- สวัสดีค่าาาาา วันนี้กลับมาตั้งกระทู้อีกครั้งกับประเทศญี่ปุ่น !!!

เป็นการเที่ยวแบบอ้อมๆ ทริปนี้ใช้เวลาทั้งหมด 8 วัน 8 คืน

เดินทางไปช่วงวันที่ 25 ธันวาคม ถึง 2 มกราคม ค่ะ (วันที่ 25 ธันวาคม นอนบนเครื่อง วันที่ 2 มกรา เดินทางกลับไทย)

เราวางแผนทริปนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม หาตั๋วนานมาก เพราะอยากได้ราคาไม่แพงแล้วเวลาดี

สรุปมาลงตัวที่ Vietnam Airlines บริการแบบ Full Service แต่ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ฮานอย รอประมาณ 3 ชม. สบายๆ

ได้ตั๋วแล้วก็ มาวางเส้นทางกัน และด้วยความที่ว่า เราทำรายการท่องเที่ยว ไปเที่ยวเองทั้งที่ก็อยากไปเก็บที่ไฮไลท์ๆ และเชื่อมั่นในความถึกของตัวเอง

ก็คิดว่าเดินทางเยอะหน่อยแค่นี้คงสบายมาก คร่าวๆการเดินทางของเราก็ประมาณนี้ฮะ



Osaka / Kyoto / Kanazawa / Shirakawa Go / Takayama / Kawaguchiko / Tokyo / Osaka

เป็นไงล๊า เยอะไปอี๊กกกกก เอาว่าเริ่มกันเลยดีกว่า


ปล.รอบนี้ไม่ได้ไปทำงาน ตั้งใจไปเที่ยว ดังนั้น รูปจะเยอะมาก กอ ไก่ อีก100 ตัว เลยจะแบ่งกระทู้นะคะ


ปล2. การเดินทางส่วนใหญ่ของเราใช้ JR PASS จ้า อันไหนมีพิเศษใส่ไข่จะบอกราคาไว้ให้นะคะ



สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพในทริปนี้

- Fuji x-m1

- Lens : Kit 16-50 , fujian 35mm f1.7


เรามีเพจแล้วน๊า เข้าไปคุยกันได้นะคะ :)

https://www.facebook.com/tidsoihoytam



DAY1 สุวรรณภูมิ >HANOI > KANSAI AIRPORT(OSAKA) > KYOTO

วันแรกของเรา เริ่มต้นจากสุวรรณภูมิค่ะ เป็น Flight 18:35 ไปถึง สนามบินฮานอย 20:25 แล้วก็รอต่อเครื่องอีกประมาณ 3 ชม. ค่ะ

ก่อนบิน นี่ก็ถ่ายรูปซ้อมมือไปเรื่อย นี่มันช่วง Magic Hour นะ ต้องถ่ายเก็บสิ!!


บนเครื่องก็มีบริการอาหาร และเครื่องดื่ม แหงล่ะ นี่มันสายการบิน Full Service นี่หว่า รสชาติใช้ได้ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมานะคะ มัวแต่เม้าส์


แต่ระหว่างรอต่อเครื่อง ตามสไตล์เด็กอ้วน เราก็อดไม่ได้ที่จะขอชิม เฝอ เวียดนามซะหน่อย ก็มาถึงถิ่นแล้วอะ ขอชิมหน่อยเนอะ

รสชาติโอเคเลย ไม่แพงด้วย เป็น SET เฝอ+เบียร์ 1 ป๋อง ในราคา 5USD ก็ประมาณ 177 บาท เออถูกกว่าในสนามบินบ้านเราอะ5555


แต่คืองงมาก ตอนแรกไปนั่งแล้วก็กะไม่กินข้าวไง เลยสั่งเบียร์ มันกระป๋องล่ะ 3 USD แล้วหันไปดูราคาเฝอ ถ้วยล่ะ 4USD เอ้า!!

เออ งงมะ ทำไมไม่สั่งแบบ set แต่แรกว่ะตู วุ้ย



อันนี้ ชื่อร้านที่เรานั่งนะคะ มีปลั๊กให้ชาร์จแบตด้วย ดี๊ดี

ไปกันต่อค่ะ หลังท้องอิ่ม ก็รอขึ้นเครื่อง แต่!! มีประเด็นฮะ


เราเอาบอร์ดดิ้งออกมาเช็คที่นั่ง พอดีมันเป็นไฟท์แบบ check through อะเนอะ ก็คิดว่าไม่มีปัญหา

แต่พอดูปุ๊ป อ้าววววววว ทำไมพี่จับหนูให้นั่งแยกกันคะ มากัน2คน ให้นั่งคนละที่

ฮือออออออออ เราก็รู้ว่าเราผิดแหละ ที่ไม่ดูตั้งแต่ที่ไทย แต่ก็คาดไม่ถึงอะว่าเค้าจะมาจับเราแยก

เพราะตอนมาจากไทย เค้าก้ให้นั่งติดกันนะ ปรึกษากันอยู่นาน ก็เลยตัดสินใจไปถามที่หน้า Gate

เจอพนักงานดีมาก เค้าก็บอก เดี๋ยวจะดูให้ เช็คไปรอบแรก เค้าบอก มันเต็มหมดแล้ว มีที่นั่งคู่แต่มันจะเอนไม่ได้เลย

เราก็ โอเค ดีกว่าโดนจับแยก เลยบอกว่าโอเคคร่าาาา ขอบคุณมากนะคร่า

แต่พนักงานคนดีคนเดิม เค้าก็โทรไป check ให้อีกรอบก่อนแก้ที่นั่ง

สรุป ได้ที่นั่งแบบปกติ เอนได้ค่ะ กริ๊ดดดดด ขอบคุณพระเจ้า และ ขอบคุณพนักงานที่น่ารักมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ



พอเวลาเที่ยงคืน ก็เรียกขึ้นเครื่องค่ะ ไฟท์เรารอบ 00:30 ลงเครื่องที่สนามคันไซ ตอน 06:40

หลังจากจัดการเข้าห้องน้ำ บลาๆ เสร็จ เราก็ไปแลกตั๋ว JR ซึ่ง.... แถวยาวจางงงงงง

คือเราวางแพลนมาว่า จะต้องออกจากคันไซ รอบ 08:43 เพื่อไปเกียวโต แต่ตอนได้PASS มา มันก็ 08:35 แล้ว

ง่า พี่ต้องรีบแล้วววววววว ลากกระเป๋า ลงบันไดเลื่อน หาตู้รถที่ต้องขึ้น กระโดดขึ้น จัดการสัมภาระ เสร็จเรียบร้อย ดูนาฬิกา 08:42

แม่จ๋า หนูทำได้ สบายใจ ออกเดินทางได้ค่ะ

เดินทางประมาณ1ชั่วโมง 15 นาที เราก็มาถึง สถานีเกียวโตค่ะ เราตั้งใจจะออกไปเที่ยวป่าไผ่ เลยต้องเอากระเป๋าไปเก็บในล็อกเกอร์


มันจะมีหลายขนาด หลายราคา ลองเลือกดูที่เหมาะนะคะ อย่างเราก็โดนไป 1400เยน

ถ้าไม่มีเหรียญไม่ต้องห่วง ประเทศนี้ออกแบบมาให้แล้ว ข้างๆที่ที่แลกค่ะ สบ๊ายยยยย

ฝากกระเป๋าเสร็จเราก็เดินทางกันต่อค่ะ มาถึงเกียวโตยังไม่ได้ออกจากสถานีเลย ต้องขึ้นรถไฟต่อแระ


สถานที่ต้องไปคือ ป่าไผ่+นั่งรถไฟสายโรแมนซ์~

จาก Kyoto Station เราไปลงที่สถานี Umahori แล้วเดินต่อไปที่สถานี Torokko Saga ค่ะ


ไปถึงสถานีช้า ไปนิด ไม่ทันถ่ายเจ้าตัวตุ่นร้องเพลงเลยอะ

Sagano Romantic Train จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 25 นาที จะบอกว่าอย่าพลาดเลยนะถ้ามาเกียวโต คือมันดีงามพระรามแปดสำหรับเราอะนะ


รถไฟจะวิ่งเลียบแม่น้ำ Hozu ผ่านหุบเขาอันงดงามจากบริเวณ Arashiyama ของเกียวโตจนถึงบริเวณ

แล้วเรานั่งตู่แบบ open เลยได้สัมผัสกับธรรมชาติแบบใกล้ชิด

น้ำใสเชียว แต่ถ้าใครมีเวลาอยากจะล่องเรือก็มีบริการนะ ตอนเรานั่งผ่าน มีนักท่องเที่ยวโบกมือให้ด้วย น่าร๊ากกกก


ระหว่างทางจะผ่าน สถานี Hozkukyo ตรงนี้มีครอบครัวตัวตุ่น มายืนร้องเพลงต้อนรับด้วย


แล้วเราก็มาถึงสถานี Saga Arashiyama ที่มีป่าไผ่ไงล๊าาาา


สำหรับราคาตั๋วรถไฟก็คนละ 620เยนค่ะ

ถ้าใครไม่อยากเดิน ก็มีรถลาก Rickshaw พาเที่ยวไปนะฮะ คนลากดูนิสัยแข็งแรงดี แล้วก็ดูนิสัยหน้าตาดีด้วย แต่พี่ขอเดินดีกว่า~ /me โบกมือให้คนลาก


ตอนที่เราไป คนไม่เยอะมาก แต่ถ่ายรูปออกมาก็ติดคนไปหมดเลยง่า ถ้าจะมา แนะนำให้มาเช้าหน่อยนะคะ น่าจะดีกว่า


เดินไปเรื่อยๆ จนทะลุมาเจอกับถนนใหญ่ มีร้านขายของกิน อ๊า กำลังหิวเลย


หลังจากเดิน กินอะไรรองท้องแล้ว เราก็เดินทางกลับเข้าตัวเมืองเกียวโตค่ะ


พอออกจากสถานีเกียวโตแล้วเจอ เกียวโตทาวเวอร์เด่นเชียว

ช่วงบ่ายเรานั่งรถเมล์ไปวัดน้ำใสกันคร่าาาาา


รถเมล์ที่จะไวัดน้ำใส สามารถนั่งได้2สาย คือ 100 และ 206 ค่ะ โดยเรานั่งสาย 100 นะคะแล้วลงที่ป้าย Kiyomiza-Michi

แล้วการจะไปชมวัดน้ำใสนี่จะต้องเดิน เดิน เดิน!! แล้วไม่เดินธรรมดานะจ้ะ เดินขึ้นเนินแจร้ ระยะทางเกือบ ๆ 1 โล โอ้โห แม่จ๋าาาาาาา

ตอนเราขาไป เราเดินไปทางที่ไม่ใช่เส้นที่เค้าขายของหลักๆนะ คนไม่เยอะ สบายหน่อย(หรอวะ?)

ค่าเข้าวัดคนละ 300เยน ค่ะ พอได้บัตรแล้วก็ไปค่ะ!


เพราะเราไปหน้าหนาว ฟ้ามืดเร็วมากกกกก แถมเมฆเยอะอีกแจร้


ถ่ายรูปออกมา ต้นไม้ก็แห้ง อื้อหืออออออ

มุมยอดฮิต แต่ทำไมพอหนูถ่ายออกมาแบบนี้ล่ะคะ หื้อ?


ขอเล่าข้อมูลวัดหน่อย เดี๋ยวเสียชื่อคนทำงานรายการท่องเที่ยว แฮร่


วัดน้ำใสที่เราเรียกกัน มีชื่อจริงๆว่า วัดคิโยมิซึ ( Kiyomizu Temple ) เป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวแวะมาท่องเที่ยวมากเป็นอันดับต้น ๆ ของเกียวโตเลย

วัดนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 780 มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่าน ก็เลยเป็นที่มาของชื่อ “วัดน้ำใส" นั่นเอง

วัดนี้ถูกบันทึกขึ้นเป็นมรดกโลก (UNESCO world heritage sites) ด้วยนะคะ ซึ่งจุดเด่นของวัดก็คงเป็น วิหารใหญ่ (Hon-do) ตั้งอยู่บนไหล่เขา มีการสร้างเฉลียงไม้กว้างยื่นออกไป โดยใช้เสาต้นซุงขนาดใหญ่หลายร้อยต้นรองรับ ที่สำคัญคือการก่อสร้างไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว แต่ใช้วิธีการเข้าลิ่มด้วยภูมิปัญญาชาวญี่ปุ่นโบราณ ก็รูปข้างบนนั่นแหละค่ะ



เดินลงมาจากจุดชมวิว ใต้วิหารใหญ่จะมีบ่อน้ำ ที่มีธารน้ำตกศักดิ์สิทธิ์ 3 สาย ไหลมา คนส่วนใหญ่ก็จะมาดื่มน้ำขอพรให้สุขภาพอนามัยแข็งแรง เชื่อกันว่าน้ำแห่งนี้เป็นยาอายุวัฒนะ มีสรรพคุณบำบัดโรคต่างๆ โดยมีตำนานเชื่อกันต่อมาว่า ถ้าได้ดื่มน้ำทั้ง 3 สาย จะประสบความสำเร็จตามปรารถนาทั้งเรื่องการเรียน และในหน้าที่การงาน รวมทั้งช่วยให้สุขภาพอนามัยดี มีอายุยืนยาว

ขากลับเราเดินผ่านถนนเส้นหลัก ที่ตลอด 2 ฝั่งจะมีร้านค้าขายของมากมายตลอดเส้นทาง


ทั้งของที่ระลึก ขนม ไอติม นี่ก็ซื้อกินเหมือนกัน คือมันหนาวนะ แต่นี่ก็กินไง ความอยากล้วนๆ 555

จะบอกเรายังสามารถจะพบเห็นคนแต่งชุดยูกาตะและชุดกิโมโนเยอะเลย ถ้าใครอยากอินมากจะเช่าชุดมาใส่เดินเล่น ถ่ายรูปก็ได้นะ


แอบเห็นราคาก็...พันกว่าบาทมั้งนะ ถ้าจำไม่ผิด ส่วนพี่นั้นขอเก็บเงินไว้กินหนมตามสไตล์เด็กอ้วนดีกว่าาา

หมดแหละ โปรแกรมวันแรก อ้อ คืนนี้เราพัก Airbnb แหละ


ไกลจากสถานีรถไฟ แต่สะดวกสบายมาก เพราะเจ้าของบ้านขับรถมารับมาส่งถึงสถานี หิวข้าวก็พาไปส่งร้าน

บ้านก็น่ารัก คือชอบมาก เดี๋ยวจะ ใส่spoil ที่พักกะราคาไว้ให้นะฮะ

รูปตัวบ้านเราถ่ายตอนเช้าอีกวันนะจ้ะ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://th.airbnb.com/rooms/5662179


ตอนเราไปได้ราคา คืนละ ฿1120 ตอนจองตอนนั้นค่าเงินถูกค่ะมาต่อกันค่ะ DAY2 KYOTO > KANAZAWA


วันนี้เราจะเดินทางไป KANAZAWA กันค่ะ จาก Kyoto Satation เรานั่งรถไฟสาย LTD EXP. THUNDERBIRDยิงยาวๆไปเลย ใช้เวลา ประมาณ 2 ชม.

ก่อนขึ้นรถเราซื้อเบนโตะ เป็นอาหารเช้าค่ะ ร้านนี้เลย


หน้าตาประมาณนี้ ราคาน่ารักๆ ประมาณ700เยน แง่มๆ รสชาติ โอเค พี่ให้ผ่าน


เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก (ใช่สิ ก็เล่นหลับตั้งแต่กินข้าวเสร็จ)


เราก็มาถึง KANAZAWA เมืองต้นกำเนิดของฮาจิบังที่ขายในบ้านเราแล้ววว

พอออกจากสถานี ก็พบว่า หิมะตกจ้าาาา อร๊ายยยย นึกว่าจะไม่เจอนะ เพราะตอนแรกดูพยากรณ์มาบอกว่าจะเป็นฝนอะ แต่เป็นหิมะก็ดีแล้ว อิอิ

ก่อนจะออกเที่ยว เรามีภารกิจค่ะ ต้องไปซื้อตั๋วรถบัสเพื่อไป ชิรากาวาโก หาข้อมูลมาในเวปบอกให้โทรจอง


แต่นี่โทรไปไม่ติดเลยอะ เลยกะว่าไปซื้อหน้างานเอา แล้วก็เกิดเรื่องเซอร์ไพสอีกแล้วจ้าาาา

ตั๋วรอบเช้าที่อยากได้เต็มหมด T^T พนักงานขายตั๋วบอกมีรอบเย็นสุด นั่นแหละว่าจะไม่ได้เที่ยวหมู่บ้านชิราคาวาเลย

เพราะเราจองที่พักไว้ที่ทาคายาม่า ซึ่งรอบรถต่อวันมันไม่ได้จริงๆ

ไม่งงใช่ไหมอ่า ชิราคาวาโก เป็นหมู่บ้านที่คนส่วนใหญ่จะไปเที่ยวแล้วไปค้างอีกเมืองแทนอะค่ะ

แต่ก็ต้องขอบคุณพระเจ้า ตอนที่กำลังวางแผนกันใหม่กับแฟนว่าเอาไงดี อยู่ดีๆพนักงานก็บอกว่ามีตั๋วว่างรอบบ่าย2

นั่นแปลว่าเราจะไปทันได้เที่ยวในชิราคาวาโก ถึงจะมีเวลาน้อยก็เถอะ จุดพลุๆๆๆๆ รอดไปได้

อ้อ! รถจาก KANAZAWA ไป SHIRAKAWAGO มันเป็น Hokutetsu Bus ค่ะ ไม่ใช่ Nohi Bus

อันนี้เราไม่รู้ว่ามันมี Nohi Bus มั้ยนะ แต่ความเข้าใจเราคือ ถ้า Nohi มันจะเป็นบัสที่มาจาก Takayama อะค่ะ



นี่เป็นจุดขายตั๋วนะคะ

ออกจากสถานีรถไฟคานาซาว่า เจอ starbucks แล้วตรงไปอีกนิดค่ะ เผื่อใครอยากจิตามรอย


เอาล่ะ หลังแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว เราก็ไปเที่ยวต่อค่ะ คือรีบพุ่งมาซื้อตั๋วมาก ถึงขนาดลากกระเป๋ามาด้วยอะคิดดูดิ๊


มาเที่ยวกันดีกว่า การเที่ยวภายในเมืองนี้ แนะนำให้ซื้อ One day pass ของ bus ค่ะ เค้าจะวิ่งแบบวนลูป วนซ้าย กะวนขวาค่ะ ราคาใบละ 500 เยน


เนื่องจากเมืองนี้ติดทะเล แน่นอนเมืองติดทะเลต้องมีตลาดปลา และด้วยความหิวโหยเราเลยกะว่าจะไปหาอะไรกินที่ตลาดปลากันก่อน

ตลาดปลายที่ว่าก็คือ Omicho Market ค่ะ ซึ่งพอเห็นป้ายปุ๊ป นี่ก็ลงปั๊ป แต่พอลงมา ไหงมันแปลกๆง่ะ

แก ตลาดปลาควรจะคึกคักป่ะ? ทำไมเงียบจังอะ ยังไม่รู้ตัว เลยเดินเข้าไปซักพัก ไม่ใช่แล้ววววว


ฮืออออ หนูหนาว หนูหิวด้วย แม่จ๋าตลาดปลาอยู่ไหนนนนน แล้วอยู่ๆก็หันไปเห็นร้านกาแฟ โอ้ ขอบคุณพระเจ้า นี่รีบเลย

เจ้าของร้านไม่ใช่ญี่ปุ่นอะ แต่พูดญี่ปุ่นได้นะ


บรรยากาศร้านน่ารักดี เลยขอพักจิบกาแฟให้หายหนาวหน่อยดีกว่า


ร้านข้างๆกันก็น่ารักดีเนอะ


หิมะนี่มันแสนจะน่าร๊ากกกกก


สุดท้ายพอเปิด map หาในมือถือ อ้าว ตลาดปลาต้องลงอีกป้ายนึง อ่ะ เดินลูกเดิน ในที่สุดก็มาถึงตลาดแล้ว เย้


ตลาดโอมิโจ มีขายทุกอย่างค่ะ โดยเฉพาะของทะเลสด ๆ


เขาว่ากันว่า ทะเลที่คานาซาว่า เป็นที่ที่มีกระแสน้ำอุ่นและกระเเสน้ำเย็นมาชนกัน ทำให้มีปลามากมาย อาชีพประมงนี่เป็นอาชีพสำคัญของเมืองนี้เลย


น้องวาซาบิสด


เดินไปเดินมาเจอร้านขายอูด้ง คนเยอะดี ต้องขอลองหน่อย


เค้าอยากลองอะ ขอแค่ สองไม้เนอะ เพราะยังอยากเก็บท้องไว้กินปลาอีก แฮร่


ซดน้ำดัง ซู้ดดดดดดด โอยยย ดีจังเลยอะ มันดีจริงๆนะเท๊อออออ


เดินหาร้านจะกินอยู่นานมาก คนเยอะหมดเลยอะ แต่นี่ก็หิวมาก ไม่อยากรอ เลยวนๆ จนเจอร้านที่คนไม่เยอะ กินนี้แหละไม่หาแล้ว


จานนี้ 1000 เยน แต่รสชาติธรรมดาอะ แต่ของสดอยู่ แง่มๆ

หลังจากอิ่มแล้วเราก็เดินทางต่อ ตอนแรกตั้งใจจะไปย่านซามูไร (Naga-machi Buke Yashiki District)แต่ๆๆๆ ทำไมรถมันวนแปลกๆง่ะ


พอถามคนขับ คนขับบอกผิดทางจ้าาา ให้ลงแล้วข้ามถนนไปอีกฝั่งนะลูก

แต่พอลงมา เราถึงรู้ว่ามันคือย่านหมู่บ้านฮิงาชิ ชายะ (Higashi Chaya District )

ย่านนี้จะอยู่ติดกับแม่น้ำ อาซาโนะกาวะ ค่ะ


ย่านนี้เป็นย่านร้านน้ำชาสมัยโบราณ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่น เมื่อก่อนเค้าจะมาร้านน้ำชาเพื่อเฉลิมฉลองและเพื่อความบันเทิง


ซึ่งจะมีเกอิชคอยให้ความบันเทิงนั่นเองค่ะ แล้วย่าน ฮิงาชิ ซายะ เนี่ยเป็นเขตร้านน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดใน Kanazawa ด้วยแหละ

ร้านน้ำชาพวกนี้มีลักษณะเด่นจากโครงไม้ที่เป็นตาราง สวยดีเนอะ


และในเมื่อเรามาย่านน้ำชาทั้งที่ ก็ต้องไปนั่งจิบชาสวยๆกันหน่อย อากาศก็กำลังเย็นขึ้นเรื่อยๆด้วย


อืมมม เจ้าของร้านนิสัยดูเท่ดี แฮร่


ดูเวลาแล้วกลับดีกว่าเนอะ เพราะรถบัสจะหมดตอน1 ทุ่มค่ะ หลังจากนั้นจะเป็นแบบ night bus ซึ่งจะมีน้อย และนานๆมาที


ข้าวเย็นวันนี้ เน้นสบายๆ ซื้อ Lawson เลยแจร้ แต่มี item เสริม นี่ไงงงงงงง

คือเราอยากลองหลายๆแบบ เลยเอามาอย่างละกระป๋อง จะบอกว่ากระป๋องรูปแมวคือดีงามมาก เราชอบ มันนุ่ม มันฟรุ้งฟริ้งสมกะรูปบนกระป๋องอะ

เอาล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะไปเดินเล่นรอบๆโรงแรมกัน


ที่คานาซาว่าเราพักที่โรงแรม APA Hotel Kanazawa Ekimae โรงแรม 3 ดาว ค่ะ

ราคาน่าคบหา แล้วอยู่ติดสถานีรถไฟเลย แล้วติดกะ Lawson เวิร์คๆ

DAY3 KANAZAWA > SHIRAKAWA-GO > TAKAYAMA



เริ่มเช้าวันใหม่ด้วยบรรยากาศอันฉดใฉ วันนี้ตื่นสายนิดหน่อย เพราะกว่าจะขึ้นรถก็บ่าย2

เราลองเดินสำรรวจรอบๆโรงแรมดู ไปเจอกับวัดเล็กๆ เงียบๆวัดหนึ่งค่ะ อยู่หนังโรงแรมเลย

เดินเล่นรอเวลาไปเรื่อยเลยค่ะ อยากไปแล้วง่าาาา


ในที่สุดก็ถึงเวลาของเราาาาา ไปขึ้นรถกันจ้าาาา รถเป็นบัสขนาดใหญ่ เอากระเป๋าไว้ใต้ท้องรถได้ สบายใจแหละ


Go Go ระหว่างทางเราก็ถ่ายรูปไปเรื่อย


บ้านเมืองเค้าน่ารักจริงๆเนอะ แบบ คาวาอิ๊ ไปอี๊กกกก


แล้วยิ่งใกล้ถึง บรรยากาศข้างๆก็จะเริ่มสวยขึ้นไปเรื่อยเลยอะ ทำงี้ได้ไง เดี๋ยวก็หลงรักหรอก!!


หลังจากเดินทางเป็นเวลาชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงชิราคาวาโกแล้วววว


เรามีเวลาอยู่ที่นี่แค่ 1 ชม. เพราะเราต้องนั่งรถต่อไปที่เมือง TAKAYAMA ค่ะ


เรียกว่าเกือบจะชะโงกทัวร์เลยอะ เสียดายมาก นี่ต้องมีมาซ้ำอีกแน่ๆ

แล้วคือ เจ็บปวดมากเพราะว่าเราอยากมาเจอหิมะที่ชิราคาวาโก แต่ไปถึงคือเหมือนอากาศเย็นไม่พอ มันละลายหมดแล้วจ้า


แต่ก็นะ มีโอกาสมาก็ยังดีกว่า ไม่ได้มาเลยอะเนอะ เลิกเศร้าแล้วเชิดหน้าเดินเที่ยวเดี๋ยวนี้!!


หมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโกะ หมู่บ้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกเนื่องจากมีความสวยงามมาก แล้วยังมีบ้านแบบโบราณ


ที่เรียกว่าบ้านแบบกัสโชสึคุริ เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี สร้างในรูปแบบเหมือนการพนมมือ มองออกใช่มั้ย?

เค้าบอกว่า บ้านแบบนี้เดี๋ยวนี้จะสร้างต้องใช้เงินเยอะมากนะเท๊อ เป็นล้านอะ


ฝาท่อ น่ารักๆ


หมดเวลาแล้วเราคงต้องไป~ ฮือออออ เศร้า 5 โมงแล้ว เราก็ขึ้นรถไปเมือง TAKAYAMA แล้วค่ะ


ใช้เวลา ประมาณ50 นาที ไปถึงก็มืดดดดด มืดจริง ดีที่โรงแรมเราอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟเลย

เอาของไปเก็บแล้วออกหากิน แอร๊ยยย ไม่ใช่โว้ยย ออกไปหาร้านอาหารกิน

เค้าบอกว่า (อีกแล้วค่ะ) มาเมือง TAKAYAMA จะต้องไปกิน เนื้อฮิดะให้ได้ เราเดินไปเดินมา เจออยู่ร้านนึง ไปลองกัน

เจ้าของร้านใจดี น่ารัก

บรรยากาศร้านก็น่ารัก


สั่งไป 2 set ค่ะ เป็นสุกี้ กับสเต็ก


ดูลายเนื้อซะก่อยยยยยยยยย โอยยยยยยยยย น่ากินมาก

อันนี้ก็ไม่แพ้กัน ในser จะมีข้าวให้นะคะ อิ่มอยู่ๆ


แล้วจะบอกว่ากินเข้าไปแบบบบ แม่จ๋า มันอร่อยมาก อร่อยแบบละลายในปาก นุ่ม หวานฉ่ำ ฮือออ ช่วยด้วย

คือสมคำร่ำลือ ยอมแล้ว ใครไปทาคายาม่า ต้องไปกินนะ ถือว่าเราขอร้อง ไม่อยากให้พลาดเลยอะ

ราคารับได้นะ มื้อนี้หมดประมาณ 3,000 บาท จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้อะ แต่ว่ามันคุ้มนะถ้าถามเรา อร๊าย พูดแล้วอยากกินอีก

เดี๋ยวใส่ลายแทงให้ หาไม่ยาก จากสถานีรถไฟ เดินตรงไปอย่างเดียว อยู่แยกที่2 ร้านหัวมุม มีป้ายรูปวัวห้อยอยู่


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

กินเสร็จก็เดินย่อยค่ะ ทากาย่ามากลางคืนนี้สวยไม่แพ้ใครเลยนะ


ไฟวิ้งๆ อากาศดีๆ โรแมนติกมากกกกกกกกก ชอบมากเลยอะ

วันนี้ลากันไปด้วยบรรยากาศกลางคืนของเมืองแสนน่ารักนี้นะคะ เดี๋ยวที่เหลือจะมาต่อเร็วๆนี้คร่าาาาา


มาต่อแล้วคร่าาาาาาาา ก่อนจะพาไปเที่ยวต่อ ขอแนะนำทริคเรื่องการขึ้นรถไฟที่ญี่ปุ่นก่อน


คืออย่างที่เรารู้ว่า ที่ญี่ปุ่นเค้าจะตรงต่อเวลามากกกกกก ดังนั้นควรวางแผนดีๆนะคะ อย่างเรา เราใช้ http://www.hyperdia.com ในการดูรอบรถไฟ

คือในเวปก็จะบอกขบวนรถ เวลารถออก ระยะเวลาที่รถวิ่ง แล้วก็ track ที่จะขึ้นรถขบวนนั้นๆ แบบนี้ค่ะ

แล้วที่ชานชลาจะมีป้ายบอกจุดหมายกะเวลารถมาถึงบอก


แต่ถ้ายังงง ไม่มั่นใจเพราะตัวไฟวิ่งบอกชื่อขบวนและสถานีที่เราจะไปมันจะเป็นภาษาญี่ปุ่นกะอังกฤษสลับกัน แล้วภาษาอังกฤษนี่มาไวไปไวเกิ๊น

นี่แนะนำว่า ให้ดูเวลาที่เราจะต้องขึ้นรถค่ะ ชัวร์สุด ไม่พลาดแน่ๆ ลองมาแล้ว คิดว่าใช่ต้องใช่แน่ๆ

แต่พอขึ้นปุ๊ป อ้าวผิด ดีว่ามันเป็นรถไฟที่วิ่งไปสถานีที่เราจะไปนั่นแหละ แต่คนละขบวนที่เราต้องการ ไม่งั้นนี่ต้องดูตารางรถใหม่หมด =.,= รอดไป

แล้วก็ที่ชานชลาจะมีสัญลักษณ์ วงกลม กับ สามเหลี่ยม อยู่ค่ะ ตอนแรกไม่รู้ว่าคือไร ขึ้นรถไฟบ่อยๆ2-3วันถึงรู้


มันมีไว้บอกเราว่าต้องขึ้นรถตรงนี้นะ เพราะว่าชานชลาหนึ่งเนี่ยมันมีหลายขบวนวิ่งด้วยกัน บนป้ายไฟก็จะมีสัญลักษณ์บอก แค่นี้เราก็ขึ้นรถถูกชัวร์ เย้

DAY4 TAKAYAMA > KAWAGUCHIKO


ยังอยู่กับการเที่ยวแบบอ้อมๆไปโตเกียวกันต่อเนอะ วันนี้นี่แบบ มันส์มาก บอกเลย หึหึ

จริงๆแล้วเราตั้งใจจะเที่ยว TAKAYAMA ตั้งแต่เมื่อวาน แล้ววันนี้จะออกไปคาวากูจิโกะด้วยรถไฟรอบ 8 โมงเลย นั่นคือแบบนี้

เพราะผิดแผนตั้งแต่เรื่องซื้อตั๋วไปชิรากาวาโก ทำให้เรายังไม่ได้เที่ยวในเมืองนี้ เลยตัดสินใจว่างั้นเปลี่ยนใหม่ ไปรอบ11:24 ก็ได้ เลยจะเป็นแบบนี้


แต่ แต่! ประเด็นอยู่ที่รอบ Fujikyu Bus ที่เราจะไปเนี่ย มันต้องขึ้นให้ทันรอบ 16:10 เพื่อจะไปถึงทะเลสาบก่อน 6 โมง


แล้วจะได้นั่งรถ bus loop ไปโรงแรม แปลว่าเราจะมีเวลาออกจากสถานีรถไฟ ไปจุดขึ้นรถบัสพร้อมซื้อตั๋ว 15 นาที ถ้วนๆ

แงงงงง แม่จ๋า หนูจะทำได้ไหม ทำได้รึเปล่าาาาาา คิดอยู่นาน รวมกับลองหาข้อมูลในเวปพันทิปนี่แหละ เค้าบอกกันว่าทันๆ อะ งั้นรอไรล่ะ ลุยเลย!!



แต่จะบอกว่าวันนี้เซอร์ไพรส์มาก ตื่นมาแล้วแบบ โอ้วววว ขาวไปหมด เมื่อคืนหิมะคงตกหนักมาก ดีๆ

วันนี้เริ่มการเที่ยวในเมืองทากายาม่าสุดจะ cute กัน เดินไปถ่ายรูปไป โอ๊ย เมืองนี้มันน่าร๊ากกกกกกก


เริ่มแรกเอาไปที่ตลาด Jinya-mae เป็นตลาดเช้าใกล้ๆสะพานแดง


คือตลาดก็ไม่ได้มีอะไรมากอะค่ะ เล็กๆ ขายของพื้นบ้าน มีช่ออะไรซักอย่าง เราเห็นเค้าจะเอาไปห้อยไว้หน้าประตูบ้านอะ


ตรงตลาดมีวัดด้วยค่ะ ตอนเราไปเค้ากำลังทำพิธีเหมือนปัดกวาดหน้าประตูวัด มีรายการไปถ่ายทำด้วย


เช้านี้ขอฝากท้องที่ตรงข้ามตลาดเช้านี่แหละ เป็นร้านขายประมาณอูด้ง โซบะ ที่สำคัญเป็นเนื้อฮิดะอีกแล้วจ้าาา


แต่มันรู้สึกได้ว่าคนละเกรดกับเมื่อวานที่กินไป แต่ก็อร่อยใช้ได้เลยนะ ราคาคบได้ด้วย

อันนี้เป็นสเต็กผักดอง อ่านในเมนูบอกว่ามีแค่หน้าหนาวเลยสั่งมาดู ก็โอเค๊


บรรยากาศร้านเงียบๆ บ้านๆ


หนูน่ารักจังเลยลูก >///<


ใกล้ๆสะพาน มันน่ารักจริงๆนะเท๊อ ชอบบรรยากาศแบบนี้มากเลยอะ


สถานที่ต่อไป นั่นก็คือ สะพานแดง หรือ Nakabashi นั่นเองจ้า สะพานชื่อดังของเมืองนี้


น้ำที่ไหลผ่านไปนั้นเป็นศูนย์กลางของเมือง Takayama จริงๆมันมีสะพานสีเขียวด้วยนะ แต่เพราะว่าสีแดงสดมั้ง สะพานนี้เลยดังสุดแล้ว

คนเยอะฮะ ถ่ายย๊ากยาก


ข้ามสะพานแดงไป ก็จะมาเจอกับย่าน Sanmachi-dori หรือย่านบ้านดำสุดฮิตค่ะ


ถนนเส้นนั้นมีตึกเก่าสองข้างทางที่ตั้งเรียงกันไป เป็นบ้านเรือนแบบเก่าที่มีระแนงไม้สีน้ำตาลสวยมาก สามารถเดินดูไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จักเบื่อเลยค่ะ


มีของที่ระลึก มีขนมขายเยอะแยะๆ


อันนี้เด็ด ซาลาเปาไส้เนื้อฮิดะ อร่อยอีกแล้วววว อร่อยมาก เอร่อยสุดในชีวิตที่เคยกินมาเลยอะ (อันอื่นไม่รู้ไม่เคยกิน5555)


ถ้าอยากนั่งรถลาก เมืองนี้ก็มีจ้ะ


อันนี้เป็นโรงสาเก ไม่ได้เข้าค่ะ ถ่ายรูปเฉยๆ 5555


เดินไปเดินมา ถึงเวลาอันสมควร จะต้องกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม แล้วย้ายตัวเองไป kawaguchiko แล้วค่ะ


อันนี้โรงแรมเรา เผื่ออยากตามรอบค่ะ อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟเลย หาง่าย ด้านล่างเป็น Family Mart


ชื่อโรงแรม Country Hotel เป็นโรงแรม3ดาว

map เมืองจ้ะ ลองศึกษาดูได้


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.hida.jp/thai/admin/wp-content/uploads/2012/01/dl_city.pdfยังอยู่ที่วันที่4 ค่ะ วันนี้เรื่องเยอะ ไม่ใช่เที่ยวเยอะนะ เรื่องเยอะ 555

เราก็ขึ้นรถไฟตามปกติ มีต้องไปเปลี่ยนขบวนที่ Nagoya ก่อนรอบนึง แล้วก็เปลี่ยนไปนั่ง shinkansen เพื่อไปเมือง Mishima ซึ่งต้องไปนั่ง Bus

ถ่ายรูป อารมณ์ดี ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเจออารายยยย


พอมาถึงสถานี Mishima เรามีเวลา 15 นาที ในการไปซื้อตั๋วรถและขึ้นไป kawaguchiko แล้วววววว


อ่านมาว่า ให้ออกจากสถานีเลี้ยวขวา เดินนิดนึงเจอเลย นี่ก็ทำตามจ้ะ แต่เลี้ยวไปไม่เจออะไรเลย ย้ำ ไม่เจอเลย เงียบมาก แบบ ไม่ใช่ล่ะ หลงแน่ๆ

งั้นเอาใหม่ เลี้ยวซ้ายลองดู แต่ก็ยังค่ะ ไม่เจอออออ ฮือออออ เหลือเวลาอีก 8 นาที ยังไงดีๆๆๆๆๆๆ

เริ่มลนลานแล้วอะ ทำไงอะ เจอเด็กวัยรุ่นญี่ปุ่น นี่ก็เข้าไปถาม แต่นางพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ไง นางก็พยายามช่วย พิมหาในมือถือให้

ทำไงดีๆๆ อีก 6 นาที เลยตัดสินใจ กลับเข้าไปในสถานี ไปถามเจ้าหน้าที่ เค้าบอก ออกไปแล้วขวาอะถูกแล้ว แต่ทางที่เอาออกไปอะผิด ให้ไปออกหน้าสถานี พ่าง!!!! คือมันมี2ฝั่งไง แงงงงงงงงงงงงงงงง

นี่ก็วิ่งเลยจ้า ใส่เกียร์หมา ลากกระเป๋าที่หนัก 20 กว่าโล วิ่งๆๆ แต่ทางไปนี่ไม่ธรรมดาเทอ มันต้องข้ามไปอีกฝั่ง แบบบันไดไม่พอ ข้ามชานชลาไปอีก

แม่จ๋าาาาาาาาาาาาาาาาา มาถึงจุดจำหน่ายตั๋วตอน 16:10 พอดีค่ะ พอดีเลย พอดีรถออก!!

ตั๋วก็ยังไม่ซื้อ สรุปไม่ทัน โอ๊ยยยยยยยยย โมโหมาก โมโหทุกอย่าง ทำม้ายยยยย ทำไมไม่ถามพนักงานตั้งแต่แรก!!!

หึ แล้วไง นี่ต้องรอรอบต่อไป ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายของวัน รอบ 18:10 จ้ะ รออีก 2 ชม. นั่งรถตรงป้ายที่ต้องขึ้นนั่งแหละ หนาวอีก T^T



นี่คือจุดขายตั๋ว และตั๋วขึ้นรถของเรา หึหึ

แล้วรถก็มาตอน 18:07 ขนของขึ้นๆ 18:10 ปุ๊ป รถออกปั๊ป ใช้เวลาอยู่บนรถแบบมืดๆไปประมาณ เกือบ2 ชม.ค่ะ


เราก็มาถึงสถานี kawaguchiko ที่มืด มืดมากกกก พี่ไม่สามารถมองเห็นทางสว่างเลย

รถBUS หมดแล้ว ทำไงดี โทรไปโรงแรมถามว่าเค้ามารับได้มั้ย? เค้าบอกว่าหมดเวลารถเค้าวิ่งแล้ว ทางเดียวที่เราจะไปโรงแรมได้คือ TAXI

แล้วยังไง โรงแรมที่จองไว้คืออยู่ไกลสุด เพราะว่าวิวดีไง ฮืออออออออ โดนค่า TAXI ไป 2300 เยน อ่า เกือบๆ 800 บาทจ้ะ แม่จ๋า

คือ TAXI ญี่ปุ่นอะ ยิ่งดึกยิ่งแพงไง เฮ้ออออ ของถอนหายใจหน่อย

แล้วพอไปถึงก็พบความจริงว่าแถวโรงแรมไม่มีร้านอาหาร หรือ ร้านสะดวกซื้อเลย

พนักงานคงสงสารหน้าหมาหงอยของเรา เลยให้ยืมจักรยานปั่นไป LAWSON ที่อยู่ห่างไปเกือบๆ 2 โล

แล้วคือมันมืดไง มันหนาวด้วย อารมณ์นั้นคืออยากร้องไห้มาก กลัวอะเอาจริง มันน่ากลัวมากสำหรับเรา ดีว่าไปกะแฟน นังนี่ตะโกนคุยกับเราตลอดทาง

ไปถึง LAWSON นี่หอบทุกอย่างที่กินได้ เพื่อตุนไว้อะ เฮ้อออออ อย่าทำแบบเรานะคะ วางแผนดีๆนะเธอ เราเป็นตัวอย่างแล้ว อย่าทำตามๆ

จบวันนี้ด้วยประการฉะนี้แล~DAY5 KAWAGUCHIKO > TOKYO



มาๆ หายเครียดมาดูโรงแรมเราดีกว่า รูปนี้ถ่ายกลางคืนค่ะ หลอนมะ 555555555

โรงแรมค่อนข้างเก่า ฮีทเตอร์เป็นแบบโบราณ แบบเติมน้ำมัน มีกลิ่นน้ำมันก๊าซในห้อง เป็นแบบห้องน้ำรวมด้วย แต่ทำไมต้องยอม เดี๋ยวรอดู


ที่นอนเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น

และเหตุผลที่เราเลือกโรงแรมนี้เพราะว่า....


.

.

.

.

.

.

เพราะวิวแบบนี้ไงล๊าาาาาาาาาา นี่คือเปิดหน้าต่างห้องมาเห็นเลยนะ คุณฟูจิซังตัวโต

ส่วนนี่วิวตอนกินข้าวเช้าค่ะ เป็นไงๆๆ ยอมใจเลย


มาถึงอาหารเช้า มีขนมปังก็กาแฟให้ค่ะ แยมสตอเบอร์รี่อร่อยมาก ชอบๆ 555


โรงแรมมีน้องหมาเป็นพนักงานต้อนรับด้วย


โรงแรมเราชื่อ Wilderness Lodge นะคะ อยู่ใกล้ๆ จุดขึ้นรถเมล์ 21 ค่ะ


เดินออกจากโรงแรมข้ามถนนไปถ่ายรูปกันจ้า


เราเน้น เที่ยวแบบฟรีอะ อะไรเข้าเสียตังค์หาจากกระทู้เราไม่มีหรอกนะ 55555


การเที่ยวคาวาของเราก็ชิลๆ ถ่ายรูปไปเรื่อย ถึงเวลาอันสมควรก็ขึ้นรถเมล์ไปนั่งรถไฟเข้าเมืองจ้ะ


นั่งบัสไปที่สถานีคาวากูจิโก พอดีคุณแฟนเค้าอยากไปวัดเจดีย์แดง5ชั้น ที่เลื่องลือ (Chureito Pagoda)


ต้องนั่ง รถไฟ Fujikyu Railway ไปแวะลงสถานี Shimoyoshida ต้องซื้อตั๋วเพิ่มนะคะ คนละ 300 เยนจ้ะ

แล้วก็เดินตามป้ายเลย มีป้ายบอกตลอดทาง หาง่ายไม่หลงแน่ ระหว่างทางแวะแช๊ะฝาท่อ อันนี้มีสีด้วยอะ น่าร๊ากกกก


ถึงแล้ว ต้องเดินขึ้นบันไดไปประมาณ 100กว่าขั้น เค้าบอกว่างั้น แต่ไหงชั้นรู้สึกว่ามันเยอะกว่านั้นอะ เหนื่อยยยยย


แล้วไงพอไปถึงด้านบน เมฆบังจ้า บังแบบมิด เหมือนไม่เคยบังฟูจิมาก่อน ทำไมอะ ไม่ชอบหน้าเราหรอถึงได้ออกมาบังฟูจิแบบนี้ ฮ่วย กลับก็ได้


เรานั่งรถไฟจากสถานี Shimoyoshida ไปลงที่ สถานี Otsuki เพื่อต่อรถ JR เข้าเมือง TOKYO ค่ะ


โดนไปอีกคนละ 300 เยน แต่รถไฟน่ารักอะ เป็นคุณ Thomas ไงจะใครล่ะ สีสันสนใจได้ใจเจ๊มาก

พอถึง Otsuki ก็เปลี่ยนเป็นนั่งรถในเครือ JR ต่อไป จุดหมายเราอยู่ที่ UENO ค่ะ เพราะเราพักที่นั้น


ถึง UENO ล้าวววววว ใหญ่ดีจริงๆสถานีนี้


รอบนี้ไม่มีรูปที่พักเลย ลืมถ่าย แต่จำชื่อที่พักได้ ไม่โกรธกันนะยู๊ <3


ชื่แโรงแรม Hotel New Tohoku เราพักโตเกียว2 คืนค่ะ ราคาโอเค ไม่แรงมาก เดินทางสะดวก แนะนำๆ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.booking.com/hotel/jp/new-touhoku.th.html?aid=331515;label=new-touhoku-_FLAcsnyFj1QondLV_bfwgS8643026360%3Apl%3Ata%3Ap1%3Ap2%3Aac%3Aap1t1%3Aneg%3Afi%3Atiaud-146342137510%3Akwd-18757692920%3Alp1012728%3Ali%3Adec%3Adm;sid=996a40319c855e16a2f7740dade6dffe;dcid=12;dist=0;room1=A%2CA;sb_price_type=total;srfid=9b1b1e8a3b28ee5225f99ba9422f2192198f99e6X1;type=total;ucfs=1&



เก็บกระเป๋าเสร็จ ก็หิวค่ะ เราอยากกินราเม็งข้อสอบมาก ไปเลยคร่าาาา ชื่อร้าน ICHIRAN สาขา UENO ค่ะ

นี่ตั้งใจทำข้อสอบมาก อย่ากลัวค่ะ มันมีภาษาอังกฤษ 55555 คือมันจะเป็นใบที่ให้เราวงว่าเมนูที่เราจะกินเป็นแบบไหน รสชาติแบบไหนค่ะ

เสร็จแล้วก็มาหยอดเหรียญว่าจะเอาเมนูไหน จะเพิ่มอะไรบ้าง แนะนำว่าเพิ่มเส้นกะหมูนะ เชื่อเราๆเรื่องกินไว้ใจเราได้


นี่ หน้าตาน่ากินมะ ของแฟนเรา ของเราไม่มีผัก ดูไม่งามงดเท่านี้ เลยยืมรูปนางมาแทน


กินเสร็จ ก็เที่ยวต่อจ้ะ วันนี้โปรแกรมแน่นนิดนึง ไป ODAIBA ก็ไปลงที่สถานี JR SHIMBASHI แล้วเดินไปที่สถานี SHIMBASHI


ไม่งงเนอะ เราต้องเดินออกจากสถานีของ JR ก่อนนะคะ ทีนี้ก็ไปซื้อตั๋วเพิ่มค่ะ เป็นรถไฟสาย Yurikamome วิ่งทั่ว Odaiba เลย

เราซื้อOne day pass ราคา 800 เยน เพราะคำนวณตอนแรกว่า น่าจะขึ้นลงไม่ต่ำว่า2 รอบ สรุปไปจริง นี่เดินเอาเฉยเลยอะ เสียดายจิมๆ =.,=

เราลงสถานี Odaiba-kaihinkoen ค่ะ แล้วเดินไป เจอนี่เลย


เราเดินตาม sky walk ไปเรื่อยๆ เจอเทพีเสรีภาพกับสะพานสายรุ้ง


บรรยากาศมุ้งมิ้งมากเลยอะ เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาจะเป็นวัยรุ่นคู่รัก แล้วก็แบบครอบครัวที่มีเด็ก

คือต้องบอกว่า Odiba มันเป็นเกาะที่สร้างขึ้น แล้ววางผังเมืองมาดีมาก เดินทะลุถึงกันได้หมดเลยนะ ซื้อตั๋วเป็นเที่ยวพอแล้ว One day ไม่คุ้มเลย


เราเดินไปจนถึงห้าง Diver City Tokyo Plaza ที่มีกันดั้มอยู่ ไปเจอตอนเค้ามีเปิดการ์ตูนพอดีด้วย ฟังไม่ออกอะ 55555

เดินต่อไปจนถึง ห้าง Palette Town ที่มี ชิงช้าสวรรค์ Ferris Wheel ชิงช้าสวรรค์อันนี้(เรียกงี้ป่ะ?) สูง 115 เมตร


เคยเป็น 1 ในชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลกด้วย

ตอนแรกจะไม่ขึ้น เพราะนี่งกไง มันคนละ 900 เยนอะ ก็ประมาณ 300 บาทไง โห ข้าวมื้อนึงนะเว้ย


แต่แฟนนี่แบบ ป่ะ เดี๋ยวพี่จ่ายให้ อร๊ายยย ขออวดหน่อยค่ะ นางน่ารักเนอะ เอาล่ะ ขึ้นก็ขึ้น

ชิงช้ามันมีแบบซีทรูด้วยนะ แบบใสๆเลยอะ แต่ว่าต้องรอนานหน่อยมันมีน้อย แต่เราขึ้นแบบธรรมดาแหละ ไม่รอ ขี้เกียจ


พอขึ้นไปเวลามันอยู่ในส่วนที่สูงที่สุดจะมองเห็นอ่าวโตเกียว และ เมืองโอไดบะทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีต่อรอบ

ส๊วยสวย โรแมนติ๊กโรแมนติก มีรูปมาแค่นี้นะ เพราะสวีทกะแฟนอยู่ /me เอนหัวไปซบไหล่ผู้ 55555

จริงๆมันมีสถานที่น่าสนใจอีกนะเธอ เป็นออนเซนเว้ย ชื่อ Ooedo-Onsen แต่เวลาเราไม่ได้จริงๆ ไม่อยากนั่ง TAXI แล้ว ไว้ค่อยมาแก้มือรอบหน้า


ทีนี้ก็หิวไง กลับที่พักเปิดเจอว่ามีร้านอาหารเปิด 24ชม. เป็นซีฟู้ดปิ้งย่าง แบบlocalด้วย ชื่อร้าน ISOMARO SUISAN รอไรไปกินสิ

check ความเมื่อยล้าจากหน้าพี่ได้ค่ะ หึ


เมนูเด็ดคือนี่เลยเว้ย มันปูย่าง ต้องกินนะ อย่าพลาด จริงๆร้านนี้มันมีสาขาทั่วประเทศแหละ อยู่เมืองไหนก็ลองค้นดู มีเยอะจริง


มื้อนี้หมดไปเกือบ 3,000 บาท เพราะกินเยอะ + มีเบียร์(หลายแก้ว)ด้วย แต่ว่าอร่อยนะ กินเถอะนะ นะ น๊าาาาา


(แต่ชั้นก็ไม่เคยบอกว่าไม่อร่อยป่ะวะ หรือว่าคือจริงๆ ชั้นมันคนอ้วนไง กินอะไรก็อร่อยหมดแหละ)

อันนี้ที่ตั้งร้านเผื่ออยากตาม สาขา Ueno นะ ทางไปตลาด Ameyoko

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ขอตัวไปดู Deadpool แปปนะเธอ เดี๋ยวมาต่อ 55555DAY6 TOKYO



มาแล้ววววว ไปดู Dead Pool มาแต่ดูไม่จบ ขอบ่นในสปอยแปป

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้คือเราไปดูที่เซนทรัลพระราม9 มา รอบ 20:00 จ้ะ เริ่มก็คือ ให้เข้าโรงหนังตอน 20:05 เค้าประกาศว่าขัดข้องนิดหน่อย อะ ไม่เปนไร

พอดูตัวอย่างหนังไป อยู่ดีๆจอเหลือง เอ้าาาา งง เกือบ10 นาที มีพนักงานมาบอกว่ากำลังแก้ไขอยู่ ขอภัยในความไม่สะดวก อ่าาา

รอไปอีก 10 นาที หนังมาเป็นปกติ ดูไป15นาทีจอเหลืองอีกแล้ว พนักงานมาอีกบอกกำลังแก้ อีก10 นาที หนัมาเล่นต่อ หลอกให้ดีใจ ดูไปครึ่งเรื่องได้อะ จอเหลือง ดับเลย แงงงงงงงงงงงง สรุปให้เอาเงินคืนไม่ก็รับตั๋วไว้มาดูวันอื่น จ้ะ จอบอ เซ็งมาก ขอบอก



มาๆต่อ ไม่บ่นแระค่ะ

หลังจากเราเที่ยวแบบอ้อม ๆ มา 5 วันแล้ว ในที่สุดก็ถึง TOKYO แบบจริง ๆ จัง ๆ ซะที

ซึ่งผลจากการเที่ยวอ้อมของเรา + เมื่อคืนซัดไปหลายแก้ว ตื่นสายแจร้

ตื่นมาก็9โมงครึ่งแล้วอะ กว่าจะได้ออกจากโรงแรมก็10ครึ่งแล้วววววว หงอยเลย ได้เที่ยวน้อยแน่ ๆ แต่ไม่เป็นไร STRONG ไว้ลูก

วันนี้เป็นวันสิ้นปีด้วยแหละ ไม่อยากจะบอก ฮี่ฮี่

เราเริ่มต้นที่ ตลาด Ameyoko จ้ะ เดินไป ไม่ไกลจากที่พัก ผ่านร้านอาหารเมื่อคืนด้วยนะ

อะเมะโยโกะเป็นถนนสายช้อปปิ้งยอดฮิตแห่งย่านอูเอโนะ อยู่ใต้แนวรางรถไฟตั้งแต่สถานี JR Ueno ไปจนถึงสถานี JR Okachimachi เลยค่ะ


ตลาดนี้เต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ ขายของเยอะมาก มีตั้งแต่ตลาดของแห้งไปจนถึงของสด ผลไม้ ของกิน เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และอีกสารพัดอย่าง

แน่นอน กองทัพเดินด้วยท้อง ต้องกินก่อนจ้ะ เราเลือกร้านนี้ค่ะ ไม่รู้ชื่อไรอะ หน้าร้านจะมีรูปเมนูพร้อมราคา แปะอยู่บนผ้าใบ

เลือกเมนู จ่ายเงิน แล้วไปนั่งรอในร้านค่ะ


อันนี้ของเก๊า เป็นข้าวหน้าปลาแซลมอน กะไข่ปลาแซลมอน ราคา700เยนจ้ะ


อันนี้ของแฟนเก๊า ข้าวหน้าปลารวม 750เยน รสชาติอร่อยเลยอะ ทั้ง2เมนูเลย อิ่มมาก เพราะจานใหญ่


เดินกันต่อ เรากะมาเดินเล่น ยังไม่ซื้อ ไม่อยากแบกของเยอะ เพราะยังต้องไปโอซาก้าอีก


เลยเดินเรื่อยเปื่อยไปเลยๆ เก็บบรรยากาศ ซึ่งคนเยอะมาก คงเพราะเป็นวันสิ้นปีด้วยแหละ คนออกมาใช้เงิน (หรอวะ?)

น้องหมาาาา น่ารักจังเลยลูก เกิดมาน่าสงสาร ตัวแล้วเท้าเลย ขาไม่มี 55555 บ้า มันขาสั้นเฉยๆเว้ย


ตรงนี้เห็น TOKYO SKY TREE ด้วยแหละ


เดินไปเดินมา อ้าวเที่ยงแล้ว แต่เพิ่งกินข้าวไป งั้นไปที่อื่นดีกว่าเนอะ


เราเลยนั่งรถไฟใต้ดิน tokyo metro สาย Ginza จาก Ueno ไป ลงที่ สถานี Asakusa ค่ะ

พอออกจากสถานี เราก็ไปที่สะพานข้ามแม่น้ำซูมิดะ ที่กั้นระหว่างย่านอาซากุสะ กับตึกฟองเบียร์อาซาฮีก่อนค่ะ


ใช่แล้วเจ้าตึกที่ดูยังไงมันก็ไม่เหมือนฟองเบียร์ซ้ากนิดดดดด จะบอกว่าตรงนี้นกเยอะมาก เราจนกลัวอะ กลัวมันอึใส่ เคยโดนมาก่อน ฝังใจ 555

เสร็จจากถ่ายรูปบนสะพาน เราก็เดินไปที่วัดโคมแดง หรือ วัดเซ็นโซจินั่นเอง


นี่ไงซุ้มประตูกะโคมแดงที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกัน เราเป็นนักท่องเที่ยว งั้นขอถ่ายรูปหน่อยยย คนเยอะมากอะ แง่มๆ

พ้นจากโคมไปเราก็จะได้เจอกับร้านค้ามากมายยยย และคนมากมายเช่นกัน


เดินมาเจอร้านนี้ น่ากิน ซื้อชิมหน่อยยยยย


มันคือไรไม่รู้อะ คล้ายๆแป้งโมจิมั้ง ไส้ถั่วแดง อร่อยนะ


เดินไปเดินมา ซักจะค่ำแล้ว กลับไปจองที่นั่ง shinkansen ที่สถานี UENO ก่อนค่อยไปเที่ยวต่อยังอยู่กับ DAY6 TOKYO จ้ะ



จาก UENO เราจะไป Harajuku โดยการเดินทาง เราใช้ JR Yamanote Line ค่ะ ถ้าใครมี JR PASS แนะนำให้ใช้เลย

เพราะมันครอบคลุมสถานที่เที่ยวดังๆในโตเกียวเกือบหมดเลยค่ะ



กลับมาที่ Harajuku ที่นี่เนี่ยจะมีถนนสายช้อปปิ้งสายแคบๆ ชื่อ ถนนทาเคชิตะค่ะ

ของส่วนใหญ่ก็เสื้อผ้า ก็ของกินนิดหน่อยนะ แต่หลายคนก็มาเพื่อดูวัยรุ่นญี่ปุ่นแต่งคอสเพลย์ ตอนเราไปไม่เห็นค่ะ

ไปฮาราจูกุอย่าพลาดร้านเครปนะคะ อย่างร้านนี้เค้าบอกว่าเป็นร้านแรกของที่นี่


เดินๆไปเห็นคนถือสายไหมอันโตๆ นี่ก็อยากกินบ้าง แฮร่ รูปหัวใจด้วยนาจา ไม่ธรรมดา


เดินเล่นจนหิวแล้ว เลย Move ตัวเองต่อ เพราะตั้งใจจะไปกินซูชิสายพานแบบกดสั่ง ที่ Shibuya


เราก็นั่ง JR สาย Yamanote เหมือนเดิมไปลงสถานี Shibuya ค่ะ

และแน่นอน ไปถึงแล้วไม่แวะไปถ่ายรูป 5 แยกชิบูย่าอันโด่งดังได้ยังไง

ข้ามแยกไปเสร็จ เราก็ไปหาร้านซูชิที่ว่าค่ะ เราเดินไปจนเจอร้านแล้ว แต่เค้าปิดอะ คือเป็นวันสิ้นปีแล้วเค้าปิดไวมาก เศร้าเลย


หิวก็หิว เลยเดินหาร้านอื่นแทน เดินไปเรื่อย ๆ จนไปเจอป้ายร้านซูชิ ให้งไปชั้นใต้ดิน ไปถึงปรากฎเป็นซูชิสายพานแบบกดเหมือนที่เราอยากกินเลย

กดเมนูจาก Ipad เลยค่ะ แล้วของที่เราสั่งจะวิ่งมาตามสายพาน


ก็ไม่หิวเท่าไหร่หรอก นี่ที่กดสั่งไปรอบแรก 5555


รสชาติโอเคเลย อร่อยดี แล้วก็ไม่แพงค่ะ ราคาเริ่มต้นประมาณคำละ 120 เยน มีชาเขียวกะน้ำเปล่าให้กินฟรีด้วย

spoil ที่ตั้งของร้านฮะ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

กินเสร็จเราก็เดินเล่นไปเรื่อยไป รอเวลาจะย้ายไป coutdown ที่ Tokyo tower ค่ะ


เราโดนร้านคีบตุ๊กตาดูดพลังงงง โดนไปเกือบ1000บาท 55555 แต่ได้ตุ๊กตาตัวใหญ่มาตัวนึงล่ะ ฮี่ฮี่

4ทุ่มครึ่ง คนที่ห้าแยกเริ่มเยอะ เหมือนเค้ามารอ coutdown อะค่ะ


ไปเรา เดินทางต่อ ไป Tokyo Tower กันนนนน คือใจเราอะ countdown ไหนก็เหมือนกันแหละ มันขึ้นอยู่กับคนที่เราอยู่ด้วยมากกว่า ฮิ้วววววว


แต่ไอ้คนที่อยู่กะเราเนี่ยแหละ ที่อยากไปเหลือเกิน เพราะเราไม่แน่ใจว่าที่โตเกียวทาวเวอร์เค้าจะมีกิจกรรมรึเปล่า

เคยถามพี่ที่ทำงาน เค้าบอกว่าไปแล้วไม่มีไรเลย เงียบมาก ที่ไม่เงียบคือวัดที่อยู่ติดกัน พอเราเปิดดูข้อมูล ก็บอกว่าเค้ามีล่อยลูกโป่ง

ในหัวนี่คิดว่าแบบ เออต้องปล่อยเยอะมากแน่ๆ ไปดูก็ได้ๆ แต่แฟนเราเค้าบอกมีจุดพลุ เคยดูคลิปมา (หรอวะ?)

ก็ไปค่ะ จาก Shibuya เรานั่ง JR ไป ลงที่ สถานี Hamamatsucho เป็น สถานีJR ที่ใกล้สุดแล้ว แล้วเดินต่อค่ะ

แต่ถ้าไม่อยากเดิน แนะนำให้ซื้อตั๋วเพิ่มแล้วไปลงสถานี AKABANEBASHI ค่ะ

ระหว่างทางเดินไปโตเกียวทาวเวอร์ เราจะต้องเดินผ่านเข้าไปในวัดโซโจจิ ( Zojoji Temple ) ก่อน

เนื่องจากเป็นวัดสิ้นปี ภายในวัดเลยมีงานค่ะ มีเสียงสวดมนต์ดังมาจากในวัดด้วย แล้วคนก็เยอะมาก ไม่อยากจะsaid

เราเดินไปรอ countdown ที่หลังโตเกียวทาวเวอร์ค่ะ คนเยอะมาก เลยคิดว่ามาถูกแล้วล่ะ เค้าคงมีจุดพลุ


รอไปรอมา จน 5 ทุ่ม ครึ่ง เปิดดูใน facebook page ของโตเกียวทาวเวอร์ อ่านไปเจอคำหนึ่ง จิ๊ดมาก

บอกปีนี้ไม่จุดพลุนาจา แฮปปี้นิวเยียร์จ้าาาาาา ห๊ะ อะไรนะ แล้วนี่ตูรอไรว่ะ แงงงงงง

แต่มันทำไรไม่ได้แล้วอะ ไปไหนไม่ทันแล้ว ก็ต้องทำใจ เฮ้อ~

จนถึงเวลาจะนับถอยหลัง เงียบจ้ะ ต้องนับกันเอง แล้วไง ลูกโป่งหรอ มีอยู่ไม่ถึง1000ลูกอะ แงงงงงงงงง ช้านมาทำอารายที่นี่~

ตบไหล่แฟน บอก ป่ะกลับกันเถอะ ไม่เป็นไรเนอะ

วันที่6 ของเราจงจบลงด้วยประการฉะนี้แลDAY7 TOKYO > OSAKA



เริ่มต้นปีใหม่ด้วยฟามฉดใฉ เย้ เย้ วันนี้วันเที่ยววันสุดท้ายแล้วน๊าาาา

วันนี้นั่ง Shinkansen ไป Osaka กันค่ะ เดี๋ยวจิขอวาร์ปไป โอซาก้าเลยนะคะ 5555

รถไฟ shinkansen จะจอดที่สถานี Shin-Osaka ค่ะ ที่พักเราวันนี้เราพักแถวย่าน Shinimamiya

ชื่อโรงแรม Hotel Sunplaza 2 Annex ห้องน้ำรวมนะคะ แต่ก็โอเคนะ ไม่น่ากลัว

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.booking.com/hotel/jp/hotel-sunplaza2-annex.th.html?aid=318615;label=Low_CPA_Thai_TH_12118694305-bu4ybQV%2Aek5QivVunnqLxgS73336504705%3Apl%3Ata%3Ap1%3Ap2%3Aac%3Aap1t1%3Aneg;sid=996a40319c855e16a2f7740dade6dffe;dcid=4;dist=0;room1=A%2CA;sb_price_type=total;srfid=ede818b7ebcfb40e6baf9a215dca1f1c3fae087cX1;type=total;ucfs=1&



เอาของไปเก็บแล้วเราก็ไปเที่ยวกันจ้าาาา เริ่มจากแถวที่พักค่ะ ย่าน Shinsekai ไปเดินๆเถอะเรา~

ถึงแล้วย่าน Shinsekai ย่านนี้เป็นย่านเก่าค่ะ แต่ชื่อ ชินเซะไก มันแปลว่า “โลกใหม่" งงมะ 5555


คือเป็นโลกใหม่ของเมื่อในอดีตไงล๊า ย่านนี้จะมีหอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku) ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของย่านนี้เลย

ย่านนี้จะมีร้านอาหารปลาปักเป้าเยอะมาก แล้วก็พวกอาหารเสียบไม้ทอดๆ (คุชิคัทซึ) เน้นกินดื่ม

มาๆ บ่ายโมงแล้ว กินข้าวกันนนนน เรากินร้านนี้ค่ะ


ก็สั่งพิซซ่าญี่ปุ่น หรือที่เรียก โอโคโนมิยากิ มา1 ค่ะ เค้าก็มาผัดๆให้ อร่อยยยยย


แต่อันนี้เด็ดกว่า คุชิคัทซึ ชื่อดังของย่านนี้ อร่อยทุกอย่างเลยอะ สตอเบอร์รี่ทอดยังอร่อยเลย คิดดู๊


กินเสร็จเราก็ออกเที่ยวต่อค่ะ คือเราไปเจอรีวิวมาในเวปพันทิปนี่แหละ ว่าที่Osaka มีย่านร้านกาแฟน่ารักๆ


นั่นก็คือย่าน Nakazakicho ค่ะ การเดินทางก็คือ ไปลงสถานี Umeda แล้วเดินไป

เดินไปเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกแปลกๆ คือมันเงียบมาก


สรุปมาถึงจึงได้รู้ว่า มันปิดจ้าาาาาาาา


ปิดทุกร้าน สงสัยเพราะมันเป็นวันปีใหม่อะ ฮืออออ เสียใจ


ทำไรไม่ได้นอกจากเดินกลับ เฮ้ออออ


หลังจากเดินกลับไปสถานีรถไฟ เราก็ไปต่อที่ Namba ค่ะ


ไป shop ของฝากต่างๆ นานา ที่นี่เลย


วันสุดท้ายของเราจบลงที่นี่ พร้อมกับเงินในกระเป๋าเราด้วย 55555


ครบแล้วคร่า ส่วนวันที่9 ของเราคือการตื่นแต่เช้า เพื่อไปสนามบิน KANSAI ค่ะ


ในส่วนของค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่ในรูปนี้แล้วนาจา พอมารวมเองแล้วก็รู้สึกตัวเบาเหมือนกันนะ 5555

คือเรายังไม่ได้รวมค่าอาหาร แล้วก็ shopping นะคะ อันนี้คือค่าใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็นจริงๆ

อื่นๆในที่นี้คือ ค่าเข้าชมวัด ค่ารถไฟบางขบวน แล้วก็ค่าขึ้นชิงช้าสวรรค์ อะไรแบบนั้นไป

มันอาจจะแบบแพงไปนิสสส แต่เราว่าไปเที่ยวก็ใช้ไปเถอะตังค์อะ เก็บมาทั้งปีแล้วขอหาความสุขให้ตัวเองหน่อย

ถ้าใครมีอะไรอยากปรึกษาหลังมามาได้เลยนะค๊า เราไม่กัด แฮร่

ขอบคุณสำหรับการติดตามคร่าาาาาา เจอกันใหม่ทริปหน้า 1 2 3 เฮ้



ความคิดเห็น