่ฝากไปทักทายและอุดหนุนอาหารจากคุณลุงด้วยนะครับ

--ถ้าจะต้องบอกว่าอะไรคือความประทับใจ ที่โบรโม่ก็คงบอกว่าทุกอย่างครับ จากที่พวกเราคิดว่าซื้อตั๋วเครื่องบินมาแล้วต้องเฟลๆ ต้องนอยๆ แต่สำหรับผมนี่แหละครับ "การท่องเที่ยวธรรมชาติ" วันนี้ฟ้าปิดเราก็ต้องยอมรับ วันนี้ฝนตกเราก็ต้องเข้าใจ และถึงแม้ว่า ภูเขาโบรโม่ในวันนี้จะปะทุขึ้นมา เราก็ต้องไปครับ ธรรมชาติเหนือการคาดเดาเสมอ "ทุกอย่างมันสวยที่สุดเสมอครับ"---


ความฟินครั้งที่ 3 น้ำตกมาดาการีปุระ น้ำตกที่พวกเราพยายามออกเสียงสำเนียงภาษาบาฮาซา จนแอนเดียสขำ (จริงๆคือ รำคาญ 555) (11 ธันวาคม 2558)

หลังจากที่เราชื่นชมความงดงามของโบรโม่ไปอย่างสำราญใจแล้ว ประมาณ 9 โมง เราก็ออกเดินทางปลายทางคือ ที่พักคาวาอีเจี้ยน ห่างจากโบรโม่ประมาณ 5 ชั่วโมงครับ แต่ไกด์บอกพวกเราว่า ทางผ่านมีน้ำตกสวยอยู่ที่นึง ชื่อว่าน้ำตกมาดาการีปุระ (ลืมไปแล้วฮะว่าแปลว่าอะไร) พอถึงเราก็เดินจากปากทางเข้าน้ำตก เห็นน้ำตกสีน้ำตาล ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

"เห้ยยยน้ำตกสีน้ำตาล ที่เมืองไทยแปลว่ามีน้ำป่านะเว้ย" คือชักจะแปลกๆไง แต่ไกด์ท้องถิ่น (ไม่ใช่แอนดียส) บอกเราเดินไปเถอะแล้วจะฟินเอง เดินไปประมาณ 20 นาที เป็นทางปูนเดินสะดวกครับ ไกด์บอกเราว่าที่นี่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นน้ำตกศักดิ์สิทธิ์ "Holy water"

ไปถึงแล้วก็ฟินตามที่ไกด์บอกจริงๆครับ เป็นน้ำตกที่คนไม่เยอะและไม่มีร้านค้าเกะกะในเฟรมกล้องครับ

เพื่อนๆเห็นน้ำตกที่เป็นด้านหลังมั้ยครับ ตัวผมและเพื่อนๆก็คิดว่า "นี่เดินมาเพื่อดูน้ำตกเล็กๆ นี่เหรอ" แต่แล้วมันก็ไม่ใช่ครับ มันเป็นเพียงจุดด้านบนของน้ำตกเฉยๆ พอลงผ่านต้นไม้ก็จะเป็นม่านน้ำตกตามรูปที่เห็นครับ


น้าตกสีน้ำตาล ต้นน้ำของปลายน้ำที่พวกเราคิดว่าเป็นน้ำป่า ไกด์บอกว่านี่คือลักษณะเด่นของน้ำตกที่นี่ครับ มาบางช่วงจะเป็นสีใสๆ มาบางช่วงก็จะขุ่นเป็นสีน้ำตาล แต่ไม่ได้เกิดจากน้ำป่า จะเห็นได้ว่า น้ำตกใกล้ๆกันสายอื่นจะใสสะอาดมาก


จุดที่ชาวบ้านบอกว่าน้ำตกศักดิ์สิทธิ์ คือน้ำตกจุดนี่ครับ จะรอช้าไปทำไม ขอพรสิครับ แต่ยังไม่กล้าดื่ม555 น้ำเย็นมากกสั่นกันไปเลยทีเดียว


อันที่จริงที่นี่ไม่ได้เป็นที่ที่เราตั้งใจจะมา เพราะด้วยความที่เวลาเราไม่ได้เยอะมาก ขอให้เห็นโบร่โม่ และบลูเฟลมที่ อีเจี้ยนก็ มีความสุขแล้ว


ทางเดินไปน้ำตกในจุดที่มีน้ำค่อนข้างอันตรายครับ บางจุดเป็นโคลน บางจุดเป็นหินลื่นๆ ควรทำตามที่ไกด์แนะนำด้วยครับ---


ความฟินที่ 4 คาวาอีเจี้ยน เหมืองกำมะถันแห่งบลูเฟลม (12 ธันวาคม 2558)

หลังจากที่พวกเราแวะน้ำตกไปแล้ว ก็ต้องมุ่งหน้าไปที่รีสอร์ทหมู่บ้านกลางหุบเขาเพื่อขึ้นไปที่เหมืองกำมะถัน คาวาอีเจี้ยนฮะ เงื่อนไขในการขึ้นไปที่คาวาอีเจี้ยนคือ เราต้องตื่นตอน 00.00 น. เพื่อขึ้นรถไป ณ จุดสตาร์ทหน้าทางขึ้นตอน 01.30 น. และถ้าใครอยากเห็น บลูเฟลมจะต้องรีบเดินไปถึงยอดปล่อง ระยะ 3 ก.ม. และลงไปอีก 900 เมตร

ณ เวลาที่เราไปถึงรีสอร์ทก็ปาไป 18.00 น. แล้ว พวกเราก็เลยแยกย้ายไปอาบน้ำและกินข้าวให้เสร็จก่อน 20.00 น.และต้องรีบนอนเพื่อตื่นตอนเที่ยงคืนนนน (จะบอกว่า 2 ทุ่มเนี่ย วันทำงานยังไม่ถึงบ้านเลยนะ) แต่ด้วยความเหนื่อยล่ะครับ ต้องนอน

จุดไฮไลท์ของเหมืองกำมะถัน คือบลูเฟลมครับ เป้าหมายส่วนตัวของผมเองคือต้องถ่ายรูปบลูเฟลม เลยรีบเดินจ้ำๆ ทิ้งเพื่อน ทิ้งฝูง555 แต่ไม่เป็นไรเพื่อนเข้าใจ

ทางเดินขึ้นปากปล่องภูเขาไฟระยะทาง 3 กม. และลงไป 900 เมตร ถือว่าทางเดินค่อยข้างอันตรายเลยล่ะครับ แต่ตอนลงไปไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร เพราะมันมืดมากก แต่พอมีแสงเท่านั้นแหละครับ ทางเดินที่เราเดินคือหินและกำมะถัน และอย่าคาดหวังว่าจะมีราวจับ


อึ้งงงงง "กำมะถัน 70 กก. แค่นั้นเอง" คนงานท้องถิ่นที่นี่แบกกำมะถันแบบนี้จากส่วนที่ลึกที่สุดเดินขึ้นบันไดหินที่พร้อมจะพังตอนไหนก็ได้ ลึก 900 เมตร และเดินกลับหมู่บ้านอีก 3 กม. นี่ยังไม่รวมขาขึ้นนะแค่เดินตัวเปล่ายังเหนื่อยพวกเขาขายกำมะถันได้ กก.ละ 100 รูเปียห์ เท่ากับว่าพวกเค้าต้องเหนื่อยมาก (70 กก.= 7000 รูเปียห์ เพื่อแลกกับเงิน ประมาณ 19 ไทยบาท ในขณะที่ ขนมปัง1 ชิ้น ข้างทางราคา 7500 รูเปียห์ //ขอคาราวะหัวใจของพี่‬

ด้วยความที่เหนื่อยมากกกอัดอั้นตันใจมากกันไปหน่อย ก็เลยมีรูป เรียกได้ว่า คอลเล็คชั่นที่ไปอัพในเฟสบุ๊คไม่มีวันหมดภายใน 1 ปีเชิญเพื่อนๆทัศนาได้เลยครับ 555 ก็ขอให้รูปทั้งหลายเป็นไอเดียในการท่องเที่ยวในครั้งต่อไปของเพื่อนๆนะครับ

ภาพจุดยอดสุดของปากปล่องคาวาอีเจี้ยน

สันเขากลางปล่อง ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา

รูปนี้คือน้องฟินมาก ท่ามกลางควันกำมะถัน

จุดต่ำสุดของเหมืองคาวาอีเจี้ยน ทะเทสาบกำมะถันสีฟ้า

ทางเดินกลับหมู่บ้านที่เป็นจุดสตาร์ท

นี่คือภาพบางส่วนที่พวกเราเก็บมาได้ครับ อาจจะมีรูปคนเยอะไปหน่อยครับ แต่ก็อย่างที่บอกไปล่ะครับ มันเป็นการแชร์ความสุขที่เราได้ไปมาจากทริปนี้ และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณไกด์ ขอบคุณเพื่อนร่วมทริป และขอบคุณทุกคนที่เข้าชมกระทู้ของผมครับ

ออกไปท่องโลกกันเถอะครับ

สุราบายา : Sura = ฉลาม Baya = จระเข้

FB Page บันทึกของคนขี้เที่ยว https://www.facebook.com/khonkheetiew

Kor-eea

 วันพฤหัสที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 16.53 น.

ความคิดเห็น